ความคิดเห็นทั้งหมด : 27

ขอความกรุณาคุณผู้ปกครองที่มีIP203.156.40.21 ซึ่งโพสซ้ำไปซ้ำมาเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆหยุดกระทำการด้วยครับ


   203.156.40.21

ขออธิบายด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมสักนิดนะครับ
จากข้อมูลhttp://medinfo.psu.netกดเข้าไปดูที่ประกาศทางด้านขวา

การพิจารณาคัดเลือก :
1. การคัดเลือกขั้นที่ 1 คัดเลือกผู้สมัครจำนวน 45 คน ตามลำดับคะแนนจากการสอบวัดความรู้ของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา ครั้งที่ 2/2546 และ/หรือ ครั้งที่ 1/2547
2. การคัดเลือกขั้นที่ 2
1. การทดสอบความสามารถในการเรียนรู้ในลักษณะบูรณาการ
2. การทดสอบสุขภาพร่างกายและจิตใจตามเกณฑ์ของคณะแพทยศาสตร์
3. การสัมภาษณ์

." การคัดเลือกในขั้นที่ 2 นี้ ใช้คะแนนจากการทดสอบความสามารถในการเรียนรู้และการสัมภาษณ์เป็นสำคัญ โดยที่ผู้สมัครต้องผ่านการเกณฑ์การทดสอบสุขภาพทางร่างกายและจิตใจ ทั้งนี้จะไม่พิจารณาคะแนนจากการสอบวัดความรู้ฯ ในขั้นที่ 1 อีก "



ซึ่งจากข้อมูลที่คุณผู้ปกครองให้มานั้นถือว่าลูกของคุณผู้ปกครองผ่านในเกณฑ์แรกแล้วตกในขั้นที่สองซึ่งที่จริงการคัดเลือกทางเอ็นทร้านซ์ได้จบสิ้นลงไปแล้วด้วยการวัดเอา45คนแรกซึ่งมีระดับสมองทางด้านการเอ็นทร้านซ์(ขออนุญาติใช้คำนี้เนื่องจากมีอีกหลายวิทีที่สามารถวัดระดับสมองได้)อยู่ในระดับเดียวกัน ถึงแม้จะต่างกันบ้างไม่กี่คะแนนซึ่งความแตกต่างตรงนี้ไม่สามารถวัดความฉลาดที่ต่างกันได้(แค่มั่วมากกว่ากันข้อเดียวในฟิสิกก็ต่างกัน2.5คะแนนแล้ว) จากนั้นเป็นการทดสอบขั้นที่สองซึ่งเป็นการวัดความฉลาดของสมองทางด้านบูรณาการ และในเชิงE.Q.มากกว่า ซึ่งจะไม่มีการนำเอาคะแนนเอ็นทร้านซ์มาคิด โดยผู้สัมภาษณ์เป็นอาจารย์แพทย์ทางด้านจิตวิทยา

อย่างไรก็ต้องขอแสดงความเสียใจต่อคุณผู้ปกครองด้วยที่ลูกของคุณไม่ผ่านเกณ์ที่กำหนดซึ่งเป็นเพียงตัวชี้วัดอีกตัวหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ว่าบุตรของคุณจะด้อยกว่าคนที่ติด แต่เชื่อว่าบุตรของคุณซึ่งมีความสามารถทางการเอ็นทร้านส์เป็นทุนเดิมและมีความใผ่ฝันอยู่แล้วจะสามารถร่วมอาชีพกับเราได้ในอนาคตครับ คนเราล้มแล้วลุกครับเชื่อว่าต้องก้าวไปยืนเหนือจุดเดิมได้แน่นอน

อีกอย่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เปราะบางและมีผลกระทบต่อคนหมู่มากทางด้านจิตใจและตวามมั่งคงด้านหน้าที่การงาน ขอแนะนำว่าเวลาแสดงความคิดเห็นกรุณาระวังคำพูดและยึดถือfact&informationที่อ้างอิงได้เป็นหลักด้วยครับ
จะให้ดีกรุณาแสดงตัวจริงด้วยครับ


Posted by : ปาลนันท์ ศิริวนารังสรรค์ , E-mail : (morrpoo@hotmail.com) ,
Date : 2004-05-13 , Time : 00:12:02 , From IP : 202.133.176.92


ความคิดเห็นที่ : 1


   มีเหตุมีผลดีคับ

Posted by : จิงๆ , Date : 2004-05-13 , Time : 00:20:47 , From IP : 203.172.70.98

ความคิดเห็นที่ : 2


   เห็นด้วยกะพี่เค้าคะ

Posted by : ..... , Date : 2004-05-13 , Time : 00:38:45 , From IP : 203.147.29.123

ความคิดเห็นที่ : 3


   เห็นด้วยกับพี่ๆครับ

Posted by : คนที่มีเหตุผล , Date : 2004-05-13 , Time : 07:32:42 , From IP : 203.107.212.119

