ความคิดเห็นทั้งหมด : 34

Debate VII: "ความรักสถาบัน" สอนได้หรือไม่? FIRST HALF


   


   



Posted by <203.170.234.4 >Phoenix on January 25, 19103 at 00:13:17:
ผมขออนุญาตแยกประเด็นนี้ออกมาถกกันต่างหาก เพราะรู้สึกว่าหัวข้อนี้มีคุณค่าพอที่เราจะมาค้นคว้าร่วมกัน จริงๆแล้วความรักสถาบัน รักเผ่า รักจังหวัด รักท้องถิ่น รักชาติ รักมนุษย์ เป็นนามธรรม แต่มีผลกระทบเป็นรูปธรรมอย่างกว้างขวาง มุมมองของคนก็คงจะมีต่างกันค่อนข้างเยอะ แต่ผมเองคิดว่ามันมีประเด็นร่วมที่ทุกคน หรือคนส่วนใหญ่น่าจะมีจุดยืนคล้ายๆกันอยู่ เพราะพออ้างคำๆนี้ หรือประเภทนี้ทีไร รู้สึกมันมีพลังดี เลือดเดือดปุดๆ หรือบางคนก็อาจจะห่อเหี่ยว หมดอารมณื หมดความหวังไปเลยก็มี
.
กติกาเดิมครับ ระดมความคิดความเห็นออกมาเต็มที่ รักษาวัฒนธรรมการอภิปรายให้อยู่ในรูปแบบที่ชาวศิวิไลซ์มีการศึกษาเขาทำกัน อนุญาตให้สอดใส่อารมณ์ได้ (แต่พองาม) เพราะเรื่องนี้เป็นกึ่ง logic กึ่ง อารมณ์
.
ขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคนที่กำลังจะมาแสดงความคิดเห็นและได้ปฏิบัติตาม house rule นะครับ


--------------------------------------------------------------------------------


--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : หากผู้รับได้รับการสอนที่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตากรุณา ความตั้งใจจริง ความจริงใจจากผู้สอน
ขณะเดียวกันผู้รับต้องเปิดใจกว้างในการรับคำสอนที่มีหลายรูปแบบ ไม่ใจแคบอคติ

อดีตนักศึกษาแพทย์ แพทย์ใช้ทุน อาจารย์ มอ. 02:20:48 1/25/103 <203.113.76.10> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : ไม่รู้ว่าสอนได้หรือไม่ แต่คิดว่าไม่จำเป็นต้องสอนครับ การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับคนอื่น กับสถาบัน จะมากน้อยอย่างไรก็ย่อมเกิดความรักความผูกพันกันบ้าง อาจมีบ้างบางคนที่เห็นสถาบันเป็นเพียงทางผ่าน เพื่อให้ได้มาซึ่งความสามารถในการสั่งสมวัตถุ
Dhan 02:39:34 1/25/103 <172.29.3.213> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : น่าสนใจทั้งสองคำตอบนะครับ คุณคิดว่า "ความรักสถาบัน" สำคัญที่ "ผู้รับ" หรือ "สถาบัน" หรือส่วนไหนมีบทบาทอย่างไรล่ะครับ?
Phoenix 03:06:42 1/25/103 <172.29.3.227> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : สำคัญทั้งสองส่วน สถาบันควรสามารถตอบสนองความต้องการให้กับผู้รับได้อย่างเหมาะสมโดยอยู่บนหลักของเหตุผลและความถูกต้อง ส่วนผู้รับต้องเข้าใจและรู้จักเลือกที่จะรับซึมซับเอาแต่สิ่งดีๆจากสถาบัน ความรักสถาบันจะเกิดขึ้นได้จะต้องมี " ความเข้าใจ"กันระหว่างสองส่วนข้างต้น
เหอ เหอ 10:33:26 1/25/103 <203.146.65.193> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : ซึมซาบครับ
มันเกิดขึ้นทีละน้อย แม้จะมีการสอนหรืดการ "บังคับ" ให้รักสถาบัน(อย่างที่เห็นกันแถวๆนี้) หรือไม่ก็ตาม
ไม่ปฏิเสธที่กระบวนการดังกล่าวย่อมทำให้เกิดการต่อต้าน และย่อมมีความเห็นขัดแย้ง (ยิ่งถ้ามีการบังคับ) มองว่าสถาบันอื่นน่าจะดีกว่า (เหมือนนิทานอีสบเรื่องหมากับเงา) แต่ในจิตใต้สำนึกแล้ว "ความรักสถาบัน" ย่อมค่อยๆเกิดขึ้นทีละน้อย (ตกตะกอน หรือ ตกผลึก?) ในระหว่างการใช้ชีวิตในสถาบัน ความสัมพันธ์ที่เกิดระหว่างบุคคล สถานที่ ย่อมมีขึ้น (อย่างช้าๆ จนสังเกตไม่ได้ หรือไม่รู้สึก)
อันนี้คงไม่รวมถึงคนที่ไม่ปกติ ( rare case?) ที่ไม่สร้างปฏิสัมพันธ์กับสิ่งใดเลย มีแต่ negative feedback ในใจก็มีแต่ความรังเกียจ (ถูกเขย่าตลอดเวลา ย่อมไม่ตกตะกอน ผลึกก็ไม่เกิด หรือเกิดก็ผิดรูป)
ความเห็นโดยสรุปคือ สอนไม่ได้และไม่จำเป็นต้องสอน เพราะหลักมันอยู่ที่ว่า "สถาบัน" คืออะไร อะไรเป็นสิ่งที่เรารัก มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์รึเปล่า ก็คงไม่ใช่ มันเป็นนามธรรม ที่เกิดระหว่างการใช้ชีวิตในสถาบันมากกว่า องค์ประกอบที่สำคัญคือ บุคคลทุกคนในสถาบัน มีความเอาใจใส่กัน
เคยไหมที่จากสถาบันไปนาน พอได้กลับมาก็รู้สึกมีความสุข เหมือนกับความรู้สึกที่ได้กลับบ้าน
ใช่ไหม เพราะที่บ้านมีพ่อมีแม่ คนที่เรามีความรู้สึกดีๆมาตลอดชีวิต
ความรักสถาบัน (การศึกษา) ก็เหมือน เรารักบ้าน
ไม่ต้องสอน และสอนกันไม่ได้
ความเห็นส่วนตัวนะ ของคนแก่คนหนึ่งที่จากสถาบันที่"รัก"มานาน
Thai (old) teacher teach thai student in enlish 13:20:10 1/25/103 <203.154.77.9> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : ต่อไปนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมเองนะครับ ดังที่ผมยกตัวอย่างมามากมายถึง "ความรัก" ต่อสถาบัน องค์กร หรือชาตินั้น ผมคิดว่า perception มีส่วนสำคัญมาก ความรักที่ว่านี้จะไม่ได้เกิดจากมีคนมาบอกมาสอนว่าเรา "ควร" จะรู้สึกดังกล่าว แต่เป็นการที่เราเกิดความรู้สึกถึง "คุณค่า" และได้ identify self-value ของตัวเราเองกับสถาบัน องค์กร หรือกลุ่มนั้นๆ
.
คนรักชาติ หรือผู้ที่มีกิจกรรม การแสดงออก actively ทางด้านนั้น invariably จะมีความรู้ในประวัติศาสตร์และความเป็นมา หรือ ROOT ของตนเอง ของเผ่า ของประเทศ รู้ว่าสิ่งที่ได้ "สร้างสม" มาเป็นตัวเขาในขณะนี้ เป็นเพราะการเสียสละ การทุ่มเท และความรักความเมตตาของบรรพบุรุษ ทั้งๆที่บุญคุณต่างๆเหล่านี้นั้น ไม่เหลือเป็นรูปธรรมที่คนเหล่านี้ได้รับโดยตรง "แต่" เขาก็ยังตื้นตันและให้คุณค่าอย่างสูงอยู่ดี คนเหล่านี้อาศัยอยู่ในทุกๆประเทศครับ ไม่ว่าจะพัฒนา หรือด้อยพัฒนา ไม่ว่าจะมีบริการสังคม หรือเป็นคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าสังคมที่เขาอยู่ ตรอกที่เขาอาศัย จะฟอนเฟะขนาดไหน เราสามารถหา "คนรักชาติ" แบบนี้ในทุกๆที่ พร้อมที่จะออกมาปกป้องสิ่งที่เป็น "นามธรรม" ที่เขาได้ตั้งคุณค่าไว้อย่างไม่เสียดายชีวิต
.
เคยสังเกตบ้างหรือไม่ครับ นักศึกษา เพื่อนๆ ที่เรียนมาด้วยกัน เจอระบบต่างๆเหมือนๆกัน เจอครูคนเดียวกัน แต่กลับมีความ "รู้สึก" ต่อสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกันเลย หรือแม้กระทั่งเป็นตรงกันข้าม? เช่นนั้นเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมหรือตัวปัจเจกนักศึกษา?
.
Indicator กลุ่มหนึ่งที่ผมคิดเอาเองว่าเป็น indirect measurement ของการแสดงออกซึ่งรักสถาบัน ได้แก่ การที่บุคลากรทำงานอยู่ในที่นั้นเป็นเวลานานๆทั้งๆที่สามารถจะย้ายไปที่อื่นเมื่อไรก็ได้ ที่ที่สิ่งแวดล้อม "ด้านวัตถุและความสะดวกสะบาย" ยังจะดีกว่าซะด้วยซ้ำ และที่อาจจะชัดเจนกว่าอีกนิดหนึ่งก็คือการที่ "ศิษย์เก่า" กลับมาทำงานในสถาบันที่ตนเองจบการศึกษามา ผมยอมรับว่าอาจจะมีสาเหตุอื่นประกอบในการเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว แต่ผมเอนไปทางที่จะเชื่อคำพังเพยที่ว่า "คับที่อยู่ได้ คับใจอยูยาก" และ "free birds always select their own Home" (please notice, not every house is home....Home has a powerful abstract meaning)
.
คำถามใกล้ตัว "เรามีทั้งสองประการอย่างที่ว่าหรือไม่?"
.
ผมเคยพูดมาแล้วครั้งหนึง นอกเหนือจากความรู้สึกที่คนบางคน sensitive กับประวัติความเป็นมาของสถานที่ ของสถาบัน จนสามารถ identify คุณค่าของสถาบันกับคุณค่าของตนเองอยู่ด้วยกันได้แล้วนั้น องค์ประกอบที่ simple อีกประการคือ "ความกตัญญูรู้คุณ" ความกตัญญูรู้คุณเป็นธรรมะที่สร้างความเจริญต่อตนเอง และต่อคนรอบข้าง ระบบ "พี่สอนน้อง" ของโรงเรียนแพทย์ไทยประสบความสำเร็จโดยใช้วิธีนี้มาเนิ่นนาน (จนกระทั่งสังคมเริ่มเปลี่ยน....sadly) รุ่นน้องที่ถูกรุ่นพี่สอนมา เกิดความรู้สึกว่าหนทางเดียวที่จะตอบแทนคุณ ก็คือการที่ต้องสอนน้องๆรุ่นต่อๆไป อย่างที่ตนเองเคย "โชคดี" มาก่อน การลอกเลียนแบบอาจารย์อาวุโสที่มาราวด็เช้าเย็น และต้องการ perfection ในการดูแลคนไข้ ในการดำเนินตามกรอบระเบียบและจรรยาแพทย์ ทำให้หล่อหลอมมาเป็น "บุคลิกแพทย์" ของรุ่นหลังๆ เคยรู้สึกไหมครับว่าเพื่อนเรา รุ่นพี่เรา หรือ อาจารย์เราบางท่าน หน้าตาท่าทาง "ม้อ..หมอ?" รังสีแห่งความเป็นหมอมันสามารถจับได้จริงๆครับ ตั้งแต่การแต่งตัว การพูดจา การอภิปราย ความสามารถในการ reassure ฯลฯ น่าเสียดายที่ "รังสี" ดังกล่าวได้เปลี่ยนรูปแบบไป คนรุ่นเก่า หรือคนไข้ เริ่มไม่แน่ใจ หรือแม้กระทั่งอาจจะไม่รู้จักรังสีดังกล่าวอีกต่อไป
.
ผมเองคิดว่าหากเราสามารถรู้สึกกตัญญูต่อสิ่งใดแล้ว ปัญหาที่เหลือมันไม่ยิ่งใหญ่อีกต่อไป เราสามารถอาศัยในหาดใหญ่ที่การขับรถขับราเหมือนคนบ้าไร้การศึกษาโดยก็ยังรักเมืองหาดใหญ่ เราสามารถอาศัยอยู่ในเมืองไทยที่มีนักการเมืองโสโครก คอรัปชันมากมายโดยที่เราก็ยังรักเมืองไทย มหาวิทยาลัยแห่งนี้อาจจะยังไม่สมบูรณ์นัก แต่คงขึ้นอยู่กับมุมมองของปัจเจกบุคคลแล้วละครับว่า เราสามารถที่จะหาคุณค่าร่วม และก่อเกิดความรู้สึกกตุญญูแม้กระผีกริ้นขึ้นมาในจิตใจเราได้หรือไม่
Phoenix 13:36:34 1/25/103 <172.29.3.218> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : มันขึ้นอยู่กับว่าความรักของคนๆนั้นเกิดจากอะไร ถ้ารักเพราะผูกพันธ์ ซึมซาบลึกซึ้ง ค่อยๆรัก ค่อยๆหวงแหน มันก็อยู่ได้นานแต่คงต้องใช้เวลากันบ้าง แต่สำหรับบางคน เขารักเพราะเขา "ไ้ด้" อะไรจากคณะ บางทีเขาก็คิดว่านอกจากความรู้แล้ว เขาแทบจะไม่เคยได้อะไรเลย ทั้งที่จริงๆแล้วเขา "ได้" อะไรกลับไป "มากมาย" แต่เขาไม่เคยเห็นค่า คนแบบนี้มีอยู่ทั่วไป เราจะทำอย่างไร ว่าความผูกพันธ์ ความรักสถาบัน มีค่ามากมายแค่ไหน
สาวน้อยร้อยชั่ง 15:45:25 1/25/103 <172.29.2.177> (0)

Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-04 , Time : 19:05:00 , From IP : 172.29.3.206

ความคิดเห็นที่ : 1


   Can I post here more?

Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-04 , Time : 19:11:34 , From IP : 172.29.3.206

ความคิดเห็นที่ : 2


   ทำไมจะไม่ได้ครับ

Posted by : garnet , Date : 2003-02-04 , Time : 20:41:57 , From IP : 172.29.1.115

ความคิดเห็นที่ : 3


   ความเห็น : เรื่องจะสอนให้รัก..มันคงลำบากเพราะเป็นเรื่องที่สอนหรือบังคับกันไม่ได้ แต่ถ้าจะสอนให้สำนึกและกตัญญูก็เป็นเรื่องที่น่าจะทำได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจััย .... พูดถึงเรื่องสถาบัน เริ่มแรกก่อนที่จะเข้ามาคงยังบอกไม่ได้ว่ารักเพราะยังไม่ได้เข้ามาเป็นส่วนร่วม เพียงแต่บอกได้ว่ารู้สึกอย่างไร ดีมากน้อยแค่ไหน
.
ครั้งหนึ่งเมื่อไม่กี่ปี.... อยากมาเรียนที่นี่มาก ใครห้ามก็ไม่ฟัง..เนื่องจากว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้อยู่ทางภาคใต้และช่วงนั้นข่าวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่แบบว่าอยากเีรียนรู้ประเทศไทยมากก... ภาคอื่นก็ไปสัมผัสมาบ้างแล้วแม้ไม่ลึกซึ้งมากแต่พอได้เรียนรู้ แต่แถบทางใต้นั้น..ไม่ค่อยรู้จักเลย และการนำเสนอภาพจากสื่อที่รู้สึก คือ เหมือนหลากวัฒนธรรมที่ต่างกัน มีหมู่บ้านชาวเล ออกทะเล มีสวนยางพารา มีหนังตะลุง มี...ความต่างทางศาสนา และมีคนบางกลุ่มต้องการแบ่งแยกดินแดน.... เป็นความสงสัยว่าทำไม... มันมีอะไรเหรอ... เกิดอะไรขึ้นนะ แล้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีบทบาทอะไรบ้าง และเยาวชนที่นี่คิดกันอย่างไร
.
แล้วก็เลือกมาเรียนที่นี่ ด้วยความรู็สึกที่ดี ที่ภูมิใจมาก อยากเรียนรู้มากก... ช่วงแรกยังสนุกอยู่.แต่เริ่มมีงงๆบ้างกับบางเรื่อง ซึ่งมักให้เหตุผลตัวเองว่า "ก็อยากเรียนรู้ไม่ใช่เหรอ รับให้ได้สิ เปิดใจให้กว้้าง" ..ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ อยู่ๆเริ่มได้ยินบางคนบ่นว่า.. ไม่น่าเลือกเรียนที่นี่เลย คะแนนก็ถึงที่อื่น...ไม่น่ากลัวพลาดเลย พอได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ... แปลกใจจริงๆอ่ะ เพราะโดยความคิดแล้วไม่เคยคิดว่าสถาบันจะมากำหนดคุณค่าของคนได้ มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะสร้างคุณค่าของตนเองขึ้นมาได้อย่างไร และที่อึ้งและงงหนักเข้าไปอีก..เมื่อมีเพื่อนมาพูดว่า..ทำไมถึงเลือกมาเรียนที่นี่ล่ะ เพราะคะแนนไม่ถึงที่อื่นใช่มั้ยล่ะ ! โอ้+ พระเจ้า! นี่เพื่อนเราเหรอเนี่ย.... นั่นก็ช่างมัน ไม่เป็นไรจ้า...เพื่อนเอ๋ย แต่เรื่องต่างๆเหล่านี้ ก็ไม่ทำให้ความรู้สึกที่ดีต่อที่นี่มันจะลดลง..เนื่องจากคิดว่ามันเป็นเรื่องความคิดเห็นส่วนบุคคลอ่ะนะ
.
แต่พออยู่นานไป..เจ้าความอยากเรียนรู้และภูมิใจอันล้นพ้นก็เริ่มลดลงทีละน้อยๆ แบบบางครั้งก็รู้ตัวและบางครั้งก็ไม่รู้ตัวเช่นกัน ?!?!!
อ้อ...ลืมบอกไปว่าเคยเรียนมหาวิทยาลัยที่อื่นมาก่อน... ซึ่งเป็นที่ๆรู้สึกว่าพลังของผู้ที่ศึกษาอยู่ค่อนข้างเข้มแข็ง ความคิดเสรี(แต่ผ่านสภาอาจารย์อะป่าว...อีกเรื่องอะนะ :) ) กิจกรรมเยอะ ....
.
แต่มาที่นี่...อืม..รู้สึกว่า อะไรนี่..ทำไมมันต่างคนต่างอยู่จัง...หาของแปลก.. ไอเดียแปลก..บ้ากิจกรรม..แทบไม่เจอ..
ไม่ค่อยเห็นการเคลื่อนไหวของนักศึกษา เวลามีกฎอะไรที่ไม่พอใจ ก็บ่นกันใหญ่เลย ... แต่ไม่มีใครทำอะไร..เลย... เวลาเขาออกกฏดีๆมาแต่ทำให้ต้องลำบากมากขึ้น..ทำมักง่ายเหมือนเดิมไม่ได้..ก็บ่นกันใหญ่...เช่น..เรื่องใส่หมวกกันน็อก .. และการจราจรทึ่บ้าคลั่ง...เดาใจยากน่าดู (นี่เรายังอยู่ที่ภาพรวมของมอ.นะจ๊ะ ยังไม่ได้พาดพิงถึงเรื่องในคณะ)
เคยคุยกับพวกที่ทำงานในองค์กรนักศึกษาบางคน...คุยแล้ว..คุยหลายคน...ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า...จึงรู้สึกว่า...บางคนเข้าไปทำเพื่ออยากมีสิทธิ์อยู่หอพักในมากกว่า
เคยเสนอเรื่องบางอย่าง เช่น บอร์ดแสดงความคิดเห็นที่เปิดเผยให้นักศึกษามาแสดงความคิดเห็นบ้่าง... ไม่ใช่แอบๆบ่นกันไป ... อืม..แต่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนั้นเลยอ่ะ
.


Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-04 , Time : 22:18:33 , From IP : 172.29.3.206

ความคิดเห็นที่ : 4


   Um...very short indeed.

Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-04 , Time : 22:20:41 , From IP : 172.29.3.206

ความคิดเห็นที่ : 5


   ถามว่าทำไมไม่เข้าไปทำซะเองละ... อืม..นั่นสิ... เคยคิดอ่ะนะ ... แต่เท่าที่เคยคุย.. รู้สึกว่ามัีนไม่ work ประกอบกัับเรื่องเรียนซึ่งเราไม่ตรงกับคณะอื่น .... เลยได้แต่ปลง ...แล้วก็เลยซึ่งกลายเป็นคนหนึ่งที่ถูกกลืนไปกับระบบ... ปล่อยไปเรื่อยๆช่างมัน (รู้สึกแย่จริงๆ ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้นะ)
... จบประเด็นไปสำหรับเรื่องพลังนักศึกษาที่หาไม่ได้นักในที่นี้...ซึ่งพยายามหาเหตุผลถูๆไปว่า อาจเพราะมีวิทยาเขตมากไปมั้ง...เลยหาพลังไม่ค่อยเจอ...เหอ เหอ เหอ...


Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-04 , Time : 22:24:59 , From IP : 172.29.3.206

ความคิดเห็นที่ : 6


   คุณ Garnet ครับ ที่ที่มีให้นี่จำกัดเอามากๆเลยครับ แค่ไม่กี่บรรทัดก็รับไม่ได้แล้ว??? เป็นเพราะการแบ่งห้องรึเปล่าครับทำให้ space มันจำกัดแบบนี้? ขอให้ช่วยแก้ไขด้วยครับ บทความด้านบนขนาดผมตัดเป็น ๕-๖ ย่อหน้าบางย่อหน้ายังไม่ยอมรับเลย

Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-04 , Time : 22:29:05 , From IP : 172.29.3.206

ความคิดเห็นที่ : 7


   เจอแล้วครับ design input box ไว้ 15 บรรทัดครับ
ตอนนี้แ้ก้เป็น 35 บรรทัดแล้วครับ


Posted by : garnet , Date : 2003-02-04 , Time : 22:37:06 , From IP : 172.29.1.115

ความคิดเห็นที่ : 8


   ผมว่าความรักเป็นเรื่องของความผูกพันธ์ ถ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คนเราก็รักกัน ถ้าความสัมพันธ์ต่อกันไม่ดี คนเราก็เกลียดกัน
ใครว่าความรักเป็นการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน กำลังใจที่จะรักใครจะยังอยู่ก็ต่อเมื่อได้รับความรักตอบแทนกลับ คุณว่าจริงไหม?
ถ้าเราทำสิ่งใดเพื่อสถาบันแล้ว ได้รับความรักตอบแทน ไม่ว่าโดยการชมเชย โดยการช่วยสนับสนุนหรือสิ่งอื่นใด เราก็มีกำลังใจที่จะมอบความรักให้ต่อไปอีก อาจจะมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้าเรารักเพียงข้างเดียว ไม่นานรักนั้นก็ต้องร้างราเมื่อหมดกำลังใจที่จะรัก
ขอมอบความรักแด่คนทั้งโลก....^_^....


