ความคิดเห็นทั้งหมด : 8

เลือกอาชีพพยาบาล


   อยากรู้จัง เพื่อนๆเลือกมาเป็นพยาบาลทำไม และตอนนี้รู้สึกอย่างไรเมื่อทำงานไปได้ระยะหนึ่ง...


Posted by : อยากรู้ , Date : 2004-03-25 , Time : 23:01:30 , From IP : 172.29.3.224

ความคิดเห็นที่ : 1


   เลือกเพราะว่าชอบชุดขาวตอนเรายังเด็ก
เลือกเพราะว่าจิตใจเสียสละเมื่อตอนเห็นผู้ป่วย
แต่ตอนนี้ลาออกแล้ว
แต่ความเป็นพยาบาลก็ยังอยู่และจะอยู่กับเราตลอดไป
มีประโยชน์ต่อตัวเอง ครอบครัวและคนรอบข้าง
แต่โอกาสคนเราไม่เหมือนกัน
ดังนั้นถามตัวเองให้ดีก่อนเลือก


Posted by : jj , Date : 2004-03-26 , Time : 09:03:15 , From IP : 172.29.3.114

ความคิดเห็นที่ : 2


   น้องคนที่อยากเรียนพยาบาล ช่วยกลับไปอ่านกระดานที่พี่ๆป้า เขาโพสกันอยู่จะได้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ แต่ถ้าเรียนจบแล้วอย่าหลงมาทำงานที่นี่ล่ะแล้วจะหาว่าไม่เตือน มีทั้งพวกกรีดกราย ชอบพรีเซ้นตัวเอง ชเลียร์หัวหน้า ไม่ค่อยอยู่วอรด์ เอาแต่ประชุมเพื่อรับนโยบาย กดขี่ ข่มเหงลูกน้อง คะแนนอี เอส บี เต็มสิบแต่หยิบโหย่ง ปากแดง แต่ตะแคงตีนเดิน

Posted by : tamarin , Date : 2004-03-28 , Time : 22:47:35 , From IP : 172.29.3.229

ความคิดเห็นที่ : 3


   จะว่าไปแล้ว ESB แค่ไม่กี่ชั่วโมง จะมาคาดหวังผลอะไรกันนักกันหนา ก็ไม่รู้ เครียดเปล่าๆ พฤติกรรมคนน่ะมันถูกปลูกฝังกันมาตั้งแต่เกิดแล้ว + สถานการณ์ปัจจุบันเข้าไปอีก ถ้าผู้บริหารคาดหวังสูงน่าจะหันมาช่วยกันสร้างบรรยากาศในที่ทำงานให้มีความสุขจะดีกว่า พฤติกรรมแห่งความสุขมันก็จะแผ่รังสีไปยังคนรอบข้างได้เอง ไม่ต้องมาอบรม ESB ให้เสียเวลา เสียเงินค่าวิทยากรแพงหูฉี่ ทั้งที่มรรยาทการไหว้ รับโทรศัพท์ ฯลฯ ก็เป็นของไทยทั้งนั้น ไม่เห็นต้องไปยึดอีตาจอนห์ทำไม

Posted by : joy ด้วยคน , Date : 2004-04-07 , Time : 22:14:15 , From IP : 172.29.3.232

ความคิดเห็นที่ : 4


   เห็นด้วยกับข้อความข้างบน การอบรม ESB ไม่ได้นำมาวัดว่าคนที่ไปอบรมจะกลับมาดีเลิศเพรียบพร้อมทุกคน มันอยู่ที่จิตใจคนมากกว่า คนบางคนต่อให้ไปอบรมมากี่ร้อยพันครั้ง ถ้าภายในจิตใจแย่ก็คงเหมือนเดิม(เสียเงินค่าวิทยากรเปล่า)

