ความคิดเห็นทั้งหมด : 35

กระดานข่าว อีกที


   ขอโทษทีครับ ผมเข้าใจว่าทุกท่านมีอิสระเสรีในการ Discuss กันในร้านกาแฟแห่งนี้ แต่ 2-3 กระทู้ข้างล่างนี่ ทนไม่ไหวจริง ๆ
ระบบการเรียนแพทย์ การเพิ่มพูนทักษะ หรือการไปอยู่ รพ. สมทบ มันขาดแคลน มันไม่เพียงพอ ถึงขนาดต้องมา Post ถามกันในกระดานข่าวเลยงั้นหรือ staff หรือ consultant ที่ดูแลอยู่ไปใหน ผมเข้าใจว่า ผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบรายนั้นคงได้รับการผ่าตัดไปแล้ว หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงเรียบร้อยดี
ทั้งอาจารย์ Phoenix และคุณ Shonigega เป็นศัลยแพทย์ การที่ท่านทั้งสองมาตอบข้อข้องใจเหล่านั้นนับว่าเป้นความกรุณาของท่าน

แต่สิ่งเหล่านี้กำลังสะท้อนความล้มเหลวของทั้งระบบการเรียนการสอนและการบริการสาธารณสุข

คงไม่ต้องไปพูดกันในระดับคณะ เพราะข้อที่เขาถามมานั้นเป็นการดูแลผู้ป่วยทางศัลยกรรมทั้งสิ้น ภาควิชาคงต้องมีการทบทวนหลักสูตรการเรียนการสอน และการดูแลแพทย์เพิ่มพูนทักษะเหล่านี้ ถ้าจะมีการ consult ผ่านเทคโนโลยีสาระสนเทศก็คงต้องเป็นเรื่องเป็นราว มีระบบกว่านี้
รวมถึงแพทย์ประจำบ้านศัลยกรรม ก็ต้องทบทวนตนเอง เพราะเคยมีบทบาทต่อการเรียนการสอนนักเรียนแพทย์เสมอมา แต่ตอนนี้คงหวังอะไรจากแพทย์ประจำบ้านไม่ได้มากนักเพราะดูเหมือนเอาตัวเองก็ไม่รอดแล้ว ( ดูกระทู้พรรคจรัส )

เรามีตัวเลขแพทย์จบใหม่ในแต่ละปีมากขึ้น ตามนโยบายกระทรวง เราควรจะดีใจภูมิใจกับตัวเลขเหล่านี้หรือไม่



Posted by : Dhan , Date : 2004-05-07 , Time : 15:05:52 , From IP : 172.29.3.77

ความคิดเห็นที่ : 1


   พิจารณามิติด้านลึกแล้ว คุณ Dhan กำลังยกประเด็นที่สำคัญและน่าสนใจทีเดียว คือ ระบบการศึกษา

ผมเข้าใจว่า Intern ไม่ว่าอยู่ที่ไหนของโรงพยาบาลที่ได้รับมอบหมายไป ยังอยู่ในระบบ traning อยู่ และความหมายโดยนัยคือมีแพทย์พี่เลี้ยง ข้อดีของแพทย์พี่เลี้ยงคือจะอยู่ใกล้ชิด ในเหตุการณ์ และข้อสำคัญคือเป็นผู้รับผิดชอบผู้ป่วย ไม่ใช่ Intern แพทย์พี่เลี้ยงและ Intern จะสร้างความสัมพันธ์ในลักษณพี่น้องและครูอาจารย์กลายๆ ซึ่งเป็นลักษณะการฝึกอบรมแพทย์ของประเทศเรามานานนับศตวรรษ

ดูจากเวลาที่ post คือตีสามกว่าๆนั้น ถ้าเป็นผู้ป่วยที่ต้องการรับการรักษาฉุกเฉิน สงสัยว่าจะได้รับคำตอบไม่ทัน น่าเป็นห่วงเหมือนกันถ้าต้องการทราบวิธีปรับ respirator หรือใส่ ICD ตอนตีสามแล้วจะ post คำถามทาง Internet แทนที่จะสามารถปรึกษาแพทย์พี่เลี้ยงได้

ถ้าคุณคนส่งกระทู้มีปัญหาในการปรึกษาพี่เลี้ยงเพื่อการดูแลผู้ป่วยระดับนี้ (case chest accident ต้องดู ICD หรือการปรับ respirator ผู้ป่วย ICU ผมขอแนะนำให้นำเรื่องนี้มาเสนอต่อคณะฯถ้าเกิดขึ้น ณ โรงพยาบาลสมทบ หรือต่อภาควิชาฯ ถ้าอยู่เวรใน มอ. แล้วไม่สามารถปรึกษาเวรได้ เพราะผลเสียในขณะนี้จะตกอยู่ที่ตัวผู้ป่วยนะครับ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่แก้ไข



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-07 , Time : 15:21:28 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 2


   Take it easy....All of us passed this critical period already.Remember?....Sometimes we just couldnot contact consultant,or thae issue was consulted ,but we just wanna confirm....These kind of problems are just hard to be solved.....We are talking about the responsibility which depends on individual one.
If our juniors have problems mean they really need help......Do not scar them by doing this.They are just the victim of our bad system.


Posted by : S&P , Date : 2004-05-07 , Time : 17:27:49 , From IP : 203.127.72.140

ความคิดเห็นที่ : 3


   

Posted by : Harry , Date : 2004-05-07 , Time : 17:50:24 , From IP : 172.29.3.102

ความคิดเห็นที่ : 4


   ""

Posted by : Harry , Date : 2004-05-07 , Time : 17:51:11 , From IP : 172.29.3.102

ความคิดเห็นที่ : 5


   ผมคิดว่าไม่มีใคร blame คนถามหรือคนอยู่เวรที่ต้องการความช่วยเหลือเลยนะครับ

ตรงกันข้าม เรากำลังพยายามจะ address ปัญหาตั้งแต่ basic knowledge ที่คุณ Dhan ว่า เกี่ยวกับหลักสูตร training และระบบการ consult แพทย์พี่เลี้ยงหรือระบบภายใน มอ. (เรายังไม่ทราบเลยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไหน ข้างในหรือข้างนอก) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมคิดว่าไม่น่าจะเกิดในกรณีที่เป็น case ศัลยกรรมใน มอ.ของเรา ซึ่งมีระบบการปรึกษาชัดเจน บางที Chief ที่อยู่เวรอาจจะช่วยค้นหาได้ว่ามี Intern คนในประสบอุปสรรคในการดูแลผู้ป่วยหรือไม่ และผมว่าเราทุกคนในที่นี้เหนด้วย 100% ว่า เป็นปัญหาที่ควรจะมาหาทางแก้ไขครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-07 , Time : 20:57:11 , From IP : 172.29.3.252

ความคิดเห็นที่ : 6


   .....ถ้าให้ผมทายนะ....ผมคิดว่าพี่ Dhan คงคิดว่าคนตั้งกระทู้เหล่านี้คงเป็น Intern รุ่นที่เพิ่งจบออกไป......และดูแต่ละคำถามคงแทบเป็นไปได้ยากที่เหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นในภาควิชาศัลย์ของ ม.อ.ค่อนข้างแน่นอน.....เพราะอะไรนะเหรอครับ.....เพราะพวกเราทั้งหลายที่เป็นแพทย์ใช้กรรมของภาควิชาศัลย์ต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่า......การปล่อยให้น้องดู Case โดยที่ไม่สนใจที่จะให้ความช่วยเหลือแก่น้องๆ.....ถ้าเรื่องเหล่านี้ทราบกันไปทั่ว......หัวของแพทย์ใช้กรรมเหล่านั้นก็จะขาดกระเด็นกันเป็นแถวๆ......ดังนั้นคุณ Phoenix ไม่ต้องมองโลกในแง่ร้ายเลยว่าเหตุการณ์เหล่านั้นอาจจะเกิดใน ม.อ.......และผมก็เชื่อว่าพี่ Dhan ก็คงคิดแบบเดียวกับผม......เลยเหมาเอาเองแบบไม่ Fair ว่าน่าจะเกิดจากโรงพยาบาลข้างนอกมากกว่า.....และดูจากคำถามแล้ว....น่าจะ.....น่าจะนะครับ....แสดงให้เห็นภาควิชาศัลย์น่าจะประสบความล้มเหลวในส่วนหนึ่งของการเรียนการสอน.....ผมคิดว่าคงจะไม่ใช่ทั้งหมดทีเดียว.....เพราะเรื่องเหล่านี้เราโทษอะไรฝ่ายเดียวไม่ได้.....อาจจะจริงที่ระบบล้มเหลว.....การเรียนการสอนห่วยแตก.....แต่ผู้เรียนหละ...ใส่ใจตอนที่เรียนมากน้อยแค่ไหน?.....อย่างน้อยที่สุดก่อนที่เราจะไปโทษผู้เรียนว่าไม่เอาไหน.....เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่า.....เราซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจมากกว่า....ควรจะย้อนกลับมามองตัวเอง......มองระบบของตัวเราเองว่ามันดีสุดยอด.....หรือ Perfect แบบหาอะไรมาเทียบไม่ได้แล้วหรือยัง......เป็นอภิมหาหลักสูตรเรียนแพทย์ที่ได้มาตรฐานโลกหรือเปล่า......หรือว่าเราเพียงแค่ฝันกลางวันว่ามันดี.....ทำเป็นมองข้ามเสียงนกเสียงกาแล้วก็บอกว่าผู้เรียนห่วยอย่างงั้นนะหรือ?.......คุณ Phoenix ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงในจุดนี้....อาจจะต้องทบทวนและตอบคำถามคุณ Dhan ที่ว่าเราภูมิใจกับตัวเลขเหล่านี้แค่ไหน.....ในส่วนของผมที่เป็นแพทย์ใช้กรรมได้ทบทวนตัวผมเองแล้วคิดว่า......ความสามารถของผมในการสอนน้องยังห่วยมากนัก....ผมคงต้องอ่านหนังสือให้มากกว่านี้.....อย่างน้อยเพื่อที่จะได้ไม่อายน้องๆเวลาถามบางคำถามแล้วผมตอบไม่ได้จริงๆ.....ผมคงทำในความสามารถของผมได้เพียงเท่านี้ที่พอจะช่วยได้.....ส่วนการวิเคราะห์ระบบว่าห่วยหรือดีแค่ไหน.....จะล้มล้างระบบได้หรือไม่.....ผมคงทำไม่ได้......ส่วนเหตุผล....เราๆท่านๆทั้งหลายในที่นี้ทราบกันดีอยู่แล้วว่า"ทำไม".....:D....:D



Posted by : Death , Date : 2004-05-07 , Time : 23:38:20 , From IP : 172.29.3.228

ความคิดเห็นที่ : 7


   ผมไม่คิดว่าผมเคยเจอโรงเรียนไหนจากประสบการณ์ที่ผ่านมาส่วนตัวเข้าใจว่าตนเองสมบูรณ์หมดทุกอย่าง และเป็นระบบที่ดีที่สุดแล้วหรอกครับ และไม่คิดด้วยว่าการแสวงหาแพะหรือว่า whom to blame จะได้ประโยชน์อะไรด้วย แต่ที่เราต้องการคือ constructive criticism มากกว่า sarcasm

ผมเคยและก็ยังเป็นนักเรียนมาตลอดทั้งชีวิต ถ้าจะมีกลุ่มบุคคลที่ผมจะตั้งมั่นนับถือนอกเหนือจากบุรพการีแล้ว ผมนับถือครูบาอาจารย์ทุกคน ในสิ่งที่ท่านทำ ไม่ว่าจะโดย professional หรือโดยอะไรก็แล้วแต่ แต่ผมได้รับประโยชน์ และสิ่งต่างๆเหล่านี้กอปรมาเป็นตัวตนของผมทุกวันนี้ สิ่งเดียวที่ผมจะทำได้และยึดเป็นหน้าที่คือพยายามถ่ายทอดสิ่งที่ผมเคยได้ และเจตคติที่ผมเคยได้รับประโยชน์ไปสู่รุ่นลูกหลานต่อไป ส่วนเรื่องความบกพร่องของมนุษย์ส่วนตัวนั้น เป็นเพราะเรากำลังพูดถึงคน ซึ่งแปลว่ายังไม่สมบูรณ์

โดยส่วนตัวผมคิดว่าภาษาของ constructive criticism นั้น ไม่ใช่ล้มล้าง แต่เป็นเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ล้มเหลวแต่เป็นโอกาสที่จะดีขึ้น ไม่ใช่ใครควรจะถูกตำหนิแต่เป็นความช่วยเหลือแบบไหนที่ใครต้องการ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-08 , Time : 01:37:52 , From IP : 172.29.3.238

ความคิดเห็นที่ : 8


   ......อุตสาห์เขียนมาตั้งยาว.....สรุปก็คือคุณไม่ได้ตอบคำถามใดๆของพี่ Dhan เลย.....ไม่ยอมรับว่ามีความล้มเหลวในการเรียนการสอนส่วนหนึ่งของภาควิชา...ไม่เคยที่จะยอมกลับไปทบทวนตัวเอง....ทั้งๆที่ทราบว่าเป็นระบบที่ไม่สมบูรณ์....แล้ว ณ จุดนี้คุณทำอะไร หรือพยายามทำอะไรเพื่อรุ่นน้องๆที่กำลังจะจบออกมาบ้างหรือเปล่า....ผมรู้ว่าผมคงช่วยอะไรตรงนี้มากไม่ได้..แต่อย่างน้อยในจุดที่ผมพอช่วยได้...ผมก็คิดว่าพยายามที่จะทำ....เพราะตอนที่ผมจบมาใหม่ๆผมก็ทราบว่าผมมีข้อบกพร่องอีกมาก....จากการไม่ตั้งใจเรียน...ผมต้องดิ้นรนให้รู้มากขึ้น....และต้องสอนรุ่นน้องให้ไม่เป็นอย่างผม....

......ถามจริงเถอะ....ไอ้ Constructive อะไรนั่นมันช่วยอะไรให้ปัญหาที่คุณสามารถแก้ได้นี้ดีขึ้นบ้างหรือเปล่า....ถ้าคิดว่านั่งพิมพ์อะไรประชดประชันผม....หรือด่าผม...แล้วทำให้การเรียนการสอนเพื่อหมอที่จบไปใหม่นี่ดีขึ้น...ก็ทำไปเลยครับ....ส่วนตัวผมที่ด้อยปัญญายังคิดไม่ออกเลยว่า....การหลบเลี่ยงการตอบคำถามหรือเบี่ยงประเด็นมันแก้ปัญหาตรงไหน?......

....ผมแนะนำนะครับ...ในฐานะที่คุณสามารถที่จะแก้ไขอะไรตรงนี้ได้มากกว่าผม....คุณควรจะทบทวนและหาทางแก้ไขก่อนที่ปัญหาเหล่านี้มากขึ้นและพูดได้แค่ว่าเรายังไม่ดีพอ....ถ้าเรารู้แล้วตั้งแต่ตอนนี้....จะรออะไรอีกหละครับ?...บางอย่างเรารอได้เพื่อให้เห็นผลที่ชัดๆ.....แต่การรอแบบนี้....ผลเสียจะไปลงกับใครก็ทราบๆกันอยู่แล้ว...และจะให้มันเป็นมรดกสืบทอดไปให้ลูกหลานเราอย่างงั้นเหรอครับ?.....ต้องมีคนซวยอีกสักกี่คนถึงจะยอมรับว่าเรา"ห่วย"ครับ?????.....คุณมานั่งเถียงอะไรผมตรงนี้แก้ปัญหาอะไรไม่ได้หรอกครับ......ลงมือทำดีกว่าครับ.....ขอบคุณครับ.......



Posted by : Death , Date : 2004-05-08 , Time : 11:52:25 , From IP : 172.29.3.175

ความคิดเห็นที่ : 9


   ถ้าคุณเพียงแค่ไม่คิดว่าผมกำลังตอบคุณเป็นการส่วนตัว บางทีข่าวสารที่ต้องการจะสื่อมันอาจจะถูกส่งข้ามไปได้มากกว่านี้

ย่อหน้าแรกที่ผมเขียนนั้นมีความหมายว่า ทุกโรงเรียนที่ผมผ่านมา รวมทั้ง มอ. ไม่มีครูคนไหนคิดว่าระบบสมบูรณ์อยู่แล้ว และครูที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสด้วย ต้องการสอนให้นักเรียนรู้มากขึ้น และดีขึ้นทั้งสิ้น ตรงนี้ถือว่าเป็นการทบทวนตนเองหรือไม่?

ความจริงในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาอย่างเดียว การสัมมนาหลักสูตรตั้งแต่ในระดับรายวิชาย่อย โครงสร้างระดับ block และ โครงสร้างระดับ curriculum ได้มีการทำมาโดยตลอดเดือนละหลายครั้ง ตรงนี้อาจจะต้องว่าคณะไม่ได้มารายงานให้แพทย์ใช้ทุนทราบถึงความพยายามในการปรับปรุงของเราก็อาจจะได้ แต่ก่อนที่ผมจะสรุปว่าใคร "ไม่" ทำงานที่ตนเองรับผิดชอบนั้น ผมคิดว่าการ research หาข้อมูลก่อนจะเป็นการแฟร์ต่อการ comment และเพิ่ม credibility ในสิ่งที่ตนเองพูดออกไปได้

Constructive criticism นั้นผมคิดว่าดีครับ ไม่งั้นผมไม่ advocate ให้คนที่สนใจมาลองหัดทำกันหรอกครับ ไม่เพียงแต่จะดีต่อแพทย์เท่านั้น ผมว่าการ "ติเพื่อก่อ" นั้นดีต่อทุกวงการ ดีต่อชุมชน และดีต่อประเทศ ผมสนใจในการที่คุณจะรู้สึกอะไรบ้างในส่วนที่เขียนออกมานี้ค่อนข้างน้อยมากครับ ส่วนใหญ่ที่ผมเขียนหรือพิมพ์ ณ ที่นี้ ผมต้องการจะสื่อกับสมาชิกส่วนรวมที่เข้ามาอ่านมากกว่า การเรียนรู้นั้นต้องประกอบด้วยคนให้ คนรับ และบริบท ดังนั้นผมจะต้องคาดหวังให้เหมาะสมว่าใครต้องการหรือไม่ต้องการที่จะรับให้พอดีๆ

การพัฒนาหลักสูตรแพทยศาสตร์ศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ และผมคิดว่าอาจารย์ทุกคนหรืออย่างน้อยส่วนใหญ่ที่อยู่ในที่นี้ มีบทบาทในการที่ทำอะไห้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น และงานที่ผมเห็นท่านทำนั้นผมว่ากหนักใช้ได้ ถ้าจะมีคนมา criticise ว่าไม่มีการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้ based จาก "ข้อเท็จจริง" ผมว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ที่น่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือมีการวิจารณ์อย่างที่ว่านี้ลงกระดานสาธารณะ ด่ากราดอาจารย์ว่าไม่ทำงาน ผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญพอที่จะตอบให้นักศึกษาหรือคนในที่นี้ได้ข้อมูลทั้งสองฝ่าย

คำถามของคุณ Dhan นั้น ไม่ได้ถูกถามในกระทู้นี้เป็นครั้งแรกครับ ถูกถามมาเป็นสิบๆปีแล้ว และที่เรามีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน ก็เพราะมีคนถามคำถามนี้และมีคนพยายามที่จะตอบและแก้ไขครับ ในบรรยากาศที่มีคน sceptic แบะพร้อมที่จะก่นด่าอาจารย์แบบนี้แหละครับคือบรรยากาศที่เราทำงานกันอยู่




Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-08 , Time : 14:10:02 , From IP : 172.29.3.234

ความคิดเห็นที่ : 10


   ....ถ้าเช่นนั้น.....หลังจากนี้ไปถ้าเป็น Intern ที่เพิ่งจบไป.....อยากจะถามคำถามอะไรทำนองนี้....อาจจะต้องคิดหนัก.....การไม่รู้ไม่ใช่เรื่องน่าละอาย....แต่การที่เขียนถามมาแล้ว.....ทำให้อาจารย์ผู้สอนเกิดความเสื่อมเสีย.....หรือภาควิชาเกิดความอับอายที่อุสาห์ใช้ระบบการเรียนการสอนแบบใหม่แต่กลับไม่ได้อย่างที่หวัง....อืออออ.....ถ้าอย่างงั้นผมเรียนถามเป็นการส่วนตัวได้ไหมครับ.....ว่าถ้าเราคิดว่าหลายๆอย่างของการเรียนการสอนที่เราตัดออกในตอนนี้....ยกตัวอย่างเช่น requirment ของการได้ทำ Appendectomy ก็ได้.....ถ้าเช่นนั้นเราสามารถที่จะลดหลักสูตรเรียนแพทย์เหลือ 4 ปีได้หรือเปล่า....และก็บังคับการใช้ทุนให้ครบทั้ง 3 ปีเพื่อศึกษาหาความรู้จากโรงพยาบาลด้านนอกอย่างเต็มที่นี่....จะดูเข้าท่ากว่าหรือไม่?....????

.....เพราะอะไรผมถึงคิดแบบนี้?....เหมือนกับว่าเราสอนลูกของเราให้หุงข้าวเป็น...จากการใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้า.....แต่พอลูกเราออกไปอยู่นอกบ้าน...อาจจะมีแต่หม้อที่ใช้ฟืนในการหุง....หรือแม้แต่อาจจะต้องไปปลูกข้าวและเกี่ยวข้าวมากินเองก็ได้....เปรียบกับการเรียนแพทย์.....ที่เราคิดกันในโรงเรียนแพทย์ว่าเท่านี้ก็พอแล้ว......เท่านั้นก็พอแล้วที่จะจบออกไปใช้ตอนอยู่ข้างนอก.....เราใช้อะไรมาวัดหรือครับ?......เราใช้อะไรมาวัดว่าเราไม่จำเป็นต้องทำ Appendectomy ได้อีกแล้วนี่มาจากไหน????....อย่างที่ผมบอก....ผมไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงๆจุดนี้....บางอย่างผมไม่ทราบจริงๆ....และตอนนี้ผมอยากจะทราบ......คุณพอจะบอกผมได้ไหมครับ?....

..เราคิดว่าเราสอนแค่นี้พอ?.....แล้วเมื่อน้องๆของเราจบไปต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ตัดสินใจไม่ได้......หรือการแก้ปัญหาที่ลำบากโดยที่ไม่มีผู้ช่วย....เขาจะทำอย่างไร?.....และทราบกันดีอยู่แล้วว่าการตัดสินใจอะไรบางอย่างผิดพลาด.....จะนำมาซึ่งความสูญเสีย.....อย่างที่เราจะโทษใครได้.....และถ้าการสูญเสียนั้นเป็นคนที่เรารัก.....เราจะยังคงนั่งเฉยและมองมันผ่านไปอย่างนี้หรือเปล่า?..ต้องให้เกิดอะไรขึ้นก่อนหรือที่เราจะยอมรับหรือแก้ไขอะไรสักอย่างกัน?

.....ผมเสียใจที่ต้องบอกว่าผมไม่ทราบและไม่ได้ไปเดินดูการทำงานของระบบบริหารทั้งวัน....ดังนั้นการที่ผมพิมพ์อะไรไปล้วนไม่น่าเชื่อถือเท่าใดนัก....แต่ผมมองผลที่ออกมา....ซึ่งเป็นตัวอย่างที่คุณเห็นทนโท่อยู่.....แล้วคุณคิดว่าความเหน็ดเหนื่อยของงานที่คุณทำ....โดยที่ผลยังออกมาแบบนี้...อืมมม......ไม่รู้สินะครับ...ในสังคมแบบนี้คุณอาจจะคิดว่ามันไม่ Fair ที่จะมองแต่ผลที่ออกมา....โดยที่ไม่มองถึงความพยายามของคนทำงาน....แต่สังคมมันแบบนี้จริงๆ......คุณน่าจะเคยเห็น......ต่อให้พยายามทำดีแค่ไหน.....ถ้า Result มันออกมาห่วย.....ก็แสดงว่าห่วยแค่นั้นครับ......

....ผมขอโทษนะครับ....ที่ผมไม่ได้ติเพื่อก่ออะไรสักเท่าไรนัก....ถ้าคุณไม่พอใจก็ขอโทษด้วย.....แต่ผมแค่อยากทราบ...และถามด้วยความพยายามที่จะเคารพจริงๆครับ[ยืมพี่ Dhan มาสักนิด].......ขอบคุณจากใจครับ.....



Posted by : Death , Date : 2004-05-08 , Time : 17:09:49 , From IP : 172.29.3.252

ความคิดเห็นที่ : 11


   ประการแรก ไม่มีใครอับอาย กับการที่แพทย์ Intern ของเราถามคำถามเพราะเขาไม่ทราบ และต้องการจะดูแลรักษาผู้ป่วยที่เขารับมอบหมาย

ประการที่สอง เราลองมาทำ factual debate ดูนะครับ เรามี case ตัวอย่างหนึ่งหรือสองราย assume ว่าเป็น Intern ถามคำถามซึ่ง legitimate ที่จะถามในฐานะที่เป็นแพทย์เสริมทักษะ ตรงนี้ไม่ว่าจะเป็นตัว Intern เอง หรือสถาบันที่ฝึกอบรมมาไม่มีเหตุผลที่จะต้องละอายหรือเสื่อมเสียตรงไหน แต่ทำไมผมถึงว่ามี "ระบบ" ที่สมควรมองให้ลึกจากกระทู้คุณ Dhan นั่นเป็นที่ "วิธี" ที่ใช้ในการถามครับ ไม่ใช่ตัว contents โจทย์ที่ถาม ถ้าเป็นเชิงข้อสอบหรือ OSCE นั้น OK ที่จะมาลองถามกันโดยไม่ต้องมีการเร่งด่วนเพื่อให้ได้คำตอบทาง Internet แต่ถ้าเป็น case ผู้ป่วยนั้น เราทุกคนทราบดีว่าต้องมีการประเมินให้ครบทุกด้านจึงจะแนะนำได้ถูกต้อง อย่างที่กระทู้เรื่องการปรับ respirator จะเห็นว่าเราต้องการรายละเอียดอีกมาก ก่อนที่จะสามารถให้คำปรึกษาได้ และ Internet ก็จะไม่ใช่ระบบหรือวิธีที่ปลอดภัยสำหรับมาใช้ ซึ่งผม (และเชื่อว่าคุณ Dhan) ได้ address ปัญหาของระบบ consult หรืออาจจะเป็นที่ความสัมพันธ์ระหว่าง Intern กับแพทยพี่เลี้ยง ระบบตรงนี้ทางคณะฯ อาจจะต้องมีการปรับ quality control แต่นั่นเป็นการออกไปนอกสถาบันและข้ามขอบเขตของ jurisdiction ไปไกล

ประการที่สาม จาก factual data ในขณะนี้มีอะไรที่บอกว่า "หมอ มอ. ห่วย"? บ้าง ผมเกรงว่าจากข้อมูลที่เราอยู่ ข้อสรุปหรือแนวโน้มค่อนข้างจะตรงกันข้ามกับ excerpt ดังกล่าว ผมคิดว่าหมอที่จบมาจาก มอ. มีความภาคภูมิใจในสถาบันเป็นส่วนใหญ่ เท่าที่ผมมีโอกาสออกไปตรวจเยี่ยม Intern และได้สัมผัสพูดคุยกับผู้บรหารและแพทย์พี่เลี้ยงที่ดูแล Intern ของเรา จริงอยู่ยังมีหลายประการที่เราสามารถและต้องการจะทำให้ดีขึ้นอีก แต่ยังห่างไกลจากคำว่าหมอ มอ. ห่วย ที่คุณใช้ในการติเพื่อก่อมาโดยตลอด ตรงนี้จะเลยไปถึงประการต่อไป

ประการที่สี่ คณะฯต้องอับอายจากความเสื่อมเสีย ความห่วยของหมอที่จบมาแค่ไหน หรือไม่ อย่างไร จากข้อสามเราไม่คิดว่าหมอ มอ. ห่วย (ยกเว้นคุณจะมีหลักฐานเพิ่มเติมจากที่เรามีอยู่ในขณะนี้มานำเสนอ) ดังนั้นกรณีนี้ก็ mute ไป

ประการที่ห้า ตัด appendectomy ออกไปจากเกณฑ์มาตรฐานแพทยสภาแล้วเราสามารลดหลักสูตรแพทย์เหลือสี่ปีได้หรือไม่ ตรงนี้ต้องกลับไปพิจารณาหลักการและเหตุผลเบื้องต้นว่าทำไมเราตัดหัตถการลง และทำไมเราลดจลนพิสัยลงจากหลักสูตร ไม่ใช่เพราะว่าการแพทย์มีเนื้อหาลดลงนะครับ การแพทย์มีเนื้อหาเพิ่มขึ้นในอัตราเพิ่มที่สูงมาก มากจนเราไม่สามารถจะตามสอนตามเรียนได้ไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราไม่ได้สอน skill อีกประการหนึ่งคือ IT skill, professionalism skill, และ evidence-based medicine skill ทั้งสามประการต้องใช้ทั้ง cognitive, psychomotor, และเจตคติ และ ใช้เวลาในการฝึกอบรม ไม่น้อยกว่ารายวิชาที่ตัดออกไป จริงๆแล้วถ้าไม่เอาเรื่องความต้องการใช้แพทย์ในชุมชนมาคิด ผมยังคิดว่าน่าจะยืดเวลาการเรียนแพทย์ออกไปอีกสักปีสองปี รวมทั้งตัด contents ออกเพิ่มซะด้วยซ้ำ เอาเวลามาสอน EQ ให้แพทย์น่าจะได้ประโยชน์ในระยะยาวต่อประเทศมากกว่า

ประการที่หก าที่เกิดขึ้นมีคนทราบหรือไม่ มีคนทำอะไรกับมันบ้าง จากเท่าที่ผมและอาจารย์ทุกคนในคณะฯ มีหน้าที่ที่จะต้องออกไปตรวจเยี่ยม Intern และ extern ในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ทุกปี ปัญหาที่คุณ Dhan และที่พวกเราพูดอยู่นี้ ไม่ได้เป็นการพูดถึงเป็นครั้งแรกแน่นอนครับ การปรับปริมาณหัตถการ การพูดคุยทำความเข้าใจกับแพทย์พี่เลี้ยงเรื่องความจำเป็นที่ต้องอาศัยรุ่นพี่สำหรับเรื่องหัตถการได้รับการตอบสนองจากทุกฝ่าย หรือเป็นส่วนใหญ่ รุ่นพี่หมอของพวกเราที่อยู่ที่สุราษฏร์ นครฯ กระบี่ สตูล ฯลฯ นั้นมีความกระตือรือร้นแลเพบปะพูดจกันเรื่องนี้อย่างสม่ำเสมอ (ทราบจากรายงานสรุปผลแต่ละครั้งที่เราออกไปตรวจเยี่ยม) ดังนั้นคนที่เป็นห่วงเรื่องคุณภาพของหมอ ไม่ได้มีอยู่เฉพาะบนกระดานข่าวแห่งนี้แน่นอนครับ เราสามารถให้ credit กับแพทย์สาธารณสุขซึ่งให้ความร่วมมือในการใหความช่วยเหลือในการนเสริมทักษะต่อเนื่องหลังจบใหม่อย่างมาก

ประการที่เจ็ด ผมทราบว่าคำว่า "ประเมิน" นั้นสามารถแปรได้หลากหลายและหลากคุณภาพ แต่อย่างน้อยสำหรับบัณฑิตระดับปิญญาโท หรือเทียบเท่าปริญญาเอกแล้ว ก่อนที่เขาจะสรุปอะไรออกมาบนกระดานข่าว ว่าหมอมันห่วย อาจารย์ไม่ทำงาน คณะฯหมกเม็ดไม่สนใจคุณภาพบัณฑิตที่ตนเองผลิตมาเลยนั้น ผมอยากจะให้การสรุปเช่นนั้นผ่านการไตร่ตรองหรือ research หาข้อมูลที่ช่วยสนับสนุนมาซักหน่อยน่าจะดี



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-08 , Time : 17:45:01 , From IP : 172.29.3.219

ความคิดเห็นที่ : 12


   ....อย่างแรกนะครับ.....คุณเข้าใจผิด[อีกแล้ว].....กลับไปอ่านให้ดีก่อนก็ได้....ผมไม่ได้ว่าใครจะอายที่ไม่รู้....ผมแค่สงสัยว่าการเขียนอะไรถามมาแล้ว.....อาจจะ....อาจจะนะครับ.....แสดงถึงความล้มเหลวของระบบการเรียนการสอนที่ผ่านมา....อย่าที่พี่ Dhan กล่าวไว้ตอนต้น....จะยังมีใครกล้าเขียนถามอะไรอีกหรือเปล่า?...ผมไม่ได้ว่าใครจะต้องละอายที่ไม่รู้......กรุณาอย่าดึงประเด็นให้คนอื่นที่เข้ามาอ่านเข้าใจผมผิดๆเพราะการที่คุณอ่านที่ผมเขียนแล้วไม่เข้าใจ.....