Posted by : Jedi Master , Date : 2003-02-05 , Time : 22:20:42 , From IP : 203.154.28.238

ความคิดเห็นที่ : 9


   สำหรับตัวเรา เพิ่งจะได้ค้นพบว่าจริง ๆแล้วสถาบันแห่งนี้มีอะไรให้เราได้ทำมากมาย มีสิ่งดี ๆ มากมายให้เราได้เรียนรู้ แต่มันขึ้นอยู่กับตัวเรามากกว่า ว่าเราเคยคิดที่จะมองออกไปรึเปล่า สนใจที่จะเข้าไปให้ถึงรึเปล่า ซึ่งที่ผ่านมาเราก็เหมือนหลาย ๆคนที่ไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากงานในคณะ นอกจากการเรียน ไม่เคยอยากจะเข้าร่วมอะไรเลยที่เข้าไปด้วยความสมัครใจไม่ใช่การบังคับ แล้วเมื่อถึงวันนึง จึงได้รู้ว่านอกจากคณะเราแล้ว มหาลัยมีสิ่งดี ๆ ที่แท้จริง ที่เราจะได้ค้นพบถ้าหากเราไม่มัวแต่สนใจในเรื่องของตนเอง ไม่คิดที่จะรับจากสังคมฝ่ายเดียวแต่จะต้องตอบแทนสังคมด้วย และที่สำคัญการลองครั้งนี้มันก็ทำให้ความภาคภูมิใจในสถาบันกลับคืนมาเหมือนเช่นตอนที่เราเข้ามาที่นี่ใหม่ ๆ โดยไม่มีข้อข้องใจอีกเลยว่าทำไมเราจึงมาเรียนที่นี่ เพราะเราได้รู้แล้วว่าที่นี่มีดีมากกว่าที่เราคิด อยากให้ทุกคนลองก้าวออกไปให้พ้นจากคณะบ้างเถอะแล้วคุณจะภูมิใจในสิ่งที่คุณจะได้รับ

Posted by : ใครคนหนึ่ง , Date : 2003-02-05 , Time : 23:16:34 , From IP : 192.168.98.6

ความคิดเห็นที่ : 10


   test

Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 00:25:31 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 11


   คุณ Jedi Master

Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 00:27:03 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 12


   คุณ Garnet ครับ ผมไม่สามารถตอบกระทู้ที่ยาวกว่าหนึ่งบรรทัดได้อีกแล้ว แปลกจริงๆ

Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 00:30:02 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 13


   test
test
test
etst
test
test
test
test
test
test


Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 00:32:06 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 14


   test
test


Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 00:34:22 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 15


   "The greatest thing

Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 00:35:30 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 16


   we' ever leanr is to love and be loved in return"

Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 00:35:57 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 17


   Bohemian

Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 00:37:28 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 18


   Bohemian Bohemian

Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 00:38:11 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 19


   tes test

Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 00:40:25 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 20


   คุณ Garnet ครับผมคิดว่าผมทราบปัญหาแล้ว เมื่อไรก็ตามที่ผมพิพม์เครื่องหมายภาษาอังกฤษตัวหนี่ง คือตัวที่เป็นคล้ายๆเครื่องหมาย quotation แต่มีขีดเดียว ทั้งกระทู้จะไม่รับครับ ลองดูนะครับ อยู่ที่ keyboard อันเดียวกับ ง งู แต่พิพม์ในภาษาอังกฤษ

Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 00:44:56 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 21


   คุณ Jedi Master
"The greatest thing we ll ever learn is to love and be loved in return" The Bohemian s philosophy.......quoted from Moulin Rouge

มีหลายนิยามเหลือเกินครับ เรื่องเกี่ยวกับความรักเนี่ย ตอนนี้เราพูดถึงเรื่องรักสถาบัน ถ้าคำถามเป็นว่าเราอยากจะให้สถาบันรักเรานั้นจะเป็นเช่นไร..... จริงๆแล้งโดยความเห็นส่วนตัวของผม ความรักสถาบันที่ยั่งยืนได้นั้น ส่วนใหญ่ไม่ใช้เพราะ "เราให้" แล้วสถาบัน "สนอง" นะครับ เหมือนกับรักชาติ รักจังหวัด รักมนุษย์ชาติ เรามักจะรู้สึกว่า "เราถูกรัก" ก่อน แล้วจึงเกิดแรงบันดาลใจรักและผูกพันตอบ


ปัญหาที่ว่าสถาบันเรา (มอ.ออ.) ดูเหมือนจะถูกรักน้อย จนกระทั่งมีนักเรียนรำพึงรำพันว่าเราสอนกันแต่วิชาการ ไม่มีการสอนให้รักสถาบันกันเลย (ย้อนกลับปอ่านในกระดานเก่านะครับ) อาจจะเป็นอย่างที่คุณ Jedi Master ว่าก็เป็นได้ นั่นคือมีพวกเราส่วนหนึ่งยังไม่มีความรู้สึกว่า "ถูกรัก" หรือ "ถูกเอ็นดู" จากสถาบัน และกำลังคอยว่าเมื่อไหร่จะมาสักทีจะได้รักตอบ ผมก็คงอยากจะตอบว่าอีกนานล่ะครับ หรือจนกว่าจะมีการทบทวนกันใหม่เองว่าที่เราได้มาอยู่ตรงนี้ เล่น Internet ของคณะแพทย์โต้ตอบปุจฉาวิสัชนากัน สถาบันมีส่วนมากน้อยเพียงใด ถึงแม้ว่าสถาบันไม่มีจิตใจเป็นของตนเองก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าในสถานที่ฝึกอบรมทุกๆที่ หรือโรงเรียน วิญญานของสถาบันนั้นอยู่ที่บุคคล ไม่ได้อยู่ที่ชื่อ หรือป้าย หรือกฏระเบียบต่างๆ บุคคลที่มีบทบาทมากของโรงเรียนก็เห็นจะเป็นครูบาอาจารย์ล่ะครับ แม้แต่ในห้องเรียนกลุ่มใหญ่แบบตะก่อน นักเรียนบางคนก็อาจจะ detect ได้ถึง effort ที่ครูอาจารย์แต่ละท่านมาเลือกอาชีพนี้ ที่ความสำเร็จโดยนิยามของอาชีพ (หรือความล้มเหลว) ที่สุดแล้ววัดกันตรงความสำเร็จของนักเรียน


Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 00:46:56 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 22


   ฮ่าๆ สำเร็จครับคุณ garnet สรุปแล้วตัวปัหาอยู่ที่ เครื่องหมาย quotation ขีดเดียวตรง ง งู จริงๆ ผมลองตัดดูออกจากกระทู้ แล้วลอง post ดู ไม่มีปัญหาแล้วครับ แต่อยากขอร้องให้แก้ไขด้วยนะครับ

Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 00:49:17 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 23


   ความเห็น : ผมยังมีอีกสองประเด็นๆใหญ่ๆที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นรากฐานของความภูมิใจและความรัก (สถาบัน และ อื่นๆอีกมากมาย)
.
ประการแรก "ความรู้สึกคุณค่าของตนเอง"==
==========================
น่าประหลาดใจหากผมจะบอกว่าเราๆไม่ค่อยได้สำรวจคุณค่าของตนเองบ่อยเท่าที่เราคิดหรอกนะครับ สังเกตได้จาก self-value crisis เวลาใครมากระทบกระทั่ง และกลยุทธในการ cope มันจะค่อนข้างสับสน เบี่ยงเบน ถดถอย หรือ ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง การสำรวจคุณค่าของตัวเรา มีประโยชน์หลายอย่างครับ ตัวเราเป็นบุคคลที่เราควรจะรู้จักดีที่สุด จุดอ่อน และจุดแข็ง รัก เกลียด ฯลฯ การรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้โดยปราศจากอคติจะนำไปสู่ความคิดต้องการจะแก้ไขสิ่งบกพร่อง และความต้องการจะเดินไปในทางที่เราเข้มแข็งอยู่แล้ว การมองตัวเราเองจากมุมมองของบุคคลที่สามทำให้เราสามารถมองเห็น "เรา" อย่างที่คนอื่นเขามอง เป็นการฝึกหัด "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" ซึ่งขั้นต่อไปก็คือ ความสามารถในการพิจารณาเรื่องราวโดยใช้หลักฐานที่เป็นกลาง หรือข้อเท็จจริงจากหลายๆด้านมากขึ้น แทนที่จะมาจาก Id ของตัวเราเพียงโสตเดียว การที่เรารู้คุณค่าของตัวเรานั้น ปกติเราจะได้ identify บุคคล สถานที่ และสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดคุณค่านั้นๆ ในเวลาเดียวกัน สิ่งที่ตามมากคือ ความสามารถในการชื่นชมคุณค่า "ของบุคคลรอบข้าง" และในที่สุดรวมทั้ง "ของสถาบัน" ถ้าเรารู้สึกคุณค่าของสิ่งใดแล้ว ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดีต่างๆอีกมากมาย
.
ประการที่สอง "ความเป็นส่วนหนึ่งกับสังคม"==
===========================
Tribalism "ความเป็นเผ่า" ความรู้สึกมี identifcation ร่วม เป็นหนึ่งในสัณชาตญานของสัตว์สังคมซึ่งมนุษย์เป็นหนึ่งในปรรดานั้น ปัญหาในขณะนี้ก็คือ ค่านิยมในการเป็น "rebellion" ด้วยเหตุผลทาง socio-psychology ที่ beyond ความเข้าใจของผม กลุ่มเกลียด "Hatred Group" กำลังเป็น fashion ที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น KKK ในอเมริกาได้รับการชุบตัวใหม่ เหมือนกันกับกลุ่ม skinhead racist groups (White Supermacist, etc) ที่กำลังระบาดในไทยขณะนี้คือ ค่านิยมในการ attack สถาบันหลายอย่างที่แต่ก่อนไม่เคยถูกแตะต้อง เช่น แพทย์ ครู พระ ผมอยากจะโทษทฤษฎี liberitarian แต่คิดว่าเอาแค่กลุ่ม liberal leftist น่าจะเป็นตัวการ การแสดงออกซึ่งความเห็นส่วนบุคคลที่เคยถูกพิจารณาว่าไม่สมควรหรือต่อต้านโดยสังคม ได้มีการยอมรับมากขึ้นควบคู่กับการที่มีเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ การที่ Hatred group ถูกยอมรับมากขึ้น เป็นการเปิดโพรงที่ anti-social สามารถหากลุ่มที่ตนเอง identify ด้วยได้ ผมเป็น conservative ที่ยังคงคิดว่า สถาบันหลัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และ สถาบันการศึกษา ยังคงเป็น ROOT ที่สำคัญที่สุดที่ประชาชนหากได้มีการเคารพนับถือคุณค่าแล้วจะเป็นรากฐานที่มั่นคงที่สุด ถ้าเมื่อไรก็ตาม ความสัมพันธ์ครูนักเรียนล้มเหลว การศึกษาในประเทศเราจะสั่นคลอน และผลที่ตามมาจะ devastating ใครจะอยากมาเป็นครู ถ้าถูกนักเรียนมีความคิดว่าครูเป็นแค่ mercenary idiots arrogant selfish สารพัดสารพันชื่อที่ถูกกล่าวถึง "โดยนักเรียนบังเกิดเกล้า" ในปัจจุบัน มีคนพูดถึงการเพิ่มเงินเดือนครูบาอาจารญ์ เพื่อดึงดูดผู้มีคุณภาพ ผมว่าอาชีพไหนก็ตามถ้าสูญเสียคุณค่าทางอุดมคติแล้ว มันจะเกิดยากครับ หากน้องๆนักศึกษาทั้งหลาย ต้องการบางสิ่งบางอย่างที่มีความหมายติดตัวน้องไป พี่ก็ขอให้น้องมีเจตคติในการที่จะช่วยเหลือผู้ป่วย และสอนหมอรุ่นหลังๆทั้งความรู้และเปนตัวอย่างว่าความกตัญญูรู้คุณนั้น ยังเป็นรากฐานของสถาบันการศึกษาที่ unique ของประเทศเราอยู่


Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 22:03:34 , From IP : 172.29.3.216

ความคิดเห็นที่ : 24


   ความเห็น : สงสัยครับว่า มนุษย์เป็น "สัตว์สังคม" จริงหรือเปล่า เคยได้ยินมาว่า มนุษย์ไม่ใช่สัตว์สังคม แต่มนุษย์กลัวการอยู่คนเดียว จึงต้องมารวมกันอยู่เป็นสังคม เพื่อความอยู่รอด สัตว์สังคมที่แท้จริงต้องมีการแบ่งบทบาทและหน้าที่ของตัวเองอย่างชัดเจน เพื่อเป็นกลไกให้วงล้อของสังคมหมุนต่อไปได้ เหมือนผึ้งที่มีการแบ่งชนิด หน้าที่ และมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง มนุษย์พยายามจะเป็นสัตว์สังคมเท่านั้น แต่เป็นได้มากน้อยแค่ใหนไม่รู้
Dhan 00:37:02 1/26/103 <172.29.3.208> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : ขึ้นอยู่กับ definition ของ "สัตว์สังคม" แล้วล่ะครับ คุณ Dhan สัตว์ที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบ "Colony" เข่น ผึ้ง ปลวก มด ฯลฯ นั้น ผมคิดว่าเป็น extreme end ของพฤติกรรมการอยู่ร่วมแบบสังคม ในความคิดของผม (ที่ไม่ได้เรียนมาทางสังคมวิทยาโดยตรง) สัตว์ที่มี tendency โดย instinct ที่อยู่เป็น family เป็นเผ่า เป็นกลุ่ม เช่น สิงโด หมาป่า นกหลายๆพันธุ์ รวมทั้งมนุษย์ ผมเรียกรวมเป็นสัตว์สังคม ส่วนพวกที่ไม่ใช่นั้นได้แก่สัตว์ที่ขาด instinct ในการรับผิดชอบดูแลลูกเอง ได้แก่ ปลา งู กบเขียด น่าสังเกตว่า mammals นั้น more or less มี instinct ที่ว่านีเอยู่เพียงแต่จะสั้น จะยาวเท่านั้นเอง ผมว่ามันเป็นวิวัฒนาการการเสริมความแข็งแรงและอยู่รอดของ specie นะครับ พวกที่ขาดความเป็น social ก็จะ compensate ด้วยวิธีต่างๆ เช่น มีลูกจำนวนมากๆ เป็นร้อยๆตัวแทน เช่น งู ปลา เป็นต้น
.
ที่คุณ Dhan กล่าวว่ามนุษย์กลัวการอยู่คนเดียวนี่แหละครับที่ผมพูดถึง (แต่ไม่ตรงทีเดียวนัก) สัตว์ทุก specie ต้องมี instinct ในการสืบพันธุ์ แต่เฉพาะสัตว์สังคมที่จะมีพฤติกรรมดูแลลูกอ่อน การอยู่เป็นเผ่า เป็นกลุ่ม เป็นประเทศ และทราบว่าการอยู่ร่วมกันนั้นเสริมความแข็งแรง และการันตี existence ของตนเอง ความรักชาติ รักสถาบัน เป็นผลพลอยได้จาก motivation อันนี้ได้ด้วย แต่ดังที่ผมกล่าวไว้แล้ว เดี๋ยวนี้ anti-social เขากมีกลุ่ม anti-social ที่จะ identify ร่วมได้ เป็นวิวัฒนาการซึ่งมนุษย์ถูก equipped ไว้อย่าง flexible มาก มนุษย์บางคนจึงสามารถ "ตัดกิเลส" ออกไปเป็นนักบวช ไม่มีลูกเมีย ไม่สืบพันธ์ ซึ่งปกติแล้วน่าจะเป็นการ against natural drive อย่างมาก ความรู้สึกพึงพอใจ หรือ sexual appeal เมื่อเห็นเพศตรงข้ามที่สวยงามนี้เป็น instinct นะครับ แต่ถูกปรุงแต่งโดยปัจจัยภายนอกเยอะเหมือนกัน เมื่อถูกปรุงแต่งเยอะมากๆเข้า ที่สุดแล้วบางคนก็สามารถหา substitute ได้อย่างสมบูรณ์
Phoenix 04:17:55 1/26/103 <172.29.3.221> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : ความรักสถาบัน สอนให้รักสถาบัน ผมว่าสอนได้ ให้คนส่วนใหญ่รับไปได้ แต่แน่นอนคงจะไม่ได้ทั้งหมด 100% ส่วนวิธีจะทำอย่างไรนั้น ผมคิดว่าในสถานการณ์ที่สถาบันเราตกในสถานการณ์ที่บีบคั้นสถาณการณ์ที่ต้องช่วยเหลือกัน สถานการณ์ที่ต้องแข่งขัน โดยสู่กันในภาพของสถาบัน และพวกเราช่วยกันขับเคลื่อนมัน ตัวแทนสถาบันในระดับสูงกับระดับล่างควรไปด้วยกันในการขับเคลื่อนตามวัตถุประสงค์ ต่างคนต่างรู้จุดมุ่งหมายของแต่ละคน และทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด...ดังนั้นกิจกรรมของนักศึกษาเป็ฯสิ่งที่จำเป็ฯมากในการปลูกฝังให้รักสถาบัน น่าเสียดายที่ มอ.อยู่ในสงขลา หากเราอยู่ใน กทม.ที่มีหลายมหาวิทยาลัย มีการสร้าง image ของสถาบันตัวเองขึ้น มีการแข่งขันกันผมว่านั่นทำให้การสร้างความรักสถาบันเกิดขึ้นอย่างง่ายๆครับ ในส่วนของคณะแพทย์ผมคิดว่ากิจกรรมของเราอ่อนแอมาก เราทุ่มในกิจกรรมที่ฟุ่มเฟือยมากมาย แทนที่กิจกรรมเชิงสังคม การรณรงค์ เรียกร้อง ก่อม็อบ(เล็กๆ) เพราะเราถูกปิดกั้นเรื่องพวกนี้แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ เช่น หอพัก นักศึกษาไม่กล้ารวมกลุ่มเรียกร้อง....อาจเป็นเพราะอาจารย์ฝ่ายนี้เป็นที่เกรงใจของนักศึกษาก็ได้ นั่นคือข้อดีที่เราไม่ค่อยมีปัญหาที่เกิดจาก นศพ. แต่ทางกลับกับนี่แหละที่ทำให้นักศึกษารวมกลุ่มไม่ได้ ไม่มีพลังต่อรองใดๆ ไม่มีความรู้สึกว่าเราต้องรวมกัน เราคือพวกเดียวกัน ... สถาบัน คืออะไร สิ่งที่อุปโลกมาบังคับ ออกเกณฑ์... แล้วจะรักสถาบันไปทำไม... ในเมอื่เราไม่มีส่วนร่วมในสถาบันเลย
ผะตี้ 13:51:02 1/26/103 <172.29.2.136> (0)


Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 22:04:15 , From IP : 172.29.3.216

ความคิดเห็นที่ : 25


   ความเห็น : คุณผะตี้ได้ยกหลายประเด็นที่น่าสนใจเพิ่มเติมนะครับ ผมอยากจะขอให้ช่วยขยายความในหลายๆหัวข้อที่เสนอมา จะได้เข้าใจมากขึ้น
.
๑) สถานที่:== ทำไมสถาบันในกรุงเทพฯสามารถสร้าง image การแข่งขันได้แต่ มอ.ออ. สร้างไม่ได้?
.
๒) กิจกรรมที่อ่อนแอ:== คุณผะตี้คิดว่าสถาบันในกรุงเทพมีกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์มาก และสถาบันในกรุงเทพฯเป็นสถาบันที่จัดกิจกรรมที่ไม่ฟุ่มเฟือย ช่วยกรุณายกตัวอย่างที่เราอาจจะนำมาใช้กับของเราด้วยได้ไหมครับ?
.
๓) ช่วยกรุณาขยายความที่ว่ากิจกรรมที่เข้มแข็งในสายตาของคุณผะตี้ที่กล่าวมา เช่น การรณรงค์ การเรียกร้อง การก่อม็อบ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมความรักสถาบันอย่างไร?
.
๔) "อะไร" ที่ทำในกศึกษาของเรา "ไม่กล้า" เรียกร้อง? ช่วยใคราะห์เพิ่มเติมสักหน่อยนะครับ ถ้าให้สมบูรณือาจจะวิเคราะห์ด้วยว่า มีสาเหตุอื่นหรือไม่ที่สามารถอธิบายการที่นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่รณรงค์ ไม่เรียกร้อง ไม่ก่อมอบได้หรือไม่ นอกเหนือจากการ "ไม่กล้า" ที่คุณผะตี้สรุปมาให้ฟัง จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เขาวุ่นวายกับสิ่งอื่นที่เขาเห็นว่าสำคัญกว่า เช่น การเรียนหนังสือ
.
๕) "ส่วนใหญ่" ของนักศึกษามอ.ออ. มีความรู้สึกไม่รักสถาบันเลยจริงหรือไม่? หรือหากมีบางส่วนรักและอยากจะปกป้องสถาบันแห่งนี้นั้น เป็นเพราะอะไร? พวกที่รักสถาบันแห่งนี้ทั้งๆที่ไม่ได้มีโอกาสมีกิจกรรมที่เข้มแข็ง เช่นไม่ได้ก่อม็อบ ไมได้รณรงค์ ไม่ได้เรียกร้องอะไรระหว่างที่เรียนหนังสืออยู่ มีความผิดปกติทางจิตใจ หรือความคิด อย่างไรจึงได้ "แหกคอก" จากพวกปกติที่ควรจะไม่รักสถาบัน? ทำอย่างไรควรจะแก้ไขหรือรักษาพวกที่ผิดปกติเหล่านี้?
.
ทั้งหมดนี้ถ้าหากคุณผะตี้จะช่วยกรุณาขยายความเพิ่มเติมให้พวกเราฟัง เราจะได้ข้อคิดอีกเยอะเลยนะครับ ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
Phoenix 14:28:17 1/26/103 <172.29.3.207> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : สอนได้แน่นอนครับ!!!
.
ส่วนวิธีการสอน หลักการ กระบวนการ ผมว่าเราน่าจะไปดูว่า ธุรกิจ amway, noni เค้าทำยังไงกัน
000 15:02:48 1/26/103 <192.168.98.6> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : ในฐานะที่คุณ ooo เข้าใจในหลักการ และผลที่จะได้ ของบริษัท Amway และ Noni คุณ ooo คิดว่าจะมีประโยชน์ต่อพวกเราไหมครับถ้าหากคุณ ooo จะถ่ายทอดความรู้ดังกล่าวแก่พวกเราในที่นี้ ไหนๆคุณ ooo ก็ค่อนข้างมั่นใจแล้ว?
Phoenix 15:11:32 1/26/103 <172.29.3.207> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : อย่างนึงที่ธุรกิจทั้งสองมีคือ คนในธุรกิจทั้งสอง มีความเชื่อในสิ่งเดียวกันครับ เชื่อว่าธุรกิจนี้ดี เชื่อว่าธุรกิจนี้มีอนาคต