Posted by : pink , Date : 2004-04-23 , Time : 18:31:44 , From IP : 172.29.1.184

ความคิดเห็นที่ : 5


   ดิฉันมองว่า ESB นั้นกลายเป็นเรื่องดีที่นำมาซึ่งความสับสน
และเท่าๆที่ฟังๆดู กลายเป็นว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริง อยู่ตรงไหน
ก็ไม่แน่ชัด เนื้อหาแบ่งเป็นสองส่วน คือ ทฤษฏีหลักการ
งามภายนอก งามภายใน ส่วนที่ 2 คือพฤติกรรมที่ใช้วัด
ความงามภายใน ซึ่งก้คือบุคลิกภาพ หรืองามภายนอก
ในส่วนงามภายใน ไม่มีใครมาช่วยให้ใครเป็นได้อย่างใจหวัง
นี่อาจเป็นความเชื่อส่วนตัว คือเห็นว่างามภายในนั้นต้องมีการกล่อมเกลา
ภายใต้ความเป็นวัฒนธรรมแบบร่มเย็นขององค์กร มีความเห็นเรื่องการ
พัฒนาและมีปรัชญาการทำงานมีความเชื่อในทิศทางเดียวกัน ความงาม
ภายในจึงจะเกิดขึ้นได้ต่อคนทำงานส่วนใหญ่หรือคนส่วนใหญ่ขององค์กรจึงจะมีความงามภายในอันเกิดจากการอยู่ร่วมกัน ซึ่งถือว่าอยู่นอกประเด็นความงาม
อันเกิดจากการตามคุณยายไปวัด หรือความงามของจิตใจของเด็กนักศึกษา
ที่เพิ่งจบใหม่หัวใจมีอุดมการณ์ ดังนั้นความคาดหวังเรื่องงามภายใน
ที่เราปรารถนาให้เกิดจาการอยู่ การทำงาน ในองค์กรที่วิ่งไปสู่การแข่งขัน
เพื่อความเป็นเลิศ คงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะหวังเช่นนั้น แต่ก็อาจเกิดได้

ส่วนที่ 2 พฤติกรรม หากเป็นภาษาไทยดิฉันก็มองว่า คำว่ากิริยามารยาท
คงตรงกับคำนี้ หรือความสุภาพ ถูกต้องตามกาละเทศะนี่คือสิ่งที่ESB พูดถึงในส่วนที่2 ตรงนี้ เสียงที่ได้ยินมา ส่วนมากจะพอใจ ไหว้อย่างไร นั่งอย่างไร
เดินอย่างไร มีคนบอกว่าดี มีประโยชน์ ส่วนเรื่องแต่งหน้าเสริมสวย นั่น
อาจมีประโยชน์ส่วนหนึ่งในสังคมแต่ถามว่า ถ้าในหน้าที่การงานล่ะ มีความจำเป็นกี่เปอร์เซ็นต์มากน้อยแค่ไหน ส่วนตัวไม่ได้เห็นว่าไม่จำเป็น แต่ก็ควรจะ
มองเข้ามสู่วิชาชีพตัวเองอย่างเป็นกลางๆ

อะไรนำมาซึ่งความสับสนแก่คนฟัง จุดมุ่งหมาย คืออะไร
ต้องการอะไร บ่อยครั้งที่จะได้ยินพี่ๆ ผู้บริหารบอกว่า พี่ไม่ต้องการ
ให้น้องไปจับจุดรื่องการไหว้ การเดินอะไหรอกว่า จะทำมุมอย่างไร
จะกี่องศา ขอให้ไปจับจุดเรื่องงามภายใน ไอ้เราก็นึกจริงตามพี่ว่าค่ะ
คี้นกลับมาแล้วเขาบอกว่าต้องประเมินด้วยค่ะ ว่าแต่ละคนไปมาแล้ว
เป็นอย่างไรบ้าง ตายละหวา จะประเมินอย่างไรนี่ ดิฉันก็ต้องไปนึกถึงงามภายนอกนั่นแหละมาเป็นเกณฑ์อีก แต่ก็ดูเหมือนว่า บางครั้งถ้าไม่เกี่ยวกับงาน
มันก็ดูเหมือนกับดิฉันกำลังเป็นกรรมการอะไรสักอย่างหนึ่ง หรือเอาใจไปใส่อยู่กับกิริยาท่าทางเพื่อนมากไปไหม เช่นสมมุติเพื่อนคนหนึ่งชอบนั่งไขว้ห้างถ่างขา
อบรมแล้วเธอก็ยังเหมือนเดิม ดิฉันก็ต้องcheck ให้เธอไม่พัฒนาถามว่าได้ไหม
ทำได้แต่มันจะกลายเป็นการเพิ่มความเครียดให้แก่กันหรือไม่อย่างไร?
แต่ถ้า เรื่อง พูดเสียงดัง ตะโกนลั่น ถือว่าดูไม่เหมาะสมในหน้าที่การงานอย่างชัดเจนแบบนี้ดิฉันก็กล้าลงคะแนนหน่อย แต่อย่างเขามาหน้าซีดมาอีกแล้ว
เมื่อวานอย่างไรวันนี้ก็อย่างนั้น แต่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้านนะ ทำงานดี
คุยกับคนไข้ดี ดิฉันคงต้องลงคะแนนให้เธอไม่พัฒนา แต่ถามว่าภายในเธอเป็นอย่างไร ดิฉันว่าเธอมีความงามอยู่ ตรงนี้กลายเป็นว่าเราเข้าไปยุ่งเรื่องรสนิยมส่วนตัวเขาไปไหม (หากนำมาคิดมาใส่ไว้ในหัวข้อการประเมิน)
เป็นการพยายามปั้นรูปลักษณ์คนไปหรือเปล่า ในขณะที่พี่ๆก็ปรารถนาจะให้น้องๆงามภายใน แต่ดูเหมือนน้องๆก็จับได้ในส่วนงามภายนอก
ซึ่งคิดว่า เมื่อเขาจับได้ในส่วนของบุคลิกภาพที่มีประโยชน์ต่อการทำงาน
ก็ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนเรื่องความสวย ความดูดี ถือเป็นของแถมที่พี่ให้มาเพื่อใช้ประโยชน์ในสังคมทั่วไปได้ไหม เพราะหากรวมหมด ดิฉันรู้สึกว่า
เราหวังผลจากESB มากเกินไปแม้กระทั่งเรื่องงามภายใน