.....อย่างที่สองผมเห็นด้วย......

.....ส่วนอย่างที่สามและสี่ผมรับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง.....คุณกำลังดูถูกผู้ที่จบจากที่นี่โดยเอาผมมาเป็นแพะ.....ผมยังไม่ได้ด่าใครที่เป็นหมอที่จบจากที่นี่.....ผมตั้งคำถามว่า"ระบบ"ที่นี่ห่วยหรือไม่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น.....ไม่ได้ด่าคนหมู่มากเป็นการเหมารวมแบบนั้น....และสิ่งที่คุณเขียนจะทำให้คนจำนวนมากเข้าใจผมผิดได้มาก....กรุณา.....และกรุณากลับไปอ่านดูอีกครั้ง....ผมไม่มีความคิดใดๆในการดูถูกผู้เรียน.....กรุณาหยุดใช้คำพูดที่จะก่อสงครามขึ้นโดยไม่จำเป็น....เพราะคนที่จบจากที่นีทุกคนจะคิดว่าผมด่าพวกเขา.....ซึ่งผมเขียนไว้แล้วว่า....ในฐานะที่คุณมีอำนาจและอยู่ในฐานะที่แก้ไขอะไรได้.....คุณควรจะมองใน"ระบบ"มากกว่าที่จะโยนความผิดให้ผู้เรียน.....ซึ่งถ้าคุณคิดว่าคนที่จบออกมาแย่....จากระบบที่มีอยู่....ก็เหมือนกับคุณกำลังดูถูกผู้เรียนอย่างกลายๆนั่นเอง....กรุณาอีกครั้งที่จะกลับไปอ่านที่ผมเขียนช้าๆ.....และเลิกทำความเข้าใจหรือใส่ใจประโยคใดประโยคหนึ่งที่ผมเขียน....กรุณาสนใจข้อความทั้งหมด......ถ้าไม่เข้าใจกรุณาถามผมได้.....แต่อย่าเอาความคิดเองเออเองแล้วเขียนอะไรที่ไม่ก่อให้เกิดผลดีอะไรออกมาแบบนี้.....ผมคิดว่าผมควรได้รับคำขอโทษจากสิ่งที่คุณเขียนและจะทำให้คนอื่นเข้าใจผมผิดๆแบบนี้นะครับ?....

.....อย่างที่ห้า....ผมเข้าใจที่คุณเขียน....แต่ผมยังอดแปลกใจไม่ได้ว่า...เราใช้อะไรมาเป็นตัวบ่งหรือว่าเราจะตัดหัตถการพื้นฐานอะไรออกบ้าง?....และเราใช้เกณฑ์อะไรในการบอกว่าอะไรจำเป็นหรือไม่จำเป็น?....อันนี้ผมอยากรู้จริงๆ....และผมก็เห็นด้วยว่าดีที่เราจะสอน EQ มากขึ้น [อย่างน้อยๆผมเองก็ไม่ค่อยมีเท่าไรนัก]......ผมอยากทราบจริงๆ...ถ้าไม่ลำบากขอความกรุณาด้วยครับ.....

...สำหรับรายละเอียดในอย่างที่หก...ขอบคุณครับที่อธิบายให้เข้าใจ....

......สำหรับอย่างที่เจ็ด.....ผมยังคงคิดว่าแปลกถ้าเราจะวิเคาระห์ผลเสียของระบบโดยต้องการหลักฐานชัดๆ......คุณต้องการอะไรเหรอครับ....ต้องการข้อมูลผู้ป่วยที่เกิดผลเสียจากการที่เราไม่มี Collar เหมือนตอนที่ผมเรียกร้องหรือเปล่าครับ?....ต้องมีใครสักคนซวยเป็นอัมพาตตลอดชีวิตสักคนก่อนที่เราจะสรรหา Collar มาใช้หรือเปล่า......????.....ผมคิดว่าการประเมินอะไรบางอย่างการที่เราจะได้หลักฐานอะไรชัดๆนี่.....มันหมิ่นเหม่ต่อจรรยาบรรณแพทย์เหลือเกินครับ.....ผมอาจจะไม่ใช่นักวิชาการหรือนักวิจัยแบบคุณที่ต้องการหลักฐานระดับ A หรืออะไรที่ชัดเจนพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างหรอกครับ......เพราะการที่เราจะวิเคราะห์อะไรที่มันจะส่งผลเสียถึงผู้ป่วย......เราอาจจะต้องคิดให้หนักว่าเราต้องการอะไรมากแค่ไหน....หรือแค่สงสัยแล้วเราดำเนินการแก้ไข.....หรือป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหานี่...เป็นทางออกที่ดีกว่าหรือเปล่า?......ขอบคุณครับ.....



Posted by : Death , Date : 2004-05-08 , Time : 22:49:16 , From IP : 172.29.3.220

ความคิดเห็นที่ : 13


   Deduction และ Factual ตกลงนะครับ

ประการที่หนึ่ง
คำว่า "ไม่มีใครอับอาย" ที่ผมเขียนไว้ ความหมายครอบคลุมตั้งแต่ Intern (ซึ่งไม่ได้อยู่ในสิ่งที่คุณพูด) ไปถึงภาควิชาฯและคณะฯที่คุณตั้งสมมติฐานว่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้นักเรียนไม่กล้าถาม
reference @ หลังจากนี้ไปถ้าเป็น Intern ที่เพิ่งจบไป.....อยากจะถามคำถามอะไรทำนองนี้....อาจจะต้องคิดหนัก.....การไม่รู้ไม่ใช่เรื่องน่าละอาย....แต่การที่เขียนถามมาแล้ว.....ทำให้อาจารย์ผู้สอนเกิดความเสื่อมเสีย.....หรือภาควิชาเกิดความอับอายที่อุสาห์ใช้ระบบการเรียนการสอนแบบใหม่แต่กลับไม่ได้อย่างที่หวัง

ขอพูดซ้ำอีกครั้ง ไม่มีครูบาอาจารย์ท่านไหนที่ละอายหรือเสื่อมเสียที่ลกศิษย์กลับมาถาม คุณบอกว่าผมดึงประเด็น แต่ผมว่าการพูดว่ามีอาจารย์ที่จะอับอายเสื่อมเสียเพราะมีลูกศิษย์ถามคำถามนั้นมีความสำคัญที่จะต้อง address

ประการที่สอง
มีการประเมินว่าระบบการเรียนการสอนที่นี่ล้มเหลว
reference @สรุปก็คือคุณไม่ได้ตอบคำถามใดๆของพี่ Dhan เลย.....ไม่ยอมรับว่ามีความล้มเหลวในการเรียนการสอนส่วนหนึ่งของภาควิชา...ไม่เคยที่จะยอมกลับไปทบทวนตัวเอง....ทั้งๆที่ทราบว่าเป็นระบบที่ไม่สมบูรณ์
เราสามารถจะ "กล่าวหา" ว่าระบบการเรียนการสอนที่ไหนล้มเหลวได้หรือไม่ ถ้า "product" มันไม่แย่ ไม่ดี? ยิ่งกล่าวว่า "ระบบ" การเรียนการสอนไม่ดี ยิ่งต้องมีผลกระทบ "อย่างเป็นระบบ" ต่อผลผลิตของระบบนั้นๆ ไม่มีผลผลิตอันไหนที่จะรอดพ้นไปได้ เพราะไม่ใช่ discrete case แต่เป็น systematic error มีอาจารย์แพทย์เพียงคนเดียวหรือไม่ที่รับผิดชอบต่อผลิตผลบัณฑิตแพทย์จากสถาบันหนึ่งๆ
ถ้าคุณคิดว่าบัณฑิตแพทย์ที่นี่ผ่านการฝึกอบรมที่ "ระบบล้มเหลว" แต่คุณภาพยังดีอยู่ ผมก็ยอมรับว่าเข้าใจผิด และยินดีขออภัย แต่โดย logic แล้ว คุณบอกว่าระบบการฝึกอบรมที่นี่ ระบบการเรียนการสอนที่นี่มันล้มเหลว และเราไม่สามารถจะประเมินระบบไหนๆว่ามันล้มเหลวหรือเลวไปได้ถ้าไม่ได้มาจากการ observe ผลผลิตที่ไม่ดี
ตกลงคุณคิดว่าบัณฑิตที่นี่คุณภาพดีทั้งๆที่ระบบการเรียนการสอนล้มเหลว? อะไรคือนิยามของ "ล้มเหลว" ล่ะครับ? ไหนๆเราจะ scrutinize system แล้ว คุณไม่ได้มีที่มามาจากการประเมิน "ผลผลิต" ก่อนหรอกหรือ?

ประการที่สาม
ประโยคต่อไปนี้คุณจับยัดใส่ปากผมเอง
reference @ ซึ่งถ้าคุณคิดว่าคนที่จบออกมาแย่....จากระบบที่มีอยู่....ก็เหมือนกับคุณกำลังดูถูกผู้เรียนอย่างกลายๆนั่นเอง
เพราะที่ผมพูดคือ
reference @จาก factual data ในขณะนี้มีอะไรที่บอกว่า "หมอ มอ. ห่วย"? บ้าง ผมเกรงว่าจากข้อมูลที่เราอยู่ ข้อสรุปหรือแนวโน้มค่อนข้างจะตรงกันข้ามกับ excerpt ดังกล่าว ผมคิดว่าหมอที่จบมาจาก มอ. มีความภาคภูมิใจในสถาบันเป็นส่วนใหญ่ เท่าที่ผมมีโอกาสออกไปตรวจเยี่ยม Intern และได้สัมผัสพูดคุยกับผู้บริหารและแพทย์พี่เลี้ยงที่ดูแล Intern ของเรา ไม่ทราบว่าการที่คุณ quote ตรงกันข้ามกับที่ผมพูดนั้น คุณควรจะขออภัยหรือไม่

ประการที่สี่
ผมไม่ต้องการขนาด evidence-based หรือสถิติหรอกครับ แต่อย่างน้อยที่สุด การสรุปอะไรนั้น มันจะ ต้องมีที่มา คุณจะบอกว่าระบบอะไรสักอย่างหนึ่งมันห่วย มันต้องมีที่มา จะบอกว่าครูอาจารย์ไม่เคยทบทวนตนเอง มันก็ต้องมีที่มาที่ทำให้เชื่อแบบนั้น จะบอกว่าแบบไหนดีกว่าแบบไหน มันก็ต้องมีที่มา จะพูดแบบ anecdotal (short story based on your personal experience) นั้นมันค่อนข้างลด credibility ไม่งั้นแล้วเราตื่นมาก็อาจจะมีเรื่องราวแปลกๆเกิดขึ้นในหัวเรามากมายและวิ่งตามแก้นั้น มันจะไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพ

สรุปแล้วเหลือสองประเด็น
หนึ่งคือถ้าคุณคิดว่าระบบการเรียนที่นี่มันล้มเหลว คุณประเมินจากอะไร? ถ้าไม่ใช่ผลผลิตคือแพทย์ที่จบจากที่นี่
สอง กรณ๊ที่เกิดมานี้ จะทราบได้อย่างไรว่าไม่ใช่ discrete case จาก sample ทั้_หมดหนึ่งหรือสองเหตุการณ์ เท่านี้เพียงพอแล้วหรือไม่ที่นำไปสู่ข้อสรุปว่าระบบล้มเหลว?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-08 , Time : 23:44:32 , From IP : 172.29.3.250

ความคิดเห็นที่ : 14


   พึ่งพบว่าไม่ได้ตอบข้อห้าไปหนึ่งข้อ

เรื่องหัตถการนี่มีรากฐานมาจากปัญหาเรื่อง "สิทธิผู้ป่วย" ครับ หัตถการต้องอาศัยจลนพิสัยในการเรียนรู้ (psychomotor damain) ความชำนาญที่ไม่เพียงพอสามารถเปลี่ยนเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ที่มี sequelae ยาวนานได้ ยกตัวอย่างเช่น Herniorhaphy แม้แต่ศัลยแพทย์เองก็ไม่อยากทำ recurrent hernia ใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้น เราต้องการให้คนทำคนแรกเป็นคนที่สามารถจะทำได้ดีที่สุดไปเลยครั้งเดียว ผมเคยผ่าตัด recurrent hernia ครั้งที่ห้าในผู้ป่วย 80+ ปี ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่เลย

ปัญหานี้ trace กลับไปที่ปรัชญาการแพทย์คือประโยชน์ของผู้ป่วย และมีผลต่อการวางแผนนโยบายและการกำหนดตำแหน่งผู้เชี่ยวฃาญสาขาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาที่เกี่ยวข้องกับการทำหัตถการ ได้แก่ ศัลย์ สูติ ออร์โธปิดิกส์ (ใครเคยออก OPD ออร์โธฯสมัยก่อนจะเห็น series ของ maluninon, non-union fracture จากการรักษากลางบ้านจำนวนมาก ไม่ทราบเดี๋ยวนี้เป็นยังไง)

ดังนั้นหัตถการที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ หรือ หัตถการที่ผลการรักษาจะมี ความต่าง มากถ้าให้ผู้เชี่ยวชาญทำเมื่อเปรียบเทียบกับให้ GP ทำ เราปรับเปลี่ยนถอดออกจากเกณฑ์มาตรฐานแพทยสภาหมด คนที่ให้ความเห็นว่าอะไรเป็นอะไรก็จะเป็นพ่อหมอแม่หมอรุ่นคณบดี รุ่นศาสตราจารย์ ฯลฯ นั่นแหละครับ ข้อมูลไม่มีรายละเอียด แต่ผมก็ไม่มีความรู้ระดับที่จะไปเถียงบรรดาอธิการบดีหรือคณบดีมหาวิทยาลัยแพทย์ว่าที่คุณทั้งหลายว่ามานั้นมันผิด

กลับมาที่ appendix ไส้ติ่งเป็น case ที่ไม่เร่งด่วน (ถามดมยาฯดูก็ได้ ) ฉะนั้นในยุคสมัยที่สิทธิผู้ป่วยหรือประโยชน์ผู้ป่วยถูกปรับให้สอดคล้องกับระบบการทำงานสาธารณสุข เราก็แนะนำให้ refer ไปหาคนที่ qualified ถ้าเป็น case เร่งด่วนเพราะมันแตก หรือสงสัยอย่างอื่น ก็ยิ่งต้อง refer เพราะไม่ใช่ case ที่คนผูก stump ไม่เป็นจะทำเองคนเดียวแน่นอน จะเห็นว่าเกณฑ์มาตรฐานชุดใหม่จะเน้นเรื่องการสามารถ resuscitate หรือกู้ชีวิต กู้สถานการณ์เบื้องต้นให้นานพอที่จะส่งต่อไปได้ เราหวังว่ากรณียกเว้นที่ refer ไม่ได้และไม่ทำอะไรตรงนั้นผู้ป่วยจะตายจะค่อยๆลดน้อยลง แต่ก็จะขึ้นอยู่กับคุณภาพและปริมาณของผู้เชี่ยวชาญที่เราส่งออกไป fill ตำแหน่งต่างๆนี่แหละครับ รวมทั้งระบบคมนาคมระหว่างจุดสองจุดที่จะทำให้นโยบายนี้ work



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-09 , Time : 11:41:39 , From IP : 172.29.3.253

ความคิดเห็นที่ : 15


   ....เอาหละ.....ที่หละอย่างละกัน.....อย่างแรก....คุณก็ยังอ่านที่ผมเขียนไม่เข้าใจอยู่ดี.....ผมไม่ได้ว่าใครจะน่าละอาย.....เพียงแต่ผมตั้งข้อสงสัยว่า....ถ้าเกิดคำถามออกมาแล้ว......คำถามนั้นอาจจะย้อนมาถึงความล้มเหลวของการเรียนการสอนได้นี่......แบบที่พี่ Dhan กล่าวไว้ตอนต้นนั่นนะ...ยังจะมีคนถามอยู่หรือเปล่า?....นั่นคือข้อสงสัยของผม....ซึ่งคิดว่าคุณก็ยังคงไม่เข้าใจ....ผมคิดว่าไม่มีใครละอายหรอกครับ....อาจารย์ก็ยังคงยินดีจะตอบคำถามนั่นอยู่ดี.....ลองอ่านดูดีๆอีกที่ก็แล้วกัน....ข้อความที่คุณยกมานั่นหละ.....อ่านทั้งประโยคนะครับ....เผื่อจะเข้าใจบ้าง.....