000 14:02:49 1/27/103 <172.29.2.92> (0)


Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 22:04:51 , From IP : 172.29.3.216

ความคิดเห็นที่ : 26


   ความเห็น : แล้วคุณ 000 คิดว่า "ธุรกิจ" เป็นแพทย์นี้ดีและมีอนาคตไหมครับ?
Phoenix 17:54:43 1/27/103 <172.29.3.160> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : เรื่องความรักฝนสถาบันนั้นเป็นสิ่งที่ดีครับ ถ้าใช้ในทางที่ถูกต้อง ผมเป็นคนหนึ่งที่ผ่านสถาบันการศึกษาที่มีการปลูกฝังถึงการรักในสถาบันของตนเองมาพอสมควรโดยเฉพาะในเวลาที่เรียนระดับมัธยมศึกษา ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆแล้วมันเป็นอย่างไรการปลูกฝังจะทำได้จริงๆหรือเปล่า มีหลายคนพยายามค้นหาคำตอบไม่เคยพบสักที่ว่าจะทำการปลูกฝังได้อย่างไร พียงแต่เมื่อรู้สึกอีกทีก็มีความรัก และผูกพันกับสถาบันมากๆๆๆแล้วจริงๆครับ อีกทั้งยังมีความภูมิใจอย่างยิ่งด้วยที่ได้อยู่ในสถาบันนั้นๆ อาจจะเป็นเพราะว่าการที่มีเอกลักษณ์เป็นของสถาบันนั้นเอง รวมไปถึงการที่มีการพัฒนาสถาบัยให้มีความก้าวหน้าและมีความพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นทำให้ผู้คนในสถาบันนั้นๆมีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งก็เป็นไปได้ครับ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าวัยเยาว์นั้นสามรถที่จะสร้างความผูกพันธ์ได้มากกว่าหรือเปล่า การที่มีความรักในสถาบันนั้นเป็นสิ่งที่สวยงามครับถ้าใช้ในทางที่ดีเนื่องจากสามารถที่จะทำให้มีการพัฒนาสถาบันนั้นให้เจริญได้อีกแน่นอนครับ เหมือนรกับที่สมัยหนึ่ง จนถุงปัจจุบันที่ญี่ปุ่นีความรักชาติสูงมากทุกอย่างทำเพื่อชาติของตนเองเป็นหลักเห็นไหมครับว่าประเทศมีการพัฒนาไปมาเพียงไร หรือมาเลเซียเองที่มีความรักในศักดิ์ศรีของชาติตนเองมากที่คิดว่าตนเองมีความสามารถสูงกว่าชาติอื่นๆในเอเชียอาคเนย์ด้วยกันถึงกับไม่ยอมก้มหัวให้ชาติตะวันตกจนสามารถแก้ปัญหาในประเทศได้อย่างดีทีเดียว
ในทางตรงกันข้ามหากให้ความรักสถาบันไปในทางที่ไม่ดี ใช้ความรักในสถาบันมาใช้ดูถูกหรือเหยีดหยามสถาบันอื่นๆ คงไม่เหมาะสมมากๆ เห็นไหมครับว่าอาชีวะตีกันเพราะอะไร เนื่องจากความรักผิดไม่ใช่หรือ ผมเห็นด้วยที่จะให้มีความรักในสถาบันของตนเอง แต่เน้นในเรื่องความภูมิใจ และพยายามที่จะมีการพัฒนาสถาบันของตนเองให้ดีขึ้นนไปจะดีกว่าแน่นอนครับ

Kangaroo 18:05:11 1/27/103 <172.29.3.113> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : อย่าไปถามเรื่องรักสถาบัน เลย คนเราหากจะรักสถาบันมันอยู่ที่ตัวเองรู้จักภูมิใจในตัวเองหรือไม่ สิ่งนี้เป็นสิ่งพื้นฐานที่มีอยู่ในใจ แต่หากไร้ซึ่งความภูมิใจในความเป็นคนที่มีศักดิ์ศรี ความเป็นศิษย์ที่มีครู การเป็นคนที่มีกตัญูญ ไหนเลยจะได้สิ่งดีๆตอบแทน แต่เพราะจิตใจที่คับแคบ จิัตใจที่ไม่เปิดกว้าง ใครสอนก็หาว่าไม่สอน แถมดูถูกผู้สอนอีก คิดว่าสอนยากมาก พระพุทธเจ้าเปรียบดอกบัว 4 เหล่า ก็คงจะมีทั้ง 4 เหล่าจริงๆ เพียงแต่ว่าจะมีอันไหนมาก นักศึกษาแพทย์มอ.อยากเป็นแบบไหนกันละ?
มาวิเภ 00:12:44 1/28/103 <203.113.76.10> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : ผมมีความเชื่ออยู่ว่าเรื่องความรักสถาบันเกี่ยวกับคุณค่าของตัวบุคคลมากที่สุด ชออนุญาตอธิบายนะครับ
.
"สถาบัน" หากปราศจากบุคคล เป็นเพียงแค่รูปธรรมที่ไร้ความหมาย เป็นเพียงแค่ตึก โต๊ะ เก้าอี้ ที่คนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เป็นเพียงแค่หอที่มาพักมาพักผ่อน แล้วก็เลยไป เป็นเพียงแค่ห้องเรียน กระดานดำ ไวท์บอร์ด ที่เรามาพูดๆแล้วก็เดินออกไป เป็นเพียงแค่ตึกผู้ป่วยที่คนมานอน มาป่วยแล้วก็หายกลับบ้าน เป็นเพียงแคระเบียงและช่องแคบระหว่างเตียงที่หมอและนักเรียนเดินมาทำแผล เก็บเซ็ท แล้วก็กลับหอ เป็นเพียงแค่หอประชุม โรงยิม ที่มาดูคอนเสิร์ท หรือรับปริญญา เสร็จแล้วก็ไม่มีใครจำได้ เป็นเพียงแค่ลานใต้ตึกห้องสมุด พื้นว่างเปล่า ที่ใครบางคนเคยอดนอนมานั่งตัดคัทเอาท์แล้วก็กลับไปนอนโดยไม่มีความหมายแต่อย่างใด
.
"สถาบัน" ที่ผมตั้งใจจะพูดถึงไม่ใช่รูปธรรมครับ โจทย์ที่ผมตั้ง "ความรักสถาบัน..สอนได้หรือไม่" นั้น ผมไม่ได้ถามว่าทำอย่างไรเราจึงรักตึก ๑๓ ชั้น ทำอย่างไรเราจึงผูกพันกับประตูหอบินหลา หรือทำอย่างไรเราจึงมีความทรงจำในการที่ได้ใช้ลานจอดรถหน้าหอ ผมถามพวกเราว่าพวกเรา "ต้องการ" ที่จะมีความผูกพันกับอะไรบางอย่างแล้ว เราถึงเห็นสมควรที่จะทำให้มันมีค่า "อย่างไร"
.
"รักสถาบัน" จึงเป็นเรื่องส่วนตัวครับ แต่เป็นเรื่องส่วนตัวที่แปลกตรงที่ว่ายินมีคนเยอะๆมาร่วมยิ่งดี ยิ่งมีพลัง หลังๆคนเลยเข้าใจว่ารักสถาบันหมายความว่าถ้าเพื่อนเราเกลียด เราต้องไม่รักเพราะกลัวไม่เข้าพวก รักสถาบันเป็น "mindset" ของปัจเจกบุคคล เป็นการ"สร้าง" คุค่าของคนคนหนึ่งโดยคุณค่านั้นมี "ราก" ที่เราจะ "เชื่อมโยง" ตัวเรากลับไปสู่บางสิ่งบางอย่างที่หลายๆคนเคยมี มาจาก สำเร็จโดย หรือมีส่วนร่วม ความรักชาติ รักเผ่า ยังไม่ถือว่าเป็นความจริงตราบใดที่เราทำไปเพราะทำตามพ่อ แม่ พี่น้อง หรือคนร่วมเผ่า โดยปราศจากความรู้สึกร่วม ต่อเมื่อเราได้ identify "ราก" ของตัวเราว่า ณ จุดๆนี้ที่เราได้สร้างสมบุคลิกมาเป็นต้วเรามีใครบ้าง มี "อะไร" บ้าง เปนส่วนประกอบ
.
"รัก มอ.ออ." จึงไม่จำกัดอยู่ที่เด็ก มอ.ออ. หรือ เด็กใต้ หรือใครที่ต้องการคุณสมบัติพิเศษแต่อย่างใด รักสถาบันไม่จำเป็นต้องสร้าง "เงื่อนไข" ครับ ว่าชาติไทยต้องบรรลุ KPI เท่านี้ๆ คะแนนชั้นถึงจะรัก ชาติไทยต้องมี Disneyland มาเปิดครบทุกภาคภายในปี 2550 แล้วฉันจะรักชาติ ฉันใดก็ฉันนั้น รักมอ.ออ.ไม่ต้องรอกฏหอพักให้เปิดดิสโกคลับ ไม่ต้องมีกิจกรรม ก.ข.ค. ครบสำหรับทุกชั้นปี ไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านี้ "ก่อน" ที่คุณๆจะ "ลงมือรัก" อะไรเลย คุณไม่จำเป็นต้องจบแพทย์ที่นี่คุณก็สามารถมีความผูกพันกับมอ.ออ.ได้ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะลืมสถาบันเก่า ตรงกันข้ามเราไปที่ไหนในประเทศไทยๆ เรากลับจะมี "สถาบันทีเรารัก" รอการไปเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ มีหอประชุมเก่า แสตนด์เชียร์ที่เราเคยไปนั่งแหกปากตะโกน มีลานใต้ตึกที่เราเคยอดนอนตัดคัทเอาท์หรือดูหนังสือกับแฟน (เก่า) แต่สิ่งเหล่านี้จะต่างกับเมื่อตอนย่อหน้าแรกอย่างมากมาย เพราะเราเติม "ความรัก และบุคคล" ลงไปครับ
.
ความรักเองนั้นเป็นการเพิ่มคุณค่าและความหมายต่อตังเราเองอยู่แล้ว ไม่ว่าเราจะมีเป้าหมายอยู่ที่บุคคลหรือสถาบัน มีมากดีกว่ามีน้อย พวกเราอย่าได้ตั้ง "เงื่อนไขที่จะรัก" กันเลยครับ....ลงมือกันเลย
Phoenix 06:32:22 1/28/103 <172.29.3.228> (0)


Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 22:05:26 , From IP : 172.29.3.216

ความคิดเห็นที่ : 27


   ความเห็น : สอนให้คนรักสถาบันนั้นยาก สั่งก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ แต่สร้างให้เขามีความรักสถาบันด้วยการเป็นตัวอย่างที่ดี ให้ในสิ่งที่ดี โดยต้องปฏิบัติกันทุกคนในองค์กรร่วมกัน ไม่เฉพาะแต่ระดับใดระดับหนึ่ง
แมวดำ 09:28:07 1/28/103 <172.29.1.220> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : อืมมม จริงๆแล้ว ผมว่าการเป็น แพทย์ ไม่ใช่ธุรกิจหรอกครับ ดังนั้น ผมจึงคิดว่ามันยากสักหน่อยที่ ความรักสถาบัน ที่เราต้องการ ไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่เหมือนกัยธุรกิจทั่วไป
.
แต่ผมคิดว่าหากเมื่อมีความรักสถาบันที่ไม่มีผลประโยชน์เกิดขึ้นแล้ว มันจะอยู่นานกว่า ที่เกิดจากผลประโยชน์ครับ
.
คุณนกไฟคิดอย่างไรครับ
:D
000 20:50:31 1/28/103 <172.29.2.133> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : บางทีความรักสถาบัน จะมา ก็ต่อเมื่อ หลายคนได้จบ หรือได้ผ่านจากสถาบันนั้นไปนานๆแล้วก็ได้ครับ
.
แต่ละคนอาจมีช่วงเวลาที่เริ่มคิดได้ว่าพ่อแม่รักเราที่สุด และเราก็รักพ่อแม่ที่สุด ไม่พร้อมกันทุกคนก็เป็นได้ 15,20,30 อาจจะเป็นอายุที่เริ่มของความคิดที่จะรัก หรือ บางคนอาจจะเริ่ม ที่อายุ 0 ปีก็ได้นะครับ
.
;D
000 20:56:42 1/28/103 <172.29.2.133> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : คุณ 000 ครับ ถ้าความรักเกิดจาก "เงื่อนไข" มันก็จะสามารถ "ดับ" เมื่อเงื่อนไขนั้นหมดลง หรือเมื่อผู้รักเกิด desensitize และเงื่อนไขถูกตั้งให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ "กิเลส" หรือ "ความอยาก" นั้นเหมือนยาเสพติด ที่ผู้เสพรังแต่จะต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ และที่สุดเป็นทาสของเงื่อนไขตัวนั้นไปเอง
.
ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนั้นไม่หมดลงง่ายๆ เช่นความรักของแม่ที่มีต่อลูก (ทั่วๆไปนะครับ) ต่อให้ลูกเลวยังไง คนที่สอง (คนแรกคือตัวเอง) ที่พร้อมจะให้อภัยก็คือแม่เรานี่เอง ผมเชื่อว่าความรู้สึกที่ว่านี้ก็คงเกิดขึ้นในใจของทหารกล้าหลายๆคนที่ทำหน้าที่ต่อสู้เสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้อง "สิ่งที่เขาคิดว่าถูกต้อง" อาจจะเป็นนามธรรม อุดมคติ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เป็นกรณีที่ "ไม่มีเงื่อนไข" เหมือนกัน
.
เราสามารถรักสถาบันได้โดยไม่จำเป็นต้องรู้ตัวหรือประกาศออกมาดังๆ อาจจะแฝงอยู่เช่น เวลาใครพูดกันเรื่องสถาบัน เราแทบจะอดไม่ได้ที่จะตอบไปในทันทีว่าเราจบ เรา trained มาจากที่นั่นที่นี่ ทำนองกลับกันคือพอพูดกันเรื่องนี้บางคนก็อยากจะแอบอยู่หลังเสา หรือเดินหนีไป ทั้งหมดนี้เป็น choices ของตัวเราเองครับ ว่าตลอดชีวิตที่เหลือนี้ เราอยากก้าวไปหน้าแถว หรืออยากอยู่ที่หลังเสา บางคนก็มีความสุขอยู่หลังเสาได้เหมือนกันครับ นานาจิตตัง
Phoenix 21:44:09 1/28/103 <172.29.3.209> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : คุณ 000 ครับ ถ้าความรักเกิดจาก "เงื่อนไข" มันก็จะสามารถ "ดับ" เมื่อเงื่อนไขนั้นหมดลง หรือเมื่อผู้รักเกิด desensitize และเงื่อนไขถูกตั้งให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ "กิเลส" หรือ "ความอยาก" นั้นเหมือนยาเสพติด ที่ผู้เสพรังแต่จะต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ และที่สุดเป็นทาสของเงื่อนไขตัวนั้นไปเอง
.
ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนั้นไม่หมดลงง่ายๆ เช่นความรักของแม่ที่มีต่อลูก (ทั่วๆไปนะครับ) ต่อให้ลูกเลวยังไง คนที่สอง (คนแรกคือตัวเอง) ที่พร้อมจะให้อภัยก็คือแม่เรานี่เอง ผมเชื่อว่าความรู้สึกที่ว่านี้ก็คงเกิดขึ้นในใจของทหารกล้าหลายๆคนที่ทำหน้าที่ต่อสู้เสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้อง "สิ่งที่เขาคิดว่าถูกต้อง" อาจจะเป็นนามธรรม อุดมคติ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เป็นกรณีที่ "ไม่มีเงื่อนไข" เหมือนกัน
.
เราสามารถรักสถาบันได้โดยไม่จำเป็นต้องรู้ตัวหรือประกาศออกมาดังๆ อาจจะแฝงอยู่เช่น เวลาใครพูดกันเรื่องสถาบัน เราแทบจะอดไม่ได้ที่จะตอบไปในทันทีว่าเราจบ เรา trained มาจากที่นั่นที่นี่ ทำนองกลับกันคือพอพูดกันเรื่องนี้บางคนก็อยากจะแอบอยู่หลังเสา หรือเดินหนีไป ทั้งหมดนี้เป็น choices ของตัวเราเองครับ ว่าตลอดชีวิตที่เหลือนี้ เราอยากก้าวไปหน้าแถว หรืออยากอยู่ที่หลังเสา บางคนก็มีความสุขอยู่หลังเสาได้เหมือนกันครับ นานาจิตตัง
Phoenix 21:44:37 1/28/103 <172.29.3.209> (0)


Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 22:06:04 , From IP : 172.29.3.216