Posted by : ด้วยความเคารพ , Date : 2004-04-25 , Time : 18:15:19 , From IP : 172.29.3.213

ความคิดเห็นที่ : 6


   ตนเองไม่ได้เลือกคณะพยาบาลเป็นอันดับ เพราะไม่ได้ชอบวิชาชีพพยาบาล เพราะไม่ได้มีใจที่จะต้องการเอาใจคน ยังไม่เป็นคนดีในสายเลือดจนถึงระดับต้องมาเช็ดอาเจียน เช็ดปัสสาวะ เช็ดอุจจาระคนอื่นได้ แต่ติดมาเพราะไม่ขยันมากพอเวลาจะสอบ อ่านหนังสือไม่มากพอ แต่เมื่อติดเข้ามาแล้วและทำงานพยาบาล ก็คิดว่าส่วนหนึ่งของงานสอนให้เรากลายเป็นคนที่คิดอะไรอย่างเป็นระบบ มีระเบียบในการทำงาน ดูไปข้างหน้าก่อนเสมอว่าเมื่อจะทำอะไรแล้วจะเกิดผลตามมาคืออะไร เพราะเราทำงานกับคน แต่มาตรฐานการพยาบาลของเมืองไทยยังไม่เป็นที่ยอมรับของประเทศอื่น คนไทยจบมาแล้วทำงานได้ในประเทศไทย เมื่อจะไปประเทศอื่นเราต้องสอบใบอนุญาตของประเทศนั้นๆ แต่หลายๆประเทศใกล้บ้านเรา เช่น สิงคโปร์, มาเลเซีย พยาบาลสามารถไปทำงานประเทศอื่นได้ เช่น ออสเตรเลีย, อเมริกา ฯ โดยไม่ต้องไปสอบใบอนุญาตของประเทศนั้น มีเพียงจดหมายรับรองว่าเป็นพยาบาลพร้อมใบประกาศนียบัตรที่เราผ่านการอบรมอะไรบ้างหลังจบการศึกษา (CV) ก็สามารถนำไปสมัครงานได้ จึงมองว่าทำไมคณะพยาบาลในประเทศไทยจึงไม่ปรับมาตรฐานของการศึกษาให้สูงขึ้น ให้ต่างประเทศยอมรับได้ทันที ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ เพราะภาษาอังกฤษต้องไปสอบอยู่แล้วสำหรับคนไทย แต่ยังไม่ได้มาตรฐานทั้งแพทย์, พยาบาลและวิศวะ เพราะไปทำงานต่างประเทศถ้าสอบใบอนุญาตไม่ผ่านก็ต้องไปทำงานอื่นเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกัน จึงสงสัยว่าเด็กไทยเรียนกันไปทำไมตั้งมากมาย สูญเสียพลังงาน แรงกายแรงใจของพ่อแม่มากมาย วันข้างหน้าเมื่อคนรุ่นใหม่ รุ่นลูกๆที่กำลังศึกษาอยู่ดูไม่คุ้มกับการลงทุน ลงแรงเอาเสียเลย เพราะวันข้างหน้ายังไม่แน่ใจว่า จะมีงานให้ทำอีกหรือไม่ เหมือนภาพยนตร์จีนเรื่องหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นอย่างนั้นในอนาคคสำหรับประเทศไทยก็เช่นกัน คือ แพทย์, พยาบาลมากเกินไป จนแพทย์ไม่มีงานทำต้องลงทุนทำรถ emergency เพื่อหาลูกค้าตามบ้าน ระบบการศึกษาในเมืองไทยยังไม่ดีตั้งแต่ระดับประถม, มัธยมศึกษาและระดับปริญญาตรีด้วยซ้ำ

