ความคิดเห็นทั้งหมด : 22

Debate LXIII: ผลข้างเคียง (ไม่พึงประสงค์) จากการใช้กระดานข่าว


   กระดานข่าว (messege board, bulletin board) บน Internet เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งของการสื่อสารที่มีการใช้แพร่หลายพอๆกับ email ที่พัฒนามาใกล้ๆกัน มีสภาพความเป็น "ส่วนตัว" หรือ "ถึงตัว" น้อยกว่า email นิดหน่อย แต่ก็เป็นการสื่อเช่นเดียวกัน

email เป็นคล้ายๆไปรษณ๊ย์ส่วนตัวของเราก็จริง แต่ทุกๆคนที่มี email คงจะทราบว่ามีโอกาสสูงที่เราจะได้รับ Spam mail จากพวกโฆษณาจิปาถะ ที่ aggressive สุดเห็นจะเป็นกลุ่ม pornography ซึ่งอาจจะพออธิบายได้จากลักษณะของกิจกรรมที่ชมชอบการล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว หรือชื่นชมสิ่งที่คนธรรมดาๆปกปิด พวกนี้ก็จะไร้ความสามารถที่จะเข้าใจว่า "ส่วนตัว" คืออะไร และนำเอา email ที่ตน hack มาหรือซื้อมาอีกทีมาใช้เพื่อความพอใจของตนได้อย่างไม่รู้สึกอะไร ผมว่าเราส่วนใหญ่ก็ถูก intruded โดยไปรษณีย์เถื่อนพวกนี้กันทุกคนจนกลายเป็นกิจวัตรธรรมดาๆที่ต้องมานั่ง delete junk mails ออกจาก inbox (ที่น่าสงสัยมากก็คือ กิจกรรม "จดหมายเวียน หรือ mail-merge" นี่ผมเคยเห็นแต่เป็น Opt-in คือผู้รับแสดงจำนงค์ แต่ทำไมของคณะแพทย์ฯจึงกลายเป็น Opt-out คือคนรับต้องดิ้นรนทำให้มันหมดไปเอง)

แต่ email intrusion ก็จะเกิดต่อเมื่อเราเปิด email ส่วนตัวของเรา ไม่เหมือนกระดานข่าวซึ่งเปรียบเสมือน public library หรือหนังสือพิมพ์ที่เป็น interactive สาธารณะ ในที่ที่จัดระเบียบก็จะทำในลักษณะ member-only ที่จะ post แต่ใครจะอ่านก็ได้ (หรือแม้กระทั่งเป้น member-only reading เช่นพวก board stock information ที่ต้องเสียค่าบริการสมาชิกแพงๆเพื่ออ่านคำแนะนำหรือ insight ต่างๆ) แต่บางกระดานก็จะเปิดฟรีเต็มที่ใครจะอ่านใครจะเขียนก็ได้

ตรงประเด็นหลังนี่เองที่ "อาจ" จะทำให้การสื่อนั้นมี "การรับ" ที่แปรไปตามปัจจัยที่เราไม่อาจจะควบคุมได้ (จริงๆแล้วรวมถึง "การให้" ด้วย) ที่อาจจะเห็นได้ เช่น การที่เราอยากจะให้เรื่องที่มีความสำคัญ หรือการเปลี่ยนแปลงระดับระบบนั้น เป็นการยากมากที่จะทำให้เกิดถ้าใช้ภาษาที่ออดอ้อน ประชดประชัน อารมณ์ กระแนะกระแหน กเฬวราก ฯลฯ แถมยังโดย anonymous ซึ่งไม่มีใครทราบว่าทั้งหมดที่พูดกันนั้นอาจจะเป็น vendetta หรือโครงการส่วนตัวของใครมาโจมตีใครโดยเฉพาะหรือไม่ เรื่องประเภทนี้จะถูกลดความสำคัญลงอย่างน่าเสียดายหากผู้สื่อต้องการให้มีน้ำหนัก เพราะเรื่องมัน serious จริงจัง

การ discuss เรื่องบางเรื่องเช่น สถาบัน กษัตริย์ ชาติ ศาสนา ฯลฯ นั้น "รูปแบบ" และ "เนื้อหา" จะต้องทำด้วยความระมัดระวัง ไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้เลย แต่ต้องทำโดยมีความรับผิดชอบและ "มีคน" รับผิดชอบ คิดเสมอถึง consequence (ซึ่งฟังดูเบาไป น่าจะเป็น sequelae มากกว่า)

การดานข่าวนั้น work มากในการสื่อสิ่งที่ไม่ serious มาก ไปยังคนกลุ่มใหญ่ๆ เช่น ประกาศหาแฟน คอมพิวเตอร์เสีย (อันนี้ใช้บ่อย ตะก่อน มีบาง web จะมี nerd หรือ geek ระดับ professional ร่อนไปมาคอยให้คำแนะนำจากความมันของเขาอย่างเดียว แต่ work มากๆ) หรือต้องการระดม "ความต่าง" ความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นแล้วอาจจะเป็นการ "ลด" ประสิทธิภาพการสื่อ ซึ่งหมายความว่าวัตถุปรสงค์จะไม่บรรลุ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-28 , Time : 09:12:28 , From IP : 172.29.3.236

ความคิดเห็นที่ : 1


   ....เคยมีคนบอกผมว่ากระดานข่าวเหมือนร้านกาแฟ......บางคนต่อท้ายให้ด้วยว่า เป็นร้านกาแฟที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง....
คุณอยากจะกินกาแฟแบบไหน.....ก็เดินเข้าไปสั่ง...[อยากอ่านกระทู้อะไรก็กดเข้าไปอ่าน]......
บางคนไม่เคยกินกาแฟ ไม่รู้ว่ากาแฟมีกี่แบบก็ต้องดูเมนูก่อน [ดูที่หน้าจอรวมว่ามีอะไรน่าอ่านบ้าง]......
เจอกาแฟบางอย่างที่เคยกิน [คนที่เรารู้จักเขียนกระทู้].....
ก็ลองสั่งมากินดู สั่งมาแต่ละครั้งรสชาติอาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้ [ขึ้นกับความบ้าของคนตั้งกระทู้ในแต่ละวัน].......
กาแฟโดยทั่วไปมีหลายสิบชนิดบางอย่างบางคนก็ชอบ....บางอย่างบางคนก็ไม่กิน.....[ประเภทของกระทู้....หาแฟน...ขายของ...ชวนเที่ยว...การเมือง...กีฬา....รถยนต์....ๆลๆ]
บางทีเราไม่รู้จะสั่งอะไรดี....หรืออยากลองของใหม่ๆ รสชาติแปลกๆ....[หากระทู้ประหลาดๆอ่าน]......
ถ้ามันไม่อร่อย...คราวหลังก็ไม่สั่งอีก...[กระทู้นี้เสียสติคราวหลังไม่อ่านที่ไอ้บ้านี่เขียนแล้ว].......
บางทีเบื่อๆลองเอาเมนูที่เราคิดเองมาเสนอให้คนอื่นชิมบ้างดีกว่า....[ตั้งกระทู้เอง]...
วันนี้เบื่อแล้ว.....กลับบ้านนอนดีกว่า.....[ออกจากกระดานข่าวไปหาอย่างอื่นทำ].....
กลางคืนตีสามรู้สึกอยากกินกาแฟจังเลย.....วันนี้นอนไม่ค่อยหลับ....ไปหากาแฟและคนคุยด้วยดีกว่า.....[เข้ากระดานข่าว....หากระทู้อ่าน....หรือหาคนคุยด้วย...แต่แน่นอนว่าคนที่มีรสนิยมกินกาแฟตอนตีสามคงไม่มากเท่าคนที่กินกาแฟตอนก่อนไปทำงานหรือหลังอาหาร].........
บางวันโชคร้ายเผลอไปกินกาแฟแย่ๆเข้ารู้สึกไม่ดี.....อยากให้เจ้าของร้านเลิกขายไอ้เมนูนี้เหลือเกิน.....[เห็นกระทู้ทุเรศ....เผลออ่านไปแล้ว....โวยวายใส่ Webmaster ให้ลบกระทู้ทิ้ง]......
เจ้าของร้านบางคนอาจจะเลิกขายเมนูนั้น....บางร้านอาจจะด่าแล้วบอกว่า....ไม่ชอบก็อย่าสั่งสิ.....อาจจะมีคนที่ชอบก็ได้...[บาง Webmaster ก็ใส่ใจที่จะทำตามที่คนเรียกร้อง.....บางคนก็มีเหตุผลที่จะไม่ทำ.....ไม่ชอบก็อย่ากดเข้าไปอ่านสิ..แต่คนอื่นอยากอ่านก็มีนิ].......
บางวันโชคดีเกิดเข้าไปในร้านกาแฟ...เจอคนที่รู้จักหลายคน....ก็กินกาแฟไปคุยกันไปนานหน่อย......บางวันไม่รู้จักใครในร้านเลย.....กินเงียบๆแล้วกลับบ้านดีกว่า.....หรือถ้ามีอารมณ์....ลองไปนั่งโต๊ะกับสาวคนนั้น...ลองชวนคุยดูดีไหม?...[บางทีมีกระทู้เพื่อนๆเราเขียนเยอะ.....คุยกันได้...บางวันใครเขียนก็ไม่รู้.....ลองอ่านของคนใหม่ๆบ้างดีกว่า....เผื่อจะน่าสนใจ....คราวหลังจะได้อ่านอีก]............
วันนี้ไม่ว่างทั้งวันเลย....ต้องพาแฟนไปเทียว.....ไม่แวะร้านกาแฟแล้ว....พรุ่งนี้ค่อยมากินใหม่.....เจ้าของร้านคงไม่ว่า....[ไม่ว่างก็ไม่ต้องเข้ามาอ่านก็ได้....ไม่มีใครว่าหรือบังคับว่าต้องมาอ่านหรือตอบทุกวัน]........
วันนี้ร้านกาแฟปิด......อยากกินกาแฟมาก....ไปหาร้านใหม่ดีกว่า....เผื่ออาจจะอร่อยกว่าร้านนี้.....หรือไม่ก็ไม่กินก็ได้.....ชอบร้านนี้หละ....เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงเปิด.....[บางวันกะระดานล่ม....อาจจะล่มนานจนคนหายหมด.....บางคนก็ไปหากระดานใหม่.....บางคนก็รอ.....พอเปิดก็กลับเข้ามาใหม่....]..........

