ความคิดเห็นทั้งหมด : 0

ความจริงอันน่าเจ็บปวด 10 ข้อที่ทุกคนลืมเร็วเกินไป


   

กำลังอยากหาข้อคิดดีก็เลยได้พบอะไรดีๆที่อยากเอามาแปลฝากกันอีกเรื่องค่ะ แปลแบบเก็บความมาเลยนะคะ เขาบอกว่าเรื่องนี้เรารู้กันอยู่แล้ว แต่เรามักจะลืมคิดถึงไป ก็มีตามนี้ค่ะ


1. อายุเฉลี่ยของคนเรานั้นค่อนข้างสั้น ใครๆก็รู้ความจริงข้อนี้แต่เราก็มักจะตกใจ แปลกใจเวลาคนที่เรารู้จักเสียชีวิต เขาบอกว่าให้เราใช้ชีวิตในวันนี้เดี๋ยวนี้ อย่าลืมความตายแต่ก็ไม่ต้องกลัวมัน ขอให้กลัวว่าเราจะไม่ได้ใช้ชีวิตเพียงเพราะเราไม่กล้าที่จะทำอะไร ความตายไม่ใช่การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต แต่ถ้าเราตายภายในทั้งที่ยังไม่ตายจริงๆนี่แหละถึงจะเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาบอกว่าจงกล้าหาญ อยากทำอะไรทำเลย 


2. เราจะใช้ชีวิตอย่างไรก็เป็นสิ่งที่เราเลือกสร้างให้ตัวเอง ชีวิตเป็นของเราเอง คนอื่นมาชักจูงชี้นำได้แต่มาตัดสินใจให้เราไม่ได้ คนอื่นมาเป็นเพื่อนเราได้แต่ทำอะไรแทนเราไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องตัดสินใจเองว่าเราจะก้าวไปทางไหนตามที่เราอยากทำ เขาบอกว่าอย่าไปกลัวที่จะเปลี่ยนแปลงหรือเดินทางใหม่ๆถ้าเราคิดว่ามันทำได้ จงจำไว้ว่า การอยู่ขั้นแรกของบันไดที่เราอยากขึ้นดีกว่าไปอยู่ขั้นบนสุดของที่ๆเราไม่ได้อยากไป เขาบอกว่าต้องอดทน พยายามในการทำสิ่งที่เราเชื่อมั่นด้วยทัศนคติที่ดี ชีวิตเป็นของเรา เราต้องเลือกเอง เขาบอกว่าให้การกระทำของเราบอกความเป็นเราดีกว่าการพูด ให้ชีวิตของเราสั่งสอนคนอื่นมากกว่าการบอกกล่าว ให้ความสำเร็จของเราส่งเสียงแทนเราในบั้นปลาย เขาบอกว่า ถ้าจะให้ชีวิตสอนอะไรเรา ขอให้เป็นความกล้าที่จะเลือกในสิ่งที่ตัวเราเองต้องการ แม้จะไม่รู้ว่าจะไปถึงหรือไม่ ก็ต้องกล้าที่จะเป็นตัวเอง 


3. การที่เรายุ่งไม่ได้แปลว่าเรามีประสิทธิภาพ ความยุ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือน่าชื่นชมอะไร เขาบอกว่ามีน้อยคนที่ควรจะยุ่งตลอดเวลา ส่วนใหญ่คือเราไม่รู้วิธีที่จะจัดการตัวเอง ไม่รู้จักการจัดลำดับก่อนหลัง ไม่รู้จักปฏิเสธในเรื่องที่ควรปฏิเสธ เรื่องนี้เขาบอกว่าเรารู้อยู่แล้วแต่เรามักจะลืมจัดการให้ดีๆ


4. ก่อนที่เราจะทำอะไรสำเร็จ เราต้องทำอะไรล้มเหลวมาก่อนสักอย่างเสมอ เขาบอกว่าความผิดพลาดส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ต้องรู้จักให้อภัยตัวเอง ทำผิดไม่ใช่ปัญหา แต่จะเป็นปัญหาถ้าเราไม่ได้เรียนรู้จากการทำผิดนั้น ถ้าเรามัวแต่กลัวความล้มเหลว เราก็จะไม่มีทางกล้าทำสิ่งที่จะต้องทำเพื่อให้ถึงความสำเร็จได้ เราต้องรู้จักเป็นมิตรกับความล้มเหลว ความแตกต่างระหว่างมืออาชีพกับมือสมัครเล่นก็คือ มืออาชีพจะทำอะไรล้มเหลวมาแล้วหลายครั้งมากกว่าจำนวนครั้งที่มือสมัครเล่นลงมือลองทำอะไร เขาเตือนไว้ว่า ถึงแม้ว่ามันยังไม่เห็นผลตอนนี้ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่เกิด บางครั้งมันต้องมีอะไรผิดพลาดก่อนถึงจะทำสิ่งที่ถูกต้องได้


5. การคิดกับการทำเป็นสองสิ่งที่ต่างกันมาก ความสำเร็จจะไม่มาหา หากเรามัวแต่คิดอยู่ เราเป็นสิ่งที่เราทำไม่ใช่สิ่งที่เราพูดว่าเราจะเป็น ความรู้จะไม่มีความหมายอะไรถ้าเราไม่เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ สิ่งดีๆจะไม่เข้ามาหาคนที่มัวแต่รอ เราต้องมีความกล้าที่จะลงมือทำ เขาบอกให้จำไว้ว่า ถ้าเรารอให้เราพร้อม 100% ซะก่อนถึงจะเริ่มทำอะไร เราก็คงต้องรอไปตลอดชีวิต


