ความคิดเห็นทั้งหมด : 23

เรื่องทุนการศึกษา, นักเรียนทุน (เอือมระอา + รับไม่ได้)


   
ก่อนอื่นผมไม่ได้ออกมาเรียกร้องอะไรนะครับ เพียงแต่รับไม่ได้กับพฤติกรรมนักเรียนทุนบางคน (ซึ่งคิดว่าคณะเรามีจำนวนมากพอสมควร) กับพฤติกรรมเอาแต่ได้ ฟุ่มเฟือย ตอแหลหลอกลวง (เวลาสมัครทุน)

โดยเฉพาะเรื่องการใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย พวกนี้ส่วนใหญ่ซื้อมือถือ มีรถมอไซค์ บางคนมีทีวี เครื่องเล่น VCD DVD ก็มี ถ้าให้คณะไปสำรวจผมว่า >80% แน่นอน (ทั้งๆ ที่เขาเงื่อนไขการรับทุนเขาห้ามมีสิ่งเหล่านี้) แต่ผลอาจจะออกมาแค่ 1% ก็ได้เพราะพวกนี้โกหกและซุกเก่ง (เหมือนนายกซุกหุ้นงายย เหอๆๆ)

บางคนใช้จ่ายรายวันอย่างฟุ่มเฟือยมากต้องกินข้าวมื้อละ 2 จาน ไม่งั้นกินไม่อิ่ม ต้องกินวันละ 3 มื้อไม่งั้นรู้สึกยังไงไม่รู้ (ถึงตื่นเที่ยงก็ต้องกินมื้อเช้าก่อนแล้วซักพักค่อยกินมื้อเที่ยงต่อ) ไหนจะขนม (มันซื้อเยอะจริงๆ ขนาดผมยังเสียดายเงินแทนเลย) น้ำอีก ผลไม้อีก เขา(ซึ่งไม่รู้ใคร)เคยบอกว่าพวกนักเรียนทุน+กู้ให้ใช้ได้เดือนละไม่เกิน 2-3 พัน/เดือน ผมคิดดูแล้วเฉพาะค่ากินก็เกินแล้วครับ (ไหนจะค่าน้ำมันรถ ค่าโทรมือถืออีก ค่าหนังสืออีก ตอนสมัครน่ะโกหกทั้งเพ)

รถเครื่องก็เหมือนกันเอาตังจากไหนมาซื้อฟระ บ้านผมใช้ Honda 70 ใช้จนจะเจ๊งซ่อมไปหลายแล้ว ก็ยังไม่เปลี่ยนเพราะต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะซื้อคันใหม่ดีมั๊ยตังไม่ค่อยมี (แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปหลายปีแระ) ถ้าจะให้ผมซื้ออีกคันคงต้องขายบ้านซื้อ แต่เจ็บใจนักพวกนักเรียนทุนมันมีกันเกือบทุกคนเลย(หวะ)

ไอ้พวกนี้นอกจากใช้ฟุ่มเฟือยแล้วยังมีเงินเก็บอีกเพียบ บนโต๊ะมีหนังสือเป็นตั้งๆ ไม่รู้เอาเงินมาจากไหนนักหนาไปซื้อหนังสือ, xerox sheet เป็นตั้งๆ แบบไม่เลือกเลย ของผมมีหนังสืออยู่เพียงไม่กี่เล่ม ก่อนจะซื้อแต่ละเล่มต้องคิดแล้วคิดอีก เล่มไหนอยากได้ตัดใจไม่ซื้อซะก็หลายเล่ม ส่วนใหญ่เป็นหนังสือพี่รหัสที่เก่าๆ, กับพวกหนังสือ xerox sheet ก็มีไม่เยอะ ที่เหลือยืมห้องสมุด กับยืมเพื่อนอ่าน (ซะส่วนใหญ่)

มือถือก็เหมือนกันบางคนเปลี่ยนไป 2 เบอร์แล้วครับ ไม่รู้เปลี่ยนเครื่องด้วยหรือเปล่า เห็นเวลาโทรก็ไม่ได้ประหยัดอะไร ทีหลังเวลาสมัครขอทุนอย่าลืมเขียนพวกนี้ลงไปด้วยนะ นะนักเรียนทุนนะ

เสื้อผ้าก็เหมือนกันมีไม่รู้ตั้งกี่ชุด แต่ละชุดดีดีเลิศหรูทั้งนั้น ผมใส่จนสีซีด ยืดหมดแล้วก็ยังจะใส่ ซื้อใหม่สงสารพ่อแม่ กางวันเสาร์อาทิตย์ไม่ได้ไปไหนไม่ต้องหล่อนุ่งสั้นก็ได้ พวกนี้หล่อทุกวัน

ว่างๆ ถ้าไปตรวจห้องนะ ผมคิดว่าสมบัติของผมมีน้อยกว่านักเรียนทุนพวกนี้อีก

ผู้หญิงบางคนเอาตังไปทำผม(ที่อยู่บนหัวน่ะครับ)อีก ไม่รู้ตั้งกี่ร้อยกี่พัน เห็นแล้วยังเสียดายเงินแทนเลย กินข้าวได้หลายวันน่ะนั่นน่ะ

แถมปีนี้เพิ่งทำสัญญากู้เงินมายังมาบ่นให้ผมฟังอีกว่าปีนี้ทำไมเขาให้กู้เยอะจัง โถ่เพ่ๆ น่ะได้รับยกเว้นค่าลงทะเบียนเรียน เพ่น่ะจ่ายปีละไม่กี่พัน ผมน่ะจ่ายเต็มตั้งปีนึงหลายหมื่น แค่ค่าลงทะเบียนที่ผมกู้ปีเดียวก็มากกว่าที่คุณกู้ 2-3 ปีแล้ว ยังทำเป็นบ่นอีก ไม่รู้จักพอจริงๆ ตอนจบผมต้องใช้หนี้ตั้งหลายแสน คำนวณแล้วต้องทำงานตั้งหลายปีกว่าจะใช้หนี้หมด อีนี่ได้ทุนแล้ว ได้รับยกเว้นค่าลงทะเบียนแล้ว เป็นหนี้ก็น้อย (แถมออกไปโกงกินอีกไม่กี่เดือนก็คงใช้หนี้หมด) ยังบ่นอีก

ผมรับไม่ได้จริงๆ ที่บ้านผมไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็ไม่ถึงกับจนเท่าไหร่ แต่ไม่ได้ขอทุนและคิดว่าผมกู้เอาก็ได้ เงินทุนเก็บไว้ให้คนอื่นที่จำเป็นจริงๆ ดีกว่า แต่พอรู้ว่า "นักเรียนทุนใช้เงินอย่างไร้ค่า" ผมรับไม่ได้ครับ (แต่ไม่ได้ต้องการเรียกร้องอะไรนะ เพราะไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใคร และผมก็ภูมิใจที่ไม่ได้ขอเงินใครเรียน ผมใช้เงินของผมเองในอนาคตส่งตัวเองเรียนจนจบหมอ ภูมิใจดีครับ) อาจจะเป็นเพราะนิยามของคำว่า "จน" ของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ครับ

อีกอย่างเจ้าหน้าที่ก็แย่มาก ตอนกรอกใบสมัครขอกู้ยืมเงินรัฐบาล เขาถามว่าทรัพย์สินมีแค่นี้หรอ รถยนต์หละไม่มีหรอ (คงเห็นว่าสมบัติบ้านผมมีน้อย) ผมตอบว่าไม่มีครับ เขาก็สวนมาทันที จะไม่มีได้ยังไงก็บ้านขายของนี่ พร้อมทำหน้าไม่เชื่ออย่างแรง ผมวิบมากเลย :( หน้าตาผมมันร่ำรวยขนาดนั้นเลยหรอ ทีพวกนักเรียนที่ได้ทุนโกหกหน้าด้านๆ คุณเชื่อ พอผมพูดความจริงกลับไม่เชื่อ (เหตุการณ์นี้เกิดนานหลายปีแระ) เจ้าหน้าที่น่ะทำตัวดีดีหน่อย คนเขาเดือนร้อนไปขอความช่วยเหลือน่ะ ไม่ได้ไปปล้น คุณยิ้มหน่อยก็ได้ ช่วยพูดดีๆ หน่อยก็ได้นะ

