ความคิดเห็นทั้งหมด : 6

ความจริงที่หายไปในหนังโฆษณาชุดล่าสุดเรื่อง กฟผ.


   ความจริงที่หายไปในหนังโฆษณาชุดล่าสุดเรื่อง กฟผ.
>ประสาท มีแต้ม
>กลุ่มศึกษาการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน สงขลา
>
>
>1. คำนำ
>
>ผมได้ชมหนังโฆษณาชุดล่าสุดในโทรทัศน์ที่พยายามบอกถึงเหตุผลของรัฐบาลในการแ
>ปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)
>แล้วรู้สึกว่าต้องเขียนบทความชิ้นนี้ทันที
>ทั้งนี้เพราะมีข้อมูลสำคัญบางอย่างได้ถูกบิดเบือนและทำให้คิดต่อไปได้ว่า
>แล้วสิ่งอื่นๆ ที่รัฐบาลจะทำในอนาคตจะถูกบิดเบือนอีกไหม
>
>ในฐานะที่ได้ติดตามข้อมูลด้านพลังงานทั้งก๊าซธรรมชาติและกิจการไฟฟ้ามานาน
>ผมจึงสามารถจับได้ไล่ทันว่าข้อมูลใดบ้างได้ถูกบิดเบือนหรือถูกทำให้หายไป
>ดังนั้นผมจึงขอนำเสนอข้อมูลที่ได้หายไปเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ใช้ประกอบการ
>พิจารณา
>สำหรับข้อมูลดิบที่ผมใช้ในการวิเคราะห์นี้มาจากกระทรวงพลังงานซึ่งท่านที่ส
>ามารถใช้อินเตอร์เนตค้นหาได้ที่ www.eppo.go.th/vrs/VRS61.pdf
> (หน้าที่ 63)
>เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
>ผมจะเปรียบเทียบกิจการไฟฟ้าที่มีความซับซ้อน(และมีตัวเลขเยอะแยะ)กับกิจการ
>คิวรถแท็กซี่ซึ่งจะทำให้เข้าใจได้ง่ายและสามารถนำไปเล่าสู่กันฟังภายใต้การ
>ผูกขาดการใช้สื่อแต่เพียงผู้เดียวของภาครัฐ
>
>2. สาระสำคัญของหนังโฆษณา
>
>เนื้อความในโฆษณาดังกล่าวมีสาระสำคัญว่า “ขณะนี้ทาง กฟผ.
>มีโรงไฟฟ้าที่สามารถผลิตได้เพียงประมาณ 50%
>ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดที่คนไทยทั้งประเทศใช้ ที่เหลืออีก 50%
>เป็นการผลิตของโรงไฟฟ้าของเอกชน
>ดังนั้นถ้าไม่มีการระดมทุนแล้วจะเอาทุนที่ไหนมาสร้างโรงไฟฟ้าใหม่
>เมื่อเศรษฐกิจโตขึ้นxxxส่วนการผลิตของ กฟผ.ก็จะลดต่ำลงเรื่อยๆ
>นอกจากนี้ทาง กฟผ.ยังมีหนี้สินถึง 1 แสน 4 หมื่นล้านบาท
>จึงจำเป็นต้องระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์”
>
>3. ความจริงที่หายไป
>
>จากสาระดังกล่าว เราพบว่ามีความจริง 2 ประการที่หายไป
>ประการแรก คือทรัพย์สินของ กฟผ. มีอยู่ถึง 4 แสนล้านบาท การมีหนี้สินถึง
>1.4 แสนล้านบาทก็ต้องถือว่ายังมีความมั่นคงทางการเงินอยู่และมีกำไรทุกปี
>ดีกว่ารัฐวิสาหกิจอื่นๆ อีกจำนวนมาก
>อาจจะดีกว่าฐานะของคนไทยทั้งประเทศที่มีหนี้สาธารณะถึง 52%
>ของรายได้ต่อปีเสียอีก
>หรือว่าจะต้องนำประเทศไทยไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย!
>ประการที่สอง เรื่องที่ทาง กฟผ.มีส่วนแบ่งการตลาดเพียงประมาณ 50%
>เรื่องนี้ต้องอาศัยข้อมูลประกอบการพิจารณา