ความคิดเห็นที่ : 4


   เห็นด้วยๆ
เจ๋งไปเลยปู--ปู้


Posted by : นู๋กวาง , Date : 2004-05-13 , Time : 10:27:24 , From IP : 203.150.209.231

ความคิดเห็นที่ : 5


   โว้วววว
สุดยอดๆ
เหนด้วย ที่สุดเลย
เจ๋งมาก พี่ปู้

ขอให้ท่านผู้ปกคอรง กรุณา ทำความ เข้า ใจ ใหม่ด้วย นะคะ
เรื่องนี้เปนเรื่องที่กระทบจิตใจของคนหมู่มากจริงๆ



Posted by : แวะมา พอดี ^^ , Date : 2004-05-13 , Time : 10:36:37 , From IP : 203.150.209.231

ความคิดเห็นที่ : 6


   เห็นด้วยครับ ว่าควรใช้คำพูดที่อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นความคิดเห็นของปัญญาชน ไม่ใช่ชาวบ้านตามตลาดสด

Posted by : 111 , Date : 2004-05-13 , Time : 10:41:04 , From IP : 172.29.2.80

ความคิดเห็นที่ : 7


   คุณปาลนันท์แสดงความคิดเห็นได้ดีครับ

ติงนิดนึง สำหรับคุณ 111 วลีสุดท้ายนั้นตัดทิ้งได้โดยไม่เสียความหมาย มันมีลักษณะ generalization หรือ stereotyping ของการที่คุณ disapprove ชาวบ้านตามตลาดสด ซึ่งฟังดูไม่ดีและผมคิดว่าเราไม่ควรทำหรือคิดแบบนั้น



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-13 , Time : 12:31:39 , From IP : 172.29.3.134

ความคิดเห็นที่ : 8


   ไอปู้เจ๋งว่ะ เห็นด้วยอย่างแรงอ่ะ

Posted by : nanajung , E-mail : (nanajung_med30@hotmail.com) ,
Date : 2004-05-13 , Time : 16:43:42 , From IP : 203.107.221.131


ความคิดเห็นที่ : 9


   เห็นด้วยกับลุงนกครับ....เป็นการแสดงเหตุผลที่ดี....
เออ...แต่ผมไม่เข้าใจครับ....รับสำรองเข้ามามากๆเพื่ออะไรหรือครับ.....
แล้วเด็กที่ไม่ผ่านเขาจะมีทางเลือกใดได้อีก....
ถ้าเรามองในสายตาของผู้เข้าสอบและผู้ปกครอง..เขาจะรู้สึกอย่างไร..
ผมว่าการรับข่าวร้ายเป็นสิ่งที่รับได้ยากถ้าเขายังไม่มีเป้าหมายหรือความหวังอันใหม่ ซึ่งสภาวะจิตใจของเขาและเธอเหล่านั้นคงทรมาน.. และปรับเปลี่ยนไปตาม coping mechanism และ กลไกการป้องกันตัว...
ซึงผมว่าทางที่ดีไม่ใช่การแสดงเหตุผลให้ยอมรับ.. ควรหาทางว่าจะทำอย่างไรให้เขาเหล่านั้นเข้าสู่ภาวะยอมรับและอยู่กับข่าวร้ายได้อย่างมีความสุข


Posted by : นะครับ.... , Date : 2004-05-13 , Time : 17:03:50 , From IP : 172.29.3.213

ความคิดเห็นที่ : 10


   การสอบคัดเลือก ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นการคัดเลือก การรับสำรองเข้ามาก็เพื่อให้ได้จำนวนเท่าที่ต้องการ เนื่องจากมีการสละสิทธิ์ พอควร ดังนั้นจึงควรเปิดโอกาสให้คนสำรองได้มีสิทธิ์ด้วย แทนที่จะตัดสิทธิ์
สำหรับนักศึกษากลุ่มที่เลือกมานี้ส่วนใหญ่มักจะได้ที่เรียนแล้วจากผลของการสอบเอ็นท์รวม ซึ่งอาจจะเป็นคณะเภสัช ทันตะ วิทยาศาสตร์เป็นต้น ถึงอย่างไรก็มีที่เรียนแล้ว แต่เราเปิดโอกาสให้เขามีทางเลือกเข้าแพทย์เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง หากสอบไม่ผ่านเขาก็สามารถไปรายงานตัวในวันที่ 11พค.ได้ซึ่งตามระเบียบของการสอบรวมจะให้รายงานตัวในวันที่11-12 พค.นี้
การสอบต้องมีคนได้ คนตก ต้องมีคนดีใจเสียใจ ไม่มีใครอยากทำให้เด็กเสียใจ ผมคิดว่าคนที่บอกคะแนนเด็กว่าสอบไม่ผ่านคงไม่สบายใจนัก ตรงกันข้ามกับการบอกว่าเขาสอบได้
ขอให้คิดเสียว่าเรายังสามารถเรียนในคณะอื่นได้และสามารถทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ จงภูมิใจในความสามารถของเราครับ ผมขอเป็นกำลังใจให้น้องๆประสบความสำเร็จในชีวิตการศึกษาครับ