ผมดูพฤติกรรมคนพวกนี้แล้ว คิดถึงตอนมันจบออกไปมีอำนาจที่รพช.แล้วมันจะไม่โกงกินกันได้ยังไง จริงอย่างที่เขาพูด การศึกษาไม่ได้ทำให้คนเป็นคนดี (แต่พวกนักเรียนทุนส่วนใหญ่ก็เรียนไม่ค่อยเก่งหรอกนะ แถมบางคนยังเป็นบัวเหล่า 4 อีก)

สิ่งที่ผมโพสมายืดยาวนี้สิ่งที่เดียวที่ผมอยากได้คือการเปลี่ยนแปลงครับ อยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทำอะไรก็ได้ให้ระบบมันดีกว่านี้ ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไป

ถ้าผมพูดกระทบใครอย่าเคืองกันนะค๊าบ แฮ

ขอบคุณที่อุตสาห์อ่านผมบ่นนะค๊าบ


Posted by : บางคน , Date : 2004-03-01 , Time : 02:38:27 , From IP : 203.157.228.17

ความคิดเห็นที่ : 1


    เห็นด้วย.... ทุกประการครับ เหมือนเป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าการได้รับทุนเป็นการโกหกตอแหลทั้งเพ ก้ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนที่เป็นผู้พิจารณา เค้าใช้เกณฑ์อะไรมาตัดสินบ้าง น่าเบื่อหน่ายมากๆ จนไม่อยากจะคิดแล้ว แต่ก้ไม่ใช่กับผู้ที่ได้รับทุนทุกคนหรอก บางคนที่ได้รับทุนก็ลำบากจริงๆ อันนั้นก็เข้าใจฮะ...

Posted by : ROC , Date : 2004-03-01 , Time : 09:28:21 , From IP : 172.29.2.90

ความคิดเห็นที่ : 2


   เสนอทางแก้กันดีมั้ยครับ

Posted by : เหอๆๆ , Date : 2004-03-02 , Time : 03:47:09 , From IP : 172.29.4.47

ความคิดเห็นที่ : 3


   นศพ.ปี.... บางคน กู้ยืมทุนแต่มีมันทุกอย่าง
มือถือถ่ายรูปได้ + รถมอเตอร์ไซด์ + กินของดีๆตลอด(เช่น ฟูจิ) + รับประทานสุรามันเกือบทุกวัน
คิดเอาเองล่ะกัน ว่าหน้าด้านแค่ไหน แย่งทุนการเรียนคนอื่น เค้าแล้วเอามาทำตัวชั่วแบบนี้
ปล. เรียนก็แทบจะไม่เรียน เฮ้อออ นักเรียนทุน
ปล.2 นักเรียนทุนบางคนก็ดี ไม่ต้องทำตัวจนหรืออะไรก็ได้แค่ไม่เอาทุนไปใช้ในสิ่งอุบาทว์ๆก็พอแล้ว


Posted by : เคยรู้สึกไหม , Date : 2004-03-02 , Time : 10:00:26 , From IP : 172.29.2.121

ความคิดเห็นที่ : 4


   ผมเห็นด้วยว่าเงินทุนการศึกษาเมื่อตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจน ประกาศเป็นทางการว่าสำหรับใคร สมควรจะมีมาตรการที่ reinforce ว่าเงินที่ให้ตกไปอยู่กับคนที่เป็นไปตามหลักการที่ตั้งไว้ ทั้งนี้และทั้งนั้นที่คุณเหอๆๆเสนอมานั้นผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าเราอยากจะอภิปรายกันว่าควรจะทำเช่นไร คณะฯหรือมหาวิทยาลัยคงจะมีหลักการที่ดีและวัตถุประสงค์ที่หวังดีในการจัดสรรทุนการศึกษา และผมคิดว่าทุนนั้นคงไม่ได้เพียงพอต่อความต้องการจริง ฉะนั้นถ้ามีคน abuse ระบบ ก็แปลว่ามีบางคนที่สมควรได้แต่ไม่ได้ บางคนที่ไม่สมควรได้แต่ได้ไป

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ serious พอสมควร ดังนั้นการนำเสนออาจจะตัดส่วน emotional ออก เพราะเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นไปอย่างน่าเสียดาย เช่น ผู้สำรวจตรวจสอบทุนคงไม่ต้องไปนั่งนับว่าคนรับทุนต้องกินข้าวอิ่มในหนึ่งจาน หรือควรจะกินข้างเหนียวทุกมื้อเพราะจะอิ่มได้นานกว่า อะไรทำนองนั้น เอาส่วนที่ประกอบความเห็นเช่นการมีของมีค่าที่ฟุ่มเฟือย น่าจะเป็นการนำเสนอที่ชัดเจนพอสมควร อีกประการหนึ่งคือ เหมือนกับทุกๆครั้ง เรื่องนี้เป็นเรื่อง serious แต่การเสนอในที่นี่อาจจะไม่ตรงกับจุดที่เป็น action ตัวแทนนักศึกษาน่าจะมีการติดต่อสอบถามไปยังหน่วยกิจการฯให้เป็นกิจลักษณะ พร้อมทั้งข้อมูลต่างๆเพื่อที่เราสามารถปรับปรุงการใช้แหล่งทรัพยากรอันจำกัดของมหาวิทยาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ้าเสนอที่นี้ที่เดียวนานๆไป เดี๋ยวก็บ่นอีกว่าร้องเรียนไปแล้วไม่มีคนตอบสนอง อย่าลืมว่าตามหลักรัฐศาสตร์ทั่วๆไปทุกๆคนควรจะมีสิทธิ์ที่จะ presumed innocent จนกว่าผู้กล่าวหารวบรวมหลักฐานนำเสนอ และถ้าจะให้เป็นทางการก็ให้ตัวแทนของพวกเราที่เลือกตั้งกันเข้ามานั่นแหละครับ ที่น่าจะมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการที่มีความใกล้ชิดข้อมูลมากที่สุด



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-02 , Time : 19:37:19 , From IP : 172.29.3.216