>ขอท่านผู้อ่านโปรดอ่านอย่างช้าๆสักนิดนะครับ
>
>3.1 นับถึงเดือนมิถุนายน 2546 ประเทศไทยมีกำลังการผลิต
>ไฟฟ้ารวมกันถึง 25,647 เมกะวัตต์ แต่มีความต้องการสูงสุดของทั้งปีเพียงที่
>18,121 เมกะวัตต์ หรือมีกำลังผลิตสำรองอยู่ถึง 42%
>เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ ผมจะเปรียบโรงไฟฟ้าเป็นรถแท็กซี่
>ส่วนจำนวนไฟฟ้าที่ผลิตได้เทียบเป็นจำนวนผู้โดยสาร
>และเพื่อให้เห็นxxxส่วนของการใช้งานของรถแท็กซี่
>ผมขอเปรียบให้จำนวนผู้โดยสารในวันที่มีมากสูงสุดมีจำนวน 100 คน (18,121
>เมกะวัตต์) ดังนั้นในวันนั้นประเทศไทยมีรถแท็กซี่อยู่ทั้งหมด 142 คัน (รถ
>1 คันเทียบเท่าโรงไฟฟ้า 180 เมกะวัตต์คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6,300 ล้านบาท)
>จากตัวเลขดังกล่าวทำให้เรารู้สึกได้ว่า คิวนี้มีรถมากเกินไป
>เพราะมีสำรองถึง 42 คัน หากคิดย้อนกลับไปคิดเป็นกิจการโรงไฟฟ้า
>การมีโรงไฟฟ้าสำรองถึง 42% นั้นต้องถือว่ามีมากเกินไป
>(ซึ่งปกติเขามักสำรองที่ 15% ท่านนายกฯทักษิณเคยกล่าวเมื่อต้นปี 2545 ว่า
>“ประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าสำรองคิดเป็นมูลค่าถึง 4 แสนล้านบาท
>เนื่องจากการคำนวณที่ผิดพลาด ทำให้คนไทยต้องเสียค่าไฟฟ้าแพง”)
>
>3.2 ในจำนวนรถทั้งหมด 142 คัน ปรากฏว่าเป็นของ กฟผ. 84 คันหรือคิดเป็น 59%
>ของจำนวนรถทั้งหมดของคิว ที่เหลือ 41%(หรือ 58 คัน) เป็นของบริษัทเอกชน
>
>3.3 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2546 พบว่ารถของ กฟผ. ได้รับผู้โดยสารรวมเพียง
>52% (แต่มีรถอยู่ 59%) ในขณะที่รถของเอกชนได้รับผู้โดยสาร 48%(แต่มีรถอยู่
>41%)
>จากข้อมูลนี้ทำให้เราได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า “นายคิว”
>นี้ไม่มีความเป็นธรรมอย่างยิ่ง คำถามก็คือว่า ใครคือนายคิว
>จึงได้ปล่อยให้รถของ กฟผ. หรือของคนไทยทุกคนต้องว่างงานเป็นจำนวนมาก
>
>
>4. ใครคือนายคิว?
>
>คำตอบคือ กฟผ. เองนั่นแหละที่เป็นนายคิว เพราะ กฟผ.
>เป็นผู้ควบคุมระบบส่งไฟฟ้าหรือควบคุมถนน
>แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเกณฑ์การจัดคิวแบบนี้คือใคร
>คำตอบคือรัฐบาลไทยนั่นเอง เพราะนโยบายมาจากรัฐบาล
>โดยรัฐบาลไทยได้เซ็นสัญญาที่เรียกว่า “ไม่ใช้ก็ต้องจ่าย”
>กล่าวคือเป็นสัญญาที่ได้ประกันความเสี่ยงให้กับบริษัทเอกชนที่ว่า
>เมื่อบริษัทสามารถผลิตไฟฟ้าได้แล้ว ทาง กฟผ.
>ต้องรับซื้อไฟฟ้าจากบริษัทอย่างน้อย 85%
>ของจำนวนที่บริษัทผลิตได้เพื่อนำไปขายต่อให้กับประชาชน
>
>โปรดอย่าลืมว่า ในระบบทั้งหมดเรามีรถอยู่ 142 คันแต่มีผู้โดยสารไม่เกิน
>100 ราย ด้วยสัญญาแบบนี้ กฟผ. จึงจำเป็นต้องปล่อยรถของตนเองออกให้น้อยลง
