ความคิดเห็นทั้งหมด : 20

เรียนอาจารย์ที่เคารพทุกๆท่าน


   ข้อเสนอแนะของกระผมในการคัดเลือกแพทย์ใช้ทุน

1. นำคะแนนของผู้สมัครมาติดประกาศเพื่อความโปร่งใส
2 ใบ recommend จำเป็นจริงหรือไม่ จำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องให้ใครมาบอกว่าเราเป็นคนดี รับรองได้ ใบ recommend จะเป็นสาเหตุการ bias ในการรับคนเข้าเรียนได้หรือไม่
3 ไม่ควรให้ความสำคัญกับคนที่ทำกิจกรรมมากเกินไป เนื่องจากยังไม่มี strong evidence ใดที่จะบอกว่า คนที่ทำกิจกรรมมากมี EQ และสามารถทำงานได้ดีกว่าคนที่ไม่ทำกิจกรรม นอกจากนี้ คนที่ไม่ได้มีกิจกรรมมาก ( ตอนกรอกใบสมัคร ) อาจเนื่องจากไม่ได้เป็นหัวเรือใหญ่ในการทำกิจกรรม แต่ก็อาจมีส่วนช่วยในทุกๆ กิจกรรมได้ ตรงข้ามกับคนที่เป็นหัวเรือใหญ่ ซึ่งก็แค่รับงานมาแล้วมาแจกจ่ายให้เพื่อนทั้งที่ตนเองอาจไม่ได้มีส่วนช่วยเลยก็ได้ ( จากประสบการณ์ผมเคยเจอมาแล้ว )
4 น่าจะมีการใช้ข้อสอบคัดเลือกเนื่องจาก Objective ที่สุดและ represent ได้ถึงตัวบุคคลนั้นได้ดีมากกว่า การให้มานั่งสัมภาษณ์ต่อหน้าเพียงไม่กี่นาที ส่วนเรื่องการทำงานนั้นน่าจะสอบถามจากเพื่อนร่วมรุ่น รุ่นน้อง รุ่นพี่ มากกว่าที่จะมาตัดสินด้วย ใบ recommend หรือ การสัมภาษณ์ต่อหน้าเพียงไม่กี่นาที

ขอแสดงความนับถือ


Posted by : NPO , Date : 2004-04-04 , Time : 01:44:55 , From IP : 203.145.12.111

ความคิดเห็นที่ : 1


   ภาควิชาไหน? ที่มีปัญหาจนถึงกับต้องออกกฎระเบียบกันใหม่เลยหรือ หรือว่ามันไม่ยุติธรรมยังไง? ผมได้ยินคนที่เขาได้เขาก็บอกว่าของเดิมก็ดีแล้วนี่คุณ

