ความคิดเห็นทั้งหมด : 14

ถึงท่าน บ ก หนังสือพิมพ์


   กำลังจะแวะหาดใหญ่เลยมาอ่านดู ทนไม่ไหวจริง ๆ ครับ เกิดมาไม่เคยคิดจะเขียนอะไรลง internet เลยแต่ว่า...

มันแปลกนะ....

ไปหาที่คลินิค ต้องการให้ผ่าที่ ร.พ. รัฐ

การที่ผู้ป่วยต้องการรับการรักษา ร.พ. รัฐ ก็ควรไปพบแพทย์ที่ ร.พ. รัฐ เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งตั้งแต่ต้นแล้วที่ไปพบแพทย์ที่เอกชนแล้วต้องการให้เขาผ่าตัดให้ที่ ร.พ. รัฐ เพราะถ้าเขาผ่าผู้ป่วยของคลินิคเขาที่ ร.พ. รัฐ นั้นจะเป็นการไม่เหมาะสม ดังนั้นผู้ป่วยที่มาพบแพทย์นอกเวลาราชการอีกทั้งในภาคเอกชนนั้น การที่แพทย์ต้องการผ่าที่ ร.พ. เอกชน นอกจากเป็นสิทธิของเขาแล้วยังเป็นสิ่งที่สมควรอีกด้วย

การที่ผู้ป่วยไปพบแพทย์ในภาคเอกชนนั้นมักทำเพื่อความสะดวกของผู้ป่วยเอง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมีความแตกต่างใดกับการรักษาอื่น ๆ ที่ ร.พ. เอกชน การที่เขาแวะสถานพยาบาลเอกชนนั้นโดยมากก็เพื่อความสะดวกต่าง ๆ โดยแลกกับค่าบริการที่สูงขึ้นไม่ใช่หรือ

การที่ผู้ป่วยบอกว่าต้องการให้ผ่าให้ที่ ร.พ. รัฐ เพราะเบิกได้นั้น หากความต้องการเป็นเช่นนี้ก็ควรไปพบแพทย์ที่ ร.พ. รัฐ ผู้ป่วยเบิกได้กับเบิกไม่ได้ ไม่มีความแตกต่างกัน .... ขอย้ำ ...ไม่มีความแตกต่างกัน ยกเว้นผู้ป่วยเบิกได้นั้น รัฐจะดูแลค่ารักษาพยาบาลให้ในกรณีปกติ ดังนั้นการที่คาดหวังว่าการที่ผู้ป่วยเบิกได้แล้วจะได้รับสิทธิและความสะดวกมากกว่าเป็นเรื่องผิด เบิกได้หรือเบิกไม่ได้ ท่านก็ต้องลงทะเบียนประวัติเหมือนกัน เข้าคิวรอตรวจเหมือนกัน ผ่านระบบคัดกรองเหมือนกัน ผ่านแพทย์กลุ่มเดียวกัน รอคิวการผ่าตัดเหมือนกัน

ผู้ป่วยรายนี้ต้องการใช้สิทธิของตนแต่ปฎิบัติตนเฉกเช่นอภิสิทธิ์ชน

เรื่องนี้คงจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งถ้าจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้อยู่ในห้องตรวจผู้ป่วยนอกของ ร.พ. สงขลานครินทร์

อีกเรื่องหนึ่ง ...
แพทย์เรียกค่า DF ก็เป็นสิทธิของเขา ผู้ป่วยไม่พอใจก็สามารถเปลี่ยนแพทย์ได้
และเคยมองในมุมกลับหรือไม่ ถ้าค่า DF ของอาจารย์ไม่เรียกสูงกว่าปกติแล้วอาจารย์จะได้พักผ่อนกับเขาหรือ ผู้ป่วยรายนี้ไปหาท่านเพราะทราบว่าท่านมีความสามารถ และเคยคิดหรือไม่ว่า วันหนึ่ง ๆ มีผู้ป่วยไปหาท่านจำนวนกี่รายด้วยสาเหตุเดียวกัน ท่านไม่สามารถรักษาได้ทั้งหมดเป็นแน่

ท่านมีความทุกข์ ผู้อื่นเขาก็มีความทุกข์เหมือนกัน
ถ้ารักษาได้ไม่หมดและต้องเลือกผู้ป่วยที่ต้องรักษาจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์