......อย่างที่สอง.....ผมคิดถึงเรื่อง Product เหมือนกันในการประเมิน....แต่ในฐานะที่คุณเป็นครูบาอาจารย์อย่างที่ว่า....คุณควรจะประเมินตัวเองและระบบก่อนให้ดีหรือเปล่า....ก่อนที่จะไปโทษลูกศิยษ์นะครับ?......ที่ผมไม่พอใจมากๆคือคำที่คุณเลือกมาใช้....โดยใส่ปีกกาเอาไว้ให้เห็นชัดๆ....โดยคุณเหมาเอาเอง....และถ้าคนที่มาอ่านเกิดอ่านผ่านๆ....เขาจะเห็นแต่ไอ้คำที่คุณเลือกมา.....และจะทำให้ใครก็ได้เข้าใจว่าคุณกำลังรบกับผมที่หาเรื่องแพทย์ที่จบที่นี่ทุกคน.....ซึ่งนั้นไม่ใช่วิธีที่คุณควรจะใช้เท่าไรนัก...ผมคิดว่าคุณเก่งในการเลือกคำพูดนะ.....แต่คุณมีวิธีที่ดีกว่านี้ในการถกเถียงกับผมมากกว่าดึงคนหมู่มากเข้ามาเข้าใจผิดและถล่มผม....ถ้าคุณไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นผมขออภัยด้วย.....แต่ผมขอให้คุณเลิกใช้คำพูดนั้นซะ....เพราะมันทำให้คนเข้าใจผิดถ้าอ่านไม่ดี.....ตกลงไหมครับ?......หรือถ้าคุณจะไม่เลือกวิธีการในการ Discuss กับผม....ผมก็คงไม่ว่าอะไรครับ....

.....อย่างที่สาม.....ผมนั่งอ่านดูอีกที่แล้ว.....น่าจะเป็นไปได้ที่ผมใช้คำพูดที่ทำให้งงมากขึ้น.....ขออภัยตรงจุดนั้นด้วยครับ......

......อย่างที่สี่......ผมไม่มีที่มาอะไรที่น่าเชื่อถือ....แต่ผมรู้สึกเห็นด้วยกับที่พี่ Dhan เขียนตอนแรก...."แต่สิ่งเหล่านี้กำลังสะท้อนความล้มเหลวของทั้งระบบการเรียนการสอนและการบริการสาธารณสุข"........ผมคิดว่าทั้งผมและพี่ Dhan คงไม่มีหลักฐานหรืออะไรที่เข้าท่าที่มาเขียนแบบนั้น.....แต่ในความเห็นของผม....ผมคิดว่าการที่เราจะใส่ใจอะไรที่เป็นปัญหาที่จะส่งผลถึงผู้ป่วย......เราควรจะเริ่มสนใจในจุดที่สงสัยว่าน่าจะมีปัญหา.....ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้ได้เห็น....แต่ถ้านสิ่งเหล่านั้นจะส่งผลเสียแก่ผู้ป่วย...การที่เราจะเริ่มป้องกัน....หรือหาแนวทางแก้ไข.....ย่อมดีกว่าปล่อยให้เกิดปัญหาและมีคนซวยขึ้นมาก่อนไม่ใช่เหรอครับ?...จริงครับที่ผมไม่มี Referrence ใดๆ.....แต่ผมถามหน่อยเถอะ...ถ้าคุณเห็นอยู่ตอนนี้คุณจะลงมือแก้ไขอะไรไหมหละ.....หรือว่ารอไปก่อน???.....อะไรจะดีกว่ากันระหว่างปล่อยให้มีปัญหาแล้วค่อยแก้.....หรือว่าป้องกันซะก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น...??

.........ส่วนคำถามที่คุณถามมา.....ผมตอบอยู่ในสี่อย่างข้างต้นแล้วครับ

........ขอบคุณสำหรับอย่างที่ห้า......แต่ผมถามอีกนิดเถอะครับ....คุณไม่สนใจจะรู้เหรอครับว่าระดับคณบดีเหล่านั้น.....เอาความคิดมาจากไหน.....และใช้อะไรเป็นตัวตัดสินใจที่จะเลือกอะไรออกมา......เพราะผมเริ่มสงสัยอะไรแปลกๆเช่นว่า.....ถ้าเป็นเช่นนี้อีก 10 ปีเราอาจจะต้องเคารพสิทธิผู้ป่วยมากขึ้นจนกระทั้งนักเรียนแพทย์ไม่สามารถแตะตัวผู้ป่วยได้เลย.....และถ้าหัตถการทั้งหมดค่อยๆถูกตัดออกไป.......แสดงว่าอีกหน่อยเราอาจจะเห็นการเรียนแพทย์จากการอยู่บ้าน.....เปิดคอมพิวเตอร์ออนไลน์เรียน....ไม่ต้องมาโรงพยาบาลแล้วเพราะทำอะไรไม่ได้เลย?....หรือเปล่า?......ขอบคุณครับ



Posted by : Death , Date : 2004-05-09 , Time : 12:50:27 , From IP : 172.29.3.246

ความคิดเห็นที่ : 16


   ย้ำอีกครั้ง intern ยังไม่ถือว่าจบโดยสมบูรณ์ การที่นักเรียนถามคำถามครูหรือรุ่นพี่ขณะที่เขายังไม่จบการศึกษามันย้อนมาถึงความล้มเหลวทางการศึกษาได้อย่างไร? และผมเข้าใจในตอนแรกว่า เราเข้าใจตรงกันว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับ contents แต่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง intern กับระบบแพทย์พี่เลี้ยงข้างนอก ทำไมมันถึงได้ย้อนกลับมาที่สถาบันตั้งต้นได้ใหม่อีกล่ะครับ?

คุณยังไม่ได้ตอบคำถามว่าคุณใช้อะไรในการประเมินว่าระบบการเรียนการสอนล้มเหลว ถ้าไม่ได้มาจากการ observe product?
จะพบว่าที่ผม quote นั้น มาจาก ทั้ง paragraph เพราะการคัดมาเป็นเศษๆนั้นอาจจะไม่สื่อ อย่างน้อยจุดเริ่มต้นในที่นี้คือ "ความล้มเหลวในการเรียนการสอน" ที่คุณว่านั้นมาจากไหนล่ะครับ ก่อนที่เราจะ โทษ ใคร และถ้าพูดถึงโทษใคร หรือ blame ว่าใครผิดนั้นผมไม่ได้ advocate ตั้งแต่แรก
reference @โดยส่วนตัวผมคิดว่าภาษาของ constructive criticism นั้น ไม่ใช่ล้มล้าง แต่เป็นเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ล้มเหลวแต่เป็นโอกาสที่จะดีขึ้น ไม่ใช่ใครควรจะถูกตำหนิแต่เป็นความช่วยเหลือแบบไหนที่ใครต้องการ
และ
reference @ผมคิดว่าไม่มีใคร blame คนถามหรือคนอยู่เวรที่ต้องการความช่วยเหลือเลยนะครับ

ช่วยขยายความส่วนดังต่อไปนี้นะครับ เผื่อจะมีการเข้าใจผิด
reference @ผมคิดถึงเรื่อง Product เหมือนกันในการประเมิน....แต่ในฐานะที่คุณเป็นครูบาอาจารย์อย่างที่ว่า....คุณควรจะประเมินตัวเองและระบบก่อนให้ดีหรือเปล่า....ก่อนที่จะไปโทษลูกศิษย์นะครับ
1. คุณคิดถึง product ว่าอย่างไรครับ ก่อนที่คุณสรุปต่อไปว่าน่าจะมีการประเมินตนเองหรือโทษใคร
2. มี factual data ส่วนไหนที่แสดงว่า "อาจารย์" ไม่มีการทบทวนตนเองและระบบ? (ผมคิดว่า product ที่เราเห็นในระยะนี้ ผมมีส่วนสัมผัสน้อยมาก เพราะผมกลับมาได้ไม่ถึงสองปีดี คุณหมายถึงอาจารย์คณะแพทย์หรอืใคร?)

ผมใช้คำพูดอย่างระมัดระวังที่ต้องการจะสื่ออย่างที่ผมต้องการจะสื่อ ใครเห็นด้วยหรือไม่นั้น ผมให้เกียรติคนอ่านมาเขาใช้ วิจารณญาน ไม่ใช่หลงคารม ผมคิดว่าการดูถูกคนหมู่มากว่าไม่สามารถใช้วิจารณญานไม่ใช่จุดตั้งต้นที่ดี

reference @ผมไม่มีที่มาอะไรที่น่าเชื่อถือ....แต่ผมรู้สึกเห็นด้วยกับที่พี่ Dhan เขียนตอนแรก...."แต่สิ่งเหล่านี้กำลังสะท้อนความล้มเหลวของทั้งระบบการเรียนการสอนและการบริการสาธารณสุข"........ผมคิดว่าทั้งผมและพี่ Dhan คงไม่มีหลักฐานหรืออะไรที่เข้าท่าที่มาเขียนแบบนั้น
ช่วยขยายความประโยคข้างบนสักนิด
1. เมื่อคุณไม่มีที่มาอะไรน่าเชื่อถือ ทำไมคุณถึงได้ข้อสรุปว่ามีการล้มเหลวของระบบสาธารณสุขและการเรียนการสอน?
2. ที่ว่าคุณเห็นด้วยกับคุณ Dhan นั้น คุณมั่นใจและสอบถามแล้วใช่ไหมครับว่าทั้งหมดที่เขียนมานีคุณ Dhan เห็นด้วยกับคุณ มีการตรวจสอบหรือไม่?
3. ทำไมคุณสรุปว่าคุณ Dhan ไม่มีหลักฐานสนับสนุนในสิ่งที่เขาพูดออกมาครับ? ผมเกรงว่าสรุปเช่นนั้นเป็นการดึงเบคคลที่สามมาในลักษณะที่ไม่สร้างสรรค์เท่าไหร่นักหรือไม่?

จนเล่าขบวนการทั้งหมดว่าคณะเราได้ทำอะไรไปบ้างในการ address ปัญหาและทางแก้ไข ผมยังไม่ได้ตอบคำถาที่ว่าไปหลายครั้งแล้วหรือครับ?

ช่วยกรุณาบอกวิธีการที่เราจะทราบที่มาของการคิดของคณบดีศิริราช จุฬา หรือรามา หรืออธิการบดีมหาวิทยาลัยต่างๆให้ฟังหน่อยก็ดีครับ เอาในทางปฏิบัตินะครับ ใจผมคิดว่าท่านทั้งหลายคงจะเอามาจากประสบการณืที่ท่านมีในระบบการเรียนการสอนและระบบสาธารณสุขนับหล่ายสิบปีนั่นแหละครับ ในขะที่ผมสงสัยว่าคนที่สงสัยที่มานั้นมีประสบการณ์ในเรื่องการเรียนการสอน และระบบสาธารณสุขมานานเท่าไหร่ ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจเหมือนกัน

paragraph สุดท้ายนี่ผมเดาว่าเป็น exaggeration ใชไหมครับ หรือว่าคุณมีหลักฐานที่ทำให้เราสรุปได้ว่านั่นคือทิศทางที่เราจะลงเอย?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-09 , Time : 15:30:47 , From IP : 172.29.3.198

ความคิดเห็นที่ : 17


   .......เอาหละถ้าคุณจะอ้างว่าผู้อ่านมีวิจารนญาณเพียงพอที่จะตัดสิน....ผมคงไม่เถียงในจุดนั้น....แต่นั้นไม่ได้หมายถึงคุณจะเขียนหรือใช้คำพูดอะไรก็ได้....โดยเชื่อว่าคนจะต้องเข้าใจที่คุณเขียนไปในทางเดียวกันเสมอ...อาจจะสรุปในความเห็นส่วนตัวของผมก็ได้ว่า.....คุณคงไม่เลือกวิธีเท่าไดนักในการที่จะถกเถียงกับผมตรงนี้.....ผมคงตอบสั้นๆลงแล้วกันนะครับ......หวังว่าคงเข้าใจ....

......ผมตอบไปแล้วครับว่าผมคิดถึง Product ซึ่งคุณก็เอามาเขียนอยู่ทนโท่นั่น....แล้วจะหาว่าผมไม่ตอบได้อย่างไร....แต่ผมไม่แปลกใจหรอก...คุณไม่ค่อยเข้าใจอะไรที่ผมเขียนนักหรอกครับ....ผมคงสรุปว่า Product ในสายตาและความคิดของผมเป็นสิ่งจำเป็น....แต่ผมจะไม่โทษ Product แย่ก่อน...ในเมื่อเรามีโรงงานที่น่าจะใส่ใจมากกว่า.....คำตอบแค่นี้น่าจะพอนะครับ....หรือถ้าอยากได้คำตอบอะไรที่ถูกใจก็บอกได้ครับ....บางทีผมอ่านแล้วผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคุณอยากให้ผมตอบแบบไหน....ตอบไปก็หาว่าไม่ตอบ....

....ส่วนเรื่องพี่ Dhan นั่น....ผมคงรอให้พี่ Dhan ออกมาบอกเล่ารายละเอียดตรงนั้นเอง....ส่วนของผมคงยอมรับว่าผมกล่าวหาระบบการเรียนการสอนนี้แบบเลื่อนลอย....ไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน....และผมคิดว่าคุณควรดำเนินการทางกฎหมายกับผมได้ในฐานะที่ดูถูกระบบเหลือเกิน....ถูกใจไหมครับกับคำตอบนี้....ดีจังนะครับ...กับการที่อยากจะเห็นอะไรดีขึ้น....แต่กลายเป็นว่าผมกลายเป็นอาชญากรที่พยายามที่จะล้มระบบการเรียนการสอน...คิดว่าที่ผมเขียนเป็นบัตรสนเทห์ก็ได้มั่งครับ.....ดูทุเรศดี....ไม่มีความหมายอะไรในการพัฒนาอะไรเลย....

....ส่วนเรื่องความสงสัยในการตัดสินที่จะตัดหัตถการอะไรออกนั่น....ผมสงสัยและตั้งคำถามกับคุณครับว่าคุณไม่อยากที่จะทราบหรือครับว่าคณบดีเหล่านั้นคิดอย่างไร.....ผมไม่ได้มีอะไรจะแนะนำว่าควรทำอย่างไรถึงจะทราบ.....ถ้าคุณไม่อยากทราบและก้มหน้าก้มตาทำงานที่ได้รับมอบหมายมา....โดยที่ไม่สงสัยอะไรเลย....ผมคงไม่ว่าอะไร....เพราะแค่ความสงสัยของผม.....คงไม่มีความหมายอะไรมั้ง....กับระบบที่ยิ่งใหญ่เกินตัวผมหรือคุณแบบนี้......

.....อ่านที่คุณเขียนมาเรื่อยๆแล้ว...เหมือนกับว่าผมกำลังทำอะไรงี่เง่าอยู่...เอาหละ.....อยากถามอะไรอีกก็ว่ามาเลย....วันนี้ผมยังว่างผมจะตอบให้ครับ....เพราะพรุ่งนี้ผมจะไม่อยู่ชั่วคราวครับ....

.....เออ....ผมถามนิดสิครับ....Intern นี่ยังถือว่าไม่จบสมบูรณ์อีกหรือครับ?...ถ้าแบบนี้อนาคตเราต้องเรียนสักกี่ปีเนี่ย?.....แล้วคงมีแต่ Old staff เท่านั้นที่ได้รักษาผู้ป่วยหรือเปล่า?.....ผมจะได้ทำใจไว้.....เผื่อจะไปหา Taxi ขับแทน......เฮ้อออ....



Posted by : Death , Date : 2004-05-09 , Time : 19:31:59 , From IP : 172.29.3.175

ความคิดเห็นที่ : 18


   ผมเข้าใจว่าคำพูดหรือภาษาที่ผมเลือกใช้บนกระดานแห่งนี้หรือที่ไหนๆก็ตาม เป็นไปตามสิ่งที่คนได้รับการศึกษาและชุมชนการศึกษาจะยอมรับ ถ้าคุณจะ ban ส่วนไหนหรือเสนอว่าไม่ดีในการอภิปราย ยินดีเปิดโอกาสให้จำเพาะเจาะจงออกมาให้ชัดเจนครับ ผมจะอธิบาบถึงความหมายและความตั้งใจที่ผมพูดอย่างนั้น

คุณพูดว่าคำนึงถึง product แต่ผมถามว่า อย่างไร นั้นหมายความว่า คุณประเมิน product ว่าอย่างไรครับ อืม...ขยายความยากเหมือนกันแฮะ คุณคิดว่า Product คุณภาพเป็นอย่างไร ชัดเจนขึ้นไหมครับ?