Posted by : NPA , Date : 2004-04-04 , Time : 09:11:58 , From IP : 172.29.1.190

ความคิดเห็นที่ : 2


   พี่เองก็เคยสมัครแพทย์ใช้ทุนมาก่อนน้องเท่าที่ผ่านๆมา พี่เองก็คิดว่าแบบเดิมดีอยู่แล้วอย่างข้อแรกเรื่องเกรดเนี่ยไม่จำเป็นเลยที่คนที่เรียนได้เกียรตินิยมจะมีโอกาสมากกว่า คนที่เรียนแล้วได้เกรด 3.1 กับ 3.6 ไม่ได้แตกต่างกันเลย อย่างเพื่อนพี่เกียรตินิยมอันดับ1 สมัครใช้ทุนภาคๆหนึ่ง ไม่ได้กลับได้อีกคนซึ่งได้เกรด 3.1 แทน สำคัญตรงที่สาขาที่น้องไปสมัครได้เกรดอะไรมากกว่า แต่ถามว่าเกรดมีผลหรือไม่ก็คงมีถ้าน้องเป็นอ.น้องคงอยากได้คนที่เรียนดีมากกว่า เรื่องที่2 ใบแนะนำตัวจากอ. การที่เราไปสมัครภาคใดภาคหนึ่งบางครั้งอ. ในภาคนั้นๆอาจจะไม่รู้จักเรา การมีใบแนะนำตัวเนี่ยก็จะช่วยเราอีกทางหนึ่งครับ อย่างที่น้องบอกมาก็อาจจะจริงครับว่าใบแนะนำตัวอาจทำให้เกิด Bias ได้ แต่ทำไมน้องไม่คิดละครับว่าถ้าน้องนิสัยไม่ดี หรือ อ.เห็นว่าไม่สมควรอ.เค้าจะอยากเขียนใบแนะนำตัวให้น้องหรือครับไม่ใช่ใครก็ได้ไปขอแล้วอ.จะเขียนให้ทุกคนนะครับ เขียนไปหากเกิดปัญหาภายหลังคนเขียนใบแนะนำตัวก็จะเสียชื่อเองเปล่าๆ ใบแนะนำตัวนี่เองก็จะเป็นตัวประกอบอย่างหนึ่งในการตัดสินใจเพราะฉะนั้นคนเก่งอย่างเดียวก็อาจสมัครไม่ได้เหมือนกัน อย่างที่3 การทำกิจกรรมนั้นพี่ว่าเป็นเรื่องที่ดีครับและคนที่ทำนั้นก็น่าจะได้รับรางวัลตอบแทน การทำกิจกรรมนั้นแสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันกับคนอื่น การคัดเลือกเราก็อยากได้คนที่ทำงานกับคนอื่นได้เพราะเราไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่จากตัวอย่างที่น้องบอกครับมันก็อาจจะมีบางคนที่เป็นเช่นนี้ แต่เชื่อเถอะครับว่าคนเช่นนี้ไม่ได้ง่ายๆแน่นอน ถ้าน้องคิดว่าน้องทำกิจกรรมเหมือนกันแม้ไม่ได้เป็นหัวเรือใหญ่ อ. รุ่นพี่ ตลอดเพื่อนๆก็จะเห็นกันอยู่แล้ว ส่วนข้อสุดท้ายอ.ที่สอบสัมภาษณ์ แต่ละท่านเป็นผู้มีประสบการณ์ดังนั้นคำถามที่จะนำมาพูดคุยกันก็จะช่วยกลั่นกรองได้ระดับหนึ่งอยู่แล้ว นอกจากนี้ก่อนมาสอบอ.ก็จะอ่านประวัติของน้องมาบ้างแล้ว หลังสอบสัมภาษณ์เสร็จอ.ก็ต้องคุยกันอีก นอกจากนี้รุ่นพี่ในภาควิชาก็จะเป็นคนคอยแนะนำข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้ง ซึ่งอันนี้น้องอาจจะไม่รู้ เพราะรุ่นพี่นี่ก็จะได้ข้อมูลมาจากเพื่อนๆ รุ่นน้องอีกทีและจากการที่น้องได้ร่วมราวด์กับพี่ๆ จากทั้งหมดนี่อ.ก็จะเอามาพิจารณาและคัดเลือกเลือกอีกครั้งดังนั้นถ้าน้องคิดว่าตลอดมาน้องทำมาดีแล้ว น้องไปราวด์ดูคนไข้ไม่เคยมาสาย อ่านหนังสือเกี่ยวกับผป.เพื่อร่วมกับพี่ๆในการรักษา ไม่เคยกลับหอไปนอนตอนบ่าย ไม่เคยป่วยการเมือง ทำงานช่วยเหลือเพื่อนคนอื่นๆ ตั้งใจเรียนมีผลการเรียนในระดับพอสมควร และตัง้ใจ + สนใจในสาขานั้นๆอย่างจริงจังพี่มั่นใจว่ายังไงน้องก็จะได้รับคัดเลือกครับ

Posted by : ไม่บอก , E-mail : (ไม่บอก) ,
Date : 2004-04-04 , Time : 14:31:30 , From IP : 172.29.3.199


ความคิดเห็นที่ : 3


   ข้อเสนอที่ให้มานั้นน่าพิจารณา แต่ละข้อยังมี advantages & disadvantages อยู่

๑) การประกาศ "เหตุผล" ว่ารับใครหรือไม่รับใครนั้นสามารถทำได้ มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบอยู่บ้างระหว่างการรับรู้การประเมินว่าทำไมเราจึงไม่ qualified เมื่อเปรียบเทียบกับ candidate คนอื่น และเราสามารถจะรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นได้อย่าง Mature ขนาดไหน น้ำหนักของข้อดีและเสียจากการรับทราบการประเมินคุณภาพที่ได้ทำมาเป็นเวลาหลายปีเป็นเรื่องที่เราพยากรณ์ลำบากเหมือนกัน มนุษย์เรามี defence mechanism ที่ดีอยู่แล้ว เมื่อเราสอบไม่ได้ หรือถูกประเมินไม่ผ่าน เราจะสร้าง scenario หรือ theme ของเหตุการณ์ขึ้นมาในใจที่เราสามารถจะ accept ได้ แต่นั่นขึ้นอยู่กับ "บริบท" ของข้อมูลแวดล้อมว่าเปิดอิสระให้เราสร้าง scenario ได้แค่ไหน บางครั้งข้อมูลทั้งหมดอาจจะ brutal เกินไปก็เป็นได้ และมีผลต่อการ adjust personality ได้