ยายคำมาทุกข์กว่ายายสร้อยหรือ... คงไม่ใช่อย่างนั้น

การใช้ค่า DF เป็นตัวช่วยแบ่งเบาภาระการตัดสินใจเป็นวิธีหนึ่ง อีกทั้งในเมื่อค่ารักษาพยาบาล ณ ปัจจุบันของผู้คนทุกคนนั้นรัฐได้กล่าวว่าจะเป็นผู้ดูแลให้ตามสิทธิ ผู้ป่วยทุกคนถ้าปฏิบัติตามกฏแล้วย่อมได้รับการรักษาพยาบาลเฉกเช่นเดียวกันหมดโดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ดังนั้นการรักษาพยาบาลในกรณีตัวอย่างนี้เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของผู้ป่วย โดยผู้ป่วยมีสิทธิปฏิเสธการรักษาด้วยวิธีที่แพทย์เสนอมา และสามารถได้รับการรักษาตามสิทธิของตนตามระเบียบของรัฐ

ทุกคนที่ทำ "หน้าที่" ของตนพึงได้รับ "สิทธิ" ของตน
ทำงานมาไม่กี่ปีสังเกตุว่าทุกคนจะสนใจ "สิทธิ" โดยละเลย "หน้าที่"
"หน้าที่" ของผู้ป่วยรายนี้คือการเข้าตรวจเป็นผู้ป่วยนอกของ ร.พ. สงขลานครินทร์
จริงอยู่ที่ผู้ป่วยคนนี้อาจเลือกแพทย์ไม่ได้ แต่ผู้ป่วยคนอื่น ๆ เล่าเขาเลือกได้หรือ?

ความต้องการของผู้ป่วยนั้นเกิน "สิทธิ" ที่พึงมี ถ้าต้องการสิ่งอื่น ๆ เกิน "สิทธิ" นั้นมันเป็นการสมควรแล้วไม่ใช่หรือที่ผู้ป่วยต้องแบกภาระความรับผิดชอบไว้เอง


Posted by : ทนไม่ไหวแล้วจะไปทำอะไรดี , E-mail : (christopher0606@yahoo.com) ,
Date : 2004-03-10 , Time : 01:28:42 , From IP : b144ppp193.ksc.net.t


ความคิดเห็นที่ : 1


   เห็นด้วย เป็นอยากมาก ลองมอง อย่างเป็นกลาง เห็นใจเพื่อนมนุษย์ คิดถึง จรรยาบรรณวิชาชีพ ระลึกถึง พระบิดา อย่าให้เงินมามีอำนาจเหนือความถูกต้อง เรื่องแบบนี้จะไม่เกิด ขึ้น

Posted by : ผูกพันกับม.อ.มาทั้งชีวิต , Date : 2004-03-10 , Time : 08:53:39 , From IP : 172.29.2.125

ความคิดเห็นที่ : 2


   ถ้าเป็นอาจารย์ศัลยแพทย์แล้วได้เงินเดือน 30,000 -50,000 บาท(ที่อื่นในประเทศไทยได้น้อยกว่านี้) ทำงาน 10 ปีจะซื้อบ้านได้สักหลังหรือเปล่าก็ไม่รู้
เรียนหนักกว่าชาวบ้าน มีความรับผิดชอบสูง ไม่มีเวลาให้ครอบครัว กินข้าวไม่ตรงเวลา ชีวิตมีความเสี่ยงต่อโรคเอดส์ ถูกฟ้อง ฯลฯ
มีเกียรติแต่ไม่มีเงิน
ผมน่ะเลิก dedicate ไปนานแล้วครับ ตั้งแต่โดนแทงข้างหลังด้วยพวกเดียวกัน


Posted by : Black angle , Date : 2004-03-10 , Time : 09:46:40 , From IP : 172.29.3.104

ความคิดเห็นที่ : 3


   อยากขอเปรียบเทียบการรักษา รพ. เอกชน กับ รพ. รัฐ กับการเลือกกินข้าวผัด
ถ้าเราอยากกินข้าวผัดสัก 1 จาน เรามีสิทธิที่จะเลือกกินร้านที่ผัดข้างถนน ราคา 20 บาท ดีขึ้นมาหน่อยก็กินตามร้านเล็กๆ คูหาเดียว ราคาสัก 25-30 บาท แต่ถ้าอยากหรู ก็กินตามโรงแรม บรรยากาศดี มีดนตรี ราคาก็สูงตาม 80-100 บาท กินอิ่มเท่ากัน ราคาต่างกันก็เพราะบริการ สถานที่ ต่างกัน ทีนี้การที่หาหมอที่ คลินิก แล้วขอไปผ่าที่ รพ.รัฐ ก็น่าจะคล้ายกับซื้อข้าวผัดข้างถนนใส่ห่อแล้วเอาไปกินในโรงแรมหรูโดยสั่งเพียงน้ำแข็งเปล่า 1 แก้ว เจ้าของโรงแรมจะว่ายังไง