ลองประเมินหลายๆ paragraph สุดท้ายที่คุณเขียนมาดู ผมไม่แน่ใจว่าอันไหนบ้างที่เป็นแค่ประชดประชัน และอันไหนบ้างที่เป็นส่วนที่คุณตั้งใจถามเพื่อได้คำตอบจริงๆ ลองแยกแยะออกมาให้หน่อยก็ดีเหมือนกัน

ทำไมผมจะไม่อยากทราบว่าพ่อหมอแม่หมอเราคิดยังไง เพียงแต่ในทางปฏิบัติมันทำได้หรือครับที่เราจะไปนั่งเทียนหยั่งรู้ว่าในที่ประชุมเกณฑ์มาตรฐานแพทยสภานั้นแต่ละท่านคิดอะไรอยู่ สิ่งเดียวที่ผมทำได้เพื่อความเข้าใจคือศึกษาเพิ่มเติมให้เข้าใจระบบสาธารณสุขของเมืองไทยให้มากขึ้น ศึกษาเพิ่มเติมแพทยศาสตร์ศึกษาให้มากขึ้น เผื่อว่าสักวันหนึ่งผมจะเกิดธรรมจักษุและเห็นความเป็นมาเป็นไปอย่างที่พ่อหมอแม่หมอของเราเขากำหนดนโยบายประเทศในขณะนี้ ผมคงไม่ไปนั่งประท้วงโสวยวายโดยไม่มีหลักฐานข้อมูลไปโจมตีว่าอะไรมันล้มเหลว อะไรมันไม่ดี เพราะทำอย่างนั้น เขาถามแค่คำเดียวว่าเราคิดออกมาได้ยังไงก็ตอบไม่ได้แล้ว ดูแล้วไม่ค่อยจะเหมาะสมกับบริบทของเราเท่าไหร่

Intern นั้นเสริมทักษะอีกหนึ่งปีแค่นั้นเองครับ หกบวกหนึ่งเป็นเจ็ดปี ในอนาคตจะเรียนกี่ปีนั้น จากข้อมูลในปัจจุบันน่าจะบอกยาก แต่จากข้อมลที่มีอยู่คนจบ extern สองปีก็เป็นหมอเต็มตัวแล้ว ผมว่านั่นห่างไกลจากการเป็น old staff อีกไกล

ผมเคยกล่าวไว้นานแล้ว และเห็นใจที่คุณไม่มีความศรัทธาอะไรในตัวผมเลย (referenced @หลายกระทู้ก่อนหน้านี้) ก็อาจจะลืมไปได้ ว่าการอภิปรายทาง academic หรือทางไหนก็ตาม ถ้าเริ่มใช้อารมณ์เมื่อไหร่ ตรรกศาสตร์ของเราจะลดลงเท่านั้น ตรรกศาสตร์ลดลงความเป็นเหตุเป็นผลไม่ต่อเนื่อง ข้อสรุปก็จะไม่มี factual data support การอภิปรายที่ใช้เหตุใช้ผลเป็นเกณฑ์นั้น ตอยจบไม่มีอาชญากร ไม่มีการบาดเจ็บ และจำเป็นมากในชีวิตจริง เช่น ตอนสอบ viva voce เพราะถ้าคุณอ้างอิงอะไรที่มันเป็นแค่ anecdotal ในสนามสอบแล้วล่ะก็ หรือตอบอย่างที่ทำในกระทู้นี้ที่ว่าผมไม่มีหลักฐานอะไรหรอกครับมาสนับสนุนข้อสรุป ผมเกรงว่านั่นจะไม่ค่อย healthy ต่อการสอบเพื่อได้วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญเท่าไหร่ ถึงคุณจะเกลียดและเสื่อมศรัทธาผมมากเท่าไหร่ก็ตาม ขอให้เชื่อส่วนสุดท้ายนี้ไว้ให้ดี การประชดประชันอาจจะมีประโยชน์ในการสนทนาสังสรรค แต่เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลด credibility ของการอภิปราย



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-09 , Time : 20:03:23 , From IP : 172.29.3.238

ความคิดเห็นที่ : 19


   ...สำหรับเรื่อง Product....ถ้ามองเหมือนโรงงาน.....ไม่แปลกที่โอกาสของการผลิตอะไรมากๆโดยเอาจำนวนเข้าว่า.....อาจจะมี Product ที่มี Defect เกิดขึ้นมาได้...ตัวอย่างเช่นผมเองก็เป็น Defect ของโรงงานที่ผลิตผมออกมาเช่นกัน.....แต่ในฐานะที่เราเป็นโรงงานใหญ่.....การจะมองว่า Material ที่นำมาผลิตนั้นแย่....เลยทำให้ End Product มี Defect......ผมคิดว่า[คิดแบบผมเองนะครับ].....เราน่าจะใส่ใจกระบวนการผลิตของโรงงาน.....มิใช่โรงงานแย่....แต่เป็นระบบที่อาจจะมีปัญหาได้หรือเปล่า.....ส่วนการจะรอว่ามี Product ทีเป็น Defect ออกมาจำนวนมากๆก่อนค่อยมาทบทวนกระบวนการผลิตใหม่นั่น.....อาจจะเป็นทางเลือกที่ไม่ดีนัก....เพราะ Product ที่เราส่งออกไป.....อาจจะก่อให้เกิดผลเสียแก่ผู้บริโภค...เราควรจะ Control การผลิตหรือเปล่า......?....ผมมอง Product ว่ามีโอกาสที่จะผิดพลาดได้......แต่ไม่ใช่เหมารวมว่า Product ที่ออกจากโรงงานนี้หรือกระบวนการผลิตนี้จะมี Defect ทุกชิ้น.....และผมคิดว่าการป้องกันการเกิด Product ที่มี Defect จากการกลับไปควบคุมกระบวนการผลิตให้ดี....น่าจะดีกว่าหรือไม่.....ไม่ใช่ให้เผาโรงงานทิ้งและไปสร้าง Product ที่อื่นแทน......ของบางอย่างอาจจะยอมรับกระบวนการผลิตให้ผิดพลาดได้ 1%, 5%, 10% แล้วแต่.....แต่ผลผลิตบางอย่างที่มีผลต่อผู้บริโภคมากๆ.....ถ้าเป็นไปได้....ไม่ควรที่จะผิดพลาดครับ....เราอาจจะต้องยอมผลิตน้อยๆช้าๆ....และนั่งดูแต่ละชิ้นที่ออกมาเพื่อเป็น Product ที่ทรงคุณค่าสำหรับผู้บริโภคครับ.......ถ้าให้เปรียบเทียบความคิดผม....ประมาณนี้หละครับ.....ไม่รู้จะเข้าใจหรือเปล่า?????

...ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ....แต่ผมศรัทธาในความจริง...ผมไม่เขียนอะไรโกหก.....ผมไม่มีหลักฐานก็คือผมไม่มีหลักฐาน.....ผมไม่ต้องอ้างอะไรเพื่อให้ผมดูดีขึ้น.....ถ้ามันจะแย่เพราะพูดความจริง....ก็ช่างมันเถอะครับ...ส่วนเรื่องประชดประชันนั่นเป็นสันดานครับ...ขออภัยจากใจที่เลิกไม่ได้ครับ....ขอบคุณอีกครั้งครับ.....



Posted by : Death , Date : 2004-05-09 , Time : 22:50:21 , From IP : 172.29.3.249

ความคิดเห็นที่ : 20


   ประเด็นอยู่ที่ product นั้นมี defect อย่างเป็น systematic error หรือว่าเป็นตาม bell-shaped (normal variation) ซึ่งเป็นที่มาของการที่เราจะ trace back ไปว่า" "ระบบ" หรือ "individual" defect

ในทางการวิจัย ถ้า defect เป็นที่ Individual นั่นคือ by chance หรือ noise อันนี้หลีกเลี่ยงยาก ยังไงๆเราก็ยอม 2.5% หัวท้าย ซึ่งไม่ว่าจะเรียนจะสอนระบบไหน เราก็จะมีไอ้หัวท้าย 5% นี่ทั้งนั้น

ในทำนองกลับกัน ถ้า defect เป็น systematic เราเรียกว่า bias เป็น defect ที่ methodology ทุกๆ sample จะโดน defect นี้เท่าเทียมกันหมด และผลก็คือมีการ shift ของคุณภาพ product ทุกชิ้น

สองอย่างนี้เกิดขึ้นคนละสาเหตุ และวิธีการแก้ไขคนละแห่งกัน ถ้าไม่ address ตรงนี้ก่อน โถมไปแก้ที่ Individual หรือที่ system มันก็ไม่ตรงจุด แก้เท่าไหร่ๆมันก็ไม่หาย ดังนั้น diagnostic tool ต้องแม่นยำ จึงจะนำมาซึ่งการสรุปหาข้อผิดพลาดได้ถูกต้อง นี่คือการ approach ปัญหาแบบเป็นระบบ

ถ้าเราพูดว่า "ระบบ" มีปัญหา นั่นคือ bias error ในที่นี้คือประเด็นระบบแพทยศาสตรศึกษาของเรา ทุก product จะผ่าน bias อย่างเดียวกัน คุณภาพจะแย่ก็แย่จุดเดียวกัน อันนี้จะเป็นปัญหาที่ serious มาก และต้องแก้ไขที่ระบบการเรียนการสอนแน่นอน นั่นคือ เหตุผลที่ผมพยายามถามให้คุณประเมิน product ว่ามันมี systematic defect หรือแค่ noise แต่คุณยืนยันว่าให้กลับไปตรวจระบบโดยที่ยังไม่ได้ให้ที่มาของ diagnostic result ว่าทำไมคุรถึงคิดว่ามันเป้นระบบ แทนที่จะเป็น individual

ขอยกตัวอยางที่ exaggerate ให้เห็นชัด ถ้ามีคนพูดว่า "ประเทศนี้มันมีระบบผลิตคนที่เลวออกมาทั้งสิ้น" คนที่จะตั้งสมมติฐานอย่างนี้ได้ จะต้องมาจากการ Observe คนประเทศนั้นๆพบว่าเลวหมด ไม่มี variation ที่เป็น noise แต่เป็นระบบ การแก้ไขจะต้องเจาะไปที่อะไรที่เป็นระบบ เช่น ระบบความคิด วัฒนธรรม พันธุกรรม การศึกษาเบื้องต้น ที่ทุกๆคนผ่านกระบวนการเดียวกันมา ตรงกันข้ามกับถ้ามีคนตั้งข้อสังเกตว่า "ทำไมปีนี้คนสอบบางคนมันได้คะแนนน้อยจัง" อันนี้เป็น noise เราแค่ตามไปดู อาจจะพบว่าคนบางคนนั้นอาจจะแค่ท้องเสีย สติแตก เลยทำไม่ได้และคะแนน drop จนผิดสังเกต

ตกลงจาก product ที่คุณประเมิน ผลมันเป็น systematic error หรือว่า noise เราจะได้อภิปรายกันต่อว่านี่เป็นที่ระบบหรือว่า Individual variation การไม่มีหลักฐานแล้วพูดว่าไม่มีหลักฐานนั้น ไม่สามารถจะ support สมมติฐานที่เจาะจงว่าระบบไม่ดีไปได้ ข้อสรุปนั้นจะต้องมี ที่มา รวมทั้งข้อสรุปที่ว่า
reference @ไม่ยอมรับว่ามีความล้มเหลวในการเรียนการสอนส่วนหนึ่งของภาควิชา...ไม่เคยที่จะยอมกลับไปทบทวนตัวเอง....ทั้งๆที่ทราบว่าเป็นระบบที่ไม่สมบูรณ์ นั้น มาจากข้อมูลไหนครับ ผมเคย express ความเห็นบนกระดานแห่งนี้มาหลายหนแล้วว่าการจะ defame ใครหรือสถาบันบนที่สาธารณะนั้น ควรจะต้องมีหลักฐาน ผ่านการตรวจสอบ และสามารถรับผิดชอบในสิ่งที่สรุปออกไป ก่อนที่จะพิพากษาหรือตำหนิหรือด่ากราดไว้ก่อนเพราะมันง่าย




Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-10 , Time : 00:24:12 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 21


   ผม ว่า คุณ death กับ ท่าย Pheonix น่าจะคุยกันเลย น่ะครับ คงจเจอหน้า เจอ ตา กัน อยู่บ่อยๆ ..อยู่ แล้ว ไม่ใช่ เหรอ หรือ ไม่ก้อ เอาเข้าไป discuss ใน english class for resident surgery ก้อ ได้ นี่ครับ

Posted by : The gunner , Date : 2004-05-11 , Time : 00:17:55 , From IP : 172.29.1.139

ผมคาดว่าตอนนั้นอาจารย์คงคิดว่าจบสมบูรณ์แล้ว) ยิ่งจะทำให้นักเรียนแพทย์ที่จบหกปี ขาดทักษะสำหรับ GP ไปจริงๆสิครับ แม้ว่าหลังจากผ่าน 6 ปี ส่วนใหญ่จะทำงานใช้ทุนของกระทรวง ไม่ก็ พชท. แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่ยอมจ่ายเงิน...ไปทำงานเอกชน ตรงนี้อาจารย์ในฐานะส่วนหนึ่งของสภาบันการสอนจะร่วมรับผิดชอบกับ...การรักษาของแพทย์ที่จบหกปีและได้ปริญญามาแล้ว แต่ไม่ได้ผ่าน intern คนนั้นยังไงละครับ... (ก็คงไม่เกี่ยว ถือว่าจบแล้วนี่) อาจารย์คงลืมไปว่าคนที่มาเรียนหมอ ไม่ได้มาเพื่อๆเรียนๆๆๆ จบแพทยศาสตร์หกปี ก็ต่อศัลยศาสตร์ ต่อ med ต่อสูติ....(มีเวลาในการ train มหาลัยอีกเยอะ) ซึ่งตรงนี้มันน้อย... แต่ส่วนใหญ่ต้องออกไปทำงานข้างนอก ผมหมายถึงในแง่ที่ต้องทำงานหาเงิน เลี้ยงพ่อแม่ที่บ้านด้วย.... ซึ่งแน่นอน คงไม่มีเวลามาตั้งใจศึกษา...เพิ่มเติม นั่ง Search หรือ Discuss ถามในกระดานข่าวมากมาย.... คนที่จะอยู่ด้วย อาจเป็นแพทย์ ผอ โรงพยาบาลแก่ๆ หนึ่งคนที่ทำงานบริหาร ห่างวิชาการมานาน... กับหมอรุ่นพี่ที่จบก่อนหนึ่งปีจากสถาบันเดียวกัน..(ความรู้คงพอๆกัน) .... แบบนี้คนที่ซวยคือ คนไข้นะครับ (ตอนนั้นคุณภาพการรักษาที่สูงส่งคงมีแต่ในโรงเรียนแพทย์เท่านั้น ท่านอย่าหวังที่ รพ ชุมชนเลย) หวังแต่จะให้ Refer อย่างเดียว คงไม่ได้ อย่างลืมว่าเราอยู่ในระบบ 30 บาท ที่ รพ. เจ้าของคนไข้ ต้องจ่ายเงินตามหลังให้ รพ.รับ Refer ผมคิดว่าฝ่ายบริหารของโรงบาลน่าจะตั้งกฏที่เข้มงวดพอสมควรกับการ Refer ที่จำเป็น -> ในทางปฏิบัติผมไม่เชื่อว่า case ที่ไม่อยู่ใน Requiment GP ของแพทยสภา จะได้รับอนุญาตให้ส่งต่อทุกราย (แม้โรงบาลนั้นจะมีแต่ GP ก็ตาม) ผม Discuss ไม่เก่ง อ่านแล้วอาจสับสน แต่อยากเสนอมุมมองของ Extern ที่กำลังจะจบ และมองดูไร้อนาคตเหลือเกิน กับภายใต้ระบบการเรียนที่ลดการสอนให้น้อยลงที่สุด แต่เวลาทำงานจริงๆ ต้องอาศัยการสอนของรุ่นพี่ Staff มากที่สุด (ชนิดที่หกปีก็ยังไม่พอ) -> สุดท้ายยังสงสัยว่า ที่ให้ผมตั้งคำถาม และค้นคว้าเองโดยไม่สอน (ในระบบใหม่) ท้ายที่สุดแล้ว ผมก็ต้องมาถามท่านผู้มีประสบการณ์อยู่ดี (อะไรที่ไม่ถามก็ คือ มั่ว) แล้วแบบนี้สู้สอนไปเลย ไม่ดีกว่าเหรอครับ" />
ความคิดเห็นที่ : 22


   " intern ยังไม่ถือว่าจบโดยสมบูรณ์ "....

