ความคิดเห็นทั้งหมด : 0

การใส่ร้ายป้ายสี


   ผลกรรมของพวกชอบใส่ร้าย คุณคงคิดว่าทำคนอื่นให้ทุกข์อย่างไร คลื่นความทุกข์แบบนั้นๆก็คงย้อนกลับมาหาตัว ก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่ความจริงไม่ใช่แค่นั้นครับ ขอแจกแจงเป็นข้อๆถึงผลที่อาจเป็นไปได้ดังนี้

๑) หากคนถูกใส่ร้ายเป็นผู้ทรงศีล เป็นผู้มีพลังแห่งศีลสัตย์คุ้มตัว ผลคือจะทำให้ผู้ใส่ร้ายโดนใส่ร้ายคูณสองคูณสิบ หรืออาจคูณร้อยคูณพันเข้าไปจากที่ทำ และในเวลาอันรวดเร็วทันตาด้วย เนื่องจากการใส่ร้ายโดยมากมักอาศัยใจที่หลงผิดหนักแน่น ประกอบด้วยโทสะรุนแรง พอเจอภาคขยายอย่างใหญ่เข้าด้วยอย่างนี้ เลยไม่ค่อยจะต้องรอดูผลกันในชาติหน้าไกลตัวกัน

๒) เป็นผู้มีปากเหม็น หรือกลิ่นตัวเหม็น หรือโทษสถานเบาที่สุดคือเวลาพูดจาจะดูน่ารังเกียจ เพราะความร้ายกาจจะแพลมออกมาทางสีหน้าและแววตา แม้บุญเก่าส่งให้มีปากหอม กลิ่นกายหอม และกิริยาท่าทางน่ารักน่าใคร่ แต่หากเพาะนิสัยใหม่ ชอบใส่ร้ายคนอื่นอย่างต่อเนื่องเป็นแรมปี คุณสมบัติด้านดีเดิมๆก็จะพลิกเปลี่ยนไปเป็นตรงข้ามได้อย่างน่าทึ่ง

๓) เป็นผู้มีวาจาขาดน้ำหนัก คือต่อให้มีอำนาจล้นฟ้าปานใด หากติดนิสัยชอบใส่ไคล้แล้ว คนทั่วไปฟังเขาพูดแล้วจะรู้สึกเลยว่าไม่อยากเชื่อถือ แม้พูดเรื่องธรรมดาอย่างที่สุด ก็คล้ายขาดอะไรที่ทำให้อยากปลงใจยอมรับ

๔) เบื้องหน้าหลังตายจากความเป็นมนุษย์ หากกรรมที่ชอบใส่ร้ายชาวบ้านมีน้ำหนักล้ำหน้ากรรมอื่นๆ ก็จะไปเสวยอัตภาพอันน่ารังเกียจ และตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความเสียดแทง เร่าร้อนทรมาน เพราะจิตที่คิดประทุษร้ายด้วยการใส่ไคล้นั้น มีลักษณะเสียดแทง ต้องการให้ผู้ถูกใส่ไคล้เดือดร้อนในทางใดทางหนึ่ง นี่คือกฎธรรมดา จิตมีกิริยาในการก่อเหตุอย่างไร ก็เท่ากับเข้าไปยึดภพแห่งความเป็นเช่นนั้น ภพที่ต้องรับผลทำนองนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ

ขอให้ทราบว่า ๔ ข้อข้างต้นนี้เป็นเพียงผลที่ว่ากันตามหลักการ ส่วนของจริงจะได้รับโทษานุโทษมากหรือน้อยกว่านี้ ก็ต้องดูรายละเอียดปลีกย่อยในแต่ละราย เช่นประพฤติด้วยความละอายหรือไม่ละอาย ประพฤติเป็นอาจิณหรือถูกสถานการณ์บังคับเป็นคราวๆ ประพฤติด้วยความอาฆาตพยาบาทหรือด้วยความเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้า ฯลฯ

อย่าง เช่นถ้าใครใส่ร้ายผู้ทรงศีลโดยปราศจากความละอายอยู่เรื่อยๆเพราะความมีใจ ริษยา ผลก็อาจสนองคืนอย่างรวดเร็วและดูรุนแรงเกินเหตุ คือไม่ใช่แค่ถูกคนอื่นใส่ร้ายคืน แต่อาจลุกลามไปถึงขั้นเกิดความวิบัติแก่ชีวิตหลายๆประการ อย่างสมัยพุทธกาลก็มีมาแล้ว ตัวอย่างคนใส่ร้ายพระพุทธเจ้าโดนพิบัติภัยทางธรรมชาติลงโทษถึงขั้นสิ้นชีพ กะทันหัน