Posted by : จิต , Date : 2004-03-10 , Time : 11:59:50 , From IP : 172.29.3.136

ความคิดเห็นที่ : 4


   อยากขอเปรียบเทียบการรักษา รพ. เอกชน กับ รพ. รัฐ กับการเลือกกินข้าวผัด
ถ้าเราอยากกินข้าวผัดสัก 1 จาน เรามีสิทธิที่จะเลือกกินร้านที่ผัดข้างถนน ราคา 20 บาท ดีขึ้นมาหน่อยก็กินตามร้านเล็กๆ คูหาเดียว ราคาสัก 25-30 บาท แต่ถ้าอยากหรู ก็กินตามโรงแรม บรรยากาศดี มีดนตรี ราคาก็สูงตาม 80-100 บาท กินอิ่มเท่ากัน ราคาต่างกันก็เพราะบริการ สถานที่ ต่างกัน ทีนี้การที่หาหมอที่ คลินิก แล้วขอไปผ่าที่ รพ.รัฐ ก็น่าจะคล้ายกับซื้อข้าวผัดข้างถนนใส่ห่อแล้วเอาไปกินในโรงแรมหรูโดยสั่งเพียงน้ำแข็งเปล่า 1 แก้ว เจ้าของโรงแรมจะว่ายังไง


Posted by : จิต , Date : 2004-03-10 , Time : 12:00:02 , From IP : 172.29.3.136

ความคิดเห็นที่ : 5


   เห็นด้วยกับคนpostกระทู้
ยายชราคนนี้แปลกไปclinic แล้วไป กทม. เลยเหรอ
ข้าม step ไปมั๊ง ทำไมไม่ไป ร.พ.รัฐในหาดใหญ่ก่อนล่ะ


Posted by : wj , Date : 2004-03-10 , Time : 13:10:28 , From IP : 172.29.1.100

ความคิดเห็นที่ : 6


   เฮ้ย ยายคนนี้มีลูกเป็นผู้พิพากษาว่ะ เลยหัวหมอไปหน่อย แต่ขี้เหนียว

Posted by : oo , Date : 2004-03-11 , Time : 21:27:26 , From IP : 172.29.3.250

ความคิดเห็นที่ : 7


   ความเห็นส่วนตัวของเราต่อบุคคลอื่นบางทีก็อาจจะฟังไม่เหมาะสมเมื่อพูดในที่สาธารณะนะครับ

confidentiality นั้นเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยบอกรายละเอียดของตัวเขาแก่แพทย์ แม้กระทั่งเรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัว เช่น เรื่องทางเพศ เรื่องอารมณ์ เรื่องปัญหาทั้งทางกายและใจ ผู้ป่วยทุกคนจะคาดหวังว่าเรื่องที่เขาเล่าให้หมอฟังจะหยุดอยู่แค่นั้น กับหมอท่านนั้น เพื่อประโยชน์คือใช้รักษาตัวเขาให้หายจากโรค เราไม่บังควรอย่างยิ่งที่จะนำข้อมูลผู้ป่วยมาวิจารณ์โดยไม่เกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาล คุณป้าในเหตุการณ์นี้เป็นหนึ่งใน victim ของเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมเชื่อว่าเราทุกคนไม่อยากให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับใคร กับตัวเราเอง หรือกับญาติของเรา

กรุณาพิจารณาผู้ป่วยเป็นเสมือนครูท่านหนึ่งของเราถ้าหากน้องเป็นนักเรียนแพทย์ จริงๆถึงน้องจะจบแล้ว แนวทางที่เราจะ approach ผู้ป่วยนั้นวางไว้ชัดเจนจากพระราชดำรัสของสมเด็จพระราชบิดา



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-11 , Time : 23:20:00 , From IP : 172.29.3.230

ความคิดเห็นที่ : 8


   ในเรื่องนี้ผมเห็นด้วยกับลุงนกนะครับ...