๒) เรื่องใบ recommend ป็นการเปรียบเทียบระหว่างคนที่สามารถหาคนที่เต็มใจ (หรือไม่?) ที่จะเขียนชื่อของตนว่า "ดี"
จริงอยู่ใบ recommend นั้นถูก abuse โดยระบบ โดยความเกรงใจ โดย "หน้าที่" ของอาจารย์ที่จะต้องส่งเสริมความก้าวหน้าของลูกศิษย์ได้ในบางกรณี แต่เราไม่สามารถจะลบล้างความจริงที่ว่าอย่างน้อยเราก็มีคนที่เอาชื่อเสียงเป็นการันตีเป็น back-up ที่นี้สำหรับคนที่ "ไม่มี" ใบ recommend เราจะสามารถแปลว่าอะไรได้บ้าง จริงอยู่อย่างที่เขียนมาว่า "จำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องให้ใครมาบอกว่าเราเป็นคนดี" คำตอบคงจะไม่จำเป็น แต่ถ้าหลังจากที่ทำงานในที่ที่หนึ่งมาเป็นเวลาหกปี ไม่สามารถจะหาอาจารย์แม้แต่ท่านเดียวเขียนรับรองความประพฤติเราได้ ก็เป็นเรื่องน่าคิด
เรื่องใบ recommend นั้น สำหรับการสมัครเป้น พชท.ที่ มอ. ไม่ใช่เรื่องที่สถาบันแห่งนี้คิดขึ้นเอง หรือเป็นระบบที่ unique ไม่มีที่ไหนทำกันในโลกนี้ แต่เป็นระบบที่มาตรฐานในการสมัครงานเกือบทุกที่ในโลกนี้ ถามว่าจะทำให้เกิดแรงจูงใจในการเลือกได้หรือไม่ คำตอบน่าจะเป็นสามารถมีอิทธิพลได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างคนที่มีกับคนที่ไม่มี ก็ในเมื่อระเบียบการสมัครก็ชัดเจนอย่างยิ่งว่าขอใบแนะนำตัว ผู้สมัครทุกคนมีเวลาเป็นปีๆที่จะแสวงหาคนรับรอง การปฏิเสธไม่ส่งใบนี้อาจจะถูกแปลผลที่ไม่บวกนัก ส่วนระหว่างคนที่มี (assume ว่าทุก candidate มี) ก็จะมีความแตกต่างได้จากรายละเอียดของสิ่งที่เขียนลงมา มันมีสิ่งที่เรียกว่า generic style ประเภทจดหมายเวียน saved ไว้ใน hard drive รอเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล กับประเภท customized ที่อาจารย์หรือผู้แนะนำรู้จัก candidate ดีพอสมควรและเขียนอย่างคนรู้จัก นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งเวลาอาจารย์ถูก "ขอแกมบีบ" ให้เขียนใบ recommend ให้ใครทั้งๆที่ไม่รู้จักคนนั้นมาก่อนเลย คนอ่านก็พอจะเดาได้ว่าภาษาที่ใช้เป็นแบบ generic form หรือ customized

๓) ตรงนี้ก็เหมือนกันกับข้อบน เป็นการเปรียบเทียบระหว่างคนที่ไม่เคยทำง่านกิจกรรมเลย กับคนที่ทำ ตลอดเวลาที่อยู่ในสถาบันชั้นอุดมศึกษาเป็นเวลาถึงหกปีนั้น โดยคุณสมบัติของบัณฑิต ได้แก่ ความรู้ในวิชาชีพ ความรับผิดชอบต่อตนเองครอบครัวและสังคม และความสามรถในการแสดงออกทางกาย วาจา ใจนั้น คนที่ไม่เคยร่วมกิจกรรมที่เป็น extra-curriculum activity นั้น อาจจะกล่าวได้ว่าเจตคติของ maturation นั้นประเมินยาก คนที่ร่วมกิจกรรมนั้นจริงอยู่เราประเมินไม่ได้ว่า "ผลงาน" เป็นเช่นไร แต่อย่างน้อยที่สุดคือ มีความสนใจอะไรๆนอกเหนือจากตำราในหลักสูตร ซึ่งการทำงานร่วมกับคนอื่นนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญบางทีตรงนี้เจ้าของกระทู้อาจจะช่วยขยายความถึง psychology ของกศึกษาที่ปฏิเสธไม่ร่วมกิจกรรมตลอดหกปีการศึกษาว่าเป็นอย่างไร ประกอบเหตุผลและหลักการข้อนี้

๔) ข้อมูลที่ใช้นั้นมีมากกว่าที่เขียนมาอย่างแน่นอน ถ้าอยู่ในวิสัยที่สามารถหาได้ มีบ่อยครั้งที่มีการโทรศัพท์ไปหาคนเขียนใบ recommend เพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งตรงนี้เราก็ได้ข้อมูลที่น่าสนใจประกอบการพิจารณา (ฉะนั้นขอให้ใครเขียนใบ recommend นั้น ผมแนะนำว่าให้ขอคนที่รู้จักเราดีที่สุดจะปลอดภัย ใบ recommend ทุกใบนั้นมีเบอร์โทรศัพท์ email ติดต่อให้ไว้ทั้งสิ้น และคนรับสมัครจะเข้าใจคนเขียนดี ในกรณีที่เขาจำเป็นต้องเขียนโดยไม่ได้รู้จัก candidate จริงๆ) แต่บางทีเราก็จะไม่สามารถทำได้มากถ้าผู้สมัครมาจากสถาบันอื่น



Posted by : Phoenix , Date : 2004-04-04 , Time : 22:14:13 , From IP : 172.29.3.245