6. เราไม่ต้องรอการขอโทษในการที่จะให้อภัย เขาบอกว่าชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะถ้าเราเรียนรู้ที่จะรับคำขอโทษที่เราไม่เคยได้ หัวใจก็คือให้รู้สึกขอบคุณทุกประสบการณ์ไม่ว่าจะดีหรือร้าย แค่ถอยออกมาแล้วก็บอกว่า "ขอบคุณสำหรับบทเรียนนี้" แค่ตระหนักรู้ว่าเรื่องร้ายๆที่ผ่านไปเป็นเศษขยะของความสุขในวันนี้และการที่เราไม่ยอมปล่อยวางก็เหมือนเราปล่อยให้บริษัทที่เราไม่ชอบมาอยู่ในหัวเราโดยไม่เสียค่าเช่าที่ การให้อภัยคือสัญญาที่เราต้องรักษา เมื่อเราให้อภัยใครก็เป็นการที่เราสัญญาว่าจะไม่ยึดเรื่องเก่าที่แก้ไม่ได้มาทำลายปัจจุบันของเรา เขาบอกว่าไม่ใช่การปล่อยให้คนผิดลอยนวลแต่เป็นการปล่อยใจของเราเองให้หลุดพ้นจากการเป็นเบื้ยล่างตลอดกาลต่างหาก


7. คนบางคนยังไงก็ไม่ใช่คนที่จะเข้ากับเราได้ เขาบอกว่าเราจะดีที่สุดได้เท่ากับคนที่อยู่รอบๆตัวเรา ดังนั้นต้องกล้าที่จะปล่อยคนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีไปไกลๆ ไม่ต้องพยายามไปสร้างสัมพันธ์กับคนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี เขาบอกว่ามีคนมากมายที่เป็นคนที่เหมาะกับเรา เข้ากับเราได้ เพราะฉะนั้นถ้าพบเจอใครที่เราเข้าใกล้แล้วรู้สึกไม่มีความสุข ก็ไม่ต้องพยายามฝืนตัวเอง 


8. ไม่ใช่ธุระของคนอื่นที่จะมารักเรา เป็นธุระของเราเอง เขาบอกว่าการดีต่อผู้อื่นก็เป็นเรื่องสำคัญแต่ที่สำคัญกว่าคือเราต้องทำดีกับตัวเราเอง เราต้องรักตัวเองเราถึงจะทำสิ่งดีๆให้โลกนี้ได้ เพราะฉะนั้นอย่ามองตัวเองด้วยตาของคนที่ไม่เห็นคุณค่าของตัวเรา รู้คุณค่าของตัวเราเองไม่ว่าคนอื่นจะคิดยังไง ให้ใครสักคนรักเราในแบบที่เราเป็น ไม่ว่าจะแย่ยังไง ไม่สวยไม่หล่อบ้างในบางครั้ง เหลวไหลบ้างยังไงก็ยังรัก และให้ใครคนนั้นคือตัวเราเอง 


9. สิ่งที่เราเป็นเจ้าของไม่ใช่ตัวตนของเรา สิ่งของก็คือสิ่งของ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับความเป็นตัวเรา เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่ทำอะไรได้ อยู่ได้โดยใช้หรือมีอะไรน้อยกว่าที่เราคิดว่าเราต้องมี เป็นคำเตือนที่มีค่ามากในโลกยุคนี้ที่บริโภคนิยมกัน ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งของมากกว่าความสัมพันธ์และประสบการณ์ เขาบอกว่าให้เราสร้างวัฒนธรรมของตัวเอง อย่าให้สิ่งของต่างๆบ้าน รถ เสื้อผ้ามาเป็นสิ่งสำคัญกับตัวเรามากกว่าตัวตนของเรา ครอบครัว ความรัก ความฝันของเรา อย่าให้สิ่งรอบๆตัวมามีอิทธิพลเหนือตัวตนของเรา มัวแต่คิดว่าต้องมีปริญญา มีงาน มีบ้าน มีรถ มีโน่นมีนี่ เพราะสักวันเราจะตื่นขึ้นมาแล้วรู้ตัวว่าเราหลงผิดไปเสียแล้ว สิ่งของพวกนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรกับตัวตนของเราเลย


10. ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเสมอ ทุกวินาทีเลยด้วย เราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงและตระหนักรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีเหตผลของมันเอง ซึ่งเราอาจจะไม่รู้ในตอนแรก แต่สุดท้ายเราก็จะเข้าใจ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งดีหรือร้ายในตอนนี้ มันก็จะต้องเปลี่ยนไปเสมอไม่คงอยู่ สิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญก็คือ เมื่อชีวิตพบสิ่งดีๆมีความสุขกับมัน อย่าไปมัวแต่มองหาสิ่งที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ตลอดเวลา ความสุขจะไม่มาหาคนที่ไม่ใส่ใจเวลาที่ตัวเองกำลังมีสิ่งดีๆอยู่กับตัวแล้วมัวแต่ไปมองหาที่อื่น


ทั้ง 10 ข้อนี้ถอดความและเรียบเรียงมาจาก 10 Painfully Obvious Truths Everyone Forgets Too Soon อ่านต้นฉบับจะได้ความขลังกว่าฉบับแปลเป็นไทยอย่างรวดเร็วนี้มากค่ะ 



Posted by : anothai , Date : 2014-02-05 , Time : 09:20:06 , From IP : 172.29.14.115

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.004 seconds. <<<<<