Posted by : ขอเอี่ยวด้วยคน , Date : 2004-06-21 , Time : 08:43:01 , From IP : 172.29.3.78

ความคิดเห็นที่ : 7


   ตนเองไม่ได้เลือกคณะพยาบาลเป็นอันดับ เพราะไม่ได้ชอบวิชาชีพพยาบาล เพราะไม่ได้มีใจที่จะต้องการเอาใจคน ยังไม่เป็นคนดีในสายเลือดจนถึงระดับต้องมาเช็ดอาเจียน เช็ดปัสสาวะ เช็ดอุจจาระคนอื่นได้ แต่ติดมาเพราะไม่ขยันมากพอเวลาจะสอบ อ่านหนังสือไม่มากพอ แต่เมื่อติดเข้ามาแล้วและทำงานพยาบาล ก็คิดว่าส่วนหนึ่งของงานสอนให้เรากลายเป็นคนที่คิดอะไรอย่างเป็นระบบ มีระเบียบในการทำงาน ดูไปข้างหน้าก่อนเสมอว่าเมื่อจะทำอะไรแล้วจะเกิดผลตามมาคืออะไร เพราะเราทำงานกับคน แต่มาตรฐานการพยาบาลของเมืองไทยยังไม่เป็นที่ยอมรับของประเทศอื่น คนไทยจบมาแล้วทำงานได้ในประเทศไทย เมื่อจะไปประเทศอื่นเราต้องสอบใบอนุญาตของประเทศนั้นๆ แต่หลายๆประเทศใกล้บ้านเรา เช่น สิงคโปร์, มาเลเซีย พยาบาลสามารถไปทำงานประเทศอื่นได้ เช่น ออสเตรเลีย, อเมริกา ฯ โดยไม่ต้องไปสอบใบอนุญาตของประเทศนั้น มีเพียงจดหมายรับรองว่าเป็นพยาบาลพร้อมใบประกาศนียบัตรที่เราผ่านการอบรมอะไรบ้างหลังจบการศึกษา (CV) ก็สามารถนำไปสมัครงานได้ จึงมองว่าทำไมคณะพยาบาลในประเทศไทยจึงไม่ปรับมาตรฐานของการศึกษาให้สูงขึ้น ให้ต่างประเทศยอมรับได้ทันที ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ เพราะภาษาอังกฤษต้องไปสอบอยู่แล้วสำหรับคนไทย แต่ยังไม่ได้มาตรฐานทั้งแพทย์, พยาบาลและวิศวะ เพราะไปทำงานต่างประเทศถ้าสอบใบอนุญาตไม่ผ่านก็ต้องไปทำงานอื่นเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกัน จึงสงสัยว่าเด็กไทยเรียนกันไปทำไมตั้งมากมาย สูญเสียพลังงาน แรงกายแรงใจของพ่อแม่มากมาย วันข้างหน้าเมื่อคนรุ่นใหม่ รุ่นลูกๆที่กำลังศึกษาอยู่ดูไม่คุ้มกับการลงทุน ลงแรงเอาเสียเลย เพราะวันข้างหน้ายังไม่แน่ใจว่า จะมีงานให้ทำอีกหรือไม่ เหมือนภาพยนตร์จีนเรื่องหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นอย่างนั้นในอนาคคสำหรับประเทศไทยก็เช่นกัน คือ แพทย์, พยาบาลมากเกินไป จนแพทย์ไม่มีงานทำต้องลงทุนทำรถ emergency เพื่อหาลูกค้าตามบ้าน ระบบการศึกษาในเมืองไทยยังไม่ดีตั้งแต่ระดับประถม, มัธยมศึกษาและระดับปริญญาตรีด้วยซ้ำ