ความคิดเห็นที่ : 4


   เป็นโรคจิตรึเปล่า เขียนเยอะใครจะอ่าน กระทู้เขียนให้มันสั้นๆ ได้ใจความ แล้วนี่อะไรกันอยากเป็นมากถึงขนาดต้องมาเสนอการเปลี่ยนแปลงวิธีการรับเพื่อให้ตนเองได้ แสดงออกต้องแต่ตอนนี้ แล้วตอนเป็นแพทย์ใช้ทุนมิยิ่งไปกว่านี้หรือ การเรียนแพทย์นี่มันสอนให้คนเราเห็นแก่ตัวจริงๆนะเนี่ย

Posted by : MM , Date : 2004-04-05 , Time : 10:46:22 , From IP : 172.29.1.161

ความคิดเห็นที่ : 5


   หลักสูตรแพทยศาสตร์นั้นสอนให้มีการใช้เหตุผลและแสดงเหตุผลประกอบการวิเคราะห์ครับ เช่นเราอาจจะยังสรุปไม่ได้ว่าคนแถวนี้อ่านหนังสือขนาดไหน กี่บรรทัดจึงจะเรียกว่าเยอะเกินจะรับ โรคจิตนั้นไม่เกี่ยวกับการเขียนหนังสือได้มากประโยค และเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนพอสมควรในการที่จะลงความเห็น กระทู้แรกนั้นเป็นการวิเคราะห์แจกแจงระบบการรับพชท.ที่ผู้ส่งไม่เห็นด้วย แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเปลี่ยนแล้วใครจะได้ประโยชน์ รวมทั้งคนส่งกระทู้เอง สุดท้ายที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นผมมองไม่ออกว่าการเรียนแพทย์มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ และเกี่ยวอะไรกับความเห็นแก่ตัว บางทีคุณ MM อาจจะช่วยขยายความสักเล็กน้อยของที่มาที่ไปในการสรุปประเด็นต่างๆได้นะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-04-05 , Time : 17:47:03 , From IP : 172.29.3.215

ความคิดเห็นที่ : 6


   ถ้าพูดถึงเรื่องอารมณ์นั้น เราอาจกล่าวได้ว่าไม่สามารถหักล้างหรือทำให้มันลดทอนลงได้ด้วยเหตุผลหรือความคิด ถ้าเราพยายามหาคำตอบโดยใช้ความคิดมาลดทอนอารมณ์ที่มีอยู่ให้ลดลงไป คงตอบได้ว่าอาจจะยาก เพราะทั้งสองส่วนนั้นอยู่กันคนละcategolyกัน แต่ทำงานประสานกันทำให้มีสุนทรียภาพของความคิดเช่นเดียวกับตัวอย่างที่ยกในกระทู้ ผู้ชายและผู้หญิง ลองเปิดดูสิ อาจทำให้เข้าใจขึ้น

Posted by : pisces , Date : 2004-04-05 , Time : 20:17:09 , From IP : 172.29.3.237

ความคิดเห็นที่ : 7


   การที่มีคนในกระดานข่าวแห่งนี้เป็นนักคิดที่ดี และพยายามแสดงความคิดเห็นออกมาดังๆให้คนอื่นได้ยินเพื่อเปิดโลกทัศน์ให้คนอื่นนั้น คิดว่าเป็นเรื่องที่ดีและสมควรได้รับการยกย่อง เพราะนั่นคือ เรากำลังถูกสอนเรื่องหลักคิด การรับฟังความเห็นที่แตกต่าง การที่เราไม่มีความคิดเห็นใดๆ และกล่าวหาความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยอารมณ์ โดยปิดบังตัวตนที่แท้จริงอาจไม่เหมาะสมนัก ไม่อยากให้คนในกระดานข่าวนี้เป็นเช่นนี้เลย

Posted by : pisces , Date : 2004-04-05 , Time : 21:14:53 , From IP : 172.29.3.249

ความคิดเห็นที่ : 8


   เคยเจอมา ใช้ทุนที่จบเกียรตินิยม มักทำงานร่วมกับผู้อื่นไม่ได้ ไม่ให้เกียรติใคร เอาตนเองเป็นใหญ่ ไม่เชื่อมาดูได้ที่ใช้ทุนเด็ก (บางคน) เพราะฉะนั้น เกรดนั้นสำคัญฉะไหน ได้เกรดมาจากการท่องเก่งอย่างเดียว แต่ชีวิตการทำงาน แก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย โปรดให้โอกาสคนที่มีEQดี มากกว่าคนที่มีIQ ดี ดีกว่า มากมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

Posted by : ฺBK , E-mail : (BK) ,
Date : 2004-04-06 , Time : 11:58:00 , From IP : 172.29.3.220