อาจารย์ไม่น่าคิดแบบนี้นะครับ เพราะว่าหลักสูตรแพทยศาสตร์ มันหกปี ก็รับปริญญา และได้ใบประกอบโรคศิลป์ ถ้าท่านอาจารย์คิดแบบนี้ (แล้วคาดหวังว่า ตอน Extern ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้หรือทำหัตถการ (สำหรับ GP) ได้ทั้งหมด แล้วค่อยฝึกตอน Intern อีก -> ผมคาดว่าตอนนั้นอาจารย์คงคิดว่าจบสมบูรณ์แล้ว) ยิ่งจะทำให้นักเรียนแพทย์ที่จบหกปี ขาดทักษะสำหรับ GP ไปจริงๆสิครับ แม้ว่าหลังจากผ่าน 6 ปี ส่วนใหญ่จะทำงานใช้ทุนของกระทรวง ไม่ก็ พชท. แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่ยอมจ่ายเงิน...ไปทำงานเอกชน ตรงนี้อาจารย์ในฐานะส่วนหนึ่งของสภาบันการสอนจะร่วมรับผิดชอบกับ...การรักษาของแพทย์ที่จบหกปีและได้ปริญญามาแล้ว แต่ไม่ได้ผ่าน intern คนนั้นยังไงละครับ... (ก็คงไม่เกี่ยว ถือว่าจบแล้วนี่)

อาจารย์คงลืมไปว่าคนที่มาเรียนหมอ ไม่ได้มาเพื่อๆเรียนๆๆๆ จบแพทยศาสตร์หกปี ก็ต่อศัลยศาสตร์ ต่อ med ต่อสูติ....(มีเวลาในการ train มหาลัยอีกเยอะ) ซึ่งตรงนี้มันน้อย... แต่ส่วนใหญ่ต้องออกไปทำงานข้างนอก ผมหมายถึงในแง่ที่ต้องทำงานหาเงิน เลี้ยงพ่อแม่ที่บ้านด้วย.... ซึ่งแน่นอน คงไม่มีเวลามาตั้งใจศึกษา...เพิ่มเติม นั่ง Search หรือ Discuss ถามในกระดานข่าวมากมาย.... คนที่จะอยู่ด้วย อาจเป็นแพทย์ ผอ โรงพยาบาลแก่ๆ หนึ่งคนที่ทำงานบริหาร ห่างวิชาการมานาน... กับหมอรุ่นพี่ที่จบก่อนหนึ่งปีจากสถาบันเดียวกัน..(ความรู้คงพอๆกัน) .... แบบนี้คนที่ซวยคือ คนไข้นะครับ (ตอนนั้นคุณภาพการรักษาที่สูงส่งคงมีแต่ในโรงเรียนแพทย์เท่านั้น ท่านอย่าหวังที่ รพ ชุมชนเลย)

หวังแต่จะให้ Refer อย่างเดียว คงไม่ได้ อย่างลืมว่าเราอยู่ในระบบ 30 บาท ที่ รพ. เจ้าของคนไข้ ต้องจ่ายเงินตามหลังให้ รพ.รับ Refer ผมคิดว่าฝ่ายบริหารของโรงบาลน่าจะตั้งกฏที่เข้มงวดพอสมควรกับการ Refer ที่จำเป็น -> ในทางปฏิบัติผมไม่เชื่อว่า case ที่ไม่อยู่ใน Requiment GP ของแพทยสภา จะได้รับอนุญาตให้ส่งต่อทุกราย (แม้โรงบาลนั้นจะมีแต่ GP ก็ตาม)

ผม Discuss ไม่เก่ง อ่านแล้วอาจสับสน แต่อยากเสนอมุมมองของ Extern ที่กำลังจะจบ และมองดูไร้อนาคตเหลือเกิน กับภายใต้ระบบการเรียนที่ลดการสอนให้น้อยลงที่สุด แต่เวลาทำงานจริงๆ ต้องอาศัยการสอนของรุ่นพี่ Staff มากที่สุด (ชนิดที่หกปีก็ยังไม่พอ) -> สุดท้ายยังสงสัยว่า ที่ให้ผมตั้งคำถาม และค้นคว้าเองโดยไม่สอน (ในระบบใหม่) ท้ายที่สุดแล้ว ผมก็ต้องมาถามท่านผู้มีประสบการณ์อยู่ดี (อะไรที่ไม่ถามก็ คือ มั่ว) แล้วแบบนี้สู้สอนไปเลย ไม่ดีกว่าเหรอครับ


Posted by : extern โง่ๆ -> Intern โง่ๆ -> , Date : 2004-05-11 , Time : 01:20:32 , From IP : 172.29.4.248

ความคิดเห็นที่ : 23


   ถึง... คุณ extern โง่ๆ -> Intern โง่ๆ ->
คุณคิดว่าคนที่จบก่อนคุณหนึ่งปีมีอะไรต่างจากคุณบ้าง....
คุณคิดว่าคุณกำลังได้อะไรจากการเรียนการสอนครับ....
ผมจำได้ว่าสมัยเป็นนักศึกษาแพทย์เวชปฎิบัตินั้น... คนไข้หนึ่งคนทำให้ผมเรียนรู้ได้มากมาย คนไข้ทำให้ผมรู้ว่าผมยังไม่รู้อะไร..ทำให้ผมได้ค้นคว้า....แต่แค่นั้นยังไม่พอครับ...คนไข้ที่คุณดูคุณคิดว่าเขาเป็นกระดาษหรือเป็นคนครับ... ถ้าคนไข้คุณเป็นกระดาษความคิดจะจบที่ 1+1 = 2 แน่นอน แต่ถ้าคนไข้คุณเป็นคน 1+1 ไม่มีวันเท่ากับสองแน่นอน... ตอนนั้นครับ..คนที่มีประสพการณ์มากกว่าคุณจึงจะมีประโยชน์ ผมว่าจบหกปีแล้วเป็นหมอโดยสมบูรณ์หรือเปล่าถามใจตัวคุณเองก็ได้ครับ.. จบหกปีคุณคงมีความมั่นใจระดับหนึ่ง แต่แค่ความมั่นใจมันเพียงพอหรือครับ...แล้วคุณ extern โง่ๆ -> Intern โง่ๆ -> คิดว่าไงนะครับ...


Posted by : นะครับ.... , Date : 2004-05-11 , Time : 12:56:15 , From IP : 172.29.3.214

ความคิดเห็นที่ : 24


   ประการที่หนึ่งและสำคัญมาก ที่ว่า Intern ยังไม่จบโดยสมบูรณ์นั้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องสอน extern ให้น้อย เพื่อจะได้มีอะไรเหลือไปสอน Intern เบื้องหลังของการปรับเกณฑ์มาตรฐานแพทยสภาใหม่ เป็นเพราะเรามีอะไรที่จะสอนเยอะมากจนแค่หกปีมันไม่พอ Intern ที่เรียนมาแล้วหกปีจึ้งต้องเสริมทักษะภายใต้การดูแลของแพทย์พี่เลี้ยง (ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไม Intern จึงไม่ควรถูกส่งไปในที่ที่มีแต่ ผอ.คนเดียวหรือมีแค่แพทย์คนเดียวอยู่ด้วย แต่เป็นโรงพยาบาลศูนย์ หรือจังหวัดที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาหลักประจำ) เกณฑ์มาตรฐานนั้นไม่ได้มีไว้เป็น "กรอบ" แต่เป็น minimal requirement คนที่มีศักยภาพพอสามารถที่จะหาโอกาสเรียนรู้ด้วยตนเองถ้าสามารถจัดเวลาที่เหลืออยู่ได้ ขวนขวายหาประสบการณ์ความรู้ เช่น SDL คุณสนใจผ่าตัด หัตถการต่างๆ คุณมีสิทธิที่จะเข้าไปดูการผ่าตัด คุณสนใจเข้าเฝือกจะไปดูการเข้าเฝือก การทำคลอด การทำ ultrasound ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด assignment ที่จะให้สำเร็จตาม minimal requirement ต้องได้

ผมไม่เห็นประโยชน์ในการที่จะคิดว่าหมอจบโดยสมบูรณ์เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหกปี เจ็ด หรือแปดปี นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่แพทยสภาเน้นเรื่อง ความสามารถในการเรียนต่อยอดด้วยตนเอง สำหรับแพทย์รุ่นใหม่ แม้แต่ Intern จบแล้ว เรายังต้องการให้มีเจตคติติดตัวไปหาเราจำเป็นต้องใช้ความชำนาญในการต่อยอดความรู้แก้ปัญหาต่อไปในอนาคตอีกไม่มีที่สิ้นสุด ผมไม่ได้คิดว่าการเรียนหมอนั้นสิ้นสุดที่ Intern และไม่ได้หมายความว่าต้องเป็น specialist ด้วย แค่ GP ธรรมดาๆนี่ก็ต้องเรียนต่อยอดไปเรื่อยๆในเรื่อง GP ในเรื่องเศรษฐศษสตร์สาธารณสุข ในเรื่อง Health promotion เพราะคุณจะได้ใช้แน่ๆ และสำคัญมากด้วยในการจัดการกับ resource ที่จำกัดด้านนอก ถ้าไม่เน้น Health promotion คุณจะเหนื่อยตาย หรือไม่ก็หมดปัจจัยในที่สุด

ดังนั้สถาบันการฝึกอบรมแพทย์ทุกที่ในประเทศตอนนี้ จะหากลยุทธ์ใดๆก็ตามมาเสริมทักษะบัณฑิต พบ. ให้สามารถเรียนต่อยอดได้ นอกเหนือไปจากการเสริมทักษะด้าน EQ และ evidence-based medicine

ยังไม่ค่อยแน่ใจส่วนที่มีแพทย์จบหกปีแล้วไม่ต่อ Intern ใน paragra[h แรกนะครับ ว่าจะถามหรือ comment ว่าอะไรช่วยขยายความสักนิด

ผมเข้าใจดีครับว่าแพทย์ทุกคนไม่ได้จะเป็น specialists ต่อเฉพาะทางหมด แต่ไม่เห็นด้วยว่าการเรียนรู้แพทย์สิ้นสุดที่ตรงนั้น จริงๆผมเชื่อว่าเราเน้นเรื่องความจำเป็นที่แพทย์ต้องหาความรู้ต่อยอดไปเรื่อยๆหลังจบการศึกษา พบ. มาตลอดทั้งหลักสูตร การทำงานหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวนั้นก็สามารถทำคู่ขนานไปกับส่วนนี้ได้ ถ้าแพทย์ท่านนั้นคิดว่า หน้าที่ของท่านคือการให้การดูแลผู้ป่วยโดยวิธีที่ดีที่สุด ไม่ใช่งานหลักคือหาเงินเลี้ยงครอบครัว ตรงนี้กลับไปตรวจสอบปรัชญาการแพทย์ดูก็ได้

ระบบสามสิบบาทไม่มีวัตถุประสงค์จะให้โรงพยาบาล abuse medical indication โดยพยายามกั๊กผู้ป่วย ไม่ refer พฤติกรรมอย่างนั้นเป็น anomaly ของระบบ เนื่องด้วยเกณฑ์มาตรฐานแพทยสภาจัดให้หัตถการต้องทำโดยแพทย์เฉพาะทางมากขึ้น ยิ่งเพิ่มรายการของ case ที่สามารถ refer ได้มากขึ้น ไม่ใช่น้อยลงอย่างที่คุณexternโง่ๆ - internโง่ว่า ข้อบ่งชี้การ refer นั้น ผอ.จะมั่วนิ่มไม่ได้ จะต้องอ้างอิงเกณฑ์มาตรฐาน และหากมีการฟ้องร้องขึ้นมา เอาข้อบ่งชี้นี้มาดู จะสามารถเอาผิด ผอ.ที่เขียนว่า Intern สามารถทำผ่าตัด appendix โดยไม่มี supervisor ได้อย่างแน่นอน

การเรียนการสอนในปัจจุบันไม่ได้มีปรัชญาที่สอนให้น้อยที่สุด เรามี minimal requirement จริง ซึ่ง consume เวลาเกือบทั้งหมดที่มีอยู่แล้วที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ ถ้ามีคนจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ทบทวนสิ่งที่อยู่ในเกณฑ์ให้ชำนาหรือรู้ลึกขึ้น หรือจะใช้เวลาที่เหลืออยู่หาความรู้นอกเหนือจาก minimal requirement เป็นทางเลือกของนักศึกษาแพทย์ครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-11 , Time : 17:28:42 , From IP : 172.29.3.215

ความคิดเห็นที่ : 25


   อ่านความเห็นของคุณที่ใช้นามแฝงว่า extern โง่ๆ -> Intern โง่ๆ -> แล้วไม่ได้มีความรู้สึกว่าคุณเขียนอภิปรายไม่เก่ง หรือลำดับใจความได้ไม่ดีแต่อย่างใดครับ ตรงข้ามผมเข้าใจความรู้สึกกังวลซึ่งแฝงความรับผิดชอบของคุณเป็นอย่างดี
.
อย่างน้อยที่สุดผมจับใจความได้ว่าคุณเป็นห่วงว่าเมื่อถือเอาเกณฑ์การประกอบวิชาชีพเวชกรรมเป็นกรอบแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างคุณรู้สึกว่าอาจเรียนไม่ครบและส่งผลให้ประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วยในสถานที่ซึ่งมีความจำกัดทางวิชาการ ไม่ดีพอ
.
อย่างน้อยที่สุดความกังวลอันนี้ทำให้รู้ว่ามีนักศึกษาอย่างน้อยหนึ่งท่านที่เรียนโดยใช้กรอบของสิ่งที่อยากรู้ เหนือไปกว่า "การสอบให้ผ่าน" ความคิดอย่างนี้น่านับถือครับ
.
และมันสามารถที่จะเป็นรูปธรรมมากขึ้น หากคุณเองหรือคุณและเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่สนใจจะเรียนรู้ตามกรอบนี้เช่นกัน สามารถสำรวจตนจนรู้ว่า มีความรู้อย่างใด มีทักษะทางฝีมืออย่างไหนที่คุณพร่อง หรืออยากให้มีการจัดการเรียนการสอนเพิ่ม อยากให้ห้องสมุดจัดหาสื่อหรือตำราเพิ่ม หรือ เห็นข้อบกพร่องของรูปแบบการเรียนการสอนที่มีอยู่เดิมต่อเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งที่เห็นว่าสำคัญ คุณสามารถที่จะรวบรวมและขอให้มีการจัดกระบวนการเรียนรู้เพิ่มเติมได้ คุณสามารถที่จะพกคำถามเดินขึ้นไปบนหอสมุด สามารถที่จะเดินไปขอความรู้ได้จากอาจารย์ท่านที่คุณคิดว่าช่วยเหลือคุณในเรื่องนั้น ๆ ได้
.
หากขี้เกียจอ่านย่อหน้าข้างบน ผมเขียนว่า "ในโรงเรียนนี้ เพียงชัดเจนว่าอยากรู้เรื่องอะไร พาตัวเองไปหาคำตอบได้จากตำรา สื่อ หรือไปกระชากความรู้ได้จากครู"
.
แต่ไม่ได้เขียนว่า "เพียงรู้สึกว่าไม่ค่อยรู้อะไร ไม่แน่ใจว่าพร่องตรงไหน แต่น้อยใจจังว่าทำไมเขาไม่มาสอน ไม่มาป้อน ขอบ่นเอามันส์ไว้ก่อนดีกว่า"
.
จบหกปีไปแล้วประตูคณะยังไม่ปิดกระมังครับ ถ้าหัวใจใฝ่รู้ของคุณยังเปิด


Posted by : Shonigega , Date : 2004-05-11 , Time : 18:06:21 , From IP : pedsurg.med.osaka-u.