ความคิดเห็นที่ : 28


   ความเห็น : กะว่าจะเข้ามา post ต่อตั้งแต่ที่กระทู้ ที่ 10 แล้วแต่หาโอกาสไม่ได้สักที่ งัยสะขอจุดประเด็นนิดหนึ่งก่อนแล้วกันนะครับ เรื่องรักสถาบันน่ะผมว่าสอนได้แน่นอน ข้อนี้เดียวจะมาขยายต่อ แต่ผมเป็นห่วงเรื่องการสร้างความรักสถาบันด้วยค่านิยมผิด ๆ นี่สิครับ
.
เอาง่าย ๆ เลยน่ะครับเรื่องเด็กอาชีวะตีกันงัยล่ะครับ นี้ก็เป็นตัวอย่างของการรักสถาบันแบบสุดโต้งและผิดแนวทางโดยรุ่นพี่เป็นแกนนำในการสร้างแนวความคิดแบบนี้ ใครมาหยามมาแหย่มไม่ได้มันต้องตายกันไปข้างนึง สอนโดยชี้ให้เห็นว่าสถาบันอื่น ๆ คือศัตรูเจอเมื่อไหร่ต้องทำให้มันหงอ แล้วเอาตราสถาบันมันมาเพื่อน ๆ จึงจะยอมรับ ผมฟังเรื่องราวพวกนี้จากการทำข่าวของ ITV แล้วรู้สึคอนาจครับ ทำให้ผมรู้สึกว่านักศึกษาอาชีวะพวกนี้ก็คือ มนุษย์หินยุกแรก ๆ นี้เองเป็นยุคที่ยังใช้ Id สนองความต้องการ เท่าที่ทราบตอนนี้ใช้แนวทางให้นศ. อาชีวะมาเข้าค่ายร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยกัน จะได้มีความสามัคคีกัน แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะไปได้กี่น้ำ ก็ได้แต่หวังว่าความรู้สึกดี ๆ และค่านิยมดี ๆ ของกลุ่มบูรพาจะช่วยสร้างกระแสใหม่ ๆ ให้ นศ. พวกนี้ได้
.
แค่นี้ก่อนครับไว้จะมาต่อเรื่องวิธีการในการทำให้รู้สึกรักสถาบันอีกที่ครับ
Mercury 11:55:17 1/29/103 <172.29.1.100> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : ครับคุณMercury ผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องของความรักสถาบันที่ผิดๆเหมือนกันนะครับ
.
แต่ถ้าเป็นผมรักสถาบันนั้น จะไม่ถูกแสดงออกมาอย่างที่ เด็กอาชีวะ ที่คุณพูดถึงกัน (ในมุมมองของผมการแสดงออกของเด็กอาชีวะ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึง ความมีสติ มากกว่าการแสดงออกถึงการรักสถาบันครับ)
.
:D
000 18:38:38 1/30/103 <172.29.2.173> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : มาต่อยอดที่ Post ค้างไว้จากความคิดเห็นด้านบน จากคำถามที่ว่า ความรักสถาบันสอนกันได้มั้ย ผมตอบว่าได้ครับแต่ต้องเป็นการสอนโดยทางอ้อม นั้นคือ สอนกันด้วยคุณค่า สอนด้วยความเมตตากรุณา สอนด้วยความรัก และสอนด้วยจิตวิญญาณของความเป็น "ผู้สอน" นั้นก็คือครู (ไม่เหมือนกับคำว่าอาจารย์)
.
หลายคนอาจจะงงว่าแล้วครูเกี่ยวอะไรกันสถาบันล่ะ คำตอบก็คือครูก็คือตัวแทนของสถาบันงัยละครับ สถาบันเป็นเพียงนามธรรมที่ใช้เรียกกลุ่มคนหนึ่ง ๆ ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวสุด ๆ ก็คงเป็นสถาบันครอบครัว ใช้แทน พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลูก หลาน ฯลฯ สถาบันครอบครับเป็นตัวอย่างที่ดีของการสอนด้วยความรัก ความเมตตากรุณา การให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ลูก หลาน ทุกคนจึงรักกัน และเกิดความรู้สึกถึงความกตัญญูรู้คุณ ด้วยสายสัมพันธ์ที่มีต่อกัน เมื่อใดที่พูดถึงบ้าน ซึ่งเป็นที่อยู่ของสถาบันนี้ ทุกคนก็คิดถึงบ้านและอยากกลับบ้านกันแถบทุกคน ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะบ้านสวย หรือบ้านหลังใหญ่ แต่เพราะบ้านเป็นที่อยู่ของคนที่เรารัก เคารพและบูชา ทีอยู่ของครูคนที่หนึ่งในชีวิตเรา....
.
ที่นี่ผมก็ของโยงภาพของบ้าน มาเปรียบเทียบกันกับมหาวิทยาลัย ถ้าเราสามารถจำลองมหาวิทยาลัยให้เป็นบ้านหลังใหญ่อีกแห่ง (บรรยากาศแบบครอบครัวไทยในอดีต ที่มีลักษณะเป็นครอบครัวใหญ่) และบรรดาอาจารย์ทั้งหลายทำตัวให้เป็นดังพ่อแม่คนที่สอง เป็นครูคนที่สองของนักศึกษาตั้งใจสอนสั่ง นศ. ทุกคนด้วยความรัก ความเมตตากรุณา และให้ความรู้อย่างสุดกำลังความสามารถ ในขณะเดียวกันก็ทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ ลูก ๆ (ลูกศิษย์) มีความสามัคคีกันในหมู่คณะ ถ้าทำอย่างนี้ได้ ต่อให้ นศ. จบไปกี่รุ่น ๆ ก็จะมีแต่ความรู้สึกรัก และระลึกถึงสถาบันแห่งนี้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นหรอกครับว่า มหาวิทยาลัยจะต้องโด่งดัง แต่เราก็รักสถาบันของเราได้จากคุณค่าในตัวของสถาบันนั้น ๆ ที่ได้ ทำประโยชน์ต่อสังคมรอบข้าง และได้ปลูกฝังไว้ในความรู้สึกของนักศึกษา อันเป็นที่มาแห่งความภาคภูมิใจในอันดับถัดมา
.
ที่นี้บ้างคนก็ชอบแง่มุมในลักษณะเปรียบเทียบกับสถาบันอื่น ๆ ผมก้ออยากลองใช้ความรู้สึกในบางขณะ ลองเปรียบเทียบดูนะครับ ทำไมเมื่อนศ. ธรรมศาสตร์ ถึงภาคภูมิใจในความเป็นลูกแม่โดมนักหนา ผมว่าอันนี้มีที่มานะครับ คงต้องย้อนมองไปที่ อธิการบดีแต่ละท่านและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อ มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นนายปรีดี พนมยงค์ หรือ ดร. ป๋วย อึ้งภากรณ์ ทุกท่านล้วนมีบทบาทสำคัญต่อประเทศชาติทั้งสิ้น อีกทั้งเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญที่มีผลต่อประเทศชาติก็ล้วนมีการก่อการณ์ขึ้นที่นี้ทั้งสิ้น นี่จึงเป็นจุดรวมความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ถึงความภาคภูมิใจของคนที่นั้น นอกจากนี้ท่านอธิการบดีเหล่านั้นก็ยังปฏิบัติตัวเป็นดั่งบิดาของลูกศิษย์ทุกคนในยุคนั้น ๆ จึงไม่แปลกที่ความรู้สึกเหล่านี้ จะส่งผลต่อความรักในสถาบันต่อมาอย่างยาวนาน
.
ย้อนกลับมามอง มอ. คงต้องยอมรับว่าเราเอง อยู่ภูธร การจะไปมีเหตุการณ์แบบ 6 ตุลา 14 ตุลา แบบธรรมศาศตร์คงเป็นไปไม่ได้ รวมถึงเราไม่ได้อยู่ส่วนกลางบทบาทที่สำคัญ ๆ ต่อการเมืองเราจึงไม่ค่อยมีบทบาทเด่นชัดนัก (แม้ความเป็นจริงในอดีตนักศึกษาที่นี้ก็เคยมีส่วนร่วมในหาดใหญ่หลาย ๆ เหตุการณ์) จึงต้องขอยกข้อนี้ออกไป แต่ที่นี้ถามว่า ถ้าจะหวังให้คนอื่น ๆ มาเป็นผู้สร้างเหตุการณ์อันน่าจดจำเพื่อที่เราจะได้ภูมิใจในความเป็นลูกสงขลานครินทร์ ทำไมคุณถึงไม่ถามตัวเองกลับละครับว่าเราจะสร้างเหตุการณ์ดี ๆ เหล่านั้นเองได้หรือไม่ ทั้งนี้ผมคงต้องขอยกเอาพระราชดำรัสของพระบิดาที่ฝากไว้นั้นคือ
"Let consideration of personal gain
take second place
to the overall benefit to mankind
prestige and riches
are the natural rewards of dedication of work."
นับตั้งแต่ผมจบจาก มอ. มาผมก็ยังคงระลึกอยู่เสมอ ถึงเหตุการณ์ดี ๆ หลาย ๆ อย่างที่ผมได้เคยร่วมแรงร่วมใจกับเพื่อน ๆ หลาย ๆ คณะในการไปทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ชุมชนในที่ห่างไกล ให้กับเด็ก ๆ ที่ขาดโอกาส ได้มีรอยยิ้มบนใบหน้า ได้เห็นดวงตาที่สดใสของเขาเหล่านั้น ยังระลึกเสมอถึงอาจารย์หลาย ๆ ท่านที่ให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำอย่างจริงใจ แหละนั้นคือสิ่งเตือนผมอยู่เสมอว่า ที่นี้คือสถาบันที่ผมรัก

Mercury 16:44:52 2/01/103 <172.29.3.228> (0)


Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 22:06:41 , From IP : 172.29.3.216

ความคิดเห็นที่ : 29


   ความเห็น : ถ้าสถาบันอยากจะ "สอน" รักสถาบัน ผมมีความเห็นว่าเรื่องนี้ควรเป็น "นโยบาย" แต่ไม่ใช่ "กลยุทธ์"
.
ดังที่ได้วิสัชนามาแต่ต้น ความรักสถาบันนั้นเกิดจาก individual เห็นดีเห็นงามและผูกพันกับสถาบันนั้นๆ ผมว่าสิ่งเหล่านี้ยิ่งมีค่ามากขึ้นถ้าไม่ใช่ "artificial" ผมคิดว่าในระดับ promotion ธรรมดา เช่น การจัดแข่งกีฬา การมีเพลงเชียร์ มีเครื่องแบบ มีการจัดประกวดแข่งขันในนามของสถาบันยังเป็น valid strategy แต่หากเกินเลยกว่านี้จะเป็น artificial มากเกินไป นโยบายที่จะทำให้นักศึกษาเกิดความรักสถาบันควรมีรากฐานที่มั่นคงกว่ากลยุทธ์ต่างๆข้างต้น นั่นคือสถาบันควรจะมีสิ่งที่นักเรียนสามารถให้คุณค่าต่อตนเองได้ โดยที่สถาบันเป็นผู้ "ให้" มีสิ่งที่นักศึกษาสามารถ identify ด้วยได้ว่าดี นั่นคือการมี "คุณธรรม" เป็นตัวนำร่อง ซึ่งเป็นสิ่งสากลว่าดี ที่แม้แต่เวลาที่นักศึกษาโตขึ้น มีบุคลิกเป็นตัวของตัวเอง เป็นผู้ใหญ่ก็ยังคงสามารถและอยากจะมีความผูกพันกับสิ่งเหล่านี้อยู่ "ความดีสากล" นี้เองที่จะงอกเงยป็น "กลยุทธ์" ของสถาบัน ซึ่งจะนำไปสู่ความรักสถาบันที่ยั่งยืนตามมา
.
ที่คุณ mercury เปนกังวลเกี่ยวกับนักเรียนอาชีวะนั้นเป็นตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์นำหน้านโยบายในการก่อให้เกิด artificial รักสถาบัน การใช้ยุทธวิธีม็อบ mass historical provocation หรือแค่จิตวิทยาวัยรุ่นที่ต้องการการยอมรับจากเพื่อน จากรุ่นพี่ มาใช้ และออกแบบการยอมรับเหล่านี้มาในรูปของการทำอะไรด้วยกันเป็นฝูง ดดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม สิ่งทีได้ก้เป็นสิ่งที่เราได้เห็นกันตามหน้าหนังสือพิมพ์
.
หากสถาบันการศึกษาต้องการหากลยุทธ์ที่จะตอบสนองต่อนโยบายก่อความรักสถาบันแล้ว ผมเสนอให้ทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ของสถาบันการศึกษาให้ดีที่สุด นั่นคือ การให้การศึกษาทั้งด้านวิชาการและจริยธรรมอย่างดีที่สุด ส่วนเรื่องอื่นๆ เป็นแค่ decoration แต่งหน้าเค้ก ที่นักศึกษาแต่ละรุ่น แต่ละยุคก็จะมี preference แตกต่างกันไป ข้อสำคัญคือ อย่าใช้ artificial mode นำหน้านโยบาย มันจะไม่ยั่งยืน หากจะมีคนรักสถาบันแล้ว ผมอยากได้ "คุณภาพ" นำ ไม่ใช่ปริมาณ เอาประเภทรักเพราะเราสอนดี มีอาจารย์แพทย์ที่มีจริยธรรม ไม่ใช่เพราะโรงพยาบาลเราสวย มีตึกเยอะ เอาใจเด็กเก่ง
Phoenix 16:54:29 2/01/103 <172.29.3.202> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : คุณ mercury กับผมถ้าจะพิมพ์พร้อมกัน (เฉือนกัน ๑๐ นาที แสดงว่าผมพิมพ์ช้าน่าดู) แต่ concept ใกล้เคียงกันมากครับ :)
Phoenix 16:59:26 2/01/103 <172.29.3.202> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : ผมอยากได้ "คุณภาพ" นำ ไม่ใช่ปริมาณ เอาประเภทรักเพราะเราสอนดี มีอาจารย์แพทย์ที่มีจริยธรรม
.
ผมว่าแคนี้ก็คงทำให้นักศึกษารักสถาบันมากขึ้นอีกเป็นกองเลยครับ
000 18:36:49 2/01/103 <172.29.2.101> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : เท่าที่อ่านดู รู้สึกว่าคุณ Phoenix จะมีความคิดเห็นเช่นเดียวกับผมในเรื่องที่ว่า บุคคลมีความสำคัญต่อการทำให้ นศ. เกิดความรู้สึกรักในสถาบันมากกว่าสถานที่ ซึ่งบุคคลในที่ที่ไม่ใช่ใครอื่น ๆ หลัก ๆ ก็คงต้องเป็นบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย ผู้เปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองของเรา
.
ทำให้ผมนึกถึงคำพูดที่ว่า "ครูบาอาจารย์เปรียบดั่งพ่อพิมพ์ แม่พิมพ์ของชาติ" เพราะถ้าครูอาจารย์สามารถเป็นแบบอย่างที่ดี ที่ควรค่าแก่การเคารพรัก ยอมสร้างความรู้สึกศรัทธา ประทับใจ และรักที่จะเป็นดั่งอาจารย์ ผมว่าความรู้สึกเหล่านี้สำคัญมาก และดูจะมีบทบาทในการกำหนดกรอบความคิดของ นศ. บางส่วนต่อการออกไปประกอบอาชีพ ว่าเขาจะเป็นบุคลากรที่ดีหรือไม่อย่างไร แต่ปัจจุบันรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ดูจะลดน้อยลงไปมาก เพราะสายสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์สมัยนี้ ดูจะเหินห่างเหมือนมีช่องว่างบางอย่างเกิดขึ้น ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นอะไร เพราะปัจจัยของแต่ละคนในการทำให้รู้สึกว่าอาจารย์ท่านใดน่าจะปรึกษาพูดคุยด้วยหรือไม่นั้นแตกต่างกันออกไป
.
ผมว่าถ้าจะต่อประเด็นนี้คงจะยาว และอาจจะไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควรเพราะกระทู้นี้เริ่มอยู่หลัง ๆ แล้วทำให้น่าสนใจน้อยลง ทำไมไม่ตั้งเป็นกระทู้ใหม่ไปเลยดีกว่าละครับอาจจะใช้ชื่อเรื่องว่า อาจารย์ควรมีบทบาทอย่างไรต่อการสร้างทัศนคติที่ดีในการศึกษา หรืออื่น ๆ ที่คิดว่าเหมาะสม รบกวนคุณ Phoenix post เป็นกระทู้ Debate IX ก็ดีนะครับ (ถ้าสนใจ)
Mercury 01:40:31 2/03/103 <172.29.3.204> (0)


Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 22:07:17 , From IP : 172.29.3.216

ความคิดเห็นที่ : 30


   ความเห็น : นอนดึกเหมือนกันนะครับคุณ mercury ;)
.
เห็นด้วยว่า subject เรื่องบทบาทของครู deserve its own thread ก็เลยจัดให้ทันทีเลยนะครับ ไหนๆก็ไหนๆ ผมก็เลยตั้งเป็นหัวข้อให้วิเคราะห์บทบาทของครู in general และในด้าน abstract โดยตั้งชื่อเป็น "ใครสร้างคน ใครสร้งตน"
.
ปีที่แล้ว รัฐบาลอังกฤษอาจจะรู้สึกอย่างเดียวกันกับเราว่า relationship ของนักเรียนกับครูกำลังเป็น all-time low อยู่ในขณะนี้ เกือบทุกโรงเรียนต้องมี CCTV ติดตั้งตามมุมต่างๆ เพราะมีเหตุการณ์ที่ครูถูกนักเรียนและผู้ปกครองซ้อมทำร้ายร่างกายกันถี่มาก สืบเนื่องหลังจากที่ Policy ของ extreme liberal leftist ที่ ban corporal punishment (การเฆี่ยนตี ลงมือลงไม้ไม่ว่ารูปแบบใดของครูต่อนักเรียน) ตามด้วยการ ban การพักการเรียนของนักเรียนที่เกเร (เดิมเป็นอำนาจของ headmaster) ครูก็เลยไม่มีน้ำยาอะไรไปสู้กับนักเรียนรุ่นล่าสุดนี้ได้ Tony Blair เลยลงทุน campaign propaganda เพื่อปลุกใจ มีการออกทีวีของนักร้อง นักแสดง นักบอล (แน่นอน Beckham ด้วย) รวมทั้ง Tony Blair เอง มาเล่าว่ารู้สึกซาบซึ้งประทับใจครูคนไหนในชีวิตบ้าง ก็ล้อมคอกหลังวัวหายแหละครับ
.
ที่แน่ๆ ถ้ามี Headmaster อย่าง Albus Dumbledore มีครูอายุรกรรมอย่าง Professor Snape มีครูศัลย์อย่าง Professor Lupin มีครูเด็กอย่าง Professor McGonagall เราคงจะรักสถาบัน Hogwarts เอ๊ย มอ.ออ.นี้ขั้นมาอีกเยอะเลย
Phoenix 02:39:35 2/03/103 <172.29.3.225> (0)


Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 22:07:47 , From IP : 172.29.3.216

ความคิดเห็นที่ : 31


   ขออภัยท่านสมาชิกกระดานนะครับ ผมแค่ต้องการเก็บให้มันอยู่ด้วยกันเท่านั้นเอง

Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-06 , Time : 22:08:51 , From IP : 172.29.3.216

ความคิดเห็นที่ : 32


   ผมคิดว่าน่าจะอยู่ที่ 2 กลุ่มคือ
1. คนคงหมายถึงคนที่เข้ามาอยู่ในสถาบัน
2. สถาบัน
ผมคิดว่าความรักคงต้องเกิดจากคนที่เข้ามาอยู่ในสถาบันซึ่งอาจจะมีปัจจัยของสถาบันเช่น อาจารย์ เพื่อนร่วมงาน รวมทั้งสถานที่ ปัจจัยเหล่านี้คงจะส่งเสริมให้เรารักสถาบัน ดูเหมือนคล้ายๆเป็น Bias เลยนะครับ คงต้องเริ่มที่คนจะต้องมีความผูกพันธ์กับสถาบันรวมกับความประทับใจ จึงจะทำให้เป็นความรักสถาบันครับ
ถามว่าความรักสถาบันสอนได้หรือไม่ ผมคงตอบว่าสอนได้บางส่วนครับ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นอาจารย์หรือผู้ร่วมงานทุกคนได้แสดงให้เห็นว่าสถาบันแห่งนี้ดีเพียงใด (ช่วงนี้ผมได้ยินแต่คนตำหนิครับ ก็เลยเหมาว่าคนเริ่ไม่ชอบ) ถ้าคนในสถาบันยังทำให้ผู้ที่เข้ามาใหม่รับทราบหรือเห็นแต่ข้อบกพร่อง แล้วคนที่เข้ามาจะคิดอย่างไรครับ อีกส่วนหนึงคงเกิดจากคยที่เข้ามาในสถาบันได้ซึมซาบกับสิ่งดีๆในสถาบันแห่งนี้เองได้หรือไม่ ในส่วนตัวผมเองที่มาอยู่ที่นี้ ผมยอมรับว่ามีทั้งสองปัจจัยร่วมกันครับ ผมได้ยินคนพูดถึงสถาบันว่าไม่ดี แต่ผมคิดว่าสถาบันแห่งนี้อย่างน้อยก็สอนเรามาครับ อีกอย่างหนึ่งผมไม่คิดว่าจะมีสถาบันใดที่ไม่มีจุดบกพร่องเลย ดังนั้น สำหรับผมแล้วสถาบันแห่งนี้ยังคงดีอยู่ในภาพรวมครับ
กลับไปเรื่องเดิมที่ผมเคย discuss ไว้ว่าสิ่งหนึ่งที่อาจจัช่วยให้เกิดความรักในสถาบันได้คือความคิดแบบสร้างสรรค์ และการมองโลกในทางกว้าง น่าจะเป็นเครื่องมือที่จะทำให้คนเราคิดและวิเคราะห์ให้ถ่องแท้ดีกว่าดูเพียงแค่จุดเดียวแล้สรุปว่าดีหรือไม่ดี


Posted by : free bird , Date : 2003-02-09 , Time : 10:06:02 , From IP : 172.29.1.102

ความคิดเห็นที่ : 33


   ผมเห็นด้วยกับคุณ fress bird ในประเด็นองค์ประกอบต่างๆเหล่านั้น ยังมีอีกมุมมองหนึ่งซึ่งยังไม่มีใครพูดถึงนั่นคือ "จะเป็นการดีไม่ดีอย่างไร ถ้าเราได้ตั้งจุดมุ่งหมาย ไว้ก่อน ว่ายังไงๆเราก็จะรักสถาบันที่เราอยู่"

ตรงนี้อาจจะฟังดูแปลกๆ และเป็น "blind love" ยังไงชอบกลอยู่ แต่ก็เป็นวิธีตั้งต้น และปรับฐานความคิดอีกวิธีหนึ่ง (mind setting) เหมือนกับการตั้งวัตถุประสงค์ในการเรียน การทำงานทั่วไป "ความรักสถาบัน" บางครั้งก็เป็นสิ่งที่ตัวเราเองสามารถวาง "กลยุทธ์" ได้เช่นกัน เหตุผลก็คือหากเราจะต้องรักมันซะแล้ว (เพราะเราตั้ง objective ไว้) เราก็จะต้องมีความเพียรพยายามทำองค์ประกอบต่างๆให้อยู่ใน condition ที่ "ความรัก" ของเราสามารถ accommodate ได้ อาทิเช่น การสร้าง community ที่ทีการ caring และ responsibility การผลักดันความก้าวหน้าของสถาบันในด้านวิชาการ กีฬาและสังคม การต่อต้านสิ่งที่เป็นอุปสรรคที่อาจจะทำให้เราไม่สามารถรักสถาบันได้ ฯลฯ ต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น

ที่แล้วๆมาก็คือ ถ้าสถาบัน ไม่มี เงื่อนไขดังกล่าวก่อน เราก็จะไม่รัก และไม่พยายามทำให้มันเกิดด้วย แถมอาจจะลุกลามไปถึงกับการปลุกระดมให้ผู้อื่นเกลียดตามไปซะด้วยซ้ำ หาก รักสถาบัน ถูก set เอาไว้ในจุดมุ่งหมายของการเข้ามาเรียน เราจะเห็น ACTIVE PROCESS ในการทำให้เกิดเงื่อนไขต่างๆเหล่านี้ขึ้นมา กระบวนการสร้างเงื่อนไขนี้จะสำเร็จด้วยดี หากรวมไปถึงตัวบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการประกอบเป็นสถาบันดังที่ได้กล่าวไว้หลายต่อหลายครั้งด้วย นั่นคือ ครูบาอาจารย์ หากทุกๆคนที่เกี่ยวข้อง set mission ว่าจะรักสถาบันแห่งนี้ เราจะมีความอดทน และประนีประนอมกัน คล้องแขนแลเดินไปด้วยกันโดยมีวัตถุประสงค์ร่วม หากพวกเราเริมมีวัตถุประสงค์ ความสบาย ส่วนตัวมาเป็น priority แขนที่คล้องกันมันก็จะถูกดึงให้แตกแยกออกไป







Posted by : Phoenix , Date : 2003-02-09 , Time : 12:38:02 , From IP : 172.29.3.227

ความคิดเห็นที่ : 34


    ผมคิดว่าความรักสถาบันนั้นคงต้องเริ่มต้นที่ตัวบุคคลก่อนครับ อาจมีส่วนประกอบในแง่ของสถานที่หรือตัวอย่างที่เห็นหรือจากบุคลากรซึ่งจะเป็นตัวชักนำให้เราคิดรักหรือไม่รักสถาบันก็ได้ บางคนอาจเข้ามาแล้วเห็นแต่ส่วนที่ไม่ดีหรือบกพร่องก็ทำให้ดูว่าสถาบันไม่ดีจึงหาเหตุผลที่ไม่รักสถาบัน อย่างไรก็ตามหากผู้ที่เข้ามาอยู่ในสถาบัน (ขอยกตัวอย่าง มอ. ก็แล้วกันนะครับ) คงต้องเปิดใจกว้างยอมรับสิ่งที่เข้ามาในชิวิตทั้งในส่วนที่เราคิดเองว่าดีและไม่ดี แล้วนำมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่า โดยสรุปแล้วสถาบันแห่งนี้ดีหรือไม่ในความคิดเรา เหมาะสมที่จะรักหรือไม่ สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของความรักสถาบันมั๊งครับ ผมคิดว่าสิ่งที่ควรจะเกิดคืออาจารย์แพทย์ควรเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับนักศึกษาแพทย์ คงไม่ได้หมายความให้อาจารย์แพทย์ต้องแสดงความรักจนขนาดยอมตายหรอกครับ แต่จงทำให้เห็นว่าสถาบันเป็นอย่างไรมากกว่า การที่จะรักหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับคนแล้วครับ

Posted by : free bird , Date : 2003-02-10 , Time : 16:27:49 , From IP : 172.29.1.102

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.016 seconds. <<<<<