ความคิดเห็นที่ : 9


   เราคงไม่สามารถสรุปได้ว่านักเรียนเกียรตินิยมทุกคนจะไม่มี EQ หรือนักเรียนธรรมดาๆที่ไม่ได้เกียรตินิยมจะมี EQ เหนือกว่า อีกประการหนึ่งคือการประเมินเกรดหรือเกียรตินิยมในระบบการศึกษาแพทย์นั้นผมสงสัยว่ามันจะแปรตาม IQ จริงๆหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบที่ คะแนน process กินไปแล้ว 50% อย่างในระบบ PBL ของที่มอ.นี่

การใช้ EQ ถ้าสามารถมี profile test ที่มีประสิทธิภาพจริงๆ ผมว่าเราไม่ควรจะใช้ตอนรับแพทย์ใช้ทุนหรอกครับ น่าจะใช้ตั้งแต่ตอนรับเป็นนักศึกษาแพทย์มากกว่า เรื่องนี้น่าจะมีผู้ที่มีความสามารถศึกษาและนำมาดัดแปลงใช้ในทางปฏิบัติ หลายๆอาชีพมีการใช้ psychological profile ในการสมัครงานเรียบร้อยแล้ว เช่น นักบินพาณิชย์ หรือ stuart-hostess ของสายการบิน South-West เป็นต้น



Posted by : Phoenix , Date : 2004-04-06 , Time : 20:56:11 , From IP : 172.29.3.240

ความคิดเห็นที่ : 10


   ตามปกติระบบคัดกรองเด็กของเราก็คงพยายามที่จะให้ได้ทั้งเด็กที่มีทั้งIQและEQดีตั้งแต่สมัยเป็น นศพ เพื่อต่อยอดการเป็นแพทย์ใช้ทุนที่ดี แต่ระบบการคัดเลือกพชท นั้นก็ยังคงขึ้นกับภาควิชาว่าจะให้ความสำคัญเรื่องIQ,EQแค่ไหนซึ่งมันคงขึ้นกับลักษณะงานหรือบุคลิกภาพของหมอที่น่าจะเป็นของภาควิชานั้นๆ การที่จะให้ นศพทุกคนที่จะสมัครเป็น พชท นั้นมาตรวจทดสอบทาง psychological profileก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ถ้าทำไปนานๆจนเป็นtreditionก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ในช่วงแรกอาจมีแรงต้านบ้าง ซึ่งตัวอย่างก็มีให้เห็นอย่างกรณีการตรวจpsychological testในการรับอาจารย์ใหม่ที่ทำกันมานานแล้วกว่า6ปี แต่สิ่งที่เราต้องคำนึงคือถ้าผลpsychological testออกมาไม่ดี เราจะตัดสิทธิไม่รับเขาได้หรือ และผลนั้นจะกระทบต่อselfเขาอย่างไร จะเป็นstigmaไหม ถ้าเราเชื่อว่าทุกคนมีโอกาสเป็นคนที่ได้และอยากเป็นคนดี รอดูให้โอกาสเขาเถอะถึงแม้นว่าเราจะรู้สึกว่าเราน่าจะเป็นคนดีกว่าเขา น่าจะถูกเลือกมากกว่าเขา ถ้าเขาไม่เหมาะสมกับการเป็นหมอเฉพาะทางนั้นปัญหาก็ตกอยู่ที่ตัวคนนั้นเอง ซึ่งก็เป็นการดีเพราะเรากำลังจะช่วยให้เขาเติบโตขึ้น
ถึงคุณphoenix๕รย่อความได้เก่งขึ้นแล้วนะ


Posted by : pisces , Date : 2004-04-06 , Time : 21:34:58 , From IP : 172.29.3.227

ความคิดเห็นที่ : 11


   ตามปกติระบบคัดกรองเด็กของเราก็คงพยายามที่จะให้ได้ทั้งเด็กที่มีทั้งIQและEQดีตั้งแต่สมัยเป็น นศพ เพื่อต่อยอดการเป็นแพทย์ใช้ทุนที่ดี แต่ระบบการคัดเลือกพชท นั้นก็ยังคงขึ้นกับภาควิชาว่าจะให้ความสำคัญเรื่องIQ,EQแค่ไหนซึ่งมันคงขึ้นกับลักษณะงานหรือบุคลิกภาพของหมอที่น่าจะเป็นของภาควิชานั้นๆ การที่จะให้ นศพทุกคนที่จะสมัครเป็น พชท นั้นมาตรวจทดสอบทาง psychological profileก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ถ้าทำไปนานๆจนเป็นtreditionก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ในช่วงแรกอาจมีแรงต้านบ้าง ซึ่งตัวอย่างก็มีให้เห็นอย่างกรณีการตรวจpsychological testในการรับอาจารย์ใหม่ที่ทำกันมานานแล้วกว่า6ปี แต่สิ่งที่เราต้องคำนึงคือถ้าผลpsychological testออกมาไม่ดี เราจะตัดสิทธิไม่รับเขาได้หรือ และผลนั้นจะกระทบต่อselfเขาอย่างไร จะเป็นstigmaไหม ถ้าเราเชื่อว่าทุกคนมีโอกาสเป็นคนที่ดีได้และอยากเป็นคนดี รอดูให้โอกาสเขาเถอะถึงแม้นว่าเราจะรู้สึกว่าเราน่าจะเป็นคนดีกว่าเขา น่าจะถูกเลือกมากกว่าเขา ถ้าเขาไม่เหมาะสมกับการเป็นหมอเฉพาะทางนั้นปัญหาก็ตกอยู่ที่ตัวคนนั้นเอง ซึ่งก็เป็นการดีเพราะเรากำลังจะช่วยให้เขาเติบโตขึ้น
ถึงคุณphoenixคุณย่อความได้เก่งขึ้นแล้วนะ