ความคิดเห็นที่ : 26


   ขี้เกียจอ่านแล้วค่ะ แนะนำไปคุยกันเองเลยดีกว่า

Posted by : TT , Date : 2004-05-11 , Time : 20:29:28 , From IP : cache3.moph.go.th

ความคิดเห็นที่ : 27


   

ทำไมไม่นัดคุยกัน โต้ตอบกันอยู่ได้ คิดว่าน่าจะรู้ตัวนะว่าใครป็นใคร อายคนที่เขาไม่เกี่ยวข้องเปล่าๆ


Posted by : สู้ความจริง , E-mail : (mnb) ,
Date : 2004-05-11 , Time : 20:40:09 , From IP : 172.29.3.224


ความคิดเห็นที่ : 28


   ผมคิดว่าการอภิปรายความเห็นที่แตกต่างกันบนที่สาธารณะนั้นไม่ใช่เรื่องน่าอาย การไปแอบถกกันส่วนตัวต่างหากที่น่าจะดูเป็นว่าเรามีอะไรปิดบัง ไม่สู้ความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเรียนการสอนหรือแพทยศาสตรศึกษาหรือคุณภาพบัณฑิตแพทย์ ผมว่ายิ่งมีคนอ่านหรือมาร่วมออกความเห็นยิ่งดี

ผมเชื่อว่าการแสดงออกในที่สาธารณะนั้นมีบทบาทที่สำคัญต่ออาชีพแพทย์ และเรามี etiquette และ ethics ในเรื่องนี้พอสมควรทีเดียว เรื่องที่ว่าแพทย์ฝึกอบรมมาอย่างไร และใครมีความเห็นว่าควรเป็นอย่างไรเป็นเรื่องสำคัญ ถ้ามีการคิดว่ามีคนหนึ่งเข้าใจผิดเพราะใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (หรือไม่ใช้หลักฐานอะไรเลย) ยิ่งเป็นเรื่องสำคัญที่จะมีการนำเอาข้อมูลมาเปรียบเทียบใน platform ที่ขนานกัน บัณฑิตผู้ที่ศึกษา หรือผู้สนใจพอจะอ่านจะได้มีข้อมูลทั้ง pro และ con มาวิเคราะห์ เชื่อหรือไม่เชื่อ จะได้ใช้วิจารณญาน

สื่อสารมวลชนนั้นเป็นสื่อที่มีพละกำลัง และสามารถจะถูกใช้ในทิศทางต่างๆ การนำเสนอ Partial information อย่างที่ผมได้ตั้งในกระทู้เรือ่งทักษิณกับการซื้อ Liverpool นั้น ลองอ่านดูจะพบว่าการเปลี่ยนคำพูดหรือทิ้งใจความแค่คำสองคำออก ก็จะเปลี่ยนความหมายไปอย่างสิ้นเชิง เดียวนี้การ สู้ความจริง นั้น เริ่มมีหลาย versions ของความจริง เกรงว่าการที่มีคนใดคนหนึ่งสามารถใช้กระดานข่าวหรือสื่อมวลชน (หลายคนในที่นี้คงจะจำนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งที่พยายามจะ defame อาจารย์แพทย์ของเราบนที่นี้ได้) แล้ว ไม่มีข้อมูลอื่นมาเปรียบเทียบ เรากำลังจะ "บริโภค" ข้อมูลฝ่ายเดียวกัน




Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-11 , Time : 20:54:13 , From IP : 172.29.3.230

ความคิดเห็นที่ : 29


   .....ก่อนอื่นผมรู้สึกแปลกใจที่ผมไม่ได้อ่านมาสองวัน....มีอะไรเพิ่มขึ้นพอสมควร....อย่างไรก็ตามผมคงบอกได้ว่า....ผมคงหาโอกาสไปนั่งคุยกับคุณ Phoenix จริงๆยาก....เพราะผมคิดว่าปัญหาหรือข้อสงสัยของผม....มักจะมีมาเป็นช่วงๆ....บางทีสงสัยตอนตีสาม....คงไม่ไปนั่งกดออดบ้านคุณ Phoenix เพื่อถามปัญหาแน่.....เพราะผมอาจจะโดนปืนลูกซองส่องเอาซะก่อน...ส่วนตัวผมไม่สนใจเรื่องสาธารณะอะไรนั่นเท่าไร.....อาจจะเพราะผมชินแล้ว...ผมชอบตรงที่เป็นเวลาต่างหาก...ว่างก็ตอบ....ตอบไม่ได้มีเวลาไปตั้งตัวก่อนด้วย....เพราะวันๆถ้าไม่ใช่วันหยุดกว่าผมจะว่างมานั่งดูหรือทำอย่างอื่นทาง Internet ก็เป็นเวลากลางคืนเกือบจะทั้งนั้น......เพราะงั้นกรุณาเลิกสนใจเถอะว่าผมควรหาเวลาไปนั่งคุยกัน.....ถ้าท่านใดสนใจอยากคุยกับผมก็ได้นะครับ...ท่าทางเหมือนทราบกันทั่วโรงพยาบาลแล้วว่าผมเป็นใคร......อืม....ถ้าแบบนี้ผมจะได้สอบบอรด์ไหมเนี่ย?.....:D...:D........แต่จะว่าไปแล้วผมควรอายหรือเปล่า???....อืมม....ถ้าคนเค้ารู้กันทั่วแล้วผมยังไม่อายนี่.....ท่าทางผมจะหน้าด้านนะ....แล้วถ้าเปรียบกับใครที่อยากใช้ชื่ออะไรก็ได้...เขียนอะไรส่งๆลงมา...แล้วคิดว่าคนจับไม่ได้ว่าใครเนี่ย????.....ใครกันแน่นะที่ควรจะน่าอายนะ???......ผมกำลังคิดอยู่......

.......เรียนคุณ Phoenix ที่คุณถามมา....อันนั้นผมขยายความจากส่วนที่คุณเขียนก่อนหน้านั้น....ที่คุณบอกว่าไม่เคยเห็นโรงเรียนแพทย์ใดที่สมบูรณ์แบบ.....ก็เลยได้ข้อความกึ่งประชดประชันอย่างที่เห็น.....คล้ายๆทำนองว่า.....อ้าว.....ถ้าไม่เคยเห็นที่สมบูรณ์แบบ....ก็แสดงว่าที่ๆผมและคุณยืนอยู่นี่....ก็น่าจะมี Defect ด้วย....ตามโอกาสของการเกิด Error โดยทั่วไปอย่างที่ว่า...แต่สรุปคือจริงว่าผมไม่มีหลักฐานใดๆเป็นลายลักษณ์อักษรหรอกครับ....สรุปจากที่คุณเขียนมาเอง....และนั่งดูกระดานข่าวครับ......แต่อย่างไรก็ดี.....ขอบคุณครับเรื่องคำอธิบายเรื่อง Error...ผมมานั่งอ่านดูและคิดดู.....ผมคงใช้คำไม่เข้าท่าอีกตามเคย....ผมน่าจะลองเปลี่ยนเป็นว่า...."น่าจะยอมรับว่ามีโอกาสที่เราก็มีความผิดพลาด...หรือมีส่วนในการรับผิดชอบอยู่ระดับหนึ่ง....และเราควรที่จะแก้ไขจุดนั้น.....ถึงแม้ข้อบกพร่องจะไม่มาก....แต่ไม่ควรหรือถ้าเป็นไปได้....จะต้องไม่มีข้อผิดพลาด".......อะไรทำนองนั้น.....จะดูฟังแล้วเข้าท่ากว่าหรือเปล่า???....ไม่แน่ใจ....

.....เรื่องที่คุณ Extern Intern เขียนมานั่น.....ผมเห็นด้วยกับคุณ Shonigega และ คุณ Phoenix ในแน่การแนะนำนะครับ......แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนักกับในชีวิตจริงๆ....หรือในด้านโลกจริงหรือความเป็นจริงอันโหดร้ายเท่าใดนัก.....ถ้าคุณ Phoenix บอกว่าไปเยี่ยม Intern แถวๆรอบๆนี้มาแล้วเรียบร้อยดี.....ผมคงไม่ค่อยคิดอะไรนัก....แต่จากที่ผมเคยฟังจากเพื่อนผมที่กระจายกันอยู่หลายๆที่ทั่วประเทศ [ความน่าเชื่อถือต่ำถึงต่ำมาก....เพราะแค่ฟังเขามา]......บางที่....ย้ำนะครับบางที่....เป็นอย่างที่คุณ Extern Intern ว่ามา.....เพื่อนผมบางคนยังเคยโทรมาถามฉุกเฉินเรื่องผู้ป่วยบ้าง....ระบบ refer บ้าง.....30 บาทบ้าง.....บางคนก็บ่น....และส่วนหนึ่งก็ลาออก.....ยอมจ่ายตังค์ดีกว่า.....ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง.....ที่ทุกๆอย่างไม่ได้ดีตามอุดมคติหรือแนวทางอย่างที่คุณ Phoenix หรือ คุณ Shonigega ว่าไว้......โลกจริงๆมันโหดร้ายครับ.....ผมไม่ค่อยแน่ใจว่านโยบายที่ผมตั้งคำถามหลายๆอย่างนั้น.....กลั่นกรองมาจากผู้ที่เข้าใจจริงๆสักแค่ไหน.....ใช่ครับ....ถ้าพูดตรงๆคือผมสงสัยในแนวความคิดของผู้อาวุโสครับ....โลกตอนนี้กับ 30 - 40 ปีที่แล้วไม่เหมือนกัน.....และผู้ที่ออกแนวความคิดเหล่านี้.....เคยไปนั่งอยู่ในป่าสักกี่ปีกัน....เคยเข้าใจชีวิตจริงๆของแพทย์ ณ เวลานี้แค่ไหนกัน?.....บางคนอาจจะนั่งด่าผมอยู่ในใจ...ที่ไอ้โง่ต่ำต้อยอย่างผมสงสัยในความคิดของผู้ชาญฉลาดทั้งหลาย.....แต่ผมไม่เข้าใจจริงๆนะ.....เหมือนกับที่ผมชอบเรียกร้อยอยู่บ่อยๆเรื่องการออกคำสั่งใดๆมาก็ตามโดยที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ปฎิบัติงานจริง......สักแต่ว่าสั่ง สั่ง สั่งออกมาโดยไม่เคยถามว่าอยากทำไหม...ควรทำไหม....หรือมีความเห็นอื่นหรือเปล่า....หรือมีอะไรเสนอแนะไหม?.....บางทีผมก็พยายามเข้าใจผู้บริหารนะ[ถึงจะไม่บ่อยก็เถอะ].....แต่บางที่ก็อยากให้ผู้ออกคำสั่งเหล่านี้ฟังเราบ้าง.....หรือพวกเราต่ำเสียจนใครก็ได้มายืนชี้นิ้วสั่ง...แล้วเราก็ก้มหน้าก้มตาทำตามอย่างงั้นหรือ?.....ผมคิดเหมือนคุณ Extern Intern นะครับว่า....คนที่ซวยคือคนไข้ต่างหาก....เพียงเพราะว่าเขาไม่ใช้พ่อแม่เรา....เราจะทำอะไรกับระบบการเรียนการสอนที่ส่งผลไปถึงคนไข้ก็ได้เหรอ?.....เราจะใช้ความเห็นของใครที่มี Evidence base ระดับใดก็ได้....มาตัดสินหรือออกคำสั่งอะไรมา....ที่เราก้มหน้าก้มตาทำต่อไปโดยไม่สงสัยแม้แต่น้อยหรือ?....???....แย่มากที่ผมชอบสงสัยอะไรแบบนี้?......



Posted by : Death , Date : 2004-05-11 , Time : 22:45:07 , From IP : 202.133.141.40

ความคิดเห็นที่ : 30


   ยังไม่ตรงอยู่ดีครับ ผมไม่ได้บอกว่าเราสมบูรณ์ ไม่ได้บอกว่าไม่มีปัญหา ที่ผมสงสัยคือ(อีกที) ที่คุณสรุปว่าอาจารย์ของเรานั้น ไม่ยอมรับว่ามีความล้มเหลวในการเรียนการสอนส่วนหนึ่งของภาควิชา...ไม่เคยที่จะยอมกลับไปทบทวนตัวเอง....ทั้งๆที่ทราบว่าเป็นระบบที่ไม่สมบูรณ์ คุณสรุปมาจากอะไร?

ที่เราไปสำรวจโรงพยาบาลรอบนอกที่รับ Intern (ทั้งจากมอ. และจากสถาบันอื่น) เป็นเพราะว่าเรา ทราบ ว่าต้องมีการติดตาม และแก้ไขปัญหา ทั้งที่โรงพยาบาลมีกับเด็กจบใหม่ และที่เด็กจบ Extern ใหม่มีกับโรงพยาบาล ปัญหานั้นเป็น individual คือปัญหาการเข้ากันได้และความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและแพทย์พี่เลี้ยง ตรงนี้การพัฒนา EQ อาจจะมีบทบาท แต่เราคงทราบกันดีนะครับ EQ นั้นเป็นของสะสมมานาน เราอาจจะช่วยได้บ้างแต่ไม่ทั้งหมด

ผมคิดว่าได้ mention ไปแล้วว่าเราได้ address ปัญหาเรื่องบทบาทที่สำคัฐของแพทย์พี่เลี่ยงว่ามีผลต่อความสมบูรณ์ของการ traning ต่อเนื่องอย่างไร และเราทำอย่างนี้มาหลายปี มีการพัฒนาของโรงพยาบาลต่อเนื่อง แต่อย่างที่ได้เรียนให้ทราบ ปันหาที่เป็น noise นั้น ยากที่จะกำจัดๆได้ร้อยเปอร์เซนต์ เราได้พยายามจะหาปัญหาที่เกิดจากระบบหรือ bias error แต่ไม่สามารถ Identify ได้ คุณ Death สรุปว่ามันน่าจะมี หรือ อาจจะมี คุณต้องมีอะไรที่บ่งชี้ไปทางนั้น การยืนยันว่าพูดจริงนั้น ในการอภิปรายมันไม่มีความจำเป็นเลยถ้าเราแค่แสดง evidence หรือให้ reference หรือที่มาของข้อสรุปที่เราว่า ผู้อ่านจะใช้วิจารณญานในการตรวจสอบที่มาของสิ่งที่เราเชื่อ หลังจากนั้นขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคลว่าจะให้คะแนน evidence นั้นๆเท่าไหร่ จะรับข้อมูลไปเป็น fact หรือไม่

ผมคิดว่าเราไม่ควรจะ "ตีค่า" อะไรบนที่สาธารณะโดยปราศจากหลักฐานหรือเหตุผล เราไม่ตำหนิพยาบาลหรือหมอก่อนที่จะมีการสอบสวน เราไม่สรุปว่าแพทย์ใช้ทุนหรือแพทย์ประจำบ้านคนไหนไม่มีสิทธิ์สอบโดยไม่มีความโปร่งใสในการประเมินดังกล่าวที่ตรวจสอบได้ ข้อบ่งชี้ทุกชนิดในการสรุปดังกล่าวอยู่ในหนังสือคู่มือที่ทุกคนได้รับตั้งแต่ปีหนึ่ง ฉะนั้นถ้สคุณทำตามนั้นจะ secure ตำแหน่ง candidate ผู้เข้าสอบโดยไม่มีใครขัดขวางได้ เช่นกันผมว่าถ้าเราจะบอกว่าอาจารย์ท่านไหน หรือระบบอะไร ไม่ยอมรับว่าระบบไม่สมบูรณ์ หรือไม่มีการดำเนินการอะไรเลยเพื่อ address ปัญหา และแสดงความเห็นนั้นบนที่สาธารณะ เราจะต้อง backup ด้วย evidence ลองคิดดู ถ้าเป็นญาติเรา เป็นพ่อ เป็นแม่เรา อยู่ดีๆมีหนังสือพิพม์มาลงว่าไม่มีจรรยาบรรณ ไม่ได้ทำงานที่มีความรับผิดชอบ โดยไม่มีการตรวจสอบหลักฐานอะไรก่อนเลย เราจะรู้สึกอย่างไร?

อย่างน้อยจบการอภิปรายครั้งนี้ มีความเข้าใจเกี่ยวกับ asystematic error และ systematic error (bias) วิธีที่จะตั้งสมมติฐานว่าอะไรเกิดจากอะไร วิธีจะพิสูจน์ (หลังจากมีสมมติฐานดังกล่าว) และ etiquette ในการเสนอข่าว (defamation) ในที่สาธารณะ ผมว่าก็มีคนได้ประโยชน์ แต่ทางที่ดีนั้นเปลี่ยนจาก defamation เป็น positive or constructive criticism ก็จะดีกว่ามาก



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-11 , Time : 23:06:43 , From IP : 172.29.3.230

ความคิดเห็นที่ : 31


   .....ทำไมถึงเข้าใจอะไรยากจัง....อยากให้ผมตอบแบบไหนเนี่ย?....ผมบอกแล้วว่าเอามาจากที่คุณเขียนเอง....และอ่านจากในกระดานข่าวนี่......ผมควรจะตอบอย่างไรนะ???......งง....??

....อ้า....คุณพูดถึงสมุดคู่มือนั่นเหรอ???....นั่นเป็นกฎหมายหรือเปล่า?....เปล่าใช่มั้ย?....ดังนั้นคุณจะบอกว่าอย่างไรถ้าผมบอกว่าสิ่งที่เขียนอยู่ในนั้นเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องออกเล่มใหม่มา...อะ....ถ้าคุณไม่เชื่อ....ไปอ่านส่วนเรื่องการอยู่เวรนอกเวลาราชการก็ได้....ผมอ่านมาหลายรอบแล้ว....และผมก็ขว้างมันทิ้งไปแล้วด้วย....เพราะมันไม่ได้ตามที่เขียนเลย....คุณคงไม่ปฎิเสธนะว่าที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง....ดังนั้นแล้วตอบผมทีสิว่า....ผมควรจะเชื่ออะไรดี???

