ความคิดเห็นทั้งหมด : 4

เด็กชายลำไส้สั้น


   บังเอิญไปเจอบทความของคุณ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
เขียนถึงลูกคนที่สองของเขา อยากให้ลองดูมุมมองของคุณพ่อที่มีลูกป่วย ปกติท่านเป็นคนอารมณ์ดี แต่มาเจอเรื่องอย่างนี้ก็ ... ลองอ่านดูแล้วกัน พยายามหาตอนที่หนึ่งแต่หามาไม่ได้ เริ่มที่บทที่สองเลยแล้วกัน


Posted by : Dhan , Date : 2004-04-16 , Time : 23:18:00 , From IP : 172.29.3.224

ความคิดเห็นที่ : 1


    เรื่องของเด็กชายลำไส้สั้น (๒)
กลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๕ เด็กชายธรรธถูกย้ายจากโรงพยาบาลเอกชน
มาสู่โรงพยาบาลของรัฐ ด้วยเหตุผลว่าหลังจากคลอดได้ห้าวัน
เขาท้องเสียโดยหาเหตุผลไม่ได้ น้ำหนักตัวลดลง จาก ๒,๖๐๐
กรัมที่น้อยอยู่แล้วสำหรับเด็กแรกเกิดทั่วไป เหลือ ๒,๔๐๐ กรัม
ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
ผมเดินไปมาด้วยความมึน สงสัยว่าเมื่อไหร่จะเสร็จสักที
ขณะสาวน้อยผู้เป็นแม่อยู่กับเด็กชายธรรธเพื่อรอการตรวจแรกเข้า
แม้รู้ว่าโรงพยาบาลของรัฐต่างจากของเอกชน ความสะดวกสบายน้อยกว่าเป็นธรรมดา
ถึงเราจองห้องไว้ล่วงหน้า แต่ยังไงก็ต้องรอให้คุณหมอตรวจและสั่งให้นอน
ยิ่งเราย้ายโรงพยาบาลวันอาทิตย์ จึงต้องไปรอคิวที่ห้องฉุกเฉิน
การยืนดูเด็กน้อยเพิ่งเกิดต้องเข้าคิวกับผู้ป่วยฉุกเฉินนับร้อย ค่อนข้างกดดันครับ
ยิ่งรู้ว่าตรวจไปก็เท่านั้น เพราะแค่เอาหูฟังจิ้มหรือตรวจดูอาการจากภายนอก
คงไม่สามารถบอกอะไรได้
เพราะที่โรงพยาบาลเดิมตรวจถึงขั้นอุลตร้าซาวนด์ก็ยังไม่เห็นอะไรสักอย่าง
สามชั่วโมงเศษผ่านไป
บุรุษพยาบาลเข็นเตียงพาน้องธรรธไปตามซอกเล็กซอยน้อยตามประสาโรงพยาบาลเก่าแก่
จนมาถึงตึกสูงที่เพิ่งสร้างใหม่เมื่อไม่กี่ปีก่อน เราขึ้นลิฟท์ไปชั้นเกือบสูงสุด
ตึกนี้แบ่งห้องพักผู้ป่วยเด็กเป็น ๒ แบบ
อย่างแรกคือห้องพักรวมมีเตียงนับสิบหรือกว่านั้น
ญาติผู้ป่วยไม่มีสิทธิเฝ้าไข้ค้างคืน แต่ถ้าเป็นแบบห้องพิเศษสี่เตียง สองเตียง
และห้องเตียงเดี่ยว คุณพ่อคุณแม่อยู่กับน้องได้
คุณหมอจากโรงพยาบาลเอกชนช่วยกรุณาจองห้องเดี่ยวให้เรา
แม้ค่าใช้จ่ายจะสูงหน่อยคืนละเกือบสองพันห้าร้อยบาท แต่ผมเป็นข้าราชการ
เบิกค่าใช้จ่ายได้บางส่วน จึงพอรับไหว ยิ่งตอนหลังน้องธรรธสมัครเป็นสมาชิก
ได้ลดค่าใช้จ่ายลงอีก เหลือคืนละ ๔๕๐ บาท
มิฉะนั้นผมคงต้องขายบ้านจ่ายค่าห้องไปแล้ว เพราะถ้าจ่ายเต็ม
เฉพาะค่าห้องก็เฉียดล้าน (เฉียดจริง มิใช่เสแสร้งเฉียด)
พอน้องเข้าห้องได้สักครู่ คุณพยาบาลเข้ามาจัดเตียงให้