Posted by : นน , Date : 2004-05-14 , Time : 00:43:47 , From IP : 203.146.198.245

ความคิดเห็นที่ : 11


   คุณ"นะครับ"ลองเสนอทางที่ดีที่ว่าไม่ต้องใช้เหตุผลให้พวกเราทราบหน่อยซิครับ





Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-14 , Time : 01:39:41 , From IP : 172.29.3.252

ความคิดเห็นที่ : 12


   ลุงนกครับ...ไม่มีวิธีไหนที่ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลหรอกครับ.... ผมกำลังหมายถึงการให้เหตุผลที่ทำให้คุณ" ผู้ปกครอง " ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ลุงเห็นความแตกต่างความเห็นของ ปาลนันท์ กับ นน หรือไม่ ... ผมว่าการที่จะทำให้คนที่ denine มา ยอมรับ... ไม่ใช่การให้เหตุผลว่าเพราะอะไรคุณถึงต้องยอมรับ...ผมว่าต้องบวกเพิ่มว่าคุณยังมีทางเลือกอย่างอื่นอยู่ มีเป้าหมายอย่างอื่นได้.... เพราะคนที่อยู่ในความทุกข์มักจะมองไม่เห็นความหวัง...ถึงแม้ทางเลือกของเขาจะอยู่ตรงหน้าก็ตาม.. แต่ว่าลุงนกคิดอย่างไรบ้างครับ ...

Posted by : นะครับ.... , Date : 2004-05-14 , Time : 11:04:28 , From IP : 172.29.3.213

ความคิดเห็นที่ : 13


   นายเจ๋งจิงๆเลย ปูปู้

Posted by : piglet , Date : 2004-05-14 , Time : 20:43:26 , From IP : 203.150.209.231

ความคิดเห็นที่ : 14


   ดูท่าเป็นแค่เรา classify คำว่า "เหตุผล" ต่างกันเท่านั้นเอง การที่เรามีกำลังใจจะทำอะไรต่อไปนั้นเป็นเพราะเรามีเหตุผลที่จะอยู่ต่อไป เช่น มีความหวัง มีความห่วง มี unfinished business เป็นต้น

ก่อนอื่นเราต้องพิจารณาบริบทในเรื่องนี้ให้ดี เรื่องนี้เหมือน communication skill ที่ผมกำลังสอนอยู่ใน virtual classroom ปีสอง คือบริบทของผู้ปกครอง (ไม่ทราบแน่ชัดว่ากี่ท่าน) หรือคนที่ post ในนามผู้ปกครอง (อาจจะเป็นตัวนักเรียนเองหรือคนรู้จัก) นั้นปกติหรือไม่ อาชีพเราต้องพบคนจำนวนมากซึ่งสภาพความสามารถในการรับข้อมูลไม่ปกติ ส่วนใหญ่เพราะความเจ็บป่วยทางร่างกาย บวกความไม่สมบูรณ์พร้อมทางจิตใจ ความอดทน และความสามารถในการเบี่ยงเบนหรือมองโลกในแง่ดีจะ drop ไปเยอะ ที่เห็นชัดๆก็ผู้ป่วยที่เราวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง หรือมะเร็งระยะสุดท้าย ปฏิกิริยาที่เราพบที่ OPD หรือที่หอผู้ป่วยบ่อยครั้งที่ไม่สามารถจะใช้มาตรฐานการตอบสนองของคนธรรมดามาใช้คาดหวังได้

ความผิดหวังในการเข้าเรียนต่อของตนเองในระดับอุดมศึกษา หรือของลูกก็คล้ายๆกัน ถึงแม้จะไม่เหมือนกันทีเดียว ทีนี้จะเป็นภาวะวิกฤติที่ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้อง cope ผู้ที่มีความทุกข์จะต้องสามารถสร้าง scenario หรือ theme ที่อธิบายเหตุการณ์ต่างๆนี้ใน version ที่ตนเองรับได้จึงจะผ่านภาวะวิกฤตินี้ไปอย่างไม่บุบสลาย ถ้าเขาไม่สามารถ cope กับวิกฤติอันนี้ได้ก็อาจจะมีผลทำให้เกิด sequelae ถาวรหรือเป็น scar บนบุคลิกภาพต่อไปได้