................ผมว่ามีอีกเยอะครับ......กระดานข่าวมันก็ร้านกาแฟธรรมดานี่เอง....คุณคงไม่ไปนั่งกินมันทั้งวันหรอก.....เพราะเราแต่ละคนก็มีงานที่ต้องทำ.....บางวันโชคไม่ดี....เห็นคนในร้านกาแฟนั่งนินทาเพื่อนคุณ.....คุณจะซีเรียสเข้าไปชกหน้าคนนั้น.....และประกาศก้องร้านกาแฟว่า.....นี้ร้านกาแฟของผม...อย่ามานินทาเพื่อนผมในนี้.....อื่อออ.....คนพวกนั้นก็เผ่นออกจากร้าน...."ปกินกาแฟร้านอื่นแล้วนินทาเพื่อนคุณต่อก็ได้....หรือถ้าคุณเป็นเจ้าของร้าน.....เห็นว่าทุกวันในร้านคุณมีแต่พวกโจรห้าร้อยเข้ามากินกาแฟ.....วางแผนจะโค่นล้มรัฐบาลในร้านคุณ.....คุณจะทำไง......ไล่มันออกไป......ปิดร้านซะ....ให้ไอ้พวกห้าร้อยนี่ไปชุมนุมกันที่อื่น......แต่เจ้าของร้านบางคนก็ไม่คิดมาก.....มันก็แค่ร้านกาแฟ.....คงไม่มีใครล้มล้างใครในร้านนี้ได้หรอก......มันต้องออกไปนอกร้านและลงมือทำมากกว่ามานั่งสุมหัวบ่นกันไปมา....พอกาแฟหมด....ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน......บางทีคุยกันดัง....คนกินโต๊ะข้างๆได้ยินเรื่องที่เราคุยน่าสนใจ...ก็อาจจะเก็บไปเล่าต่อๆให้เพื่อนๆฟังในร้านกาแฟอื่นๆก็ได้.....

...........บางทีเวลาคุณอยากให้ร้านกาแฟที่คุณชอบ....มีแต่คนดีๆมานั่งกิน...มานั่งคุยกันถึงเรื่องดีๆ.....เป็นร้านกาแฟที่อบอุ่น.....คุณอาจจะต้องเขียนปะหน้าร้านว่า....ห้ามโจรเข้ามากินกาแฟ.....ห้ามกินแล้วคุยกันถึงเรื่องที่ทำงาน......ห้ามกินแล้วเอาเพื่อนหรือเจ้านายมานินทากันในร้าน.....ใครฝ่าฝืนจะถูกไล่ออกจากร้าน.....แบบนั้นก็ได้เหมือนกัน.....แต่ร้านกาแฟของคุณอาจจะมีคนเข้าน้อย....แต่คนที่เข้ามาคงน่าจะดีตามที่คุณต้องการ......แต่จะแน่ใจได้หรือ?....เพราะโจรคงไม่แต่งตัวเป็นโจรมาก็ได้.....อาจจะใส่สูทมานั่งกิน...แต่จริงๆเป็นโจรก็ได้......และบางทีร้านกาแฟหรูๆในห้างใหญ่......อาจจะไม่กินแล้วอร่อยเท่าไปกินอาแป๊ะข้างถนนที่มีแต่คนธรรมดานั่งกินก็ได้.......

.........ผมว่านั่งนึกไปคงเขียนได้เป็นเล่ม.......อย่าไปใส่ใจอะไรมากเลยครับ....มันไม่มีผลข้างเคียงอะไรมากขนาดนั้นหรอกครับ.....ถ้าคุณกินกาแฟเฉยๆฟังที่คนเขาคุยกัน....แต่คุณไม่ถูกใจ.....คุณจะไปนั่งกับเขาแล้วถกเถียงกันก็ได้......บางคนอาจจะอยากนั่งกินเงียบๆเฉยๆ......บางคนอาจจะชอบฟังเรื่องที่สนใจ...แล้วเอาไปคุยต่อ......บางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องไร้สาระ...หรือซีเรียสก็ได้......แต่แล้วแต่คนฟังหละครับ.....อยากจะสนใจหรือไม่......คุฯจะไปนั่งห้ามคนในร้านไม่ให้พูด.....ห้ามนำไปคุยต่อ.....ห้ามโน่นห้ามนี่......ยากครับ......เหมือนกับที่หลายๆกระดานข่าวชอบเขียน......กรุณาพิจารณาข้อความในกระดานข่าวอย่างมีวิจารณญาน.....ขึ้นกับแต่ละคนครับ.......แต่ผมไม่ปฎิเสธครับ...ว่าคุณอาจจะปลุกระดมคนกินกาแฟในร้านไปก่อม๊อบได้ ถ้าคุณพูดเก่งพอ....และโน้มน้ามจิตใจคน.....หรือวางแผนมาอย่างดี......แต่อย่างไรก็เถอะ.....ทิ้งเรื่องซีเรียสบ้าง.......คิดอะไรสบายๆ.....แล้วจิบกาแฟที่ชอบ.....หามุมสงบ...และหนังสือดีๆสักเล่ม.....แค่นั้นก็อาจจะเพียงพอสำหรับวันที่ยุ่งๆก็ได้ครับ.....:D...:D