พลางบอกว่าน้องตัวเหลืองนะคะ แต่ไม่มาก เดี๋ยวฉายแสงสักนิดคงดีขึ้น
แต่ผมดูเด็กชายตัวกระจิ๋วกำลังมีสายน้ำเกลือปักอยู่ที่ข้อมือ
ในใจรู้สึกว่าไม่ดีแน่ ยิ่งผมไม่คุ้นเคยกับโรงพยาบาล
เกิดมาไม่เคยป่วยไข้ถึงขั้นนอนค้างสักคืน น้ำเกลือก็ไม่เคยโดนเจาะ
มาเห็นภาพลูกตัวเองเจอแบบนี้ บีบคั้นใจดีครับ
ตลอดบ่ายจรดเย็นวันนั้น ผมกับแฟนคุยกันในห้องพักของน้อง
พยายามจะคิดให้ออกว่าเขาเป็นอะไรแน่ จากข้อมูลที่คุณหมอคนแรกบอกมา
คาดว่าอาจเป็นถุงน้ำดี พอมาถึงตอนนี้ ข้อมูลจากอุลตร้าซาวนด์บอกว่าไม่ใช่
แต่จะเป็นอะไร คุณหมอไม่รู้จ้ะ ระหว่างที่เราพูดกัน น้องก็แหวะออกมาสีเหลืองข้นๆ
คุณพยาบาลเข้ามาดู บอกว่าสีแปลกแฮะ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นไง
คุณหมอเวรเข้ามาก็ทำหน้างงๆ ทีแรกผมไม่ค่อยเข้าใจ เป็นหมอทำไมงงเล่าเอย
แล้วญาติผู้ป่วยจะไม่งงยิ่งกว่าเหรอ แต่ตอนหลังผมพอทราบว่า
คุณหมอเวรส่วนใหญ่เป็นหมอกำลังต่อเฉพาะทาง อายุน้อยกว่าผมตั้งเยอะ
ความชำนาญย่อมน้อยกว่าอาจารย์หมอ
พอเข้าช่วงเย็น ผมเริ่มได้บรรยากาศของโรงพยาบาลสไตล์เด็กๆ
เสียงน้องข้างห้องร้องไห้ผ่านเข้ามาเป็นระยะ มีคุณแม่คอยปลอบใจ
น้องเค้าเป็นอะไรผมก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือทำไมเสียงถึงดังนักวุ้ย
เมื่อเข้าไปดูตามกำแพง ถึงทราบว่าคนก่อสร้างตึกนี้ลืมไปอย่าง
นั่นคือลืมนำซิลิโคนมาอุดร่องระหว่างกระจกและกำแพงกั้นห้อง
เสียงจึงลอดเข้ามาชัดเจน ตลอดเย็นวันนั้น สิ่งที่ผมทำคือฉีกหนังสือพิมพ์เก่าๆ
นำไปอุดร่องให้เรียบร้อย ถึงวันนี้เกือบสองปีผ่านไป
เวลาน้องธรรธกลับเข้าโรงพยาบาลไปนอนห้องนั้น
ผมยังเห็นหนังสือพิมพ์ที่ตัวเองอุดไว้อยู่เลยครับ
...
"พ่อคับ น้องล่ะคับ ?"
ผมถามทันทีที่เห็นคุณพ่อกลับบ้าน ก็ผมอยากเจอน้องนี่คับ
คุณแม่บอกไว้ก่อนไปโรงกะบาล คุณแม่จะไปคลอดน้อง อีกสองสามวันคุณแม่จะกลับมา
พาน้องมาให้ผมดูด้วย แต่ถึงวันนี้ แม้ผมยังนับตัวเลขไม่ค่อยเก่ง
แต่ผมรู้ว่าเวลาผ่านไปเกินสองวันแล้วคับ น้องไม่ยอมมาสักที
แต่นั่นผมยังไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ คุณแม่น่ะสิคับ หายไปด้วยอีกคน
ผมคิดถึงคุณแม่คับ
"ธรา น้องยังมาไม่ได้ น้องไม่ค่อยสบาย แม่ดาวเลยต้องอยู่กับน้อง"
"ว้า...งั้นเหรอ แล้วคืนนี้คุณพ่ออยู่บ้านมั้ยคับ"
"อยู่สิครับ คืนนี้พ่อนอนธรา"
ผมยิ้มออกมาได้ ดีใจคับ ตั้งแต่เกิดมา ผมนอนกะคุณพ่อคุณแม่มาตลอด
มาช่วงนี้แหละคับที่ต้องนอนกะพี่เลี้ยง แม้ผมอยากนอนกับคุณแม่มากกว่าคุณพ่อ