ทีนี้ theme ที่เขาจะสร้างขึ้นมามันต้องไปกันได้ทั้งส่วนตัวและสังคม และดีที่สุดคือเป็นเรื่องจริงหรือมีพื้นฐานจากความจริงมากที่สุด (มิฉะนั้นเมื่อความจริงปรากฏ ยิ่ง hurt ต่อไปอีกหลายเท่าเพราะจะมีปม moral มาถมทับต่อ) ใน class ethics ผมยกตัวอย่างเด็กนักเรียนสอบเปลี่ยนโรงเรียนบ่อยเพราะชัดดี บางคนจะคิดว่าวันสอบเผอิญเครียดเลยมี performance ไม่ดี (ยอมรับได้ เพราะใครๆก็เป็นได้ และตัเองพลาดจริงแต่ไม่ได้เสียหน้า) หรือเกิด handicaps ต่างๆเช่นป่วย ท้องเสีย nervous breakdown ฯลฯ บางคนจะเกิดความคิดใหม่ว่าโรงเรียนที่ไปสอบก็ไม่ได้ดีเด่นอะไร ของเดิมของเราก็ดีอยู่แล้ว ถ้าปมบวกหรือปมที่เป็น temporary defect เหล่านี้สามารถไปด้วยกันได้กับเหตุการณ์ทั้งในแง่เหตุผลและน้ำหนักของเรื่อง ก็จะหลุดรอดจากวิกฤตินั้นได้ราบรื่น ปัญหาคือถ้าปมบวกยังไม่พอ ต้องหา theme ลบมาช่วยด้วย เช่น ไอ้โรงเรียนใหม่นี้มันแย่กว่าของเดิมเราซะอีก โชคดีที่เข้าไม่ได้ (วิธีองุ่นเปรี้ยว) หรือเด็กเราพลาดเพราะไม่มีเส้นสาย ไม่ได้อัดเงิน เพราะระบบมันโกง ฯลฯ อันนี้อาจจะมีปัญหา เพราะจะมี "สมมติฐาน" จำนวนมากที่ make up ขึ้นมาประกอบสร้างเป็น scenario ในใจของคนสร้างนั้นจะต้อง suppress ส่วนที่เป็น pure imagine ไว้ตลอดเวลา เพราะถ้าหลุด surface ขึ้นมาก็จะรู้ตัวว่านั่นเป็นความคิดลอยๆที่แต่งขึ้นเอง scenario or theme ก็จะล่มสลายตัวลง

Mechanisms ในการ cope ภาวะวิกฤติเกิดขึ้นสั่งสมโดยบุคลิกส่วนตัวและประสบการณืเก่า บวกกับวิถีชีวิตของปัจเจกว่าเรามีความลุ่มๆดอนๆ สู้ชีวิตมามากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นไข่ในหิน ไม่เคยเจอ stress หรือถูกเบี่ยงเบนมาตลอด ก็จะเจอ reality check-in ลำบากกว่าคนอื่นหน่อย แต่ถ้าเป็นคนที่ผ่านชีวิต ที่โตเป็นผู้ใหญ่ ก็จะสามารถมองเหตุการณ์ความผิดหวังได้อย่างเป็น philosophical มากยิ่งขึ้น



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-14 , Time : 21:59:14 , From IP : 172.29.3.241

ความคิดเห็นที่ : 15


    ลุงนกครับ...ผมว่าลุงสรุปได้ดีครับ... สำหรับหลักการเรื่องการบอกข่าวร้ายซึ่งในกระทู้นี้ได้ผมอยากจะเห็นแนวคิดของน้องว่าจะให้เหตุผลอย่างไรจึงจะไม่เป็นการทำร้ายจิตใจของผู้รับสารเพราะผมคิดว่าเป็นแบบฝึกหัดที่ดีที่จะนำมาประยุกต์สำหรับการบอกข่าวร้ายในคนไข้มะเร็ง....นะครับ

Posted by : นะครับ.... , Date : 2004-05-14 , Time : 23:03:46 , From IP : 172.29.3.250

ความคิดเห็นที่ : 16


   หน้าที่คนบอกข่าวร้ายว่า "ลูกคุณสอบไม่ผ่าน" หรือ "คุณเป็นมะเรงระยะสุดท้าย" นั้น ไม่มีใครอิจฉาตาร้อนอย่างจะแย่งแน่นอน ผมคนหนึ่งล่ะ

ผมคิดว่าโดยบริบท ที่ดีที่สุดคือคนที่อธิบายกฏระเบียบการประเมินนั่นแหละเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด เพราะเป็นการ remind ทางอ้อมถึงตอนที่อธิบายในครั้งแรกว่าเราตกลงกันไว้อย่างไร ตรงนี้อาจจะช่วย address simple denials ประเภทเกิด (จงใจ) ลืมเดี๋ยวนั้นว่าเคยพูดตกลงเห็นดีกันว่าอะไรไว้บ้าง เท่าที่ทราบตอนเรียกประชุมผู้ปกครองเรื่องจะใช้คะแนนไม่ใช้คะแนนนั้นพูดไว้กระจ่างดีมากเรียบร้อยแล้ว ว่าเราโล้ะทิ้งหมดคะแนน entrance จะใช้คะแนนบูรณาการและสัมภาษณ์ในการตัดสิน

การสื่อเหมือนกับที่เคยพูดไว้ในกระทู้เกี่ยวกับ communication skill คือประกอบด้วยผู้ให้ ผู้รับ และบริบท ตรงนี้ก็เป็นการแจ้งข่าวร้ายประเภทหนึ่ง ผมว่าถ้าเราเตรียมการณ์อะไรไว้เหมือนอย่างที่เราเคยอภิปรายกันเรื่อง Breaking the bad news ก็อาจจะบรรเทาอาการวิบลงได้