ความคิดเห็นที่ : 5


   ...........ผมคิดว่าคงร้องเรียนยากนะครับ.....อ่านจากที่เขียนคงน่าจะเป็นเพื่อนๆกัน...อาจจะเป็น Room mate กันด้วย.....คิดดูสิครับ...Room mate ตัวเองเป็นตัวตั้งตัวตีในการฟ้องร้องโวยวายไปที่ทางคณะ....เพื่อให้เพื่อนๆตัวเองลำบากเดือดร้อน......ผมคิดว่าคนที่ใจกล้าพอจะทำเรื่องแบบนี้ได้....คงจะไม่มีเพื่อนคบอย่างแน่แท้.....แล้วจะอยู่อย่างไรต่อหละ...?...นอนในห้องคงเสียวสันหลังทุกวันว่าเมื่อไหร Room mate ที่โกรธแค้นและพรรคพวกจะมารุมปาดคอ หรือจับแขวนกับเพดาน.....เฮ้ออออ.....
......อ่านๆดูแล้วผมว่าคนเขียนแค่อยากจะบ่นและคิดว่าน่าจะมีคนสนใจ หรือผู้เกี่ยวข้องบังเอิญมาอ่านเจอแล้วนำไปตรวจสอบก็ได้ครับ......แต่ถ้าจะให้มองไปถึงออกมาร้องเรียนเอง...คงยากครับ....ผมคิดว่าบางเรื่องคงไม่สะดวกเท่าไรที่จะอ้างว่าทุกอย่างต้องมีการทำเรื่องเป็นหนังสือชัดเจนตลอด.....บางเรื่องเช่นเรื่องเหล่านี้มีผลกับชีวิตของผู้ร้องเรียนมากครับ....อาจจะไม่ถึงกับโดนแขวนคออย่างที่ว่า.....แต่การลงโทษทางสังคมที่คนหมู่มากเป็นใหญ่เนี่ย.....สิ่งที่น่ากลัวสุดคือสังคมลงโทษครับ...สังคมแย่ๆที่มีแต่คนแย่ๆอยู่นั่นหละครับ....ถ้าพวกเขาคิดว่าคนร้องเรียนนี้ผิด....ทำให้พรรคพวกเดือดร้อน...แค่นี้คนร้องเรียนคงไม่มีคนคบแล้วครับ.....แล้วคุณ Phoenix จะแก้ปัญหาไม่มีคนคบนี้อย่างไร.....โอเค คนร้องเรียนทำตามหลักและสิทธิที่เขามี ที่พึงจะร้องเรียนได้ตามขั้นตอน....เขาอาจจะชนะ....แต่เขาไม่เหลือเพื่อนเลย...แล้วใครมันจะบ้าไปร้องเรียนหละครับ.....
...........ผมว่ามีอะไรอีกหลายๆเรื่องที่คนเขียนขึ้นมาแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้...เพราะเหตุผลเหล่านี้หละครับ....มีอีกหลายๆความคิดที่น่าสนใจ....ที่อยากจะให้อะไรๆเสมอภาคและยุติธรรม....แต่ในความเป็นจริงมันทำไม่ได้.....กฎหมู่นี่มันน่ากลัวครับ.....แค่เพื่อนๆในชั้นปีรวมหัวกัน Ignore แล้วเนี่ย....แค่เนี่ยก็ทำอะไรไม่ได้แล้วครับ...ไปแจ้งตำรวจยังทำอะไรไม่ได้เลย....
............ตรรกศาสตร์บางที่นี่.....มัน"จริง"จนเกินกว่าที่จะนำมาใช้ได้ในทุกๆกรณีครับ....ผมคิดว่าอย่างงั้นนะครับ......
.........ถ้าถามผมว่าจะเสนอแนวทางอย่างไร.....ไม่ต้องทำอะไรครับ....เพราะคนที่กล้าโดดลงมาแก้หรือร้องเรียน....จะไม่ใช่ Hero.....แต่จะกลายเป็นคนเลวครับ.....สิ่งที่ทำได้คือคาดหวังครับ....หวังว่าผู้เกี่ยวข้องจะมาอ่าน.....และผู้เกี่ยวข้องนั้น....ต้องใส่ใจที่จะสอบถามหาข้อมูล.....ไม่ใช่นั่งรอว่าเมื่อไหรจะมีคนเขียนหนังสือมาร้องเรียน....โดยอ้างอะไรแบบว่า..."ข้อมูลจากกระดานข่าวเป็นแค่บัตรสนเทห์.....ไม่มีมูลความจริง..เพราะถ้ามีจริงต้องมีผู้เสียหายกล้ามาร้องเรียน".....พวกนี้เสียสติครับ...เพราะไม่เคยมองว่าอะไรเหล่านั้นทำได้จริงหรือเปล่าในสังคมแบบนี้......แถมยังมีบางพวกอีกนะครับ....ที่ชอบบอกว่า...."อ้าว....ถ้าไม่กล้าร้องเรียน...จะมาเขียนบ่นทำไม".....พวกนี้แย่ยิ่งกว่าพวกแรกอีกครับ.....เฮ้อออออ......



Posted by : Death , Date : 2004-03-03 , Time : 01:22:04 , From IP : ppp-203.118.97.60.re

ความคิดเห็นที่ : 6


   ผมสับสนนิดหน่อย ตกลงคนที่โกงระบบจะรุม boycoit คนที่เสนอการแก้ไขปัญหา และคุณ Death เรียกการนี่ว่าเป็นการ "ลงโทษทางสังคม" รึเปล่า? ลองขยายความสักนิดได้ไหมครับ? คล้ายๆกับว่าถ้าเรามีนักการเมืองโกงกิน ถ้าชาวบ้านคนไหนเสนอให้แก้ไขปัญหาจะถูกสังคมประณามยังไงยังงั้น? ผมไม่ได้เสนอให้ใครคนใดคนหนึ่งทำเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว มีเหตุผลที่ดีที่ควรนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมสโมสรนักศึกษาและออกความเห็นว่าสังคมอย่างไรที่เราอยากให้เกิด อยากให้มี และตัวแทนนักศึกษาแพทย์ที่ถูกเลือกตั้งขึ้นนำมาข้อสรุปของ "สังคม" ไปชี้แจงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ถ้าในที่ประชุมสโมสรนักศึกษา มีคนเห็นว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น acceptable หรือไม่อย่างไรก็ว่ากันซึ่งๆหน้า รายงานที่ออกมาก็เป็นรายงานของส่วนรวม ไม่ใช่ของ individual ส่วนเราอยากจะให้ "คนพวกนี้" คบมากน้อยแค่ไหนนั้นเป็น preference ส่วนตัวครับ แต่บางคนอาจจะคิดว่ามีอย่างนี้มาเกี่ยวข้องกับเราน้อยลงไปบ้างเป็นเรื่องดีก็มี

แนวทางแก้ไขของเราแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ส่วนของใครจะเสียสติ สติแตก นั้นแล้วแต่ insight ของแต่ละคนแน่นอนครับ สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งเห็นแต่โคลนตม อีกคนหนึ่งเห็นดวงดาวอยู่พร่าวพราย มีบ่อยๆที่เราเดินใน รพ.บ้า คนส่วนใหญ่ในนั้น (คนไข้) ก็สามารถคิดได้ว่าเราถ้าจะบ้าเพราะคิดไม่เหมือนใคร ทีนี้เราเองนั่นแหละครับที่จะเป็นคนคัดเลือกสิ่งแวดล้อม คนรอบข้าง คนรู้จัก คนที่ชอบเราว่าเป็นคนกลุ่มไหน ผมคิดว่าจากที่คุณ Death ว่ามา คุณ Death คงจะตัดสินใจเลือกแล้ว ผมก็เลือกแล้วเหมือนกันครับ





Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-03 , Time : 08:46:17 , From IP : 172.29.3.134

ความคิดเห็นที่ : 7


   อืม พอคุณ phoenix พูดถึงเรื่องสโมสรนักศึกษา เท่าที่ผมอยู่มาไม่เคยเห็นสโมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องอย่างนี้เท่าไรเหมือนกันครับ

หากสโมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องอย่างนี้ได้ผมว่าน่าจะดีนะครับ เพราะว่าหน้าที่และบทบาทของสโมก็น่าจะเด่นชัดมากขึ้นกว่าในปัจจุบันครับ (เพราะเท่าที่เห็นอยู่หน้าที่ของสโม คือการผลิตโครงการต่างๆเท่านั้น) แต่ผมก็ไม่ทราบนะครับว่าตรงนี้สโมสามารถเข้ามาเกี่ยวข้องได้ด้วยหรือ?

นอกประเด็นไปบ้างไม่ว่ากันนะครับ


Posted by : เหอๆๆ , Date : 2004-03-03 , Time : 19:56:36 , From IP : 172.29.4.73

ความคิดเห็นที่ : 8


   ผมคงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบอกสโมสรนักศึกษาฯว่ามีบทบาทและหน้าที่อย่างไร แค่เดาๆว่าเป็นกลุ่มที่เพื่อนๆเลือกเข้ามา represent นักศึกษา ก็เลยถามๆดูว่าพอจะรับเรื่องพันนี้ไปด้วยได้ไหม

ในทุกๆชุมชน น่าจะมีตัวแทนที่ทำหน้าที่ "รวบรวมและรับฟัง" ความเห็นของคนในชุมชนนั้นๆมาเพื่อวางระเบียบจัดการหรือเป็นตัวแทนติดต่อปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มอื่น ไหนๆก็เลือกกันเข้าไป และไหนๆก็สมัครกันเข้ามาแล้ว หน้าที่ดังกล่าวน่าจะเหมาะสมรึเปล่าก้แล้วแต่พิจารณา ประการหนึ่งที่คุณ Death แกพยากรณ์ไว้ว่าชุมชนนี้จะ การลงโทษทางสังคมที่คนหมู่มากเป็นใหญ่เนี่ย.....สิ่งที่น่ากลัวสุดคือสังคมลงโทษครับ...สังคมแย่ๆที่มีแต่คนแย่ๆอยู่นั่นหละครับ....ถ้าพวกเขาคิดว่าคนร้องเรียนนี้ผิด....ทำให้พรรคพวกเดือดร้อน...แค่นี้คนร้องเรียนคงไม่มีคนคบแล้วครับ ผมคิดว่านั่นน่าจะเป็นการด่วนสรุปไปซักนิด ผมอยู่ในโลกใบเดียวกันนี่แหละครับ แต่ยังเชื่อว่ายังมีชุมชนที่คนส่วนใหญ่รักความยุติธรรม และต้องการจะสร้างสังคมที่ว่านี้ขึ้นมา