Posted by : Death , Date : 2004-03-28 , Time : 10:14:40 , From IP : 172.29.3.214

ความคิดเห็นที่ : 2


   ร้านกาแฟเองก็ยังมีหลายแบบขอรับ
.
ร้านกาแฟในหนังไทยสมัยก่อน เป็นทั้งสถานที่พบรักของพระเอกกับนางเอก ทั้งที่ประกาศความเป็นยอดชายของพระเอกโดยการต่อกรกับเหล่าคนร้ายที่รุมรังแกนางเอก หรือพูดจาเสียดสีจนพระเอกอดรนทนไม่ไหว
.
ร้านกาแฟประจำหมู่บ้านเป็นเวทีที่ดีของท้องถิ่นในการแสดงออกทางความคิด ด้วยการถกปัญหาทางการบ้านการเมืองแกล้มกาแฟ การแลกเปลี่ยนสมองในร้านกาแฟเหล่านี้น ไม่ต่างจากในกระดานข่าวตรงที่ว่า มันอาจหรือไม่อาจมีผลกับ ชีวิตจริง ปัญหาจริงที่ดึงมาขบคุย เพราะคนที่มาร่วมวงเหล่านั้น มิใช่ผู้มีอำนาจในการจัดการปัญหาครับ การที่จะเชื่อมโยงหน่วยความคิดบนสภากาแฟกับหน่วยบริหารได้ อาศัยการพกความคิดใส่กระเป๋าเดินออกจากร้านไปบ้านผู้มีอำนาจ หรือผู้มีอำนาจเงี่ยหูมาฟังและเก็บเอาไปไตร่ตรอง ต่อให้ยกพวกเข้ามาตะโกนในร้าน คนที่จะรับสารได้ก็จะมีแต่คนที่กำลังนั่งจิบกาแฟ เจ้าของร้านและลูกสาว เท่านั้น
.
ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบความหลากหลายของกาแฟและร้านกาแฟครับ ถ้าคุณ Death เคยอ่านหนังสือของคุณวิลาศ มณีวัฒน์ ที่พาไปเที่ยวร้านกาแฟซะทั่วโลก อาจคิดเหมือนผมว่า ความหลากหลายของรูปลักษณะทางสถาปัตย์และรูปแบบการบริการในร้านหรือเพิงขายกาแฟ แม้ยังไม่นับรสชาติและกลิ่นของมัน เป็นความงามที่แตกต่าง มันให้ความหมายกับการเดินทางและแสวงหา ผมจึงเกลียดความคิดที่จะทำให้ร้านกาแฟทั้งโลกใช้ตราสีเขียวและมีโลโก้รูปนางเงือกหน้าร้านเหมือนกันไปหมด สำหรับคนขวางโลกอย่างผม นั่นเป็นทัศนะอุจาด
.
แต่ในความแตกต่างเหล่านั้นผมเชื่อว่ามีสิ่งที่ร้านกาแฟในสังคมศิวิไลซ์มีร่วมกันครับ คือนอกจากจะต้องเคารพในความแตกต่างทางความคิด เคารพในความเป็นปัจเจกของคนอื่นแล้ว เรายังต้องเคารพใน ความเป็นสังคม ของร้านกาแฟแห่งนั้นนั้นด้วย สังคมที่ดีมีกรอบหรือบรรทัดฐานที่สมาชิกในสังคมยอมรับร่วมกันระดับหนึ่งครับ ถ้าคุณ Death ยกร้านกาแฟมาเปรียบ ก็ขอเสริมด้วยคนว่าร้านกาแฟทุกแห่งมีกรอบกฏของตนระดับหนึ่ง ทั้งกฏที่ทางร้านตั้งไว้ และกฏที่ลูกค้าต่างเข้าใจกันเองอยู่แล้ว เช่นจะสั่งกาแฟอย่างไร จ่ายเบี้ยที่ไหน หรือเราคงไม่สามารถเข้าไปเยี่ยวกลางร้าน เราคงไม่สามารถเอาภาพเปิดนมของคุณลูกเกดไปกางบนโต๊ะ
.
บรรทัดฐานที่ดีในสังคมเกิดจากความเข้าใจร่วมกัน รับรู้ร่วมกัน และเป็นหน้าที่ที่สมาชิกในสังคมต้องรักษาและผลักดันให้ก้อนของความดีนั้นคงอยู่
.
ในกระดานข่าวก็เช่นกันครับ หากเราไม่ยอมรับว่าการติฉินนินทาหรือใส่ร้ายป้ายสีเป็นเรื่องที่สุภาพชนพึงกระทำแล้วละก็ ใครพบใครเห็นกล่องระเบิดอันนี้ก็คงรู้ว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำอะไรสักอย่างมังครับ ผู้อาวุโสในกระดานอ่านพบ เขาก็เขียนเตือนเขียนปราม เวปมาสเตอร์อ่านพบ เขาก็ลบเสีย นี่ไงครับ ความพยายามร่วมกันของคนในร้านกาแฟที่จะรักษาบรรยากาศในร้านให้งามพอที่เขาจะนั่งกินกาแฟต่อไปได้
.
และก็จะไม่มีปัญหาเลยครับ ที่โจรห้าร้อยหรือต่อให้เป็นโจรแปดร้อยก็ตามจะเข้ามาในร้าน ตราบที่เขาเข้ามาแล้วรู้ว่าควรจะไปซื้อกาแฟตรงไหน ไปนั่งที่ใดและจะทำตัวอย่างไรจึงจะจิบกาแฟ หรือแม้กระทั่งแลกเปลี่ยนเรื่องราวการปล้นของเขากับคนอื่น การถกเถียงในกระดานข่าวก็เช่นกันครับ ที่การถกเถียงควรจะอยู่เฉพาะ การแลกเปลี่ยนเรื่องราวหรือปะทะทางความคิด มิใช่การโจมตีตัวบุคคล หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือการโจมตีบุคคลที่สาม
.
ขอตัวไปจิบโคฮีต่อครับ


Posted by : Shonigega , Date : 2004-03-28 , Time : 16:00:52 , From IP : pedsurg.med.osaka-u.

ความคิดเห็นที่ : 3


   การเปรียบเทียบกระดานข่าวกับ "ร้านกาแฟ" (หรือผมชอบ "สภากาแฟ" มากกว่า) นั้น ค่อนข้างตรง และเราน่าจะสามารถคาดได้ว่าการสนทนาในร้านกาแฟอย่างที่ว่านั้นก็จะมี "ขอบเขต" ของสิ่งที่จะเกิดขึ้นคล้ายๆกัน

ถ้าร้านกาแฟนั้นๆมีสมาชิกเป็นคนในซอย หรือคนในหมู่บ้านจัดสรรเดียวกัน ผองเพื่อนคงจะไม่คิดใช่ไหมครับว่าสิ่งสรุปหรือข้อมูลต่างๆที่ว่ากันนั้นจะไปลงเอยที่กฤษฎีกาหรือพระราชบัญญัติ เราคงจะไม่คิดใช่ไหมครับว่าเวลาพูด "คนส่วนใหญ่คิดว่า..." นั้นหมายถึง randomized-controlled trial แต่มักจะเป็นที่คนพูดคิดเองว่าคนส่วนใหญ่คิดยังไง ยิ่งเป็นร้านกาแฟแบบข้าง superhighway ข้อมูลยิ่งหลากหลาย และเราอาจจะต้องใช้วิจารณญานกลั่นกรองหลายชั้น แหวก evidence base level ต่างๆตั้งแต่ rumour taboo legend gossip, etc ก่อนที่จะรับไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนความคิดของตน

ถามว่าสภากาแฟจะสามารถทำให้เรื่องราวที่คุยกันมีน้ำหนัก หรือมีนัยสำคัญเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ อย่างไร คำตอบคือใช่แน่นอนครับ ขึ้นอยู่กับ "วิธี" การที่สมาชิกแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ขึ้นอยู่กับที่มาของ "ข้อมูล" ที่เป็นพื้นฐานการวิเคราะห์ สิ่งเหล่านี้มีส่วนต่อ "ความน่าเชื่อถือ" ของประเด็นที่กำลังถกกันอยู่ ถ้าเรื่องที่ถก เป็นเรื่องนมคุณลูกเกด (หรือถ้าจะให้ทันสมัย เดี๋ยวนี้เธอเปลี่ยนไปโชว์ "ก้น" แทนแล้วนะครับ คุณ Shinigega) เรื่องคุณปุ๊กกี้ถูกทุบ ระดับความจริงจังและความมีนัยสำคัญของสภานั้นๆก็จะ reflect ตามสิ่งที่ดำเนินอยู่ในขณะนั้น

ในยุคสมัยที่ที่บางที่ระบบประชาธิปไตยได้ "พัฒนาแล้ว" ระดับหนึ่ง เสียงจากสภากาแฟก็สามารถมีน้ำหนักมากอย่างมีนัยสำคัญ สภากาแฟเหล่านี้จะถูกเรียกใหม่โดย political party ว่าเป็น "focus group" ที่ถือว่าเป็นการหยั่งเสียงที่แม่นยำว่า "voters" ต้องการอะไร นักการเมืองจะได้ช่วย (หรือว่าสัญญาว่าจะช่วย) ได้ตรงตามความต้องการ focus group ที่มีอำนาจทางการเมืองชัดเจนและเติบโตมาโดยวิธีนี้ได้แก่ animal-right activists, gay-right activists, anti-smoking lobbyists, anti-GM food lobbyists เป็นต้น แต่ที่ทำได้นั้นเป็นเพราะพวกนี้สามารถแยกตัวเองออกมาจากกลุ่มวางระเบิดบ้านนักวิทยาศาสตร์ กลุ่มมาดีกราส์ที่แต่งตัวประหลาดจนคนไม่แน่ใจในความสามารถการตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ จากกลุ่มที่แต่งตัวแบบมนุษย์อากาศเพื่อเดินเข้าไปในฟาร์ม GM ซะก่อนนะครับ มิฉะนั้นมันจะกลายเป็นปาหี่ ไม่ใช่ focus group และกลุ่มปาหี่นั้นอย่างมากที่จะดึงดูดคนมาร่วมก็จะไม่ได้พวกที่เป็นผู้บริหาร แต่จะเป็นพวกที่ชอบปาหี่ ชอบตลกตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก สิ่งเหล่านี้จะลดความน่าเชื่อถือลง ซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด หากวัตถุประสงค์ของเราไม่ได้ต้องการการเปลี่ยนแปลง แต่เป้นแค่ต้องการมาฝึกสำนวนสวิงสวาย ใครจะประชดประชัน กระแนะกระแหน อุปมาอุปมัยได้เลอเลิศถึงใจ ถึงถุงน้ำดี ตับอ่อน ได้มากกว่ากัน ก็สนุกดี



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-28 , Time : 18:10:09 , From IP : 172.29.3.247

ความคิดเห็นที่ : 4


   ..........เฮ้อออออออ.......ทำไมถึงได้คิดอะไรกันไม่พ้นเรื่องซีเรียสสักที......เคยคิดจะจิบกาแฟเฉยๆ....ฟังเพลงเบาๆในร้านที่บรรยากาศดีๆบ้างไหมครับ.....ลองไม่ต้องฟังคนอื่นๆที่มานั่งกินกาแฟไปบ่นอะไรไร้สาระไปสักวันบ้าง.....บางทีอาจจะได้มุมมองที่แปลกกว่าปกติที่ไม่คาดคิดก็ได้ครับ......บางทีแค่ชีวิตที่เป็นสุขสักวันอาจจะมีความหมายกว่าชีวิตเฮงซวยที่อยู่มาเป็น 10 ปีที่ผ่านมาก็ได้????......