Posted by : นะครับ.... , Date : 2004-03-12 , Time : 17:55:25 , From IP : 172.29.3.249

ความคิดเห็นที่ : 9


   คนไข้มีสิทธิ์เลือกหมอแต่เพียงฝ่ายเดียว นั้นเป็นการยุติธรรมแล้วหรือ
ในทางกลับกันก็กล่าวหาว่าผิดจรรยาบรรณวิชาชีพหากหมอจะเลือกบ้าง

ทำไมมีแต่คิดทำ พรบ.สิทธิผู้ป่่วย
แล้วทำไมไม่ทำ พรบ.สิทธิแพทย์ บ้างล่ะครับ ???????

ผมคิดว่าจรรยาบรรณแพทย์หลักสำคัญอยู่ที่ให้การรักษาผู้ป่วยเต็มความสามารถตามมาตรฐาน
อย่างเท่าเทียมกันหมด ขอเน้นว่า"ตามมาตรฐาน" ส่วนค่าตอบแทนนั้นเปรียบเหมือนกับการเลือกซื้อของ
ว่าคุณพอใจตรงไหน คุณมีเงินมากมีอันจะกินก็ไปซื้อที่ emporium หรือ central แต่หากมีงบประมาณ
น้อยก็ไปเลือกซื้อหาได้ตามตลาดสด ซึ่งก็จะมีทุกอย่างที่สามารถใช้บริโภคได้ "ปลอดภัยตามมาตรฐาน"
ขึ้นอยู่กับการประมาณตนและสมองที่จะใช้คิดพิจารณานะครับ "สมองอันน้อยนิดหากรู้จักคิดก็ไม่ได้แปลว่าโง่
หรอกครับ 55555"


Posted by : คนรักอาจารย์ , Date : 2004-03-15 , Time : 14:13:59 , From IP : proxy2.chula.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 10


   คุณนกเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ ที่เขาไปบอกชาวบ้านไปทั่วจนเขารู้กันทั่วเมืองมัน confident ตรงไหน แล้ว victim น่ะเป็นแพทย์ไม่ใช่หรือ อยู่ข้างนอกทำงานมันอันตรายนะ เคยเจอเอาปืนวิ่งเร่เข้ามาหาคู่กรณีใน ER แล้วต้องหนีไหมคะ หนูเคยค่ะจนพ่อแม่บอกให้มาทำเอกชน ขอบคุณคน post ที่พยายามปกป้องพวกเดียวกันเองไม่เหมือนคนบางคนที่ตั้งแต่จบมาก็อยู่แต่ในรั้วมหาลัยซ่อนตัวอยู่ใต้ตราคณะ ไม่สนับสนุนพวกเดียวกันยังทำเป็นรู้ดีสอนไปหมด อ่านแล้วปลง

Posted by : สาวใหญ่พันชั่ง , Date : 2004-03-15 , Time : 22:20:10 , From IP : l234ppp186.ksc.net.t

ความคิดเห็นที่ : 11


    ในเมื่อไม่มีใครบอก identity ของตนเองผมจะถือว่ากระดานนี้เป็น open forum นะครับ และทุกคนในนี้ equal in status ดังนั้นผมอาจกล่าวบางอย่างที่ตามปกติแล้วผมจะรักษามารยาทไม่พูดนะครับ ผมมีความเห็นอย่างนี้ ....

A doctor-patient confidentiality is absolute and the doctor cannot divulge his patient's information in any regard without his patient's consent.

ในกรณีนี้ผมไม่เห็นว่าผมได้ break confidentiality ในกรณีใดเลย ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องราวทั้งหมดผมทราบมาจาก internet ซึ่งเป็น open source จริง ๆ แล้วผมขอบคุณในความหวังดีของคุณ Phoenix และขอ (อย่าว่ากันนะ >.<) ประนามความไร้มารยาทของคนบางคน (แต่ก็ขอขอบคุณด้วยนะ ^_^)

แต่ว่า ... จริงอยู่การที่ผมเขียน mail นี้เป็น direct attack สำหรับคนนอกแต่สิ่งนั้นทำไปก็เพื่อคนในปกป้องครอบครัวเดียวกัน และการที่ผมได้ทิ้ง e-mail address ไว้ให้นั้นมันเป็นตัวบ่งชี้ไม่ใช่หรือว่ายินดีต้อนรับ personal feedback ดังนั้นผมยังไงก็ต้องบอกว่าผมรู้สึกไม่ดีเล็กน้อยที่เห็น post เรื่อง confidentiality ซึ่งอ่านดูแล้ว (ถ้าผมเข้าใจผิดขออภัยด้วย) คล้ายกับ personal message นี้ใน public forum โดยที่ไม่ปรากฏใน mail-box ของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะผมไม่เข้าใจว่าต้องการจะสื่ออะไรในเรื่อง confidentiality นี้