ผมไม่อยากจะวาดภาพว่า ถ้าเกิดมีเพื่อนคนใดคนหนึ่งในกลุ่มนักศึกษาแพทย์ร้องเรียนขอให้มีความเป็นธรรมในการขอรับทุนแล้ว เพื่อนส่วนใหญ่จะมองคนๆนี้เป็นหมาหัวเน่า แล้วพากันเลิกคบถ้าจะมีกลุ่มที่เลิกคบจริง ผมอยากจะคิดว่าไม่ใช่กลุ่มคนส่วนมาก และถึงจะมี "มาก" อย่างที่ว่าผมก็ยังคิดว่าถูกกลุ่มนี้เลิกคบได้ ใครก็ตามน่าจะ better off จากการถูกเลิกคบโดยคนกลุ่มนี้

ความหมายของ "สังคมเราสร้างขึ้นมาเอง" นั้นคือคุณค่าต่างๆที่เราสนับสนุนและเทอดทูนนั่นเอง คนที่เราคุยด้วยได้ คิดเหมือนกัน เกลียดอะไรคล้ายๆกันก็จะจับกลุ่มกัน คนที่คิดว่าอะไรถูกต้อง รวมทั้งการเอารัดเอาเปรียบ การใช้กฏหมู่เป็นเรื่องถูกต้อง ก็จะรวมเป็นสังคมกลุ่มนึง ขณะที่คนที่คิดอีกอย่างก็จะรวมกันเป็นสังคมอีกกลุ่มหนึ่ง อาจจะดูปนเปกันไปแต่เราทราบเมื่อมีการแสดงความคิดอ่าน การแสดงออก หรือปรัชญาค่านิยมออกมาให้ฟัง สุดท้ายทุกๆคนก็จะมีเพื่อนที่คิดว่าเราปกติแต่คนอื่นคิดว่าสติไม่ดี แล้วแต่ว่าเราพลัดหลงกลุ่มหรือสร้างสภาพแวดล้อมของเราอย่างไร การสร้าง "norm" ของคนรอบข้าง ของคนที่เราสนทนาวิสาสะด้วย ผลพวงต่างๆก็จะตกลงไปอยู่ที่ลูกหลานเราที่จะดำเนินตามรอยเท้า รอยความคิดเรานั่นเอง

กฏแห่งกรรมและวิบากครับ ถ้าเราเชื่อกันล่ะก็



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-03 , Time : 21:16:22 , From IP : 172.29.3.226

ความคิดเห็นที่ : 9


   ........น่าสนใจครับ.....ลองนึกแบบนี้ดูบ้างไหมครับ....สมมุติว่าในชั้นปีมีสัก 100 คน.....เกิดการร้องเรียนขึ้น....เอาเป็นว่ามีผู้เดือดร้อนสัก 10 คนก็แล้วกัน....โอเคครับปริมาณคนไม่เยอะมาก....แค่ไม่มีเพื่อนสัก 10 คนคงไม่เป็นไร.....แล้วอีก 88 คนที่เหลือหละ?....เอาเป็นว่าสักครึ่งนึงไม่แน่ใจว่าผู้ร้องเรียนเป็น Hero จริงหรือไม่?....ส่วนอีกครึ่งที่เหลือ...คิดว่าผู้ร้องเรียนทำให้คนหมู่มากเดือดร้อน....เอาหละ....ที่นี้คนที่จะคบด้วยก็ชักก่ำๆกึ่งๆแล้ว.....แล้วไอ้ 10 คนที่เสียประโยชน์จะอยู่เฉยๆหรือเปล่า......เปล่าแน่นอน....นอกจากจะไม่คบแล้ว....แถมพวกมี 10 คน...ไปคุยกับ 88 คนที่เหลือ.....คิดว่าจะมีคนไม่สงสารไอ้ 10 คนนี้เหรอครับ?....แล้วถ้าการร้องเรียนได้ผล...ผลระยะยาวก็อาจจะทำให้รุ่นน้องถัดๆมาเกิดปัญหา.....รุ่นน้องก็เอาไปร่ำลือ....เพราะไอ้พี่คนนี้หละ....ทำให้พวกเราเดือดร้อน....ส่วนรุ่นพี่ๆที่มีอยู่....อาจจะโดนหางเลขซวยไปด้วย.....ก็จะมีบางส่วนเริ่มไม่ชอบหน้าไอ้คนร้องเรียน......เค้าอยู่ของเค้ามาดีๆ....มายุ่งทำให้เกิดปัญหา....คราวนี้ทำไงดีหละ.....เพื่อนก็ไม่ค่อยมี....ข่าวลือมากๆเข้า...รุ่นพี่รุ่นน้องก็มองด้วยสายตาแปลกๆ.....ช่างมันแล้วกัน.....อย่างที่คุณ Phoenix ว่า.....ดี......แน่เหรอครับ????

.........ผมพูดในมุมของคนธรรมดาที่เห็นว่าสังคมของเรา.....ไม่ได้มีแต่คนดี....ที่จะเข้าใจสิ่งที่เราทำทุกเรื่องหรอกครับ....เอาเป็นว่าจริงๆผมเคยเห็นเพื่อนผมทำตัวแบบนี้....สุดท้ายขั้นตอนอย่างที่ว่าก็เกิดขึ้น....มองตามความจริง.....ผู้ร้องเรียนทำในสิ่งที่ถูกต้อง....โดยที่สังคมแคบๆอันนี้.....ไม่ต้องการ.....นั่นคือทำไมผมเคยได้ยินบางคนบอกว่า.....คนดีนี้อยู่ในสังคมยากครับ......ไม่ใช่ผมไม่สนับสนุนขั้นตอนของการเป็นคนดี.....เพียงแต่ผมคิดว่า.....สังคมแบบนี้...ไม่พร้อมที่จะให้ความเที่ยงธรรมต่อความเป็นจริงหรอกครับ.....คุณ Phoenix อาจจะปกป้องผู้ร้องเรียนได้จริง....แต่คุณจะไปวิ่งอธิบายและสังสอนให้คนทุกชั้นปี....เข้าใจว่าผู้ร้องเรียนเป็นคนดีเหรอครับ....คุณต้องลองเจอความยุติธรรมของสังคมแบบนี้สักครั้ง.....แล้วคุณจะเข้าใจครับ....

......รุ่นพี่ผมคนนึงสอนไว้ว่า.....ให้ระวังในสิ่งที่ทำ....เมื่อใดที่เรามี Action มันจะมี Reaction กลับมาเสมอ.....และไอ้ Reaction พวกนี้หละตัวแสบครับ....เค้าไม่มาชี้หน้าด่าคุณหรอกครับว่าเป็นไอ้คนเลว.....พวกนี้มัน Chain Reaction ครับ....คุณไปนั่งไล่จับแต่ละคนเพื่อมาอธิบายความจริง....ไม่มีใครเขาสนใจหรอกครับ....และคุณก็ไล่ไม่ทันด้วยครับ....

........ผมศรัทธาในสิ่งที่คุณคิด....แต่หลายสิ่งที่คิด....ควรจะต้องมองคนที่อยู่ด้วยครับ....จะคิดว่าเราเป็นสังคมแพทย์.....ไม่ใช่สังคมกรรมกร.....ผมว่าบางทีเราไม่ต่างกันหรอกครับ.....เราเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา.....เราไม่ใช่พระกันหมดนี่ครับ.....คุณอาจจะมองในแง่การสอนให้คนเป็นคนดี....แต่คุณต้องสอนการมองสังคม....และเอาตัวรอดในสังคมแบบนี้ด้วยครับ.....ผมทราบว่าอะไรคือสิ่งที่ถูก ที่ดี และที่ควรทำ.....แต่ก็มีอยู่บ่อยไปมิใช่หรือครับ....ที่ในบางสถาณการณ์เราไม่สามารถตัดสินใจแนวทางเดียวกันทุกครั้งได้?......คิดว่าไงหละครับ??