Posted by : ขอเอี่ยวด้วยคน , Date : 2004-06-21 , Time : 08:43:35 , From IP : 172.29.3.78

ความคิดเห็นที่ : 8


   ตนเองไม่ได้เลือกคณะพยาบาลเป็นอันดับ เพราะไม่ได้ชอบวิชาชีพพยาบาล เพราะไม่ได้มีใจที่จะต้องการเอาใจคน ยังไม่เป็นคนดีในสายเลือดจนถึงระดับต้องมาเช็ดอาเจียน เช็ดปัสสาวะ เช็ดอุจจาระคนอื่นได้ แต่ติดมาเพราะไม่ขยันมากพอเวลาจะสอบ อ่านหนังสือไม่มากพอ แต่เมื่อติดเข้ามาแล้วและทำงานพยาบาล ก็คิดว่าส่วนหนึ่งของงานสอนให้เรากลายเป็นคนที่คิดอะไรอย่างเป็นระบบ มีระเบียบในการทำงาน ดูไปข้างหน้าก่อนเสมอว่าเมื่อจะทำอะไรแล้วจะเกิดผลตามมาคืออะไร เพราะเราทำงานกับคน แต่มาตรฐานการพยาบาลของเมืองไทยยังไม่เป็นที่ยอมรับของประเทศอื่น คนไทยจบมาแล้วทำงานได้ในประเทศไทย เมื่อจะไปประเทศอื่นเราต้องสอบใบอนุญาตของประเทศนั้นๆ แต่หลายๆประเทศใกล้บ้านเรา เช่น สิงคโปร์, มาเลเซีย พยาบาลสามารถไปทำงานประเทศอื่นได้ เช่น ออสเตรเลีย, อเมริกา ฯ โดยไม่ต้องไปสอบใบอนุญาตของประเทศนั้น มีเพียงจดหมายรับรองว่าเป็นพยาบาลพร้อมใบประกาศนียบัตรที่เราผ่านการอบรมอะไรบ้างหลังจบการศึกษา (CV) ก็สามารถนำไปสมัครงานได้ จึงมองว่าทำไมคณะพยาบาลในประเทศไทยจึงไม่ปรับมาตรฐานของการศึกษาให้สูงขึ้น ให้ต่างประเทศยอมรับได้ทันที ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ เพราะภาษาอังกฤษต้องไปสอบอยู่แล้วสำหรับคนไทย แต่ยังไม่ได้มาตรฐานทั้งแพทย์, พยาบาลและวิศวะ เพราะไปทำงานต่างประเทศถ้าสอบใบอนุญาตไม่ผ่านก็ต้องไปทำงานอื่นเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกัน จึงสงสัยว่าเด็กไทยเรียนกันไปทำไมตั้งมากมาย สูญเสียพลังงาน แรงกายแรงใจของพ่อแม่มากมาย วันข้างหน้าเมื่อคนรุ่นใหม่ รุ่นลูกๆที่กำลังศึกษาอยู่ดูไม่คุ้มกับการลงทุน ลงแรงเอาเสียเลย เพราะวันข้างหน้ายังไม่แน่ใจว่า จะมีงานให้ทำอีกหรือไม่ เหมือนภาพยนตร์จีนเรื่องหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นอย่างนั้นในอนาคคสำหรับประเทศไทยก็เช่นกัน คือ แพทย์, พยาบาลมากเกินไป จนแพทย์ไม่มีงานทำต้องลงทุนทำรถ emergency เพื่อหาลูกค้าตามบ้าน ระบบการศึกษาในเมืองไทยยังไม่ดีตั้งแต่ระดับประถม, มัธยมศึกษาและระดับปริญญาตรีด้วยซ้ำ

Posted by : ขอเอี่ยวด้วยคน , Date : 2004-06-21 , Time : 08:43:58 , From IP : 172.29.3.78

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.006 seconds. <<<<<