Posted by : pisces , Date : 2004-04-06 , Time : 21:37:10 , From IP : 172.29.3.227

ความคิดเห็นที่ : 12


   ตามปกติการที่เราทำอะไรแล้วไม่สำเร็จอย่างที่คาดนั้น มีหมายความว่าselfของเราถูกทำลาย กลายเป็นคนไม่เก่ง ผลที่ตามมาก็คือ emotion จิตใจของเราก็คงจะพยายามช่วยเหลือselfที่มีเหลืออยู่น้อยนิดเต็มที ด้วยการใช้defence mechanismมาจัดการ ถ้าเราใช้แบบ projectionก็คือ การกล่าวโทษระบบ ผู้คัดเลือก ผู้อื่นที่ถูกเลือกแทนเรา แบบนั้นก็จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เพราะselfที่เหลืออยู่อันน้อยนิดของเราไม่บาดเจ็บไปกว่านี้ แต่ภาพที่เราแสดงออกไปให้คนภายนอกเห็นถ้าเราaggressiveเกินไป ก็จะกลายเป็นคนไม่น่ารัก ขาดทุนแน่นอน ในทางตรงกันข้ามถ้าเราใช้ defence mechanism แบบ introjection คือการกล่าวโทษตนเองว่าเราไม่เก่ง สู้เขาไม่ได้ ผลที่ตามมาก็คือ selfของเราก็จะบาดเจ็บมากขึ้น และคงมีอารมณ์เศร้าตามมา ซึ่งก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเช่นกัน สิ่งที่น่าจะเป็นในตอนนี้อยากให้เชื่อก่อนว่าตัวเรานั้นมีดี การไม่ได้รับเลือกคงเป็นจากอะไรก็ตามที่เกินจะคาดเดา แต่คงไม่ใช่เรื่องความเป็นคนดี สิ่งที่ต้องคงอยู่และดำเนินต่อไปน่าจะเป็นตัวตนของเราในปัจจุบันนี้ ลองหยุดค้นหาคำตอบกับเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา อยู่กับตัวตน อารมณ์ของเราในปัจจุบัน here and now รู้ให้เท่าทันอารมร์ณ์ที่เกิดขึ้นนั่นคือ การมีself awearness และresponseให้เหมาะสม empathyเพื่อนอีกนิด นั่แหละจะทำไห้เรามีชัย เพราะบ่งบอกถึงว่าเรามี EQที่ดีกว่า เป็นกำลังใจให้จ้า

Posted by : pisces , Date : 2004-04-06 , Time : 23:02:11 , From IP : 172.29.3.251

ความคิดเห็นที่ : 13


   ประเด็นเรื่องการยอมรับผลการประเมินนั้นขึ้นอยู่กับ maturity และ understanding เรื่องการประเมิน

การสมัครงานนั้นต้องการ "คุณสมบัติ" ที่สอดคล้องกับ "งาน" ไม่ได้เป็นการวัดความดีเลวหรือคุณค่าของบุคคล แต่เป็นการวัดความเหมาะสม เช่น ถ้าจะประกาศสมัครงานลูกหาบขนของขึ้นภูกระดึง เอาพวกเราไปสมัครแล้วตกสัมภาษณ์หลังจากเห็นขนาดของพุงเราก็ไม่น่าจะต้องเสีย self อะไรมากมาย "ความเหมาะสม" ของการเป็นแพทย์สาขาต่างๆนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับคุณความดี หรือ คุณค่าของปัจเจก เคยมีเพื่อนผมคนหนึ่งเป็นหมอนี่แหละ แต่ไปสมัครจะเป็นนักบินพาณิชย์ แต่ปรากฏว่าตกสัมภาษณ์เพราะเขาบอกว่า aggressive เกินไป ซึ่งเป็นความจริง เพื่อนคนนี้ชอบเกมอะไรๆแบบ X-game ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ภายหลังก็กลายเป็นหมอศัลย์ CVT ที่อเมริกา ตรงตามบุคลิก

