ถ้ามองที่ผู้รับสารเป็นหลักคือตัวผู้ป่วย
ข้อที่หนึ่ง คือ ผู้ป่วยอยากทราบหรืออยากได้ยินว่าตนเองป่วยเป็นโรคร้ายหรือไม่ถ้าจะให้ตอบคงบอกได้ว่าไม่ทุกคน แต่นั่นคงไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้หมอต้องเลิกแจ้งข่าวร้าย เพราะโดยส่วนใหญ่เมื่อโรคดำเนินไปรุนแรงมากขึ้น หรือผูป่วยได้รับการรักษาที่สามารถทำให้ตนเองรับรู้ได้ว่าเป็นโรคร้าย ถึงจุดนั้นผู้ป่วยมักจะตระหนักรู้ได้ว่าตนเป็นอะไร และอาจจะถามหมอ หมอจะหลีกเลี่ยงไม่ตอบได้หรือ ก็ต้องกลับไปที่ขบวนการแจ้งข่าวร้ายอยู่ดี แต่ถ้าผู้ป่วยไม่ถามและหมอก็ไม่บอก แล้วการวางแผนของชีวิตที่เหลืออยู่ของผู้ป่วยหล่ะใครเป็นคนกำหนด คงไม่พ้นหมอและญาติ ถึงตรงนั้นautonomy and dignityของผู้ป่วยหล่ะอยู่ที่ไหน
ข้อที่สอง มีญาติผู้ป่วยบางรายไม่ต้องการให้บอกข่าวร้ายแก่ผู้ป่วยด้วยเหตุผลต่างๆมากมาย ซึ่งเราคงต้องรับฟัง เพราะโดยcultureของบ้านเราแล้ว ญาตินั้นสำคัญมากโดยเฉพาะถ้าผู้ป่วยpassive เราจะปฎิบัติตามหลักอะไรดี ถ้าจะมองให้ลึกลงไป นั่นคือความกลัวของญาติเช่นกัน ก็คงไม่ต่างจากหมอที่กลัวการเผชิญต่อเรื่องร้าย ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นตรงกับการperceptionของเราและญาติ, past experienceต่อการเจอเรื่องร้ายๆในอดีต,personal meaningคำว่ามะเร็งหรือโรคร้ายของหมอและคนอื่นนั้นไม่เหมือนกัน,copingที่ใช้ในอดีตเวลาเจอเรื่องที่ไม่อยากเจอ
ข้อที่สามผู้ป่วยบางรายเมื่อเราแจ้งข่าวร้ายไปแล้ว ยังคงยืนยันว่าตนเองปกติ นั่นเพราะการใช้copingแบบdenial หรือsupressionเก็บกดความรู้สึกไว้ แต่เราก็คงต้องบอกข่าวร้ายอยู่ดี เพราะเป็นการดีที่ผู้ป่วยคงต้องเผชิญกับเรื่องของตัวเอง แต่หมอคงไม่ต้องพยามข่มขืนจิตใจผู้ป่วยให้พูดออกมาหรือยอมรับให้ได้ว่าตนป่วยเป็นโรคร้ายก็ได้ ตราบใดที่ผู้ป่วยยังคงร่วมมือในการรักษากับหมอ
Posted by : pisces , Date : 2004-03-12 , Time : 06:05:12 , From IP : 172.29.3.211
|