.......ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกครับ......อย่างมากที่พวกคุณทำกันได้ก็คือเอารถถังมายิงถล่มร้านกาแฟเพื่อให้มันล่มสลายเท่านั้นหละครับ.....ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วจะทำไงเหรอครับ?.....นั่งอยู่ในร้านทั้งวัน....คอยนั่งฟังทุกคำพูดของคนทุกคนที่เข้ามา.....ใครด่าเพื่อนกู กูชก และไล่ออกจากร้าน....มีเข้ามาอีกคน....ด่าเพื่อนกูอีก....กูชกอีก....ไล่ออกจากร้านอีก....จะนั่งแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน....ไปอีกสักกี่วันกัน......ไม่เคยปราถนาชีวิตที่เรียบง่ายบ้างเหรอครับ.....???....ผมพูดมาจนเบื่อแล้วครับ.....ชีวิตเราไม่ได้มีแต่ร้านกาแฟหรอกครับ.....เรามีบ้าน....มีงาน....มีครอบครัวอะไรอีกหลายๆอย่าง.....เราไม่มีทางและไม่มีวันเปลี่ยนความคิดคนทุกคนได้หรอกครับ.....คิดว่าจะต้องชกคนอีกสักกี่คนถึงร้านกาแฟที่คุณอยากได้....จะเป็นร้านกาแฟในฝัน????.......ผมคิดว่าคนที่เข้ามาจิบกาแฟในร้านคงไม่ได้มีแต่พวกการศึกษาต่ำจนกระทั่งไร้วิจารณญาณในการแยกแยะว่าอะไรที่คนในร้านพูดดีหรือไม่ดีหรอกครับ.......หรือว่าคิดอย่างงั้น????......

.......ชกผมแล้วมันสนุกไหมครับ??....ถ้าคิดว่าชกผมแล้วจะทำให้ร้านกาแฟดีขึ้น.....หรือเจริญขึ้น...เพราะจะมีคนเข้ามาดูโชว์ซ้อมคนในร้านกาแฟให้ดูแล้วหละก็.........เชิญชกผมต่อไปเลย.....เอาไว้ผมเบื่อกาแฟในร้านนี้แล้ว.....ผมคงจะไปหากาแฟร้านอื่นๆกินต่อ......ช่วงนี้ผมไม่ค่อยรู้สึกอยากจะทำอะไรเลย.....แค่หาโอกาสนั่งพักสบายๆ....โดยไม่ต้องคิดอะไรให้หนักหัวนี่.....ยากเต็มทีเลย......กาแฟดีๆสักแก้ว.....ผมยังหาไม่ค่อยได้เลย.......



Posted by : Death , Date : 2004-03-29 , Time : 11:04:31 , From IP : 172.29.3.157

ความคิดเห็นที่ : 5


   ถ้าคุณ Death อยากจะนั่งจิบกาแฟ นั่งอ่านหนังสือสบายๆ ก็ไม่เห็นจะต้องสนใจคนอื่นที่นั่งสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกันในร้านเลยนี่ครับ
ร้านกาแฟมีความหลากหลาย และมีวงสังคมที่แตกต่างกันของแต่ะร้านด้วย
ถ้ารสนิยมของที่นี่ไม่เป็นที่ถูกใจ ที่อื่นๆที่เหมาะกับเราก็ยังมี
แต่จบจากร้านกาแฟแล้ว ชีวิตเราก็ยังมีอะไรอีกมากมายภายนอกร้าน
และนอกจากความอุ่นท้องอิ่มกาแฟแล้ว เราจะได้อะไรๆติดหัวกลับไปบ้าง

อืม ผมดื่มกาแฟไม่เป็น ขอเป็นน้ำเปล่าได้ไหม


Posted by : ArLim , Date : 2004-03-29 , Time : 14:34:43 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 6


   .....ผมชอบครับที่คุณ Arlim ว่า...."ไม่เห็นจะต้องสนใจคนอื่นที่สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกันเลย"......ผมพยายามจะไม่สนใจครับ.....และก็หวังว่าหลายๆคนจะไม่สนใจด้วย.....แต่บางทีก็เปล่า.....???.......เฮ้อออออ.....ผมดีใจครับที่คุณ Arlim เข้าใจว่าชีวิตเรามีอะไรนอกร้านกาแฟนี้อีกเยอะ.....บางทีไปหาอะไรอย่างอื่นทำก็สบายใจขึ้นเยอะครับ.....ขอบคุณครับที่แนะนำ.......



Posted by : Death , Date : 2004-03-29 , Time : 16:23:11 , From IP : 172.29.3.157

ความคิดเห็นที่ : 7


   ในความเห็นของผมร้านกาแฟแต่ละร้านนั้นมีบุคลิกภาพเป้นของตนเอง และเรา "ไม่ควร" ที่จะทำให้ทุกร้านเหมือนกันหมด เพียงเพื่อคำ "อะไรก็ได้" ถ้าทุกร้านนั้นอะไรก็ได้เหมือนกันหมด เราจะเบื่อร้านกาแฟไปอีกนาน เหมือนอย่างที่คุณ Shoni เบื่อนางเงือกบนพื้นเขียวนั่นแหละ

ตัวอย่างที่เห็นชัดก็พวก Newsnet ที่เต็มไปด้วยอะไรก็ได้ จนจะหาอะไรที่เราสนใจคุยให้ต่อเนื่องเกินสามสี่ประโยคแทบจะไม่ได้เลย เพราะความไร้ซึ่ง "บุคลิกภาพ" นั่นเอง

ทีนี้ไม่ต้องห่วงหรอกครับว่า "บุคลิก" หรือ "เอกลักษณ์" ขงอร้านกาแฟจะเป็นยังไง เพราะมันจะเป็นไปตามคุณภาวะ วุฒิภาวะ และค่านิยมของ "สมาชิก" ณ แห่งนั้นๆ และไม่ได้เป็นไปตามกระแส "ส่วนใหญ่" ซะด้วยซ้ำ บางสภากาแฟมีสมาชิกสองขั้ว สามขั้ว สี่ขั้ว คานกัน โต้เถียงกันทีไรก็ได้มัน ได้เฮ กันคราวนั้น ในที่นี้ผมหมายถึงความมัน ความเฮ แบบที่ว่า "บัณฑิต" ตามนิยามของการถึงพร้อมซึ่งความสามารถในการแสดงออกทางกาย วาจา ใจ อย่างที่ผู้มีการศึกษาระดับอุดมศึกษาพึงมี ก็ไม่ทราบว่าขอมากเกินไปรึเปล่าแค่นี้?

สังคมที่เราอยู่จะเป็นอย่างไร สภากาแฟจะออกมาในรแปบบไหนก็อยู่ที่พวกเราที่มาออกความเห็นตรงนี้ ไม่มีผู้ดี ผู้ร้าย มีแต่วิจารณญาน ใคร "อยาก" จะให้ร้านนี้เป็นแบบไหนก็จะออกความเห็น จะดำเนินการพูดจาแบบนั้นไป ผมว่าเราก็ให้ต่างคนต่างเสนอความเห็นอยู่แล้ว บอกมาว่าคิดอย่างนั้นเพราะอะไร ทำอย่างนี้เพราะอะไร คนเห้นด้วยไม่เห็นด้วยก็ตามกรรม ตามบารมี ตามทัศนคติที่สั่งสมกันมา ยุติธรรมที่สุดอยู่แล้ว

ว่าแต่เราจะอยากเห็น กระะดานข่าวคณะแพทย์" นี่ เป็นยังไงล่ะครับ? ผมถามสมาชิกดู ลองจินตนาการก็ได้ครับว่าเป้นการหาเสียงเพื่อสร้าง "กระดานอุดมคติ" ของแต่ละคน ดูสิว่าออกมาเหมือนต่างอย่างไร นี่คือจุดแข็งของกระดานข่าวแบบเปิดอย่างนี้อยู่แล้ว เมื่อไรก็ตามที่เราอยากได้ยินได้ฟังเหตุผลอันหลากหลายมาสันบสนุนแนวความคิดที่ยิ่งหลากหลายกว่า



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-29 , Time : 20:36:16 , From IP : 172.29.3.203

ความคิดเห็นที่ : 8


   .....เป็นการขอที่มากไปครับ....เพราะนั่นคือคุณกำลังแปะป้ายหน้าร้านกาแฟที่คุณพยายามจะเข้าใจว่าคุณเป็นเจ้าของว่า "ผู้มีการศึกษาระดับอุดมศึกษาเท่านั้นที่มีสิทธิอ้าปากพูดขณะกำลังจิบกาแฟ".....เป็นการแบ่งชนชั้นทางการศึกษาโดยเหมือนการเหยียดผิวแบบกลายๆว่าถ้าไม่มีการศึกษาในระดับแบบนี้แล้ว พูดอะไรออกมาอาจจะไร้สาระ....ดังนั้นหุบปากจิบกาแฟไปเฉยๆแล้วดูพวกการศึกษาสูงๆเขาคุยกัน.....ถึงตอนนี้แล้วผมชักสงสัยในสถานภาพของผมยิ่งนัก????.....การศึกษาผมสูงพอที่จะพูดอะไรหรือเปล่า?.....แล้ว"บัณฑิต" ที่ว่านั้น....ผมน่าจะใช่นะ......แต่อาจจะเป็น "บัณฑิต" ที่อ่านพ้องเสียงแต่เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า "Bandit" ก็ได้มั้ง????.....ถ้าอย่างงั้นนะใช่เลย.....แสดงว่าผมไม่มีคุณสมบัติเพียงพออย่างป้ายหน้าร้านปะไว้.....ผมควรนั่งจิบกาแฟเฉยๆดีกว่ามั้ง???