เศษของกรรมที่ใส่ร้ายคนอื่นจนติดเป็นนิสัยนั้น ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลรูปชีวิตที่ไม่ดี ไม่น่าพอใจ กล่าวคือมีอายุสั้น มีผิวพรรณทราม ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องไม่เป็นสุข และเป็นผู้มีกำลังน้อย

พอทราบว่าหนึ่ง ในผลของกรรมคือจะต้องเป็นผู้ถูกใส่ร้ายคืนบ้าง รู้อย่างนี้แล้วลองมองย้อนกลับไปหานายจุดจุด ก็ต้องสรุปว่านายจุดจุดคงเคยเล่นคนอื่นไว้ก่อนนั่นเอง หาใช่ความบังเอิญที่ใครจะถูกใส่ร้ายให้ได้รับความเดือดร้อนเอาดื้อๆ โดยเฉพาะถ้าเป็นข่าวใหญ่โตขนาดอับอายขายหน้าประชาชีไปทั่วบ้านทั่วเมือง นายจุดจุดต้องเคยทำคนอื่นเดือดร้อนสาหัสไว้เช่นกัน แต่ปัจจุบันยังไม่มีเครื่องฉายภาพย้อนอดีตชาติ นายจุดจุดจึงดูเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียว น่าเห็นใจอย่างเดียว [ปัญหาเป้า และ องค์ประกอบของปัญหาเป้า]

มีคน โดนใส่ร้ายกันทั้งบ้านทั้งเมือง บางคนโดนประจำ มีความสม่ำเสมอราวกับเจอดอกเบี้ยพิเศษ อันนี้ก็สะท้อนความจริงอย่างหนึ่งครับ คือแทบทุกคนอยู่ในวงจรแห่งการใส่ไคล้ ว่าร้าย เอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่น จะโดยเผลอตัว จะโดยตามกระแสชักจูง หรือจะโดยเจตนาหนักแน่นของตนเองก็ตามที ทำอยู่เรื่อยๆก็โดนกันอยู่เรื่อย ซัดกันไปซัดกันมาในหมู่มนุษย์นี้แหละ

คำติฉินนินทาและการพูดให้ร้ายนั้น เข้าหูคนฟังได้ง่ายกว่าเรื่องดีๆ แล้วก็มีความมันในอารมณ์ มีอารมณ์ร่วมที่จะสนุกกับการจามกันด้วยขวานในปาก จึงมีแนวโน้มจะติดใจทำบ่อยๆ พอทำอะไรบ่อยก็กลายเป็นการติดนิสัย ฉะนั้นอย่าเริ่มต้นเลยเป็นดีที่สุด เพราะเมื่อเริ่มแล้วคุณจะไม่มีวันคาดการณ์ได้ว่ามันจะพัฒนาบานปลายไปถึงไหน ของพรรค์นี้เข้าง่ายออกยาก ถอนตัวลำบากครับ

มูลรากของการใส่ร้ายมา จากอคติ อคติมีบ่อเกิดมาจากความเกลียดชังและความริษยา ฉะนั้นในเบื้องต้นสำหรับคนต้องการถอนตัวจากวงจรใส่ร้าย ก็ควรกำหนดความตั้งใจไว้ตายตัวว่า [หน่วยระบบทำงาน] แม้จะเกลียดชังหรือริษยาใครอย่างห้ามใจด่าทอไม่ได้ ก็ต้องไม่เผลอพูดถึงเขาคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงที่คุณรู้ คือถ้าอดไม่ได้ที่จะด่าทอหรือนินทา ก็ต้องยืนพื้นอยู่บนข้อมูลที่แน่ใจว่าถูกต้อง ปราศจากการใส่สีตีไข่เสมอ

เมื่อ ฝึกตนพูดถึงใครๆ ตามจริงโดยไม่บิดเบือนข้อมูลได้สำเร็จ ก็จะสามารถเห็นโทษของจิตใจประทุษร้ายแม้ด้วยทางวาจา ว่าให้ผลเป็นความทุกข์ ความอึดอัด ความคับข้องแก่ตนเอง จิตคุณจะอยากขยับขึ้นมาอีกขั้น คือไม่พูดว่าร้ายใครเลย เพื่อความปลอดโปร่งจากภัยเวรอย่างสิ้นเชิง หากต้องตำหนิใครก็จะอยู่ในกรอบของระบบหน้าที่การงาน ตำหนิด้วยใจเป็นกลาง หวังประโยชน์ส่วนรวม และเป็นไทจากอคติทั้งปวง…”


Posted by : insulin , Date : 2013-04-23 , Time : 21:26:34 , From IP : 172.29.53.88

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.004 seconds. <<<<<