แต่คุณพ่อย่อมดีกว่าพี่ตุ๊ก ผมชอบนอนซุกๆ มีแต่คุณพ่อกะคุณแม่ยอมให้ผมซุก
พี่ตุ๊กไม่ยอมขึ้นมานอนบนเตียงกะผม
คุณพ่อรีบไปอาบน้ำ ก่อนกลับมาเล่านิทานให้ผมฟัง
นิทานวันนี้ไม่ค่อยสนุกเหมือนทุกคืน คุณพ่อทำเสียงเนือยๆ ชอบกล ไม่ยอมใส่อารมณ์
แต่ผมพอใจคับ ไม่ได้ฟังมาตั้งหลายวัน พอนิทานจบผมเตรียมเข้านอน
คุณพ่อออกไปคุยโทรศัพท์กะคุณแม่ ยอมให้ผมพูดด้วยหน่อยนึง
ผมบอกคุณแม่ว่าธรานอนแล้วคับ คุณแม่ฝันดีนะคับ
ผมไม่รู้หรอกคับว่า ยังไงคุณแม่ก็ฝันไม่ดี
...
"นั่นอะไรน่ะ"
ทันทีที่เข้าไปในห้อง มองเห็นอ่างแก้วหน้าตาพิลึกตั้งอยู่บนรถเข็น
ผมหันมาถามแฟน
"เตาปิ้งค่ะ"
"ปิ้งเหรอ...ปิ้งอะไรล่ะ"
"ปิ้งน้องธรรธ" แฟนผมรีบอธิบายต่อเมื่อเห็นผมทำหน้าสงสัย
"น้องเค้าต้องแก้ผ้าหมด ใส่ได้แต่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเพราะฉี่ลงเตาปิ้งไม่ได้
เดี๋ยวเตาช้อต เอาผ้ากอซทบกันหนาๆ ปิดตาไว้ แล้วก็เข้าไปอยู่ในนั้นเป็นชั่วโมง
ในเตามีหลอดแบล็คไลท์ส่องแสงอุลตร้าไวโอเล็ตหรืออะไรนี่แหละ
ผลเลือดบอกว่าเค้าตัวเหลืองเกินไป"
"แล้วจะเป็นไรมั้ยเนี่ย ?"
แฟนผมยิ้ม บอกว่าไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าเป็นน้อยแค่ตากแดดแสงอ่อนๆ
ก็หายแล้ว แต่น้องเป็นเยอะหน่อยเลยต้องปิ้ง มีเด็กเยอะแยะไปที่ต้องถูกปิ้ง
โดยเฉพาะเด็กคลอดก่อนกำหนด แค่ไม่กี่วันก็เรียบร้อย
ปัญหาอยู่ที่น้องเป็นอะไรมากกว่า ทำไมกินนมแล้วอึไหล แถมยังแหวะด้วย
คุณหมอมาดูแล้วยังไม่ทราบ มาดูหลายหมอด้วยซ้ำ ทุกท่านบอกแต่ว่า
ต้องตรวจให้ละเอียดกว่านี้
ผมมองดูลูกชายตัวเองถูกให้น้ำเกลือ นอนในเตาปิ้ง
เริ่มรู้สึกว่าเรื่องมันไปกันใหญ่แล้ว
อุตส่าห์ย้ายโรงพยาบาลก็ยังไม่รู้ว่าน้องเป็นอะไร พอไม่รู้จึงทำอะไรไม่ได้
ต้องให้น้ำเกลือไปเรื่อยๆ น้ำเกลือคือน้ำแร่ธาตุ ช่วยควบคุมระบบในร่างกาย
แต่ไม่ได้ให้พลังงานสารอาหาร ธรรมดาผู้ใหญ่ยังพอว่า
น้ำหนักลดลงสามสี่กิโลกรัมอย่างมากก็ผอม
แต่นี่ลูกข้าพเจ้าน้ำหนักเกินสองกิโลกรัมมานิดเดียว น้ำหนักน้อยลงกว่านี้...
เนื่องจากน้องธรรธกินนมแล้วท้องเสีย จึงให้นมแม่ไม่ได้
จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วย เรียกว่าเครื่อง Syringe Pump
เมื่อแปลตรงตัวหมายถึงเครื่องปั๊มหลอดฉีดยา ลักษณะดูแล้วไม่ซับซ้อน
บนตัวเครื่องมีที่ให้วางหลอดฉีดยา มีขาเกี่ยวด้านหนึ่ง
อีกด้านเอาไว้กดก้านหลอดฉีดยา ดันนมให้ไหลออกไปช้าๆ
เราปรับอัตราการไหลของนมเป็นมิลลิเมตรต่อวินาที ฟังแค่นี้คงนึกว่าอ่อน
แต่เจ้าเครื่องที่ว่าราคาหลายหมื่นบาทครับ