.......ส่วนเรื่อง"กระดานข่าวคณะแพทย์"....หรือร้านกาแฟแห่งนี้???....คุณเข้าใจอะไรผิดๆอีกหรือเปล่า....ที่นี่ก็เหมือนร้านกาแฟธรรมดา....แต่อยู่ในโรงพยาบาลเท่านั้น....ใช่แล้ว...คนที่มาจิบกาแฟในร้านนี้ส่วนมากก็เป็นบุคคลากรในโรงพยาบาล...แต่แล้วไง.....????....คนอื่นๆก็มีสิทธิเข้ามาสั่งกาแฟได้ ไม่ว่าจะใครที่ไหน การศึกษาระดับใดก็เข้ามาได้....คุณคิดจะให้ร้านกาแฟเป็นจุดขายของโรงพยาบาลหรือครับ????.....คุณอยากจะเห็นร้านกาแฟนี้ดี อยากจะเห็นคนมีการศึกษาเข้ามากินและคุยกันแต่เรื่องดีๆ.....เพื่อไม่ให้คนนอกโรงพยาบาลเข้ามาเห็นความจริงของชีวิตคนอย่างนั้นหรือ????.....ถ้าแค่คิดหรือฝัน.....อันนั้นไม่เป็นไร....เพราะเราทุกคนมีความฝันและความหวังอยู่แล้ว......แต่ถ้าคิดจะลงมือทำ....คิดดีๆนะครับ....การที่คุณจะต้องลงไปนั่งเฝ้าร้านกาแฟ..แปะป้ายข้อห้ามต่างๆ....และพยายามนั่งคุมกฎเกณฑ์ที่คุณอยากจะให้เป็น.....คุณจะเหนื่อยมาก...และบางทีบางคนจะไม่เข้าใจ.....และคิดว่านั่นเป็นการดูถูกระดับการศึกษาและวิจารณญาณในการตัดสินใจของแต่ละคน.....ซึ่งคุณไม่มีสิทธิตรงนั้น.....คนระดับผมที่ต่ำกว่าคุณผมฟังที่คุณพูด....แต่คนระดับเดียวกันหรือสูงกว่าคุณอาจจะไม่ฟังก็ได้...แล้วคุณจะไม่ให้คนเหล่านี้มาเข้าร้านกาแฟในฝันของคุณอย่างนั้นหรือ..????.....สิ่งที่คุณเรียกร้องหมิ่นเหม่ต่อการเหยียดหยามทางความคิดยิ่งนัก....ถ้าคุณนึกไม่ออก.....ถ้าคุณยังจำคุณ Kant ได้.....ตอนผมนั่งฟังที่พวกคุณคุยกัน....ผมเหมือนจะเข้าใจว่าคุณกำลังดูถูกความคิดของคุณ Kant อยู่เรื่อยๆด้วยซ้ำ.....ไม่รู้ผมเข้าใจถูกหรือเปล่านะ????......คุณเคยสงสัยไหมว่าคุณ Kant ยังกินกาแฟที่ร้านนี้อยู่หรือเปล่า??

.......ผมเคยชอบร้านกาแฟบางร้าน...มีเพื่อนๆเยอะ....แต่เมื่อเวลาผ่านไป....เพื่อนๆก็ล้มหายตายจากไป.....เลิกกินกาแฟบ้างก็มี....ร้านที่ผมชอบ...ก็มีคนใหม่ๆเปลี่ยนเข้ามากินอยู่เรื่อยๆ......ผมได้แต่นั่งจิบกาแฟเงียบๆ...และก็เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆเกิดขึ้น......อย่าไปคิดอะไรมากครับ.....เวลาจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง....และมันมีทางของมันที่จะไป....วันนึงผมก็จะไปจากร้านนี้.....และอาจจะแวะกลับมาเป็นบางช่วง....แล้วคุณจะยังคงนั่งอยู่ในนี้ทุกวันตลอดไปหรือเปล่าหละครับ???....ต่อไปร้านกาแฟนี้อาจจะต้องรูดบัตรที่หน้าประตูก่อนเข้ามาเพื่อที่จะได้เป็นร้านกาแฟที่ดีอย่างงั้นหรอื???....คุณอาจจะได้ร้านกาแฟในฝันอย่างที่คุณว่า......แต่สำหรับผม.....ร้านแบบนี้เหมาะกับบางโอกาสเท่านั้น......ผมไปนั่งกินข้างถนนต่อดีกว่า......ร้านแบบนั้นอาจจะเหมาะสำหรับคนการศึกษาต่ำๆอย่างผมหละมั้ง???....อย่างน้อยๆเขาก็ไม่ถามผมว่าผมจบอะไรมา....และบางวันที่ผมอยากนั่งเฉยๆ....ผมก็สามารถหามุมสงบให้กับชีวิตเฮงซวยของผมได้.......



Posted by : Death , Date : 2004-03-30 , Time : 10:23:28 , From IP : 172.29.3.251

ความคิดเห็นที่ : 9


   ร้านกาแฟในอุดมคติของผม ไม่มีใครชกใคร ไม่มีใครหมิ่นความคิดใครครับ แต่ละความคิดเห็นมาจากเจ้าของนิรนาม ต่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน และช่วยตกแต่งซึ่งกันและกัน การที่จะทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้ ต้องเปลี่ยนกระบวนทรรศน์ในการคิดนิดหน่อยครับ อาจจะต้องเปลี่ยนจากวิธีคิดที่เห็นคนอื่นที่เห็นต่างเป็น ศัตรูซึ่งจ้องทำร้าย หรือคนที่ต้องต่อสู้ด้วย มาเป็น กัลยาณมิตรนิรนาม แทนครับ เป็นมิตรที่ไม่มีป้ายแปะหน้าว่าฉันเป็นอาจารย์ เธอเป็นนักเรียน ฉันเป็นพี่ เธอเป็นน้อง ฉันมีการศึกษา เธอไร้การศึกษา ปลดทั้งหมดนี้ลงก่อนครับ คิดว่าเวลาที่เราร่วมวงวิพากษ์เรื่องใดและต้องการให้การระดมสมองนั้นนำมาซึ่งหนทางที่สร้างสรรค์แล้ว วางอัตตาลงก่อน ถอยอัตลักษณ์ของตนมาเป็นเพียงหนึ่งใน กัลยาณมิตรนิรนาม แล้วเลี้ยงลูกในสนามด้วยเหตุด้วยผลที่เราพอมี
.
จบเรื่องข้างบนครับ
.
หน้าที่ประการหนึ่งของกาะดานข่าวนอกจากจะเป็นเวทีอภิปรายปัญหาที่เกิดจากการทำงาน การรับบริการ การเรียนแล้ว เรื่องน่าฝันประการหนึ่งคือการผลักดันให้มันเป็นเวทีสำหรับ การถกเถียงทางวิชาการ ครับ ยกตัวอย่างเล่นเล่นเช่นเวลาที่มีประเด็นน่าสนใจทางการแพทย์ มันจะถูกเตะลงไปในสนาม และถูกอภิปรายอย่างสนุก ต่างคนต่างไปอ่าน ไปค้น evidence มาถกกัน ยกตัวอย่างเล่นเล่น สมมติมีคนทอยประเด็นเรื่องไข้หวัดนกลงไปตั้งคำถามว่า ทำไมไข้หวัดนกติดมาถึงคนได้ ทำไมมันไม่ติดหมู และทำไมมันเลือกติดเฉพาะบางคน แล้วเราก็ได้คุยได้ทะเลาะกันเรื่อง immunologic susceptability ต่อการติดเชื้อ เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องเป็นวิชาการทางการแพทย์ครับ หากกระดานได้รับการพัฒนาขึ้น มันจะเป็นช่องสำหรับการแสดงผลงานภาพถ่าย ต้นไม้ที่ปลูก เรื่องในวันหยุดของชมรมท่องเที่ยวได้ด้วย คิดดูสิครับ ในสังคมที่เป็นโลกจริงก็ตาม หากเราทอยกันมาคนละเหรียญสองเหรียญ แล้วช่วยกันผลักให้เป็นอย่างนั้น เราอาจมีความทุกข์และความขัดแย้งน้อยลง คุณ Death อาจจะเชื่อมั่นได้ว่า ไม่มีใครคอยจ้องรังแก
.
ร้านกาแฟในฝันเป็นเช่นนั้นครับ


Posted by : Shonigega , Date : 2004-03-30 , Time : 12:39:16 , From IP : pedsurg.med.osaka-u.