Posted by : Death , Date : 2004-03-03 , Time : 21:48:54 , From IP : 202.133.140.21

ความคิดเห็นที่ : 10


   "ผู้เดือดร้อน" เป็นการเลือกคำที่ค่อนข้าง political correctness ในที่นี้นะครับ จนผมไม่แน่ใจว่าเรากำลังพูดถึงกลุ่มคนที่ abuse system เพื่อประโยชน์ของตนเองและอาจจะถูกพิจารณาให้หยุดการกระทำนั้นรึเปล่า

ขณะนี้ก็มี "ผู้เดือดร้อน" เหมือนกัน ได้แก่คนที่ "สมควร" จะได้รับความยุติธรรมแต่ไม่ได้ ว่ากันตั้งแต่โดยตรงคือคนที่ไม่มีเงินและต้องการทุนแต่ไม่ได้รับพิจารณาจนไปถึงพวกเราทุกคนที่อยู่ในสังคมเดียวกับ "ผู้เดือดร้อน" ที่คุณ Death กำลังเป็นห่วงเป็นใยอยู่ในขณะนี้ คล้ายๆกับถ้าเราออกกฏหมายควบคุมคอร์รับชั่นในประเทศแล้วเรากำลังเป็นห่วงว่าถ้าคนที่คอร์รับชั่นอยู่นี้เราไปห้ามเขาซะแล้ว เขาจะยากจนข่นแค้นเกินไปในอนาคตรึเปล่า คล้ายๆกับว่าถ้าเราล็อคห้องล็อคประตูให้ดีแล้วโจรที่กำลังทำมาหากินจะ "เดือดร้อน" รึเปล่า?

ผมไม่แน่ใจนะครับว่า "สมการตัวเลข" ที่คุณยกมานั้นมีความหมายอะไรลึกซึ้งหรือไม่มีการ"สมมติ" จำนวนมาก คุณสมมติว่ามีคนประมาณครึ่งหนึ่งของบัณฑิตแพทยศาสตร์ไม่แน่ใจว่าการควบคุมการให้ทุนให้ถูกต้องนั้นเป็นสิ่งที่สมควรจะทำหรือไม่ คุณสมมติว่าบัณฑิตแพทย์อีกครึ่งหนึ่งคิดว่าการป้องกันการทุจริตเอาเปรียบอย่างว่านั้นเป็นการก่อความเดือดร้อนให้แก่คนส่วนมาก และคุณสมมติว่า 10 คนที่อาจจะถูกควบคุมนั้นสามารถที่จะ convince บัณฑิตแพทย์ทั้งหมดว่าสมควรจะปล่อยให้เขาทำอย่างนั้นต่อไป ที่ผมสนใจคือแล้วเราสามารถจะสมมติในทางตรงกันข้ามได้หรือไม่? ถ้าเราจะ "สมมติ" ว่าบัณฑิตแพทย์ส่วนใหญ่อยากให้ระบบที่ถูกต้องเกิดขึ้น มีการควบคุมไม่เอารัดเอาเปรียบ ถ้าเราจะ "สมมติ" ว่าบัณฑิตแพทย์ส่วนใหญ่คิดว่าคนส่วนใหญ่จะเดือดร้อนถ้าเรา "ไม่" ควบคุมกรณีแบบนี้ไม่ให้เกิดขึ้น ถ้าเราจะสมมติว่าบัณฑิตแพทย์ส่วนใหญ่จะเป็นคนมีหลักการและเห็นด้วยว่าการทุจริตหรือเอารัดเอาเปรียบเป็นสิ่งไม่ดี ทั้งสองฝ่ายมีสทธิ์ที่จะสมมติอะไรทำนอวนี้ขึ้นมาครับ แต่คุณคิดว่าแบบไหนล่ะครับที่เราจะกระดดไปร่วมเล่นด้วย และ "เพราะอะไร"?

ผมอยู่ในโลกใบเดียวกับคุณ Death นี่แหละครับ โลกของเรานั้นน่าจะ real พอๆกัน ผมคิดอย่างไรเขียนอย่างไรบนนี้ผมทำอย่างเดียวกันข้างนอก เพราะ identity ผมก็เป็นที่รู้จักกันอยู่ส่วนมากแล้ว ผมเชื่อว่าการทำอย่างนี้มีคนที่อยากจะรู้จักผม คบผมส่วนหนึ่ง กับอีกส่วนก็คงจะเป็นอย่างที่คุณ Deaht ว่าคือ เกลียดขี้หน้าผม เพราะผมไปทำอะไรบางอย่างที่มีผลทางอ้อมไปขัดขวางผลประโยชน์ของเขา คนกลุ่มหลังนี่ก็จะไม่อยากจะคบกับผม รู้จักผม ซึ่งก็เป็นเรื่องดีทั้งสองฝ่าย

เคยดูพินอคชิโอไหมครับ เราทุกคนอาจจะมีจิ้งหรีดจิมินีคริกเก้ตเป็นตัว "conscience" อยู่ก็ได้ แต่ของบางคนอาจจะตายไปนานแล้ว ถูกฝังอยู่ใต้ดินลึกหกฟุต แต่ตัว conscience หรือ "ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี" นั้นเป็นอะไรบางอย่างที่ผมคิดว่ามีคุณค่าครับ

และเผลอๆ Jimine Cricket นี่แหละครับคือเกราะเพชรแห่งความดีที่ช่วยให้เราอยู่รอดในสังคม ผมก็หัวโบราณเชื่ออะไรคร่ำครึแบบนี้แหละครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-03 , Time : 22:39:16 , From IP : 172.29.3.226

ความคิดเห็นที่ : 11


   .......ผมคงเลือกใช้คำไม่ค่อยถูกเท่าไรนัก.....ผมไม่ได้มองว่าผู้เอาเปรียบเป็นคนดีหรอกนะครับ.....คุณคงไม่คิดว่าผมจะชื่นชมไอ้พวกที่เอารัดเอาเปรียบคนอื่นหรอกนะครับ.....หรือว่าคิดหว่า?....เอาหละ....ถึงผมจะดูฝักใฝ่ในด้านมืดนัก....ไม่ปฏิเสธครับว่าผมไม่นิยมไปยุ่งกับเรื่องคนอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของตัว....หรือไปยุ่งในเรื่องที่คนเค้าไม่ได้ขอร้องให้ช่วย....ผมเบื่อครับที่ต้องมารับบทผู้ร้ายบ่อยๆ....อย่าลืมนะครับว่าเราอยู่ในสังคมแพทย์.....สังคมที่มีแต่ผู้มีมันสมอง.....ผู้ที่ฉลาดกว่าคนอีกเป็นจำนวนมาก.....และพวกกลุ่มคนที่ฉลาดมากๆเหล่านี้หละครับ.....การจะควบคุมคนที่คิดว่าตนเองก็ฉลาดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย.....ตัวเลขที่ผมยกมานั้นเป็นการสมมติครับ....ถ้าถามผมว่าความจริงในสังคมแพทย์เป็นแบบนั้นเลยเหรอ?.....อือออ....ที่ผมเห็นมาผมชักไม่แน่ใจว่าเราจะมีคนที่คิดอย่างที่คุณคิดสักเท่าไร.....นั่นคงเป็นสิ่งที่คุณคาดหวังว่าจะต้องสอนคนเหล่านี้....ซึ่งผมยอมรับว่ามันดีครับ....ถ้าทุกคนที่ฟังเข้าใจและเป็นอย่างนั้น....ผมว่าสังคมนี้น่าอยู่ครับ....แต่อย่างที่เราเคยเห็นมาในกระทู้อันนึงถึงบัว 13-15 เหล่าที่สรรหากันมา....ผมไม่แน่ใจว่าเรามีบัวเหล่าแรกจำนวนเท่าไร.....แต่ผมเชื่อว่าเรามีบัวเหล่าหลังๆเยอะครับ...ผมไม่ว่าอะไรถ้าคุณจะสอนใครให้ดี....ผมแนะนำว่าคุณควรจะสอนความเป็นจริงและการอยู่ในสังคมแบบนี้ด้วยครับ.....คุณเป็นแบบอย่างที่ดี...แต่อย่าลืมว่าจะมีสักกี่คนที่จะเอาอย่างและเป็นได้อย่างคุณ....โอเคอาจจะมีคนไม่ชอบคุณ....คุณไม่สนใจ...แต่อย่าลืมว่าคนอื่นอาจจะสนใจก็ได้....คุณอาจจะอยู่ได้โดยมีคนจำนวนนึงคบกับคุณ....อีกส่วนไม่คบ...แต่ทำไมคุณไม่ลองมองหาวิธีที่คุณจะอยู่ได้และเป็นเพื่อนกับคนเยอะๆหละครับ....คนที่เราคบทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีเสมอไปก็ได้...การทำอะไรจริงจังนั้นดีครับ....แต่ต้องมองสถานการณ์ด้วย....เคยเล่นเกมใช่ไหมครับ....ถ้าศัตรูใช้ปืนเป็นอาวุธ....คุณคงไม่ถือเลื่อยยนต์(Doom II)เข้าไปรบด้วยแน่......หรือคุณจะยืนยันว่าคุณศรัทธาในเลื่อยยนต์และคุณจะใช้มันอย่างเดียว....คุณน่าจะผ่านเกมนี้ได้ยากครับ...ไม่ใช่ว่าไม่ได้นะครับ....ได้ครับ....เพราะผมเคยลองมาแล้ว....แต่เหนื่อยครับ....และคุณคงไม่คาดหวังที่จะแจกเลื่อยยนต์อย่างเดียวให้นักเรียนของคุณออกไปเผชิญโลกภายนอกที่ไม่มีคุณมาคอยสั่งสอนและช่วยเหลือ?....คุณอาจจะต้องแจกทั้งเลื่อยยนต์และปืนหลายๆแบบและวิธีการใช้งานอย่างถูกต้องด้วยครับ....อีกอย่างนะครับ...เราไม่ได้อยู่ในสังคมแพทย์อย่างเดียว...เราต้องคบหากับคนมากมาย...และคนอีกหลายจำพวก....ที่ไม่ได้เป็นคนที่ดีมีหลักกการและเหตุผลไปหมด...พวกเค้าอาจจะไม่มีคนมาสอนก็ได้.....แล้วการจะเผชิญหน้ากับหลายๆอย่างในชีวิตโดยการคิดถึงอะไรอย่างเดียวโดยไม่แคร์สังคม....อยู่ได้ครับ....เหมือนเลื่อยยนต์....แต่ลำบากครับ...ทางชีวิตของใครก็เป็นของคนนั้นครับ....ชีวิตเราคงไม่ได้มีแต่เลื่อยยนต์หละมั้งครับ?.....หรือว่าไม่แน่?...