ถึงแม้ post นี้จะตั้งชื่อว่าถึงคูณ บ.ก. แต่เขาได้เขียนว่าเขาเป็น fair game ไปตั้งแต่ประกาศโคตรเหง้าวงษ์ตระกูลแล้ว (ผมไม่ใช่ fair game นะ)


Posted by : ทนไม่ไหว , Date : 2004-03-16 , Time : 00:09:35 , From IP : ppp-203.118.97.116.r

ความคิดเห็นที่ : 12


    ในเมื่อไม่มีใครบอก identity ของตนเองผมจะถือว่ากระดานนี้เป็น open forum นะครับ และทุกคนในนี้ equal in status ดังนั้นผมอาจกล่าวบางอย่างที่ตามปกติแล้วผมจะรักษามารยาทไม่พูดนะครับ ผมมีความเห็นอย่างนี้ ....

A doctor-patient confidentiality is absolute and the doctor cannot divulge his patient's information in any regard without his patient's consent.

ในกรณีนี้ผมไม่เห็นว่าผมได้ break confidentiality ในกรณีใดเลย ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องราวทั้งหมดผมทราบมาจาก internet ซึ่งเป็น open source จริง ๆ แล้วผมขอบคุณในความหวังดีของคุณ Phoenix และขอ (อย่าว่ากันนะ >.<) ประนามความไร้มารยาทของคนบางคน (แต่ก็ขอขอบคุณด้วยนะ ^_^)

แต่ว่า ... จริงอยู่การที่ผมเขียน mail นี้เป็น direct attack สำหรับคนนอกแต่สิ่งนั้นทำไปก็เพื่อคนในปกป้องครอบครัวเดียวกัน และการที่ผมได้ทิ้ง e-mail address ไว้ให้นั้นมันเป็นตัวบ่งชี้ไม่ใช่หรือว่ายินดีต้อนรับ personal feedback ดังนั้นผมยังไงก็ต้องบอกว่าผมรู้สึกไม่ดีเล็กน้อยที่เห็น post เรื่อง confidentiality ซึ่งอ่านดูแล้ว (ถ้าผมเข้าใจผิดขออภัยด้วย) คล้ายกับ personal message นี้ใน public forum โดยที่ไม่ปรากฏใน mail-box ของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะผมไม่เข้าใจว่าต้องการจะสื่ออะไรในเรื่อง confidentiality นี้

ถึงแม้ post นี้จะตั้งชื่อว่าถึงคูณ บ.ก. แต่เขาได้เขียนว่าเขาเป็น fair game ไปตั้งแต่ประกาศโคตรเหง้าวงษ์ตระกูลแล้ว (ผมไม่ใช่ fair game นะ)


Posted by : ทนไม่ไหว , Date : 2004-03-16 , Time : 00:09:47 , From IP : ppp-203.118.97.116.r

ความคิดเห็นที่ : 13


   กระทู้ที่ผมตอบนั้น ตอบกระทู้ล่าสุดก่อนที่ไปว่ากล่าวถึง คุณป้าคนนี้ ลองอ่านดูอีกทีดีๆครับ

จะวิจารณ์คุณ บก. ในที่นี้นั้นผมเห็นว่าเป็นลักษณะที่คุณ บก.ชอบใช้อยู่แล้ว ผมไม่ต้องการจะไปยุ่งเกี่ยวอะไรมาก แต่อันที่ผมติงนั้นเป็นการเหวี่ยงแหไปโดนผู้ป่วย ผมเห็นว่าไม่สมควร ผมปกป้องใครนั้น ถ้าคุณสาวใหญ่ฯอ่านกระทู้หลักของเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วน่าจะสรุปได้เอง และถ้าจะถามว่าผมสนับสนุน "ใคร" นั้น ผมไม่ได้สนับสนุนใครครับ ผมต้องการสนับสนุนหลักการจริยศาสตร์และจรรยาบรรณแพทย์เท่านั้น