ความคิดเห็นที่ : 10


   มีสองสามประการที่ไม่ได้สื่อ

๑) ไม่มีใครเป็น "เจ้าของ" กระดานแห่งนี้แต่เพียงผู้เดียว แต่ "ทุกๆคน" มีส่วนเป็นเจ้าของครับ สังคมนั้นสมาชิกย่อมต้องช่วยกันสร้างฉันใดก็ฉันนั้น

๒) "อย่างผู้มีการศึกษาระดับอุดมศึกษา" นั้นไม่ได้แปลว่าต้องจบปริญญา คุณสมบัติของบัณฑิตที่ว่า "มีความรู้ในส่วนที่ตนจะทำ มีความรับผิดชอบต่อตนเองครอบครัวและสังคม และมีความถึงพร้อมซึ่งการแสดงออกทางกาย วาจาใจ" นั้น ชาวนา คนทำความสอาดถนน หรือคนที่ไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยก็ทำได้ และเป็นบัณฑิตได้ การศึกษาสูงไม่ได้อยู่แต่ในรั้วมหาวิทยาลัย แต่มีหลายคนที่สามารถจบ "มหาวิทยาลัยชีวิต" และอุดมไปด้วยบารมีบัณฑิต และหลายคนที่ผ่านรั้วมหาวิทยาลัยมาเท่าไหร่ๆก็หาได้มีคุณสมบัติบัณฑิตติดตัวมาก็ได้

๓) อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ สมาชิก "ทุกคน" ในที่นี้ "ต้องการ" หรือ "อยาก" อยู่ในที่ที่มีสิ่งแวดล้อมแตกต่างกัน แต่ละคนก็จะ advocate สิ่งที่ตนอยากได้ อยากเห็น ไม่มีความจำเป็นต้องรู้สึกดูถูก หรือถูกดูถูกเวลาที่มีความคิดเห็น หรือความชอบไม่ตรงกัน ใครอยากให้กระดานข่าวใน web คณะแพทย์เป็นอย่างไร คนนั้นก็เสนอความเห็น และเหตุผลไปทางนั้นตามที่ตนเองเห็นว่าดี ทีนี้ตามที่แต่ละคนเห็นว่าดีมันต่างกันแน่ ต่างกันไม่ได้แปลว่าอะไรต้องดีกว่า เลวกว่า ต่ำต้อยกว่า ขอเพียงเรามี conviction ว่าที่เราอยากได้อยากเห็นมีที่มาที่ไป เราก็ทำอย่างนั้น

๔) ผมไม่ถนัดในการเดาใจบุคคลที่สอง สาม หรือ สี่ว่าเขาจะรู้สึกถูกดูถูก หรือไม่ เพราะมันเสียเวลา การอภิปรายจริยศาสตร จริยธรรม ศาสนา หรือการเมืองนั้น พึงกระทำโดยคนที่ mature แล้ว รู้ว่าการอภิปรายประเภทนี้เราพูดกันบน "ความคิด" ที่ทอยลงมาตรงกลางโต๊ะ ไม่มีที่ไหนเขาสอนให้เอาตัวเองลงไปคลุกตรงที่ที่ debate กันเรื่องแบบนี้หรอกครับ เพราะมันจะมี emotion มาเกี่ยวข้อง เมื่อนั้น logic ก็จะปลิวออกไปนอกหน้าต่าง จะใช้ self inflicting, sarcasm, กระแนะกระแหน หรือประชดประชัน อะไรทำนองนั้นแทนที่จะใช้ตรรกะ

๕) ไม่เข้าใจการ "จัดระดับสูงต่ำ"ช่วยขยายความอีกสักนิด

๖) ถ้าผมมีความรู้สึกเหยียดหยามทางความคิดแล้ว ผมไม่ตั้งกระทู้ถามความคิดกันหรอกครับ ผมอ่านหนังสือตั้งแต่ถุงกล้วยแขกยันปกหลังของ Enclopedia Britannica ผมไม่แบ่งแยกว่าอะไร "เหนือชั้น" หรือ "ต่ำชั้น" กว่ากัน เพราะทั้งหมดล้วนเป็น "ความคิด ความเชื่อ" ของสมาชิกมนุษย์ ซึ่ง แตกต่างกัน ตรงนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมควรจะไม่แสดงความคิดเห็นว่าลูกสาวผมน่าจะเติบโตมาเห็นบัณฑิตแพทย์พูดจากันอย่างไรในทีสาธารณะ ผมไม่คิดว่าจะมีผลกระทบถึงขนาดเปลี่ยนใครได้หรอกครับ คนอายุเกินเบญจเพศมาก็มากแล้ว แต่ว่าก็เป็นสิทธิในการออกความเห็น การตีค่านั้นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะเลือกทำบนกระดานข่าวแบบนี้ แต่ผมไม่สามารถจะบังคับไม่ให้ใครตีหรือไม่ตีค่าได้

เราไม่จำเป็นต้องก่นตำหนิตนเองว่าเลวหรือไม่ดีแต่อย่างใดเพื่อเป้นเหตุผลในการที่เราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งหรอกครับ มีการ excuse มากมายเช่น ผมมันไม่ดียังงั้น ผมมันไม่ดีอย่างนี้ ฉะนั้นมันเป็นสิทธิ์ที่ผมจะทำทั้งๆที่รู้ ฯลฯ ผมเชื่อใน autonomy และเชื่อในกฏแห่งกรรม ฉะนั้นการกระทำของเรานี่แหละที่จะกำหนดว่าเพื่อนของเราจะเป็นคนแบบไหน คนแบบไหนที่เรา approve คนรอบๆตัวเราก็จะมีรสนิยมคล้ายๆของเรา กรรม และวิบากนั้นมองเห็นได้ตั้งแต่ระดับมหภาค ลงไปถึงที่ที่ซับซ้อนกว่านี้อีกเยอะ

ผมคิดว่าเคยพูดไว้หลายครั้งแล้วว่าผมไม่ label ใคร และไม่คิดด้วยว่าควรจะมีเจตนาจะเปลี่ยนใครโดยเขาไม่ยินยอมพร้อมใจได้ ผมเคยเป็นเด็กที่หัวรั้นมากคนหนึ่ง เคยคิดหลายต่อหลายเรื่องว่าเราจะไม่เคยเปลี่ยนใจ แต่กาลเวลาพิสูจน์ว่าผมเข้าใจผิด แต่อย่างน้อยผมก็เข้าใจว่าเจตคติ และอุดมคติของปัจเจกบุคคลนั้นสอนกันไม่ได้ และไม่พึงกระทำ Dependent Origination หรือ ปฏิจสมุปบาท นั้นเราไม่ได้ share กันหรอกครับ ของใครของมัน ขอให้มีความสุขอยู่กับ conscience ของตนเองก็น่าจะพอ

จริงไหมครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-30 , Time : 17:56:32 , From IP : 172.29.3.204

ความคิดเห็นที่ : 11


   ....จริงครับ.......
......บางทีผมเองพยายามไม่คิดอะไรมากนัก....มันน่าเบื่อกับการที่ต้องมานั่งใส่ใจในทุกๆเรื่อง.....เพราะบางวันผมแค่อยากนั่งเฉยๆ.....บางทีก็อยากบ่นอะไรบ้าง.....แต่ดูเหมือนบางครั้งมันไม่สบายแบบนั้น......รู้สึกเหมือนบางทีมานั่งจิบกาแฟแล้วมีใครเอาป้ายมาปักบนหลังว่า"เลว".......โอเคใช่...ผมเลว...แล้วบางทีก็จะมีบางคนมาขุดคุ้ยกระแหนะกระแหนสิ่งที่ผมเคยทำมาอย่างโง้นอย่างงี้.....ผมจะพูดอะไรก็....ทีเมื่อก่อนทำอย่างงั้นมาไม่ใช่เหรอ??....เหมือนการลดความน่าเชื่อถือกันแบบกลายๆ.....ผมเบื่อนะ.....ผมทำสิ่งที่ผ่านมานั้นแล้วไงหละ?....คนเลวๆเวลาพูดอะไรออกมาก็เป็นเรื่องเลวๆทั้งเพงั้นหละสิ??.....เคยมองด้านนี้บ้างหรือเปล่า?....ว่าทำไมผมยังนั่งกินกาแฟที่นี่อยู่....ผมไม่กลัวใครงั้นเหรอ?....ไม่.....ผมมันก็แค่คนธรรมดา....แต่อย่างน้อยผมกล้าที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่ผมพูด....ผมไม่เคยปฎิเสธสิ่งที่ทำไปแล้ว....และผมคิดว่าผมพูดแต่สิ่งที่จริง....ผมไม่โกหกใคร.....แต่หลายๆคนอาจจะรับไม่ได้กับความจริงที่ผมพูด....คุณอาจจะคิดว่ามันไม่แฟร์....แล้วไง....สังคมเฮงซวยนี้มีความแฟร์ตั้งแต่เมื่อไหรกัน....????.....พูดความจริงยังเป็นคนไม่ดีได้เลย......ทำไมไม่ไปด่าคนอื่นบ้าง.....ไอ้พวกที่เดินเข้ามาตะโกนเสียงดังๆทั้งหลายแล้ววิ่งออกนอกร้านไปนะ......คุณจับไม่ได้ว่าใครบ้าง....แต่เห็นผมนั่งกินกาแฟท่าทางงี่เง่าอยู่คนเดียว.....ไม่รู้จะลงกับใครก็มาลงกับผมงั้นเหรอ??....ผมถึงบอกไงว่าผมไม่แคร์...จะด่าผมจะชกผมก็ทำไปเลย.....ผมนั่งอยู่ให้เห็นว่าผมกล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำ.....ผมไม่ได้ขี้ขลาดหนีไปไหน.....ถ้าสังคมเฮงซวยนี่จะคิดกันแบบนั้น.....ก็ตามสบาย...ผมสิ้นศรัธทาใดๆกับสังคมแล้วหละครับ.....อย่างน้อยๆผมก็ท้าคุณได้หละว่า......ผมเคย"โกหก"อะไรคุณบ้างหรือเปล่า????.....แต่คุณอาจจะไม่สนใจก็ได้....เพราะคุณบอกเองว่าไม่มีเวลามานั่งใส่ใจใคร......แม้แต่บางอย่างที่คุณเคยสอนผม....คุณก็ทำเป็นลืม.....คุณลืมในเหตุการณ์ที่หลายๆคนต้องเอาน้ำตาและอนาคตเข้าแลกมา.....และคุณรู้ไหม....สิ่งที่คุณพูดออกมา....มันทำลายศรัทธาของผมและอีกหลายๆคน......ผมเลยมานั่งนึกและเข้าใจอย่างเจ็บใจว่า....มันก็แค่ร้านกาแฟหละวะ.....ใครจะพูดแล้วลืมก็คงไม่เป็นไร.....ผมควรจะใส่ใจอะไรด้วยเหรอ....เมื่อกินกาแฟหมดแก้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน......ผมควรจะซดกาแฟของผมให้หมดแล้วกลับบ้านนอนดีกว่า....อาจจะดีกว่าก็ได้มั้ง......ไม่รู้สินะ....บางทีผมแค่อยากนั่งเฉยๆ....เพื่อผ่อนคลายความเครียดหลายๆเรื่องบ้าง....อยากหามุมเงียบๆบ้าง.....แต่บางที่ที่พระเจ้าไม่เคยเหลียวแลเลย......แย่จริงๆ..........เฮ้ออออออออออออออออ........เบื่อ...