ผมรู้ดีเพราะตอนนี้ที่บ้านมีเครื่องหนึ่ง ถือเป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้ตลอด
ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ น้องธรรธยังอยู่ห่างเครื่อง Syringe Pump
ไม่ได้เลยสักวัน
คุณหมอกำหนดอัตราการให้นมไว้ต่ำมาก ชั่วโมงละสิบซีซีมีเศษนิดหน่อย
คุณพยาบาลจะตั้งตัวเลขไว้ เครื่องค่อยปั๊มนมไหลผ่านสายยาง เข้าไปทางรูจมูก
ผ่านหลอดอาหาร ลงไปถึงกระเพาะ ต้องเอาให้ถึงด้วยนะครับ เพราะก่อนให้ทุกครั้ง
พยาบาลต้องดูดน้ำย่อยในกระเพาะออกมาตรวจดูว่า ยังมีนมย่อยไม่หมดอีกหรือเปล่านะ
ถ้าดูดแล้วออกมาเป็นน้ำสีเหลือง ถือว่าใช้ได้ครับ
การให้นมลูกตัวเองไม่ได้
แถมยังต้องคอยดูลูกถูกตรึงติดกับเครื่องมือหน้าตาพิสดาร
มีสายน้ำเกลือเสียบเข้าข้อมือ สายนมเสียบเข้าทางจมูก นั่นก็แย่พอแล้ว
ที่แย่กว่านั้นคือน้องธรรธต้องถูกตรวจเพื่อหาสาเหตุของโรค
ทำมันแทบทุกอย่างเท่าที่คุณหมอในแผนกเด็กช่วยกันคิดออก ทั้งตรวจหัวใจ ตรวจปอด
ตรวจตับไต เอกเรย์ช่วงอกช่วงท้อง อุลตร้าซาวนด์ตรวจหัวใจ วัดขนาดหัว เช็คสมอง
เจาะเลือด แต่ก่อนเข้ารับการตรวจพวกนี้ น้องธรรธจำเป็นต้องอดอาหาร
เด็กทารกเพิ่งเกิดทุกคน มีสัญชาตญานของการกิน
โดยมีความหิวเป็นตัวเรียกร้อง เด็กหิว = เด็กร้องไห้ = คุณแม่ให้นม
คนในโลกหลายพันล้านล้วนผ่านกระบวนการง่ายๆ เช่นนี้ น้องธรรธหิว = น้องธรรธร้องไห้
แต่ไม่เท่ากับแม่ให้นม น้องธรรธจึงยิ่งร้องหนักขึ้น การให้นมทางจมูก ไม่ได้ดูด
ไม่รู้รสชาติ ไม่ทำให้ธรรธรู้สึกว่าเขากำลังกินอะไรเข้าไป ถ้าเป็นก่อนการตรวจ
ขนาดนมทางสายยังให้ไม่ได้ ผมเพิ่งเคยเห็นเด็กทารกร้องไห้จนเสียงแห้ง
ร้องออกมาไม่มีเสียง แค่นี้ก็สงสารจะแย่อยู่แล้ว
เผอิญเด็กคนที่ร้องดันเป็นลูกตัวเอง คำว่า "สงสาร" จึงไม่พอ
ผมยังโชคดี ชีวิตยังมีอะไรอีกหลายอย่าง ต้องทำงาน ต้องอยู่บ้านกับธรา
มีข้ออ้างเยอะที่จะไม่ต้องเห็นน้องธรรธในสภาพเช่นนั้น ผิดกับสาวน้อยผู้เป็นแม่
เกิดมาเธอใช้ชีวิตกิ๊วก๊าว เป็นที่อิจฉาของเพื่อนฝูง แทบไม่เคยรับผิดชอบอะไรเลย
แม้แต่ชีวิตของตัวเอง หนนี้เธอจึงเผชิญเรื่องที่ไม่ได้เตรียมตัวเผชิญ
ต้องรับผิดชอบกับชีวิตของลูกตัวเอง
ผมเป็นคนตัดสินอะไรด้วยเหตุผล ไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
ที่ผ่านมารู้สึกว่าตัวเองตัดสินถูก อย่างน้อยไม่เคยเสียใจอยากกลับไปแก้ไขอดีต
จะมีหนที่แต่งงานกับสาวรายนี้ เพราะดูจากภายนอกเธอใช้ชีวิตไปวันๆ
แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกอีกครั้ง