........Pinoccio ผมเคยดูครับ....แต่นานมาแล้ว...มีเวอร์ชันประหลาดๆที่มีโรแบร์โต บีนีญี ที่ได้ Oscar จาก Life is beautiful แสดงเมื่อสักปีหรือสองปีก่อนผมไม่แน่ใจ.....แต่ไม่ได้ดูครับ...รู้สึกแปลกๆที่ Pinoccio เป็นผู้ใหญ่แก่ๆแบบแปลกๆครับ....ผมจำตัวละครไม่ค่อยได้แล้วครับ....แต่ถ้าคุณชอบแนวนี้...พรุ่งนี้ Peterpan เวอร์ชั้นล่าสุดจะเข้าฉายครับ....ลองดูก็ดีนะครับ...ผมคิดว่าดนตรีประกอบเรื่องนี้น่าจะเพราะครับ.....ที่ฟังจาก Trailer นะครับ...:D..:D



Posted by : Death , Date : 2004-03-03 , Time : 23:28:01 , From IP : 202.133.140.21

ความคิดเห็นที่ : 12


   วิชาเอาตัวรอดโดยไม่คำนึงอะไรนั้นไม่ต้องสอนครับ เป็นเอง รวมทั้งผมเองด้วย การเดินอยู่ในกรอบนั้นยากกว่าเยอะกับการเดินตามใจ ตามสะดวก เพราะฉะนั้น skill ในส่วนหนึ่งที่จะเผชิญกับอะไรๆนอกเหนือจากอุดมคตินั้น ผมเก็บไว้ให้แต่ละคนดัดแปลงแก้ไขเอาเอง ไม่มีมหาวิทยาลัยชีวิตสำเร็จรูปที่ไหนหรอกครับ แต่อย่างที่เราฝึกเทนนิสแหละครับ เราเอา basis พื้นฐานและหลักวิชาไปก่อน จบแล้ว ออกไปนอกโรงเรียนเราแต่ละคนจะมีวิถีชีวิตที่เป็นปัจเจกบุคคล ถึงตอนนี้อะไรๆที่สั่งสมมาก็จะบูรณาการเป้นบุคลิกภาพส่วนตัว เป็นหลักปรัชญาส่วนตัว ไม่เหมือนกัน

ปรัชญาชีวิตในช่วงชีวิตหนึ่งๆ ผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายครั้ง โดยข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นมันไม่แปลกอะไรที่ช่วงชีวิตหนึ่งจะทำให้เราไม่เคยเข้าใจเรื่องราวบางเรื่อง แต่พออีกไม่กี่ปีภาพพจน์ความรู้สึกก็สามารถเปลี่ยนไปได้อย่างสิ้นเชิง มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆเกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น รับเงินเดือนครั้งแรก มีแฟน มีครอบครัว มีลูก ลูกเรียนจบ ลูกแต่งงาน พ่อแม่ตาย เกษียณ แก่ เจ็บ หลง สุดท้ายก็หมดไปอีกวงจรหนึ่ง

ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ผมยังไม่อยากจะสรุปว่ามีคนเลว ไม่ดี หรือประพฤติไม่สมควรหรือไม่ ระบบของเราดีไม่ดีเพียงไร เพราะยังไม่มีการ investigate ให้เป็นเรื่องเป็นราว ที่ผมเสนอให้มีก็คือการทำอะไร "ให้เป็นเรื่องเป็นราว" นั่นเอง ถ้าคิดว่าระบบเป็นสิ่งที่ช่วยแก้ไขปัญหา ก็ควรจะเริ่มจากการนำอาเรื่องไป start โดยใช้ระบบ ใช้ตัวแทน ใช้คนกลาง และแก้ปัญหาโดยไม่ใช้อารมณ์ ใช้หลักการไม่ใช่ความรู้สึก



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-04 , Time : 00:08:10 , From IP : 172.29.3.227

ความคิดเห็นที่ : 13


   ..........ผมเห็นด้วยครับ....เรื่องการทำให้เป็นเรื่องเป็นราว...แต่ถามจริงเถอะครับ...จะมีใครกล้าเป็นคนทดสอบระบบที่ว่านี้บ้างหละครับ.....อาจจะมองแง่ดีอย่างที่คุณว่า....อันนั้นก็ดีไป....แต่ถ้ามันมาลงเอยแบบที่ผมคิดหละ?.....ใครจะเป็นคนช่วยเหลือคนทดสอบคนนี้...คุณจะการันตีว่าคนทดสอบนี้จะปลอดภัย.....ไม่มีใครกล้าว่าอะไร....ไม่มีใครกล้าทำอะไร....ทุกอย่างถ้าเกิด failed ขึ้นมา....จะไม่มีอะไรเสียหาย.....คุณจะการันตีตรงนี้ได้หรือ...โอเคการทำอะไรต้องเสี่ยงบ้างหละ....แต่จะเสี่ยงทั้งทีควรจะคุ้มค่าและมีโอกาสสำเร็จมากๆหน่อยหละ....ผมเองอยากทราบเหมือนกันว่าผู้ตั้งกระทู้นี้จะเลือกแบบไหน....แต่ถ้าถามผมส่วนตัว....ผมอยากเห็นว่าระบบนี้ Work จริงหรือไม่เหมือนกันครับ.....แต่คุณคงไม่ลืม.....ว่าพวกผมเคยคิดทดสอบระบบมาแล้วอย่างที่คุณว่า เมื่อสัก 3-4 เดือนก่อน.....คุณน่าจะนึกออกว่าเรื่องอะไรที่พวกผมอุสาห์ประชุมกันเองทั้งหมดและได้ตัวแทนพร้อมรายชื่อยินยอมทั้งหมด.....แล้วคุณเห็นไหมหละ....ว่ามันล่มลงได้ไง....ผมยังมาตั้งกระทู้ถามคุณเลยว่าทำไงดี?...จะลุยต่อ...หรือปล่อยให้มันล่มไป?....นี่คือคำถามของผมหละ.....?.....คุณมีคำแนะนำเปลี่ยนไปจากเมื่อ 4 เดือนก่อนไหมหละครับ?...คุณอาจจะต้องคิดตอบคำถามผมก่อนให้ได้ว่า.....เรื่องเมื่อ 4 เดือนก่อนนั้นเป็นการยืนยันว่าระบบนี้ไม่ Work จริงหรือไม่.....แล้วคุณมีทางแก้ให้ตรงจุดนี้ Work ไหมหละ?.....