ผู้ให้
นอกเหนือจากควรจะเป็นคนเดียวกับอธิบายกฏกติกาตอนแรกแล้ว อาจจะต้องเตรียมดังต่อไปนี้
๑) การแจ้งข่าวที่ชัดเจน กระทัดรัด ไม่กำกวมหรือมีข้อสงสัยว่าพูดว่าอะไร หมายความว่าอะไร ภายในครั้งเดียวและครั้งแรก
๒) ในบรรยากาศที่เป็นไปได้ แจ้งเป็นการส่วนตัว ในห้องที่จัด อาจจะมีทีมอยู่ด้วย (เผื่อเหนียวการทำร้ายร่างกาย) แต่ให้โอกาสที่คนรับจะแสดงอารมณ์ผิดหวังออกมาได้
๓) ขณะที่แจ้งข่าวในลักษณะ official-like ก็ต้องมีโทนและลักษณะของความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจความผิดหวังที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
๔) หลังแจ้ง หยุด observe ปฏิกิริยาตอบรับและตอบสนองไปตามเหตุการณ์ เตรียมเอกสารที่จำเป็นในการอธิบายชี้แจงเพิ่มเติม (ถ้ามี) ไปด้วย ไม่ให้เสียเวลารอ
๕) สรุปผลสั้นๆ และอธิบายถึง options ที่ผู้รับข่าวควรจะทำให้ได้ประโยชน์มากที่สุด เช่น เตือนเรื่องการไปติดต่อมอบตัวสถาบันอื่น เตือนเรื่องการมีสิทธิสอบที่อื่นหรือแม้แต่ที่นี่อีกครั้ง

ผู้รับ
ส่วนใหญ่เขาดูหน้าคนแจ้งก็ทราบแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ผมยังไม่แน่ใจนักว่าการแจ้งทางโทรศัพท์เปนวิธีที่ดี ไม่ต้องพูดถึงทางจดหมายหรือ email ซึ่งสิ่งที่ต้องการสื่อจะสูญหายไปเยอะ และมักจะสูญหายไปในทางที่ไม่ทำให้เรื่องมันดีซะด้วย
ทางที่ดีมีคนแอบประเมินบุคลิกคนรับฟังไว้หน่อยก็ดีว่า violent-prone หรือสติจะครองอยู่ได้หรือไม่

บริบท
ถ้า copy การทำกับผู้ป้วยมา ก็จะการเตรียมบรรยากาศต่างๆที่เป็นส่วนตัว ที่ที่สามารถจะแสดงอารมณ์ผิดหวังออกมาได้อย่างไม่เป็นที่อับอาย (เช่นตะโกนใส่หน้าในที่สาธารณะว่าลูกคุณตกนะ ในบรรยากาศที่ล้งเล้งไปหมด

เดี๋ยวนี้ความ sensitive ต่างๆถูกวิถีชีวิตที่เร่งรัดบีบให้มีข้อจำกัดมากมาย ทั้งๆที่เราก็ทราบทฤษฎีเหล่านี้เป็นอย่างดี ผมก็ยังอยู่ในบรรยากาศที่แทบจะต้องตะโกนแข่งกับเสียงก่อสร้าง OPD บอกผู้ป่วยว่าเป็นมะเร็ง คนใช้โทรศัพท์มาถามเรื่องสำคัญๆมากขึ้น (ภาคพยาธิมีระเบียบที่ดีในการไม่แจ้งผลพยาธิทางโทรศัพท์ บางทีดีเกินแม้แตหมอโทรไปถามเองยังไม่บอกเลย)

เรื่องนี้มาดูเป็น breaking the bad news ก็ได้เหมือนกันเป๊ะ แต่เกรงว่า Protocol การแจ้งผลสอบเราไม่ได้สอดคล้องกับที่ว่าอย่างที่เราอาจจะอยากจะหวัง แต่ ณ ที่นี้ บนกระดานแห่งนี้ เราสามารถใช้ความรู้พื้นฐานเดียวกันมาเพิ่มมุมมองกับปฏิกิริยาของผู้ผิดหวัง และเรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ อย่างน้อยเอาไปดัดแปลงกับผู้ป่วยขอลเราก็ยังดี อย่าไปเถียงกับคนที่มี วิกฤติที่ต้อง cope อยู่ มันไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา และเราก็ทำเหมือนจะลืมข้อปฏิบัติกับคนที่อยู่ในภาวะ stress ไปด้วย



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-14 , Time : 23:55:04 , From IP : 172.29.3.241