และเป็นครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต
เพราะหากแฟนผมไม่ได้มีพื้นฐานอารมณ์แบบดูโลกในแง่ดี อึดและถึก
มีหวังเดี้ยงหรือไม่ก็ร้องไห้พิลาปรำพัน
สาวน้อยนิสัยกิ๊วๆ คนที่เพื่อนต่างบอกว่า ชีวิตช่างไร้สาระจังจ้า
กลับเผชิญกับเรื่องที่สาวมั่น เจอแล้วอาจต้องน้ำตาตก
หรือไม่ก็จ้างพยาบาลพิเศษมาเฝ้า แต่สาวกิ๊วรายนี้ไม่จ้าง
น้องธรรธจึงไม่มีพยาบาลพิเศษ มีแต่แม่คอยเฝ้า และเป็นการเฝ้าแบบ ๒๔
ชั่วโมง...นอนสตอป
ทุกอย่างในการรักษา เธอบอกกับผมก่อนตัดสินใจ
โดยผมคอยช่วยให้ความคิดเห็น แต่ไม่คิดจะตัดสินใจแทนเธอ
ทั้งที่ผ่านมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าเป็นคนตัดสินใจตลอด
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับของเธอ จะไปเที่ยวไหนสักแห่ง
ดูหนังสักเรื่อง แต่พอถึงเรื่องสำคัญสุดของครอบครัวเรา ผมกลับไม่ตัดสินใจ
เหตุผลมีครับ ผมถือว่าเธออยู่กับน้องธรรธมากกว่าผมหลายเท่านัก เมื่อเธอกล้าอยู่
ผมก็กล้าให้เธอตัดสินใจ
เวลาค่อยผ่านไป น้องธรรธยังไม่ดีขึ้น น้ำหนักตัวค่อยลดทีละเล็กละน้อย
การตรวจแบบมาราธอนบอกไม่ได้ว่าน้องธรรธเป็นอะไร เวลาผ่านไปเกือบสามสัปดาห์
สาวน้อยยังอึดถึก ไม่เคยร้องไห้งอแงให้ผมปลอบ
ยกเว้นครั้งนั้น ที่เหตุการณ์เริ่มต้นด้วยคำพูดของคุณหมอ
"เราตรวจทุกแบบหมดแล้วค่ะ คิดว่ามีปัญหาที่ระบบทางเดินอาหาร
เราจำเป็นต้องใช้วิธีกลืนแป้งและสวนแป้งเพื่อเอกเรย์ติดตามผล..."


Posted by : Dhan , Date : 2004-04-16 , Time : 23:22:07 , From IP : 172.29.3.224

ความคิดเห็นที่ : 2


   แย่แล้ว ผมเพิ่งเห็นว่าเขา Copyright Talaythai.com All right reserved
คุณ Garnet ลบให้ที

ท่านที่อยากอ่านต่อเชิญที่
http://www.talaythai.com/issue/trip/a0009.php
http://www.talaythai.com/issue/trip/a0010.php

ขอโทษทีครับ


Posted by : Dhan , Date : 2004-04-16 , Time : 23:31:07 , From IP : 172.29.3.224

ความคิดเห็นที่ : 3


   Thanks for introducing me to such a good story,Nong-Dhan.....I can feel you have sensitive and beautiful mind.....Do not lost it,though.

Posted by : Sg.11029 , Date : 2004-04-17 , Time : 17:13:12 , From IP : 203.127.72.140

ความคิดเห็นที่ : 4


   หนุ๊กมากครับ แต่ผมไม่สั้นนะครับ

Posted by : Tiger , Date : 2004-04-18 , Time : 20:31:24 , From IP : 172.29.3.128

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.005 seconds. <<<<<