.....ระดับสูงต่ำเป็นการเปรียบเทียบครับ.....เหมือนผู้ใหญ่สั่งสอนเด็ก....ผมเด็กกว่าคุณผมควรจะฟังคุณเป็นอย่างน้อย....แค่"ควรจะ"และ"อย่างน้อย"เท่านั้น.....บางกรณีอาจจะไม่ก็ได้เพราะอายุมากกว่าไม่ใช่จะสติดีกว่าเสมอ......ในทางตรงข้าม....คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า...แก่กว่า...อาจจะแค่แก่อายุกว่า....บางคนสมองไม่มี....ไม่ยอมรับสิ่งที่คนอายุน้อยกว่าพูดหรอกครับ.....ต่อให้คุณพูดแทบตาย....มีเหตุมีผล...อาจจะไม่ฟังก็ได้.....และถ้าคุณอยากได้ร้านกาแฟในฝัน....คนกลุ่มนี้อาจจะทำอะไรก็ได้......ปิดป้ายว่าห้ามเข้า....ก็จะเข้าอะ....จะทำไม....อะไรแบบนั้น........



Posted by : Death , Date : 2004-03-30 , Time : 23:08:15 , From IP : 172.29.3.77

ความคิดเห็นที่ : 12


   ผมขออนุญาตแนะนำว่า ใครก็ตามอ่านกระดานข่าวแบบนี้ ให้เลิกมี idea of reference เสีย ลองคิดว่าที่อภิปรายบนนี้ ไม่ได้ address ใครเป็นการเฉพาะดู ผมว่าเราสามารถจะถอด emotional part ลงได้เยอะ และอาจจะทำให้ปฏิกิริยาเป็นเหมือนคนหมู่มาก ไม่มี "ใคร" กำลังถูกตำหนิ ไม่มี "ใคร" กำลังถูกกีดกัน ไม่มีใครจะมา ban ใครไม่ให้ทำอะไร มีแต่ "จิตสำนัก" ที่เราทุกคนจะเกิดหลังจากที่มีข้อมูลเพิ่มเติมเข้ามาในแต่ละครั้งคราไป

คนที่จะด่าใครว่า "เลว" นั้น จะพบว่ามีอยู่คนๆเดียวเท่านั้นแหละครับ และไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ "เรา" ไม่รู้จัก แต่มักจะเป็นคนที่รู้จักเราดีที่สุด คือตัวเราเอง ผมเชื่อว่ามนุษย์นั้นรู้จักผิดชอบชั่วดีกันทั้งนั้น เป็นการง่ายกว่าอยู่หรอกที่จะให้คนอื่นรับว่าเป็นคนตำหนิตนเอง เพราะเราสามารถ "โต้ตอบ" ได้ แต่จะเป็นเรื่องที่ยากถ้าเรารู้และตำหนิตนเอง เพราะการ "รู้ทั้งรู้" นี่แหละที่ทำให้เกิดการ adjust conscience ส่วน "ป้าย" ที่ปักไว้ว่าคนนี้ดี คนนี้เลวนั้น ถ้าเป็นของคนอื่นมันไม่เท่ากับไอ้ป้ายที่เราเอง "ถือ" ไว้ในใจ เพราะย้ายไปไหนมาไหน ป้ายนี้ก็ติดตามเราไปทุกที่ลมพัดใบไม้ไหว นั่นก็เราอีกแล้ว จิ้งจกร้องสามที นั่นก็เราอีกแล้ว มีคนพูดถึงบัณฑิต นั่นต้องไม่ใช่เราแน่ๆ มีคนพูดถึงคนมีการศึกษา นั่นต้องกระทบกระแทกเราแหงๆ ถ้าเริ่มมีอาการอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าใครก็ตาม ผมเห็นว่าการหยุดพักผ่อน แล้วปรับ perception ต่อความเป็นไปบนกระดานข่าว บนโลกใบนี้ ก็เป็นความคิดที่รอบคอบดี

ที่กระทู้นี้ตั้งขึ้น จากหัวข้อที่ว่า "ผลข้างเคียง" นั้น เราอาจจะมองเห็นได้แล้วว่า ทำไม เวลาที่คนทุกคนไปชมภาพยนต์ ถึงได้มีอารมณ์ ความรู้สึกที่แตกต่างกัน อารมณ์นั้นจะเกิดมากที่สุดถ้าเราเกิด "อารมณ์ร่วม" และสอดใส่ตัวเราลงไปในสถานการณ์ แต่วิธีชมภาพยน๖อีกแบบหนึ่งคือ ชมแบบนักวิจารณ์ ชมแบบเป็นบุคคลที่สาม ชมแบบเหมือนกับเวลานั่งสมาธิ ชมเหตุการณ์ที่ดำเนินไปอย่างถอดตนเองออกมาไม่เกี่ยวข้อง แล้วเราจะพบ "แง่มุม" ต่างๆที่ซ่อนเร้นได้ยิ่งดีขึ้น มากขึ้น เราสามารถจะ "ตัดสินใจ" ได้ดีกว่าตัวละครในหนัง เพราะเรามีมุมมองที่กว้างกว่า (บางครั้งเราสามารถ identify ตัวเองว่าฉลาดกว่าตัวในหนัง ก็เป็นความรู้สึก feel-good ที่หนังส่วนใหญ่จะ "ให้") กระทู้ที่คนเราเกิดอารมณ์ร่วมดูเหมือนมีคนเอาใจช่วย เห็นด้วยมากๆนั้นเป็นดาบสองคม เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มเกิด "คล้อยตามกันไป" เราจะหยุดตนเองไม่อยู่ ไม่สามารถเดินถอยห่างออกมา ไม่สามารถจะเดินวนรอบๆ ดูข้างหน้า จ้างๆ ข้างหลัง ข้างบน ข้างล่าง ก่อนจะเสนอความเห็น ยิ่งถ้าโดนจุดอ่อน ดดน "ป้ายส่วนตัว" ของเราตั้งแต่ฉากแรก ก็อาจจะดิ้นไปหลุดไปเลย

แต่ละคนคงจะมีวิธีอ่านกระทู้ไม่เหมือนกัน การได้ หรือ การเสีย ก็จะไม่เท่ากัน ความรู้สึก "belonging" กับแต่ละที่ แต่ละร้านกาแฟ ก็จะไม่เหมือนกัน ที่ยากกว่าก็อาจจะเป็นพยายามหาที่ที่ไม่มีกฏเกณฑ์เลยอยู่ เพราะมันไม่มีจริง แม้แต่ที่ที่บอกว่า "ที่นี่ไม่มีกฏเกณฑ์" นั่นก็คือกฏเกณฑ์แล้วครับว่าที่นั้นจะไม่มีกฏเกณฑ์ จริงๆกฏนี้ค่อนข้างจะชัดเจนและดึงดูดกลุ่มคนที่ชอบ "กฏ" นี้ไปชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-31 , Time : 01:37:21 , From IP : 172.29.3.225

ความคิดเห็นที่ : 13


   ผมเสียศรัธทาในตัวคุณไปมากพอแล้วหละ.....อย่าให้ผมต้องเสียความรู้สึกมากไปกว่านี้เลย.....ผมจะนั่งจิบกาแฟของผมต่อหละ....ผมได้คำตอบที่ผมต้องการแล้ว....โชคดีสำหรับร้านกาแฟในฝันนะครับ....ผมสร้างสรรค์อะไรให้ใครที่นี่ไม่ได้....แค่นั่งเฉยๆหามุมเงียบๆก็เหนื่อยเต็มทนแล้ว.......