ความคิดเห็นที่ : 17


   ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นสักนิดนะครับ โดยส่วนตัวนั้นผมค่อนข้างเห็นใจผู้ที่ไม่ผ่านการคัดเลือก ผมเชื่อว่าผมอาจจะเข้าใจความรู้สึกดังกล่าวเป็นอย่างดี เป็นธรรมดาที่ผู้ไม่ผ่านสัมภาษณ์จะตั้งข้อสังสัยและไม่พอใจกับวิธีการคัดเลือก เพราะการสัมภาษณ์ไม่เหมือนการสอบข้อเขียนทั่วไป แต่มีลักษณะเป็น subjective อย่างมาก คนที่ตกสัมภาษณ์ก็คงมีความความคิดอยู่เพียงอย่างเดียวคืออาจารย์เป็นใคร ถือดียังไงมาตัดสินลักษณะส่วนบุคคล และจะตัดสินได้ยุติธรรมแค่ไหน? ในเมื่อภาพลักษณ์ต่างๆก็เป็นสิ่งที่"แสดงละคร"กันได้ คนที่ผ่านสัมภาษณ์มาได้แต่ปรากฏภายหลังว่าพฤตกรรมไม่ได้เรื่องก็มีให้เห็นประปราย เราคงพูดได้ไม่เต็มปากใช่หรือเปล่าว่าการตัดสินของอาจารย์จะถูกต้องสมบูรณ์ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้จะพยายามเพียงไหนก็เถอะ และอีกอย่างหนึ่งที่ผมติดใจอยู่พอสมควรก็คือการสอบสัมภาษณ์ในโครงการนี้ต่างจากการสัมภาษณ์ที่ผ่านๆมาใช่ไหมครับ ตามความเข้าใจของผมแต่ก่อนผู้ที่ผ่านข้อเขียนเข้ามาก็จะมีโอกาสได้เข้าเรียนทุกคน ถ้าสัมภาษณ์แล้วไม่พบอะไรผิดปกติเสียก่อน อย่างนี้ใช้ไหม แต่โครงการนี้กลับรับผู้ผ่านข้อเขียนเข้ามาก่อนอย่างเกินจำนวน และค่อยคัดออกตอนสัมภาษณ์ ก็เท่ากับว่าการสัมภาษณ์เป็นสิ่งที่วัดเอาคะแนนได้ และเรากำลังจัด"ระดับ" EQ เจตคติ ทัศนคติ หรืออะไรก็ตามให้กับคน 45 คนอยู่ ผมคิดว่าตรงส่วนนี้หรือเปล่าที่ผู้ไม่ผ่านสัมภาษณ์มองว่าเป็นปัญหา ขออภัยถ้าหากผมไม่มีข้อมูลจึงไม่เข้าใจเราจะ"จัดลำดับ"กันอย่างไร เพราะดูจะมีโอกาสลำเอียงได้มากทีเดียว

นี่เป็นเพียงความคิดส่วนของผมนะครับ อย่างไรก็ตามผมก็เห็นใจท่านอาจารย์ผู้คุมสัมภาษณ์ว่าท่านคงไม่มีอคติใดๆ และเราอาจหาระบบคัดเลือกคนที่ดีที่สุดได้เพียงเท่านี้


Posted by : Triton , Date : 2004-05-15 , Time : 04:06:23 , From IP : 203.156.15.9

ความคิดเห็นที่ : 18


   ค่อนข้างมั่นใจว่าระบบสัมภาษณ์เพื่อคัดออกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นที่แรกที่นี่แน่นอน

สองสามปีก่อน ตอนที่ศิริราชยังไม่รับตรงทั้งหมด รับแค่ 50 คน สอบข้อเขียนคัดเข้า 250 และสัมภาษณ์ออก 200 คน ทางภายนอกนี่ไม่ค่อยได้ยินเสียงบ่นเท่าไหร่เหมือนกัน แต่ดู ratio แล้วที่นั่นคัดออก 4 จาก 5 แต่ที่เราพึ่งทำไปคัดออก 1 จาก 3

ทำไมต้องคัดออก? สถานการณ์คือเรามีตำแหน่งที่เป็นโควต้าว่าต้องผลิตแพทย์เท่าไหร่ๆ ทีนี้คนที่เรา "รับ" บางครั้งก็ "ไม่เอา" ทำให้ตำแหน่งที่ควรจะเป็นที่ให้นักเรียนมาเรียนว่างลงอย่างน่าเสียดาย ถ้าเราไม่มีการเตรียม "ตัวสำรอง" ที่สามารถจะเลื่อนเข้าได้ นั่นก็จะแปลว่าหายไปแล้วหายไปเลย พูดง่ายๆว่าถ้าเกิดเรามีตำแหน่ง 30 แล้วรับแค่ 30 ถ้ามีคนสละสิทธิ์ 5 คนเราก้เหลือ 25 ถ้าสละสิทธิ์ 25 เราก็เหลือ 5 คน จบ

ทีนี้การเปิดให้มี candidate เกินตำแหน่งที่รับได้ก็จะช่วยสร้างโอกาสตรงนี้ ผมคิดว่าผู้ที่เป็น candidate สมควรจะต้องทำความเข้าใจว่านี่คือเหตุผล และหมายความว่าตำแหน่งนั้น ยังไม่แน่นอน ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะไม่ได้ ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญแต่เบื้องต้น ถ้าตั้งความเข้าใจว่าได้แน่ๆ ก็จะผิดหวังมากเวลาไม่ได้ ซึ่งเป็นบริบทที่ผิด บริบทที่แท้จริงคือทุกคนมีสิทธิเท่ากันในการถูกคัดออกก่อนที่สอบคือ 1 ใน 3