ถ้ากลัวเรื่อง stigmata ก็บอกแค่ว่าคุณสมบัติคนอื่นนั้นเหมาะสมกว่า (ซึ่งตรงไปตรงมากับเหตุผลของการเลือก) ประเด็นที่ผมว่าสำคัญกว่าก็คือ psychological profile นั้นมัน accurate ขนาดไหน มีทางเป็นไปได้หรือไม่ที่จะบ่งชี้บุคลิกที่ผิดไปไกลพอสมควร เพราะถ้าเราจะเอาอันนี้มาเป็นเกณฑ์ เราต้องการเกณฑ์ที่ไม่ใช่ไม้หลักปักอยู่บนขี้ควาย แต่ต้องเป็นไม้บรรทัดที่เที่ยงและแม่นในสิ่งที่เราต้องการจะทราบจะวัดจริงๆ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-04-06 , Time : 23:16:02 , From IP : 172.29.3.243

ความคิดเห็นที่ : 14


   อืมม ไม่ค่อยจะมีความรู้เรื่องการสมัครเรียนต่อซักเท่าไหร่เลยครับว่าต้องทำกันอย่างไรบ้าง พอดีจะเป็น extern แล้วถ้ายังงัยช่วยโพสต์แนะนำหน่อยก็ดีนะครับว่าขั้นตอนต้องทำอย่างไรบ้าง ขอรายละเอียดที่ไหน ใช้หลักฐานอะไรบ้างในการสมัคร คุณสมบัติ ต้องเอาใบ recommend ให้อาจารย์กี่ท่านดี หมดเขตสมัครตอนไหน เมื่อไหร่จะประกาศจะดีมากเลยครับ ส่วนเรื่องในกระทู้ผมคงไม่แสดงความคิดเห็นดีกว่าครับ คิดว่าเค้าคงจะคิดกันมาอย่างดีแล้วก่อนที่จะใช้วิธีนี้ในการรับพชท. ขอบคุณครับ

Posted by : K@tzu , Date : 2004-04-07 , Time : 02:06:36 , From IP : 172.29.4.53

ความคิดเห็นที่ : 15


   Career path หลังจากจบ extern แล้วนั้นมีมากกว่าการกลับมาเรียนต่อเป็น specialists เช่น การเป็นแพทย์ทั่วไป การเล่นบริหารทั้งในส่วนสาธารณสุข หรือกระทรวงที่เกี่ยวข้อง การกลับเข้ามา train นั้นก็จะเข้าวงการแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งจะ train ต่อเลย หรือจะลองออกไปทำงานเป็นแพทย์ทั่วไปสักพักก่อนก็ได้ มันก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันสำหรับ train เลยกับการไปใช้ทุนก่อนแล้วกลับมา train

รายละเอียดของการสมัคร พชท. ของแต่ละภาควิชา แต่ละสถาบันนั้น ผมเข้าใจว่าไม่เหมือนกัน เนื่องจากจะต้องใช้เวลาสามปีเป็นอย่างน้อย ก่อนสมัครที่ไหนก็น่าจะลองสืบหาข้อมูลรายละเอียดทุกๆด้าน ถามคนที่เคยอยู่ก่อน หาทั้งข้อดีและข้อเสีย ระเบียบการสมัครนั้นขอที่ธุรการแต่ละภาควิชาฯได้เลย คิดว่าที่สถาบันอื่นก็เหมือนกัน

สำหรับเรื่องใบ recommend นั้น อย่างที่เรียนบอก หาคนที่รู้จักเราจริงๆจะดีที่สุด มิฉะนั้นจะได้ recommendation letter แบบ generic จากอาจารย์ที่ไม่รู้จักเรา จะได้ไม่เท่าเสีย































































































Posted by : Phoenix , Date : 2004-04-07 , Time : 20:00:36 , From IP : 172.29.3.222

ความคิดเห็นที่ : 16


   ผมว่านะครับ ไม่ว่าจะเป็น gradeเองก็ดี ใบ recomend ก็ดี การทำกิจกรรมก็ดีก็คงมีส่วนในการประเมินบ้างนะครับ เพียงแต่ที่สำคัญคือ การสอบสัมภาษณ์ ซึ่งจะเป็นการประเมินตัวบุคคลได้มากที่สุดกว่าข้อมูลอื่นๆ ประเมิน EQ ประเมินทัศนคติ และที่สำคัญจะได้รู้จักกันไว้ครับ แต่ต้องอย่าลืมว่า การสอบคัดเลือกก็เป็นแค่กลไกเลือกคนเข้ามาทำงาน คงไม่สามารถเลือกได้ดี 100% เพียงแต่ดีทีสุดในขณะนี้
ผมเองยังมีความเชื่อว่า การสอบสัมภาษณ์ สำคัญกว่าสิ่งอื่นๆ นะครับ

อยากบอกน้องๆว่า แม้เราไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ดีพอ เพียงแต่ ณ วันนี้ อาจยังต้องแก้ไข หรือพัฒนาตัวเราให้มากกว่านี้ ดีกว่าเราโทษในระบบแล้วปล่อยเลยตามเลย ไม่มีประโยชน์เลยหากไม่นำมาปรับปรุงตัว


Posted by : araidae , Date : 2004-04-09 , Time : 15:49:27 , From IP : mugwback.mahidol.ac.