Posted by : Death , Date : 2004-03-31 , Time : 10:17:15 , From IP : 172.29.3.245

ความคิดเห็นที่ : 14


   คนนึงพูดเรื่องการยอมรับทางความคิดที่หลากหลาย
คนนึงเหนื่อยหน่ายกับความคิดเห็นของผู้อื่น
เป็นจุดยืนจุดต่างที่เข้าใจกันได้ยาก
หากแล้วแต่ว่าใครจะยอมรับใครได้ก่อน


Posted by : ArLim , Date : 2004-03-31 , Time : 15:36:58 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 15


   คนนึงพูดเรื่องการยอมรับทางความคิดที่หลากหลาย
คนนึงเหนื่อยหน่ายกับความคิดเห็นของผู้อื่น
เป็นจุดยืนจุดต่างที่เข้าใจกันได้ยาก
หากแล้วแต่ว่าใครจะยอมรับใครได้ก่อน


Posted by : ArLim , Date : 2004-03-31 , Time : 15:37:14 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 16


   ในความเห็นของผม ถอดให้หมดเลยครับเรื่อง identity ว่าเรากำลังพูดกับ "ใคร" สนใจแค่ เขากำลังพูดว่า "อะไร"

การอภิปรายความคิดเห็นที่แตกต่างนั้นเราต้องฝึกฝนครับ เป็นความชำนาญที่ไม่ได้มีมาแต่กำเนิด สงครามนั้นเกิดขึ้นเพราะความล้มเหลวในการสื่อสารนั่นเอง ย่อยๆลงมาได้แก่ การทะเลาะกัน การแบ่งพรรคพวก การ labelling การตีค่าลดค่าซึ่งกันและกัน ความคิด นั้นเป็นสินทรัพย์ส่วนกลางที่เราสามารถเดินมาดู เอาไปคิด เสร็จแล้วจะโยนมันทิ้ง หรือจะลองใช้ดูก่อน หรือซึมเอาเป็นของตนเอง ฯลฯ แค่นั้นคือ action ที่เราจะสามารถ "ได้" อะไรมากที่สุดจากกระดานข่าว และสามารถจะ "ปลีกตัว" ออกจากสิ่งที่เราไม่เห็นด้วยโดยไม่ต้อง hold the grudge กับใครต่อใครให้วุ่น

ศรัทธานั้นเป็น "ความรู้สึก" ที่ซับซ้อน และเป็นของๆส่วนตัว ไม่มีคนอื่นคนใดจะมา take care ได้หรอกครับว่าเมื่อไหร่ความศรัทธาของเราจะขึ้นลงจมลอยอย่างไร การมีหรือการขาดศรัทธานั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เนื่องจากเราหาคนที่เลวสมบูรณ์และดีสมบูรณ์ยากมาก หากเราเพิ่มเงื่อนไขศรัทธาเข้าไปอีกอย่างหนึ่ง เราอาจจะเผลอ adopt อะไรแปลกๆไม่ควรจากคนที่เผอิญเราศรัทธาแต่เป็นผิดเรื่อง หรืออาจจะละทิ้งไม่สนใจอะไรดีๆที่เสนอมาจากคนที่เราตั้งป้อมไม่ศรัทธาไว้อย่างน่าเสียดาย ศรัทธานั้นไม่ใช่เรื่อง logic และเป็นสิ่งที่เราอาจจะนำมาใช้ lead action หรือนำความคิดเราอย่างระมัดระวัง extremist ที่ทำ suicidal bombing นั้นเชื่อสนิทใจว่าเขากำลังไป matyrdom คนที่เกลียด gay จนฆ่านั้นก็คนอ้างคสั่งสอน word by word จาก scripture

"ผลข้างเคียง" จากกระดานข่าวที่เราอาจจะหาได้ง่ายๆก็คือ มองดูรอบๆตัวเราว่ามีคนกี่คนที่อ่านกระทู้ๆหนึ่ง แล้วมีกี่คนที่อมยิ้ม กี่คนหัวฟัดหัวเหวี่ยง กี่คนที่นิ่งงัน กี่คนที่สะเทือนใจ "บริบท" ภายในที่ทำให้เรารู้สึกต่างกัน จริงๆแล้วเรามี "ทางเลือก" หรือไม่? บางศาสนาบอกว่า FREE WILL เป็น God Gift บางศาสนาบอกว่าเราเป็นนายของการกระทำของเราเอง และตกเป็นทาสหลังจากการกระทำนั้นๆ ถ้าเชื่ออย่างนี้ เราก็มีทางเลือก เราก็น่าจะเลือกให้มีประยชน์ต่อเรามากที่สุด

หรือไม่ครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-04-01 , Time : 20:18:09 , From IP : 172.29.3.235

ความคิดเห็นที่ : 17


   ผมไม่ทราบจริงๆว่าพวกคุณใช้เวลากันเท่าไรในการพิมพ์ข้อความข้างต้นนี้ ผมพิมพ์ไม่คล่องและใช้เวลาพอสมควรกับการพิมพ์ข้อความเพียงแค่นี้ เอาเวลาไปอ่านหนังสือ หรือคิด โจทย์วิจัย หรือ ดูผ.ป. หรือ ผ่าตัด ไม่ดีกว่าหรือ?

Posted by : Anonymous , Date : 2004-04-01 , Time : 22:52:36 , From IP : ppp-203.144.235.132.

ความคิดเห็นที่ : 18


   การจัดสรรเวลานั้นสำคัญจริงๆด้วยครับ เห็นด้วย 100%

การใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพนั้นจะต้องทำอย่างที่ว่าคือแต่ละนาทีแต่ละ stroke ควรจะมีความหมาย หลายคนตั้งโจทย์ว่าหลัง 7AM-5PM แล้วควรจะทำอะไรดี คำตอบน่าจะมีหลายหลายตามแต่บริบทของแต่ละคน

สิ่งหนึ่งที่ทำได้คือเรามีอายตนะในการรับรู้หลายอย่าง เราสามารถจะใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า ดูภาพยนต์ ชมวิว อ่านหนังสือ เฝ้ามองนกบิน ดูลูกเจริญเติบโต อ่านหนังสือให้เด็กๆฟัง หรือแม้กระทั่งนอนกอดลูกเฉยๆ สิ่งเหล่านี้ทุกสิ่งทุกอย่างมีความหมายทั้งสิ้น และคงเป็นการยากครับที่จะบอกว่าตอนสองทุ่มเราควรจะลุกไปผ่าตัด คิดโจทย์วิจัย หรืออ่านความเห็นผู้คน อันไหนจะเกิดประโยชน์มากที่สุด

พิมพ์ดีดนั้นถ้าคุ้นๆดีแล้วไม่เสียเวลาหรอกครับ ถ้าคุณพิมพ์ดีดทุกวันเป็นเวลา 10+ ปี คุณพอจะมีเวลา "คิด" อะไรต่อมิอะไรก่อน ขณะ และหลังพิมพ์ได้ซะด้วยซ้ำโดยไม่ได้ใช้เวลาเกิน 5 นาที

หากไม่รังเกียจ ไหนๆก็อ่านมาถึง 16 กระทู้แล้ว จะลองแลกเปลี่ยนความเห็นในแง่ของ "หัวข้อ" กระทู้กับพวกเราดูดีไหมครับ อย่างน้อยเราอาจจะได้ยินได้ฟัง constructive criticism เพิ่มมากขึ้น หยุดคิดวิจัย อาบน้ำเตรียมเข้านอน และสนทนาเปลี่ยนบรรยากาศอาจจะมีอะไรใหม่ๆ น่าสนใจเพิ่มขึ้นอีกก้เป็นได้



Posted by : Phoenix , Date : 2004-04-01 , Time : 23:36:36 , From IP : 172.29.3.223

ความคิดเห็นที่ : 19


   น้ำกับไขมันไม่มีทางเข้ากันได้ ตราบใดที่ไม่มี emulsifier ความคิดสองความคิหรือมากกว่าไม่มีทางเข้ากันได้เช่นกัน ถ้าไม่มี intersection โดยแต่ละฝ่ายนั้นต้องยินยอมที่จะ " เปิดกรอบความคิด " ของตนออกบ้าง

Posted by : NeuroNtiN , Date : 2004-04-04 , Time : 22:22:37 , From IP : 203.113.61.132

ความคิดเห็นที่ : 20


   Lay down ฝ่าย first. When there is no ฝ่าย, there is no ต้องยินยอม.



Posted by : Shonigega , Date : 2004-04-05 , Time : 08:56:07 , From IP : pedsurg.med.osaka-u.

ความคิดเห็นที่ : 21


   เห็นด้วยกับ Death
ไม่เห็นด้วยกับฟินิกส์
เลยไม่ค่อยเล่นกระดานที่นี่
เล่นที่อื่นสนุกและสบายใจกว่า


Posted by : แสดงความเห็นเฉยๆ , Date : 2004-04-09 , Time : 23:37:39 , From IP : 203.209.106.84

ความคิดเห็นที่ : 22


   and everybody lives happily ever after.



Posted by : Phoenix , Date : 2004-04-11 , Time : 23:54:31 , From IP : 172.29.3.238

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.012 seconds. <<<<<