เราสามารถทำให้ง่ายที่สุด โดยรับสามสิบก็เอาแค่สามสิบ หายไปเท่าไหร่ก็ช่าง แต่อย่างนั้นผลเสียจะตกอยู่ที่การผลิตแพทย์จะลดลงจากโครงการที่ตั้งใจไว้ในตอนต้น คนที่เรารับบางคนเปลี่ยนใจไปเอาวิศวะ สถาปัตย์แทน เราก็ทำอะไรไม่ได้ เด็กที่จะเป็นตัวสำรองก็ไม่มี ความเครียดของอาจารย์อาจจะลดลง เด็กที่จะมีความหวังเพิ่มขึ้นก็หมดไปไม่ต้องคิดหวังอะไรตั้งแต่ต้น



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-15 , Time : 10:49:57 , From IP : 172.29.3.211

ความคิดเห็นที่ : 19


   ตามที่คุณ Phoenix ชี้แจงนั้นคล้ายกับว่าระบบการคัดเลือกถูกทำให้บางส่วนเป็นวิธีสุ่ม(random) ด้วยหรือเปล่า เพราะมาตรฐานในการสัมภาษณ์นั้นทำได้เต็มที่บางส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นวิธีสุ่มใช่หรือไม่ พูดถึง้รื่องนี้แล้วก็อยากรู้เหมือนกันว่าการสัมภาษณ์นี้ถูทำให้เป็นคะแนนได้อย่างไร

Posted by : ... , Date : 2004-05-15 , Time : 21:40:16 , From IP : 203.156.15.111

ความคิดเห็นที่ : 20


   ไม่ค่อยเข้าใจคำถามครับ ตรงไหนที่ผมทำให้เข้าใจว่าเราใช้ระบบสุ่ม (randomized) ครับ? ลองขยายความหรืออธิบายความสุ่มที่ว่าสักนิดได้ไหมครับ ผมว่าตรงนี้อาจจะต้องมีการ clarify term หรือ definition กันนิดหน่อย



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-15 , Time : 22:05:05 , From IP : 172.29.3.232

ความคิดเห็นที่ : 21


   สุดยอดมากครับ คนตั้งกระทู้ก็ทำได้ดี และคน post ก็แสดงความคิดเห็นออกมาได้เต็มที่จิงๆ เหมือนกับกำลังสอนกันในเวปเลย

Posted by : blackmagician , Date : 2004-05-16 , Time : 14:49:16 , From IP : Indi-trg-183.inet.co

ความคิดเห็นที่ : 22


    สุ่ม...ที่ใช้จับปลาหรือครับ... ผมว่าความหมายคงไม่ใช่อย่างนี้แน่...ผมว่าในการคัดเลือกมีหลักของมันอยู่แล้วเราควรจะให้กียรติกรรมการที่รับคัดลือกไม่ใช่เหรอ... นะครับ...

Posted by : นะครับ.... , Date : 2004-05-16 , Time : 21:27:02 , From IP : 203.113.56.75

ความคิดเห็นที่ : 23


    standard ในการให้คุณค่าคนของแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกัน คงบอกยากนะว่า personality type แบบไหนเหมาะสมที่สุด หรือIQ ,EQต้องระดับไหนถึงจะเหมาะสำหรับการเป็น นศพ หรือควรคัดออก ที่ผ่านมาย่อมมี variation จากการคัดเลือกแน่นอน และคิดว่าคงไม่น่าจะมีการสุ่มหรือ selection bias
เท่าที่รู้ระบบการคัดเลือกในปัจจุบัน อาศัยคนที่มีประสบการณ์จากการเห็นผลสัมฤทธิทางการเรียนของนศพ แบบต่างๆที่มี personality type, ระดับ EQ หรือ IQที่หลากหลาย มาหลายๆคนทั้งในและ นอกวงการแพทย์ มา debate ร่วมกันและตัดสิน โดยความเห็นเหล่านี้คิดว่าไม่น่าจะได้มาจากกรรมการคนใดคนหนึ่งเป็นสำคัญ และมีเกณท์ที่กำหนดไว้ก่อนอย่างแน่ชัด ชัดเจนและได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมามากพอควรจากอดีต ซึ่งก็คงพอเห็นเป็นรูปธรรมของการพัฒนาระบบการคัดเลือกมาระดับหนึ่ง ซึ่งคงน่าจะถือได้ว่าดี แต่ดีในที่นี้หมายถึง เฉพาะสภาพการณ์ในปัจจุบันนี้ อนาคตคงต้องว่ากันใหม่


Posted by : p , Date : 2004-05-17 , Time : 02:11:16 , From IP : 172.29.3.199

ความคิดเห็นที่ : 24


    หรอยอะ พี่เรา....พี่พูๆ สุดหล่อ

Posted by : 4625047 , Date : 2004-05-17 , Time : 20:36:04 , From IP : tproxy7.anet.net.th