ความคิดเห็นที่ : 17


   จะบอกว่า อย่าเพิ่งเรียนต่อเลย
ในความคิดของ นศพ.นั้นจะพบว่าคนที่ได้เป็น พชท.
นั้นดีจังเลย ประมาณว่าเท่
แต่ว่านะ ไปใช้ทุนจะทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น EQ สุขุมขึ้น
และมองโลกได้หลายด้านขึ้น
มันอาจดูไม่เท่ในสายตาพวกนาย
แต่ความจริงแล้ว มันให้อะไรเยอะมากๆที่ในโรงเรียนแพทย์ไม่มีเลย
ออกจากกะลามาดูโลกกว้างกันดีกว่า


Posted by : ในมุมมอง , Date : 2004-04-10 , Time : 00:01:54 , From IP : 203.209.106.84

ความคิดเห็นที่ : 18


   ก็เป็นมุมมองหนึ่งครับ ที่ว่าออกไปใช้ทุนก่อนทำให้รู้โลกกว้างขึ้น จริงๆแล้วทั้ง 2 ทางเลือกก็มีประโยชน์ และอาจมีข้อเสียในแบบของมันเองนะครับ เอาเป็นว่า นานาติตัง ต่างคนต่างคิดก็แล้วกัน อย่าไปเครียดครับ ทำอะไรก็ตามที่เราคิด แล้วพยายามเข้านะครับ เป็นกำลังใจให้คนที่ไม่ท้อครับ

Posted by : araidae , Date : 2004-04-10 , Time : 14:48:31 , From IP : mugwback.mahidol.ac.

ความคิดเห็นที่ : 19


   เห็นด้วยว่าวิเคราะห็ข้อเสียข้อเสียเพื่อจะให้ได้ข้อสรุปเรื่องนี้ (ใช้ทุนสอบบอร์ดเลยหรือออกไปข้างนอกก่อน) ไม่ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนๆหนึ่งมีประสบการณ์แค่แบบใดแบบหนึ่ง

EQ เป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาจริง แต่มันเป็นเรื่องที่น่าจะพัฒนามานานแล้ว ไม่ใช่หลังจากจบพบ. ที่จริงอยากจะสรุปว่าถ้าจนจบ พบ. แล้ว EQ ยังไม่ไปถึงไหน อาจจะหมดหวังแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่ความคิดที่สร้างสรรค์เท่าไหร่ มีบางคนสามารถเริ่มเรียนได้ตอนเลยเบญจเพศแล้วก็มี (ถึงแม้ว่าจะปรับตัวยาก เพราะหลายๆอย่างมันพัฒนาเลยไปเป็นบุคลิกภาพเรียบร้อยแล้ว)

ข้อเสียของการเข้า training เร็ว คงจะอยู่ที่เราจะ "ขาด" อะไรไปจากการไม่ได้เห็นโรงพยาบาลข้างนอก เราจะขาดการทำงานร่วมกับบุคลากรหลายประเภทนอกระบบ training ไป ซึ่งตรงนี้เกี่ยวกับ communication skill ในมหาวิทยาลัย line of order นั้นชัดเจน และบ่อยครั้งจะ over-rule ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลได้ คนที่จบออกไป รพ. ข้างนอกจะมีงานบริหารอีกส่วนหนึ่งให้ลอง ให้ explore แล้วบางคนจะติดใจ หรือสนใจขึ้นมาก็ได้ บางคนจะเห็นงานชุมชนหรือ health promotion แบบ first hand ก็จะได้รู้ว่าไอ้ที่เรียนมาในท้องที่ ในชุมชนจริงๆมันได้ผล ไม่ได้ผลอย่างไร

ข้อเสีย หรือข้อขาดดังกล่าวจะสามารถชดเชยได้บ้าง หากตัวเรามีความ maturity และสามารถวิเคราะห์รับฟังข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวโยงกัน นำมาปรับปรุงตัวเองได้ ที่นี้แล้วแต่ว่าเราจะ pessimistic หรือ optimisitc แค่ไหนว่าเรานั้นเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว และสังคมแล้วหรือยัง



Posted by : Phoenix , Date : 2004-04-10 , Time : 15:10:35 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 20


   เห็นด้วยกับอาจารย์ Phoenix ครับ
แต่อย่างไรก็ตามน้องๆต้องคิดแล้วตัดสินใจด้วยตัวเองนะครับ ว่าตัวเองพร้อมจะรับการ train ต่อหรือไม่ หรือต้องการสิ่งใดกันแน่ในชีวิต
บางคนจบ GP แต่หมั่นศึกษาหาความรู้ ก็สามารถดูแลคนไข้ได้ดี แต่ขณะเดียวกัน คนที่จบบอร์ด แต่ไม่เคยติดตามองค์ความรู้ใหม่ๆเลย ก็ไม่สามารถ Practice ได้ดีหรอกครับ
เอาใจช่วยน้องๆ ทุกคนนะครับ


Posted by : Araidae , Date : 2004-04-17 , Time : 10:51:29 , From IP : mugwback.mahidol.ac.

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.009 seconds. <<<<<