ในเรื่องนี้ผมว่าเราอย่าเอาคนป่วยมาเกี่ยวข้องเลยดีกว่า เราไม่เคยได้ยินได้ฟังจากผู้ป่วยรายนี้ ไม่ทราบด้วยว่าเรื่องที่เกิดมา authorized หรือไม่ แต่ที่แน่ๆคือถ้าแพทย์เริ่มมีการกระแนะกระแหนผู้ป่วยแล้วเป็นจุดเริ่มที่ไม่ดีเอามากๆ ไม่ต้องมีคน email มาด่า แต่คิดในใจก็ไม่ดีแล้ว ไม่ใช่ไม่ดีต่อตัวคุณหรอกครับ แต่ไม่ดีต่อคำว่าแพทย์โดยรวม การที่ผู้ป่วยรายนี้มีลูกเป็นใคร ทำมาหากินอะไร ถึงแม้จะไม่ใช่เราเป้นคนนำมาเปิดเผยในที่สาธารณะ (ซึ่งต่อให้ไม่เป็นแพทย์ ผมก็คิดว่าทำแบบนี้ไร้จรรยาบรรณฐานันดรที่สี่เหมือนกัน) แต่เรายังไงๆไม่ควรนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยมาใช้เยอะเย้ยถากถางเอามันอย่างสองสามกระทู้สุดท้ายก่อนที่ผมจะตอบครั้งที่แล้ว

การที่เรารู้สึกรุนแรงและโต้ตอบนักหนังสือพิมพ์รายนี้เพราะเราเห็นว่าข้อมูลถูก abuse และเป็นการนำมาใช้ที่ผิดจรรยาบรรณ นั่นหมายถึงเราไม่ควรจะใช้ข้อมูลในทำนองเดียวกันครับ เราอภิปรายกันเฉพาะลักษณะการใช้ข้อมูลก็พอ ไม่ต้องลากเอาผู้ป่วยมาเกี่ยวข้อง เขาอาจจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยก็ได้ ผมไม่คิดว่าการชักชวน personal attack บน public platform จะเป็นวิที่ดีที่สุดในการรักษาไว้ซึ่งชื่อเสียง จรรยาบรรณ หรือเป็นการปกป้องคนในครอบครัวที่อุดมคติซักเท่าไหร่ ผลเสียคือบุคคลที่สามที่อ่าน ที่ไม่ต้องการแสดงความเห็นอะไร ไม่ต้องการเขียน email จะมีความรู้สึกอย่างไรต่ออาชีพนี้ ปัจจุบันนี้ สถาบันนี้ อาชีพเราจะประสบความสำเร็จได้อยู่ที่ความไว้เนื้อเชื่อใจ ความมั่นใจในบุคลิก จรรยาบรรณ และจริยธรรมของ "พวกเรา" ต้องไม่มีแม้ซักครั้งที่เราจะ "ยกเว้น" กฏเหล็กที่ว่าเราต้องทำเพื่อคนไข้เป็นอันดับแรก ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไร อย่าว่าแต่ในเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่เราจะต้องไปโจมตีผู้ป่วยรายนี้โดยตรงแม้แต่นิดเดียว



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-16 , Time : 00:49:36 , From IP : 172.29.3.251

ความคิดเห็นที่ : 14


   เห็นด้วยกับความคิดของคุณนกค่ะ แพทย์ที่ดีมีจรรยาบรรณเค้าคงไม่เอาคนไข้มาด่าเสียๆหายๆทางเน็ตหรอกค่ะ ทำมัยไม่ลองนึกถึงตอนตนเองกำลังเป็นนศพ.กันบ้างล่ะคะ เวลาพูดกับคนไข้งี้พูดเพราะสุดๆ(ณ.เวลานั้นคงอยากได้หน้า ได้รับคำชมจากอาจารย์ อยากได้วิชา)แต่พอจบเป็นแพทย์ได้ไม่กี่ปี กลับมองคนไข้เพียงแค่เศษธุลี ไม่ทราบว่าเอาจรรยาวิชาชีพไปไว้เสียที่ไหนกันค่ะ แค่เป็นแพทย์อย่าคิดว่าวิเศษกว่าคนอื่นซิ ยังงัยก็เป็นมนุษย์เดินดินเหมือนกะคนอื่นเค้านั่นแหละ

Posted by : angle , E-mail : (.........) ,
Date : 2004-03-24 , Time : 13:53:56 , From IP : 192.168.33.26


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.008 seconds. <<<<<