ความคิดเห็นที่ : 25


   ตามที่ มีการอภิปรายกันอย่างมากมายและกว้างขวางนั้น ก็เป็นเหตูผลไปต่างๆนาๆซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างบุคคลที่จะยอมรับในเรื่องที่ได้มีการอภิปรายเหล่านั้นสำหรับท่านที่บุตรหลานไม่ได้ผ่านการคัดเลือกนั้นท่านคิดว่าเป็นผลจากท่างคณะนั้น ก็สามารถคิดได้เช่นนั้น แต่คนอื่นอาจคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีการคัดเลือกตามธรรมชาติซึ่งเป็นมาหลายล้านปีแล้ว แต่การที่จะมองอะไรควรหรือไม่ที่เราจะมองทางด้านที่เป็นความคิดของเราเอง และทางด้านที่เป็นความคิดของคนอื่น เช่น ในกรณีนี้
-1.ถ้าท่านเป็นผู้ปกครองผู้ที่ไม่ผ่าน ท่านอาจคิดว่าบุตรหลานของท่านมีศักยภาพพร้อมที่จะเข้าศึกษา แต่ทางคณะได้ตัดสินแบบไม่ยุติธรรม แต่
-2.ถ้าท่านเป็นผู้ปกครองของผู้ที่ผ่าน ท่านจะคิดว่าความเสมอภาคก็เพรียบพร้อมบุคคลทั่วไปก็มองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
-แล้วถ้าท่านเป็นผู้ปกครองของผู้ผ่านการคัดเลือกแล้วแล้วท่านจะมีความคิดแบบในข้อที่ 1 บ้างได้หรือไม่และในทางกลับกันด้วย
และถึงอย่างไรก็ตามถ้าคนไม่มองปัณหาต่างๆเรื่องๆต่างๆในทางตรงข้ามกันแล้วก็จะมีเพียวแค่ความคิดของฝ่ายตนเองทั้งนั้น
และคิดว่าปัญหาในลักษณะนี้ จะต้องมีเกิดขึ้นมา 100% แต่จะมีการโพสการเรียกร้องหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่อง แต่เป็นเรื่องที่ทางผู้เขียนไม่เคยทราบ ว่า ทางคณะ ผู้ที่เป็นฝ่ายตัดสินในเรื่องนี้ มีการแก้ไข ในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง ถ้ายังไม่มีควรมีไหม และถ้ามีแล้ว มีความละเอียดพอหรือไม่ ในกรณีที่มีการตัดสินเป็นผู้ผ่านและไม่ผ่านการคัดเลือกนั้น มีความคิดและมีแนวทางที่จะป้องกันการเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นมาอย่างไร เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์กรณีนี้เกิดขึ้น แสดงได้ว่าหรือไม่ อย่างน้อย 1 คน ที่ยังไม่เข้าใจ ยังไม่พอใจยังไม่กระจ่างเกี่ยวกับระบบการคัดเลือกผู้ผ่านและไม่ผ่าน ซึ่งทางคณะคงเคยแจ้งระบบการคัดเลือกไปแล้ว มันไม่ครอบคลุมหรือไม่ สื่อสารกันไม่รู้เรื่องหรือไม่ หรือ ถ้าผู้ปกครองต้องการจะดูผลการคัดเลือกจะได้หรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น คงมีผู้ปกครองทุกคนที่ขอดูผลการคัดเลือก(ถ้าดูได้) และถ้าดูได้แล้ว รายละเอียดของผลการคัดเลือก ควรมีอะไรบ้างเพื่อให้ผู้ปกครองเข้าใจและยอมรับได้

นี่เป็นความคิดเห็นของคนที่ผ่านๆเข้ามาๆซึ่งแน่นอนการเรียบเรียงยังไม่เข้าที่นัก อ่านไปก็คิดไปมากๆนะครับบบบบบบ ผมกลับมาอ่านซ้ำยังต้องทำความใจพอสมควรเลย


Posted by : ๐๐Jinx๐๐ , Date : 2004-05-19 , Time : 04:45:19 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 26


   บอกผลการคัดเลือกและวิธีการคัดเลือกไม่ได้หรอก เป็นได้ประท้วงกันไม่จบแน่ แล้วเกิดเด็กรุ่นต่อไปมารู้เข้า เขาก็จะรู้แนวการตอบสัมภาษณ์หมด แถมยังหลอกถามและจับผิดได้ยากขึ้น

Posted by : จริงไหมล่ะ , Date : 2004-05-19 , Time : 23:09:51 , From IP : 203.156.15.170

ความคิดเห็นที่ : 27


   ดีจังปู้ที่ตั้งกระทู้ที่มีประโยชน์แบบนี้

Posted by : 4525078 , Date : 2004-05-24 , Time : 09:54:59 , From IP : 172.29.2.94

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.011 seconds. <<<<<