......ผมไปนอนหละ....ตีสองกว่าแล้ว...ตอบไม่ได้ก็เลี่ยงไม่ตอบก็ได้นะครับ....ขอโทษที่ขอบท้าทาย....แต่ผมสุดทนกับไอ้สมุดเล่มนี้มานานแล้ว...คุณพูดได้ถูกเวลาจริงๆสิ......เฮ้อออ.....แล้วคุณไม่ออกความเห็นค้านผมสักนิดเหรอที่ผมสงสัยในการตัดสินใจของผู้อาวุโสทั้งหลาย....หรือว่าดีแล้ว......ช่างหัวไอ้ Death มัน...ไอ้คนไม่มีกาละเทศะ....มันจะไปลงเหวที่ไหนก็ช่างมัน??...อือออ...แต่ก็จริงนะ..ถ้าผมมีอนาคตที่ดีๆ....เรื่องไรผมต้องแหย่ขาไปหาเรื่องด้วย....อยู่เฉยๆก็สบายแล้ว.....สังคมนี่ละน้า......ผมเงียบดีกว่ามั้ง.....

....โอเค.....ผมหนีหละ.....พอกันทีเรื่องนี้....พูดไปแล้วเดี๋ยวก็หัวขาดอีก.....เฮ้อออ.....



Posted by : Death , Date : 2004-05-12 , Time : 02:21:18 , From IP : ppp-203.118.80.20.re

ความคิดเห็นที่ : 32


   ผมไม่เคยเขียนว่ามีอาจารย์ท่านไหนไม่ประเมินตนเองหรือหลักสูตรหรือไม่ยอมรับว่าหลักสูตรนี้ยังไม่สมบูรณ์ ถามอีกทีก็ได้ คุณประเมินใครครับว่า ไม่ยอมรับว่ามีความล้มเหลวในการเรียนการสอนส่วนหนึ่งของภาควิชา...ไม่เคยที่จะยอมกลับไปทบทวนตัวเอง....ทั้งๆที่ทราบว่าเป็นระบบที่ไม่สมบูรณ์

น่าเสียดายที่คุณทิ้งคู่มือไป เพราะอย่างน้อยที่สุดระเบียบว่าด้วยคุณสมบัติและหลักฐานการสมัครสอบวุฒิบัตรนั้นต้องใช้แน่ๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคิดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใน section ระบบการทำงาน มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ที่พึงเกิดขึ้นคือประกาศนียบัตรบัณฑิตช้นสูงก็เมื่อปีที่แล้ว ทำให้ section academic activity ต้อง rewrite ใหม่ การอยู่เวรนอกเวลาราชการขึ้นอยู่กับจำนวนแพทย์ใช้ทุนและแพทย์ประจำบ้านที่มาอยู่ที่ ER และจำนวนแพทย์ที่โรงพยาบาลหามา fill ซึ่ง section นี้ก็เห็นอยู่แล้วว่ามันต้องมีการดัดแปลงแก้ไขเมื่อสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนไป แต่อีกหลายส่วนเช่น contents & requirement ของราชวิทยาลัยศัลยแพทย์ ระเบียบการสมัครสอบ คุณสมบัติผู้เข้าสอบก็เหมือนเดิม และถ้ามีการเปลี่ยนเกิดขึ้นในอนาคต คุณก็ต้องใช้ของที่ล่าสุดอยู่ดี แต่ไม่มีใครพยากรณ์ได้ว่าจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ การขว้างอะไรทิ้งน้นเป็นสิทธิส่วนตัวของคุณจริง เอามาป่าวประกาศว่าทิ้งก็อาจช่วยในการประเมิน maturity ได้บ้างนิดหน่อย แต่ผมยังคิดว่า reaction ปกติของคนธรรมดาจะทุบตีทำลายข้าวของหรือเปล่า?

คุณ "คิด" ว่าอาจารย์อาวุโสต่างๆนั้น ไม่มีความรู้ความเข้าใจสาธารณสุขปัจจุบันแจ่มแจ้ง reference @โลกตอนนี้กับ 30 - 40 ปีที่แล้วไม่เหมือนกัน.....และผู้ที่ออกแนวความคิดเหล่านี้.....เคยไปนั่งอยู่ในป่าสักกี่ปีกัน....เคยเข้าใจชีวิตจริงๆของแพทย์ ณ เวลานี้แค่ไหนกัน? นั่นก็เป็นการพูดแบบ anecdotal อีกเช่นกัน คุณคิดว่าอาจารย์หมอที่ทำงานมา 30-40 ปีนั้น ท่านหาข้อมูลจากที่ไหนได้บ้างล่ะครับ นอกเหนือจากประสบการณ์ตรง? คุณเองพูดถึงเพื่อน ท่านเหล่านี้มีเพื่อนและลูกศิษย์ (เป็นร้อยๆพันๆคน) คุณพูดโดยใช้ประสบการณ์ (คุณทำงานในระบบสาธารณสุขมากี่ปี?) แต่แพทย์สมัยก่อนนั้นไม่มีระบบใช้ทุนและเรียนเป็นผู้เชี่ยวชาญเลย เราพึ่งมาเปลี่ยนก่อนรุ่นผมไม่กี่ปีเท่านั้น คุณพูดโดยใช้ความรู้สึก บวกซาวเสียงจากเพื่อน (กี่คน?) แต่คนที่อยู่ในตำแหน่งดังกล่าวมีศักยภาพที่สามารถขอข้อมูลวิจัยที่ทำโดยนักระบาดวิทยาที่ลงไปสำรวจพื้นที่ คุณ Death คิดว่าเวลาที่เขาเขียนเกณฑ์มาตรฐานแพทยสภานี่ เขาใช้ reference แบบ anecdotal หรือ ข้อมูลสาธารณสุขซึ่งขอได้อย่างง่ายดายจาก สสธ จากกระทรวงสาธารณสุข ผมใช้เวลาประมาณ 15 นาที search ผมก็ได้ตัวเลข burden of diseases ของประเทศไทยจาก website ซึ่งรวบรวมข้อมูลการ autopsy การบาดเจ็บมาได้แล้ว คุณคิดว่าถ้าท่านเหล่านี้ในตำแหน่งดังกล่าวจะเขียนเกณฑ์มาตรฐานของแพทย์ขึ้นมา ท่านจะมีข้อมูลมากหรือน้อยกว่าคุณ dEATH ล่ะครับ และท่านเหล่านี้ที่แก่โบราณเต่าล้านปีนี่ ท่านจะใช้วิธีอะไรในการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปออกมาเป็นหลักการล่ะครับ?

เรามี "สิทธิ" ที่จะ challenge ความเห็นของผู้อื่นได้เสมอครับ ทางที่ดีมาจากเรา มีข้อมูล มีหลักฐาน มีอะไรมานำเสนอ ไม่ใช่พยายามไป discredit characters ของฝ่ายตรงข้ามก่อน (lame attempt that is) คนอื่นอาจจะคิดรอบคอบหรือไม่ถ้าคุณมีหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามีหรือไม่มีก็นำเสนอมา ไม่ใช่ท่านเหล่านั้นอายุมากแปลว่าไม่ทันสมัย ไม่ใช่ท่านสอนมหาวิทยาลัยมานานแปลว่าท่านไม่มีข้อมูลของพื้นที่ ข้อมูลของพื้นที่นั้นไม่ได้หายากเย็นอย่างที่คิดหรอกครับ และหาให้ได้ดีเป็นระบบมากกว่าการพูดอย่าง casual ว่าผมทราบจากเพื่อน ผมคิดเอาเอง ผมไม่มีหลักฐานแต่ผมพูดจริงนะอะไรนั่น



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-12 , Time : 11:15:59 , From IP : 172.29.3.134

ความคิดเห็นที่ : 33


   ......ขอบคุณครับ......พักบ้างหละกันครับ....ถือว่าผมแพ้ก็แล้วกันครับ.....วันนี้ผมเขียนอะไรไม่ออก.....ไว้ว่ากันใหม่ที่หลังหละกันครับ.....



Posted by : Death , Date : 2004-05-13 , Time : 01:58:21 , From IP : ppp-203.118.97.3.rev

ความคิดเห็นที่ : 34


   ด้วยความเคารพครับ

ผมไม่อาจหาญไปกล่าวหาระบบแพทย์ศาสตร์ศึกษาครับ ผมไม่มีหลักฐานใด ๆ ทั้งสิ้น ผมเพียงแต่"ตั้งคำถาม" เป็นเพียงขั้นตอนแรกของการคิดแบบวิทยาศาสตร์
ว่ากันง่าย ๆ ผมสงสัยว่าทิศทางที่เราเดินมาถูกต้องหรือไม่ คงไม่มีอะไรเป็นตัวบ่งชี้ได้ ผมเห็นในวารสารของศัลยกรรมหลายฉบับก็มีคนตั้งคำถามในทำนองเดียวกัน เราจะฝึกฝนศัลยแพทย์รุ่นใหม่ไปในทิศทางใหนดี

สิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงมาจากนโยบายของกระทรวงครับ ก่อนอื่นกระทรวงต้องชัดเจนว่าระบบสาธารณสุขของเราในยุคหน้าควรเป็นอย่างไร ในเมื่อนโยบายยังเป็นเรื่องของการเมืองเปลี่ยนแปลงตามรํฐบาลสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องไม่แน่นอน ไม่รู้เหมือนกันว่าควรไปทางใหน

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแน่ ๆ ก็คือความก้าวหน้าทางการแพทย์เปลี่ยนเร็วมาก เกิดขึ้นเยอะมาก รายงานทางการแพทย์ที่ตีพิมพ์ออกมาในแต่ละเดือนมีเยอะมาก ๆๆๆ สิ่งที่คณะแพทย์จำเป็นต้องสอนก็คือความสามารถในการเรียนรู้ วิเคราะห์ หรือแม้แต่สังเคราะเองได้ เลือกที่จะรับเอาความรู้เหล่านี้ ระบบการเรียนแบบ student center PBL จึงเป็นแนวทางที่เขาคิดกันว่าน่าจะดี เพราะเมื่อได้ชื่อว่าเป็นแพทย์ศาสตร์บัณฑิตแล้วคงต้องมีความสามารถในการหาความรู้เพิ่มเติมได้ตลอดชีวิต คงไม่ได้จบที่ หกปี หรือ เจ็ดปี อย่างที่พยายามจำกัดความกัน แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้ทักษะทางคลินิค หรือเวลาที่จะคลุกคลีกับผู้ป่วยน้อยลงหรือไม่ ( ตั้งคำถาม ไม่ได้กล่าวหา ) เวลาที่อยู่กับแพทย์รุ่นพี่น้อยลงหรือเปล่า คงเพราะอยากไปเรียนรู้เอง (เดาเอา) หรือไม่ก็พวกแพทย์รุ่นพี่ไม่ค่อยยอมสอน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเวรยุ่ง เปิด OR พร้อมกันสองห้อง และมี Case refer มาถึงที่ ER ในเวลาเดียวกัน ผมมีความจำเป็นต้องผ่าตัดสำรวจช่องท้องกับรุ่นน้องอีกคน ( ปกติเข้ากันสี่ใช่ใหม ) ผมรู้สึกดีใจมากที่อยู่ ๆ ก็มี นักเรียนแพทย์ที่อยู่เวรศัลยกรรมมาขอเข้าร่วมผ่าตัดด้วย โดยไม่ได้เอ่ยปากร้องขอ เพราะเคยมีประสบการณ์ โทรศัพย์ไปชวนแล้วบอกว่ากำลังจะลงเวร หรือไม่ก็ได้ยินเสียงคุยกันให้เธอไปสิ อะไรทำนองนี้

ผมคิดว่าการเรียนรู้เป็น "อกาลิโก" ครับ ได้ปริญญาบัตรไปแล้วก็เรียนต่อได้ สงสัยก็สามารถกลับมาถามได้

แล้วตกลงนโยบายในการผลิตแพทย์ ควรไปในทิศทางใหนดี ?:)


Posted by : Dhan , Date : 2004-05-15 , Time : 00:40:08 , From IP : 172.29.3.228

ความคิดเห็นที่ : 35


   ความรู้ทางแพทยศาสตร์เดี๋ยวนี้มีให้ขวนขวายหาทั้งสามพิสัย cognitive, psychomotor, and attitude และมีความต้องการเพิ่มขึ้นที่จำเพาะเจาะจงคือ professionalism, evidence-based medicine, และ Medical ethics

ความสามารถในการจัดแบ่งเวลาก็คงจะเป็น default characters ของคนที่จำเป็นต้องเข้ามาใน field ที่ความต้องการเรียกร้องของ "consumer or customer" สูงมาก

จะเห็นว่าการแสวงหาความรู้โดยตัวของมันเองฟังดูดีก็จริง แต่ถ้าตึงหรือหย่อนไป ก็จะกระทบกับความต้องการอื่นๆ ความ พอดี จึงสำคัญ (ศ.นพ.ประเวศ เรียก "ความสมดุล" นอกจากแพทย์ต้องสามารถ "ต่อยอดความรู้ตนเอง" ได้แล้ว ยังต้องมี Living Skill อีกด้วย ไม่เพียงแต่การตระหนักว่าความรู้จากหนังสือจาก Journal อย่างเดียวไม่พอ คุณต้องมี clinical skill ที่สามารถแปล symptoms signs ต่างๆในหนังสือนั้นๆได้ ไม่ใช่อ่าน tender guarding rigidity ท่องได้ว่าคือ peritonitis แต่คนไข้ full-blown มาให้เห็นก็ยังไม่ทราบว่านี่แหละคือใช่

ปัญหาของเราอย่างหนึ่งก็คือมักจะเป็น cherry-picking คือหยิบแค่บางส่วนมาพูดถึง แล้วก็ว่าทำอย่างนี้อย่างเดียว อย่างอื่นก็ขาดล่ะสิ (ก็แหงล่ะ) การสอนให้บัณฑิตแพทย์รุ่นใหม่มี skill ด้านการต่อยอดความรู้นั้น มิได้หมายความว่าเขาต้อง sacrifice ส่วนอื่นที่จำเป็นลงไป เขายังคงต้องกินข้าว ต้องนอนพัก ต้องเที่ยวหย่อนใจ (ไม่ยักค่อยมีคนเป็นห่วงเรื่องพวกนี้ ในที่ที่เขาทำงานกันหนัก เขาต้องเตือนกันให้พักบ้าง) ต้อง take care แฟน ดูแลครอบครัว เลี้ยงลูก ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้จำเป็นทั้งสิ้น แต่เราคาดหวังว่าผู้ใหญ่ที่โตแล้ว มีความรับผิดชอบ สามารถจัดแบ่งเวลาจัดการเรื่องดังกล่าวได้

ในอนาคต (หากเราสามารถหลุดพ้นจาก "โรงงานผลิตหมอ") ผมคิดว่าคงจะมี demanding ทั้งจากโรงเรียนแพทย์ต่อ candidate และ candidates ต่อโรงเรียนแพทย์ ว่าจะสอนจะเรียนนั้น แต่ละฝ่ายต้องการอะไรจากซึ่งกันและกันบ้าง personality profile อาจจะนำเอาใช้มากยิ่งขึ้น เพื่อตัดแพทย์เพราะ Popular vote จากบ้านให้น้อยลง ครูคนสอนก็อาจจะต้องผ่านขบวนการเดียวกันว่าอยากสอน อยากผลิตแพทย์จริงหรือไม่ สามารถทำงานร่วมเป็นทีมได้รึเปล่า หรือว่ามองข้ามหัวอาชีพอื่นไปหมด เป็นคนละชั้นกับพยาบาล คนส่ง lab กายภาพ ฯลฯ หรือแม้แต่การตรวจสอบว่ามีจรรยาบรรณ รู้จักกตัญญูกตเวที รู้จักสัมมาคารวะ รู้จักทิศทั้งหก รู้จักศีลธรรม ก็อาจจะต้องนำมาพิจารณา (เพราะมันเรียวลงๆทุกวัน)

ศัลยแพทย์เป็น breed หนึ่งของหมอ ผมคิดว่าปัญหาเจาะที่ root ก่อนตรงฝึกอบรมแพทย์ หรือถ้าได้ย้อนไปไกลกว่านั้นคือระบบการศึกษาขั้นต้นยิ่งดี



Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-15 , Time : 01:41:52 , From IP : 172.29.3.243

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.019 seconds. <<<<<