Posted by : Death , Date : 2004-03-04 , Time : 00:36:07 , From IP : 202.133.139.68

ความคิดเห็นที่ : 14


   ตรงกันข้าม ถ้าทำโดยเป็นเรื่องเป็นราวจะเป็นวิธีที่ปกป้อง Individual ได้ดีที่สุด

แทนที่จะให้มี "เจ้าทุกข์" เป็นนักศึกษาคนหนึ่งคนใด แต่ให้มี Meeting โดยสโมสรนักศึกษาแพทย์ ตั้งกระทู้เป็นข้อเสนอการปรับปรุงเงื่อนไขการเสนอรับทุนการศึกษา และอภิปรายโดยตัวแทนนักศึกษา อาจารย์ ตัวแทนผู้บริหารคณะฯ แล้วออกมาเป็นข้อสรุปหรือกฏเกณฑ์ที่สามารถตรวจสอบได้ เช่น เงื่อนไขการตรวจสอบผู้รับทุน ฯลฯ โดยวัตถุประสงค์ของการประชุมที่ว่า ไม่ใช่เป้นการล่าหาตัวอาชญากร แต่จะเป็นการป้องกันและสร้างระบบที่รัดกุมและแก้ปัญหาที่ทำให้มีการรั่วไหล ทำอย่างนี้แล้วจะไม่มี "โจทย์" ไม่มี "หมาหัวเน่า" ไม่มี "whistle blower" คนออกกฏ หรือระบบใหม่เป็นการออกโดย organiozation body ขอ_ส่วนกลาง ดำเนินงานและริเริ่มโดยองค์กรนักศึกษา โดยมีรากฐานมาจากความต้องการในการแก้ปัญหาการรั่วไหลของงบประมาณแผ่นดิน ไม่มีคนที่จะไปช่วยเหลือ หรือต้องตั้ง witness protection programme จากการก่อกวนของ Mafia อะไรนั่นให้มันยุ่งยาก

กับอีกวิธีคือปล่อยเลยตามเลย เรื่องนี้เป็นธรรมชาติ แต่ผมเตือนไว้อย่างหนึ่ง "วัฒนธรรม" นั้นเกิดจากการที่เราปฏิบัติเป็น "ปกติ" นี่แหละครับ เรายอมะไรๆเป็นปกตินานๆเข้ามันกลายเป็นวัฒนธรรม เช่น การใส่หมวกตะเบ๊ะยามหน้าประตู การไม่มี queue การไม่มีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ คำว่า "ไม่เป็นไร" หรือ "ช่างมันเถอะ" นี่แหละที่เป็นบ่อกำเนิดหลายสิ่งหลายอย่างที่เราว่าเกนแก้ในขณะนี้

ผมนึกไม่ออกว่าพวกคุณมีการริเริ่มประชุม รวมส่งรายชื่ออะไรอย่างเป็นทางการแนะขอเสนออะไร มีแต่การเสนอยืนยันว่าจะไม่มีการออกชื่อเพราะกลัวเจ็บตัวอะไรทำนองนั้น ช่วย remind ผมอีกทีได้ไหมครับว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร อย่าลืมว่าข้อเสนอนั้นแปลว่าต้องผ่านการอภิปรายเรือ่งการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่การให้ blank cheque ว่าขออะไรก็จะได้หมด วันนี้พึ่งมีประชุมแพทย์ใช้ทุนทั้งหมดที่ภาคฯ เรื่องการอยู่เวร เรื่องความหมายของ chief resident เรื่องการ consult เรื่องการ round ward เรื่องการรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย มีการซักถามและอภิปรายแบบเปิดก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร คุณ Death ลองไป update ตัวเองกับเพื่อนๆว่าขาดตกอะไรไปบ้างก็ได้ ไปเอาข้อมูลมาให้เรียบร้อยซะก่อนที่จะมาบอกผมให้ตอบอะไรคุณให้ได้ก่อน



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-04 , Time : 00:55:14 , From IP : 172.29.3.227

ความคิดเห็นที่ : 15


   ..........ผมไม่อยากจะพูดออกมาโดยตรงครับ.....กลัวจะยาว....เอาหละถ้าคุณลืม....เรื่อง ER ไงครับ.....เราจัดประชุมทุกชั้นปีโดยมีข้อสรุปเดียวกัน....และมีตัวแทนแต่ละชั้นปี....เพื่อที่จะขอพบผู้อำนวยการโรงพยาบาล......พอนึกออกหรือยังครับ....ว่าสุดท้ายแล้วจุดจบของความพยายามนี้อยู่ที่ตรงไหน?......แล้วคุณทราบใช่ไหมครับ....ว่าใครคือคนที่เจ็บตัวบ้าง....นั่นคือความพยายามที่ผมคิดว่าตามหลักการ....เราต้องการพบเพื่อชี้แจง....พูดคุย....แล้วเราได้อะไร....?

.........คุณบอกเองว่าเรายังไม่มีการทดสอบระบบ......ผมเลยยกตัวอย่างให้ฟังว่าเรามี....เราเคยพยายามที่จะมี....หรืออะไรก็ตามแต่....ผมเลยสงสัยอยากทราบว่า....สิ่งที่พวกผมทำตอนนั้น....เรียกว่าการทดสอบระบบอย่างที่ว่าได้หรือเปล่า....และนั่นเพียงพอหรือยังสำหรับการทดสอบเรื่องนี้....?........และนั่นคือการทำเป็นเรื่องเป็นราวอย่างที่คุณว่าหรือเปล่า.....และมันปกป้อง Individual ได้ยังไงไม่ทราบครับ?....ว่าไงครับ....พอจะนึกออกบ้างหรือยัง....คุณทราบเรื่องนี้....เพราะผมตั้งกระทู้ถามคุณเรื่องนี้ว่าจะทำอย่างไรดี....ผมไม่แน่ใจว่ากระทู้นั่นยังอยู่หรือเปล่า....จะลองหาดูก็ได้นะครับ....

........ส่วนเรื่องการประชุมวันนี้ผมทราบครับ....อีกอย่างนะครับ....อย่าคิดว่าไม่มีใครพูดอะไร นั่นหมายถึงไม่มีปัญหาอะไร....อาจจะมีก็ได้....แต่ไม่พูดเอง....ซึ่งคุณจะคิดว่า....ไม่ยอมบอกมาว่ามีปัญหาอะไรก็อย่ามาบ่นก็แล้วกัน.....อันนั้นก็แล้วแต่คุณครับ....เคยบ้างหรือเปล่าหละครับ....เวลาใครถามว่ามีปัญหาหรือเปล่า.....แล้วตอบว่าไม่เนี่ย?....แล้วคุณคิดว่าคนที่ตอบว่าไม่เนี่ย....เป็นพวกขี้เกียจมีปัญหา...ละเลยปัญหา....ไม่ใส่ใจ....ไม่สนใจ..หรือ.....คิดว่าคนที่ถาม....ช่วยอะไรไม่ได้.....ไม่รู้จะบอกไปทำไม...????....ไปบ่นกันเองหลังงานดีกว่ามั้ง....เรามันแพทย์ใช้กรรมนิ....ทนได้ทนไป....อย่าให้มันเกินไปก็แล้วกัน....เฮ้ออออออออออออออออออออ

.........ส่วนที่คุณแนะนำข้างต้นฟังดูเข้าท่าครับ....แต่ส่วนใหญ่ที่เราเห็นๆกัน...กว่าเราจะมองว่าอะไรเป็นปัญหา...ต้องมีคนซวยหรือคนรับเคราะห์ก่อนทั้งนั้น.....แบบที่หนังสือพิมพ์ชอบลงว่า...วัวหายแล้วล้อมคอก....หมากัดเด็กคนนึง....ถึงมีมาตรการควบคุมหมา...แก๊สระเบิดทีนึง....ค่อยห้ามรถบรรทุกแก๊สวิ่ง....เอาเรื่องใกล้ตัวก็ได้ครับ.....แม้แต่ใน Conference ยังมีคนชอบถามกันจัง...ว่าวันนั้นใครอยู่เวร.....เฮ้อออออ...