>เพราะถึงปล่อยรถของตนเองออกมา ก็ต้องจ่ายเงินให้รถของเอกชนอยู่ดี ตามสัญญา
>“ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย”
>
>
>5. กฟผ. เสียรายได้ปีละ 17,500 ล้านบาท
>
>ในปี 2546 ทั้งปี คนไทยใช้ไฟฟ้าประมาณ 1 แสน 1
>หมื่นล้านหน่วยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 275,000 ล้านบาท ดังนั้นปริมาณไฟฟ้า 1%
>มีค่าเท่ากับ 2,750 ล้านบาท
>
>จากหัวข้อ 3.3 ที่รถของ กฟผ. มีอยู่ถึง 59% แต่ได้รับผู้โดยสารเพียง 52%
>คือหายไปถึง 7% (เพราะไปเพิ่มให้รถของเอกชน)
>ดังนั้นด้วยการจัดคิวที่ไม่เป็นธรรมนี้ได้ทำให้ กฟผ. ขาดรายได้ไปถึงปีละ
>17,500 ล้านบาท
>
>เงินรายได้ที่หายไปจาก กฟผ.จำนวน 19,250 ล้านบาทนี้
>เป็นค่าเชื้อเพลิงประมาณ 11,900 ล้านบาท(หรือประมาณ 68%ของรายได้)
>ดังนั้นรายได้ที่เหลืออีกประมาณ 6,000 ล้านบาทจึงถือได้ว่าเอากำไรล้วนๆ
>ของ กฟผ.ไปให้กับบริษัทเอกชนนั่นเอง
>เพราะว่าต้นทุนค่าสายส่งและค่าบริหารไม่จำเป็นต้องจ่ายเพิ่มอีกแล้ว
>
>เงินก้อนนี้ตกปีละ 6,000 ล้านบาทนี้เป็นเงินที่ผู้ใช้ไฟฟ้าเป็นผู้จ่าย
>ได้หายไปจาก กฟผ. ซึ่งเป็นสมบัติของคนไทยทุกคน
>แต่กลับไหลไปสู่กระเป๋าของบริษัทเอกชนเพราะนโยบายการจัดคิวที่ผิดพลาดของรั
>ฐบาลไทย
>
>ที่กล่าวมาแล้วเป็นข้อมูลปี 2546 แต่ที่ทางราชการไทยได้วางแผนไว้สำหรับปี
>2547 กลับสาหัสมากกว่านี้คือ รถของ กฟผ. จะได้รับผู้โดยสารเพียง 48%
>(ทั้งๆที่มีโรงไฟฟ้าหรือรถเพิ่มขึ้นอีก 2 คันที่จังหวัดกระบี่ รวมรถของ
>กฟผ.มี 60%) รถของบริษัทเอกชนจะได้รับผู้โดยสาร 52%
>
>ความอยุติธรรมนี้จะเพิ่มขึ้นจาก 7% ในปี 2546 เป็น 12% ในปี 2547
>เฉพาะส่วนที่ไม่เป็นธรรมนี้คิดเป็นกำไรล้วนๆ ถึงหนึ่งหมื่นล้านบาทต่อปี
>
>
>5. สรุป
>
>ที่ได้กล่าวมาแล้ว
>ผมได้ชี้ให้เห็นว่าในหนังโฆษณาชุดนี้รัฐบาลทักษิณได้หลอกลวงคนไทยไว้ 3
>ประเด็น คือ
>
>(1) บอกแต่จำนวนหนี้สินแต่ไม่บอกจำนวนทรัพย์สินที่มีมากกว่า
>
>(2) จำนวนโรงไฟฟ้าล้นเกินถึง 42% แทนที่จะเป็น 15% และ
>
>(3) ปิดบังความจริงเรื่องการจัดคิวที่ไม่เป็นธรรมซึ่งกำหนดโดยรัฐบาลเอง
>ส่งผลให้รัฐบาลสูญเสียรายได้และเอกชนได้ประโยชน์ถึงปีละ 6,000 ล้านบาท
>
>
>ผมคิดว่าสิ่งที่คนไทยต้องตั้งคำถามอีก 4 ข้อ คือ
>
>(1) ยังมีสิ่งที่หลอกลวงที่บทความนี้ยังไม่ได้กล่าวถึงอีกไหม
>
>(2) นี่เป็นการหลอกลวงครั้งสุดท้ายของรัฐบาลหรือไม่
>
>(3) เงินค่าโฆษณาทางโทรทัศน์มาจากไหน
>ใครเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ซึ่งรับเงินค่าโฆษณาแล้วนำความเท็จมาให้ประชาชน
>
>และ
(4) >แล้วเราจะเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าภายใต้การปิดกั้นข่าวสารได้อย่างไร


Posted by : คนไทย , Date : 2004-04-24 , Time : 02:33:19 , From IP : 203.113.86.116

ความคิดเห็นที่ : 1


   สนับสนุนการแปรรูป เพื่อ จะได้มีการแข่งขันกัน
ทั้งในด้านการบริการ และคุณภาพ ค่าไฟก็จะถูกลง
อุตสาหกรรมเติบโตขึ้น
เงินส่วนหนึ่งไหลจากกระเป๋า และสวัสดิการอันฟุ่มเฟือยของ กฟผ.เข้ากระเป๋า นายทุนกับต่างชาติ ทีนี้ก็อยู่ที่เจ้าของเงินตัวจริง คือผู้ใช้ไฟว่าจะเลือกข้างไหน
ตัวผมเองสนับสนุนการแปรรูป เพราะเห็นว่า การบริการ การทำงานของบุคลากรใน กฟผ ไม่คุ้มกับ สวีสดิการและเงินเดือนที่ได้รับ บางคนสมควรคัดออก บางคนทำงานไปวันๆ ผมยอมให้เงินผมตกอยู่ในกระเป๋าของนายทุน ถ้ามันหมายถึง ผลสรุปโดยรวมที่ดีขึ้นของประเทศชาติ ค่าไฟถูกลง ค่าสินค้าอุปโภค บริโภคถูกลงอุตสาหกรรมเติบโต สรุปแล้วว่า ขาดทุนน้อยกว่า และก็อาจจะได้กำไรกลับมาอย่างมากมาย


Posted by : โซดา โค้ก , Date : 2004-04-24 , Time : 06:45:04 , From IP : 172.29.3.235

ความคิดเห็นที่ : 2


   เห็นด้วยกับโซดาโค้ก

Posted by : ผ่านมา , Date : 2004-04-24 , Time : 09:07:45 , From IP : 210.120.128.117

ความคิดเห็นที่ : 3


   คุณโซดา เชื่อหรือว่านายทุนจะทำให้ ผลสรุปโดยรวมที่ดีขึ้นของประเทศชาติ อะไรๆก็ถูกลงอย่างโฆษณาทาง TV

ผมกลัวจะเป็นอย่างอาเจนตินามากกว่า


Posted by : กลัวใจทักษิณ , Date : 2004-04-24 , Time : 10:10:47 , From IP : 172.29.3.73

ความคิดเห็นที่ : 4


    เห็นด้วยกับการนำกฟผ. เข้าตลาดหลักทรัพย์ ใครมีเงินและอยากถือหุ้นหรืออยากมีส่วนเป็นเจ้าของ กฟผ. ก็สามารถทำได้ เป็นการระดมทุนจากคนในประเทศดีกว่าให้รัฐบาลไปกู้เงินต่างชาติมา เสียดอกเบี่ยไปโดยไม่จำเป็น
ต้องยอมรับว่าองค์กรนี้เป็นที่แสวงหาผลประโยชน์ของกลุ่มคนหลายกลุ่ม เงินต่างๆที่ใส่เข้าไปต้องสูญเสียไปจำนวนมาก
ประสิทธิภาพการทำงานน้อย อย่ามาบอกว่ากำไรเลยครับ ผมว่าบริหารให้ดีจะกำไรมากกว่านี้หลายเท่า ที่กำไรอยู่ก็เพราะไม่มีคู่แข่งต่างหาก ไม่ใช่เพราะฝีมือการบริหารหรือมีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ดูอย่างทศท. เห็นชัดที่สุด แปรรูปแล้วผู้บริโภคได้ประโยชน์เห็นๆ
พนักงานที่ออกมาประท้วง แน่ใจหรือว่าเขามาปกป้องผลประโยชน์ของชาติ หรือผลประโยชน์ของตนเอง

สนับสนุนให้แปรรูปโดยเร็ว


Posted by : สอดแนม , Date : 2004-05-05 , Time : 14:46:27 , From IP : 172.29.3.225

ความคิดเห็นที่ : 5


   ฝันที่เป็นจริงหรือสร้างภาพ

Posted by : ิBOO , Date : 2004-07-22 , Time : 02:37:35 , From IP : 172.29.3.61

ความคิดเห็นที่ : 6


   รู้เขาหลอกแต่....เต็มใจให้หลอก ฮะ..เอิง..เอง..เอย..

Posted by : ิB00 , Date : 2004-07-22 , Time : 02:40:31 , From IP : 172.29.3.61

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.005 seconds. <<<<<