Posted by : Death , Date : 2004-03-04 , Time : 01:33:52 , From IP : 202.133.139.68

ความคิดเห็นที่ : 16


   ผมจำไม่ได้ว่าตัวแทนแพทย์ใช้ทุนเคยพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลตอนไหน

และไม่ครับ ผมยังไม่ทราบอยู่ดีว่าใรเจ็บตัวและเจ็บตัวอย่างไร ช่วยกรุณาขยายความด้วย

ผมจำได้ในอีก Meeting หนึ่ง ที่ไม่ใช่กับ ผอ.โรงพยาบาล และผลสรุปในวันนั้นคือสิ่งที่แพทย์ใช้ทุนเข้าใจกับสิ่งที่โรงพยาบาลออกกฏมานั้นไม่ตรงกัน นั่นคือข้อสรุปของวันนั้น ไม่เคยมีกฏที่บอกว่าแพทย์ที่อยู่เวรสามารถเลือกตรวจเฉพาะผู้ป่วยที่ตนเองสังกัดภาควิชาฯ และถ้าจะพูดถึงหลักการ ผมว่าอันนี้แหละที่ตรงกับหลักการของความเป็นแพทย์เวรห้องฉุกเฉินมากที่สุด

สิ่งที่ทำไปคือการทดสอบระบบแน่นอน นั่นคือมีการ clear ความเข้าใจผิด และเรื่องของเรื่องก็คือหลังจากที่ clear ไปแล้วว่าเข้าใจผิด หลังจากนั้นก็น่าจะเข้าใจตรงกันแล้ว ผู้บริหารที่มาในวันนั้นเข้าใจว่าแพทย์ใช้ทุนเข้าใจว่าอย่างไร และผมว่าแพทย์ใช้ทุนก็น่าจะเข้าใจแล้วว่าเนื้อหาที่ต้องการสื่อแต่แรกเริ่มนั้นตนเองควรจะเข้าใจอย่างไรจากการชี้แจงในวันนั้น ที่ผมบอกนี่เพราะผมอยู่ด้วยและได้ยินการแลกเปลี่ยนจากทั้งสองฝ่าย ส่วนเสร็จแล้วใครไม่พอใจแล้วสรุปว่าระบบนี้ไม่ work นั้นเป็นการประเมินอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับเรื่อง ER ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนข้อมูลส่งกลับไปมา แต่ที่แน่ๆคือความเข้าใจของผู้สื่อและผู้รับไม่ตรงกัน หลังจากที่ปรับความเข้าใจ ผมมไหนความเจ็บตัวจากการปรับความเข้าใจในครั้งนั้น หรือถ้ามีลองชี้แจงว่าคืออะไรให้พวกเราทราบกันดู เพราะผมถามหลายหนต่างกรรม ต่างวาระว่าไอ้ที่ว่าเจ็บตัว อำนาจมืด นั้นน่ะจริงๆเป็นอย่างไร ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่คุณจะให้ตัวอย่าง

พอมีประชุมถามว่าใครมีปัญหา ไม่มีคนตอบ คุณจะให้สรุปว่าเรามีปัญหาเต็มไปหมดแต่ไม่มีใครพูดยังงั้นก็ได้ แต่ก็คงไม่มีการแก้ปัญหาเหมือนเดิม ไอ้การที่บ่นว่ามีปัญหาๆ แต่ไม่เคยชี้แจงออกมาให้เข้าใจ Intellectually ได้ว่ามันคืออะไรอันนี้ลำบากครับ ลำบากมาก เรียนแพทย์หกปี เรียนศัลยแพทย์ต่ออีกห้าปี แต่ไม่สามารถอธิบายให้แพทยืด้วยกันว่าปัญหาคืออะไร ผมว่าที่แน่ๆคือปัญหา communication skill อย่างหนึ่ง ปัญหาเรื่อง professionalism อีกอย่างหนึ่งคือความสามารถในการทำงานร่วมกับคนหมู่มาก ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ serious จริงๆสำหรับสายอาชีพของเรา

ใน conference ที่เราถามว่าใครอยู่เวรนั้นน่ะ ผมเข้าใจว่าเพราะมันมี pitfall ในการดูแลรักษาผู้ป่วย ซึ่งพวกเราที่อยู่ในระบบ Training นี่แหละต้องแก้ไขปรับปรุง ถ้าคุณไม่ทราบมาก่อนว่าถามเพราะอะไร ก็ขอชี้แจงไว้ตรงนี้เลย ศัลยแพทย์ที่ผมรู้จักนั้น แต่ละท่านผ่านการตักเตือน การถูกตักเตือนมามากมายตอน trained และในสถาบันที่ผมเห็นที่อื่นนั้น บอกได้เลยว่าของเราไม่ได้ติด top ของความเข้มงวดแม้กระผีกริ้น และอาจารย์ศัลยแพทย์ที่ผมเคยเห็นนั้น ก็จะเข้มงวดในการที่จะถ่ายทอด "ความรู้สึกรับผิดชอบ" นี้ให้แพทย์รุ่นต่อๆไปคงไว้ ผมว่าเป็นเรื่องดี ถ้ามันจะมีใครไม่ชอบดูคนไข้ ไม่ชอบ consult ชอบสั่งให้น้องทำแทน ผมว่าเป็นเรื่อวถูกต้องที่เราไม่ควรจะตำหนิความรับผิดชอบแบบเหมาโหล แต่เป็นจำเพาะเจาะจง tradition ของ captain of the ship ผมว่ายังจำเป็นอยู่สำหรับ field นี้



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-04 , Time : 02:08:26 , From IP : 172.29.3.227

ความคิดเห็นที่ : 17


   .....พวกเราไม่ได้พบผู้อำนวยการโรงพยาบาลหรอกครับ....ผมว่าอันนั้นคุณทราบอยู่แก่ใจแล้วว่าเพราะอะไรถึงพบไม่ได้.....และจะเกิดอะไรกับใครบ้างขึ้นถ้ายังขืนดันทุรังไปพบ.....คุณจะให้ผมเขียนลงมาเพื่อให้คนทั้งโรงพยาบาลอ่านกันดีไหมครับ.....ไม่หละครับ...ผมไม่ได้ถือเป็นแต่เลื่อยยนต์......ผมยังจำคำแนะนำของคุณได้นะครับ....ที่ว่า...ให้อดทน.....แต่ผมว่าคุณคงลืมแล้วหละ....ผมเสียใจนะครับ...ไม่คิดว่าคุณจะลืมได้ง่ายๆ.....ขอบคุณที่อุสาห์เขียนมาตั้งนาน....ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้วครับ....

......Peterpan เวอร์ชั่นนี้ค่อนข้างใช้ได้นะครับ...เหมาะสำหรับพาครอบครัวไปดูครับ....ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรที่รายรับที่อเมริกาจะได้ไม่มาก...เพราะหนังแนวนี้ทำบ่อยๆคงไม่ไหวเหมือนกัน....เวอร์ชันก่อนหน้านี้ที่ผมดูคือ Hook....ผมคิดว่าส่วนตัวแล้วผมชอบอันนั้นมากกว่าครับ....แต่อันนี้ก็ดูดีเหมือนกัน......



Posted by : Death , Date : 2004-03-04 , Time : 17:49:15 , From IP : ppp-203.118.82.117.r

ความคิดเห็นที่ : 18


   เนื่องจากผมไม่ได้ติดต่อกับตัวแทนแพทย์ใช้ทุนตลอดเวลา ผมไม่ทราบหรอกครับว่ามีครั้งไหนที่คุณส่งตัวแทนขอพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลแล้วไม่ได้พบบ้าง ที่ผมได้เข้าร่วมอยู่ครั้งหนึ่งนั้นจากที่ผมเข้าใจ นั่นเป็นเพราะผู้บริหารท่านนั้นอยากมาชี้แจงเอง และไม่ได้มาในฐานะตัวแทนคณะฯ หรือตัวแทนผู้อำนวยการด้วย แต่เป็นในฐานะของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นและต้องการรับฟังความเข้าใจของแพทย์ใช้ทุนภาคศัลย์เพียงภาคเดียวอย่างไม่เป็นทางการด้วยเพราะไม่มีบันทึกการประชุม แต่เราทั้งคู่ได้ยินว่าคุยอะไรกันบ้าง

ตรงนี้ตอบคำถามที่ว่าผมทราบอยู่แก่ใจอะไรนั่นรึเปล่าไม่ทราบ แต่ผมยังไม่ทราบและไม่อยากเดาอยู่ดีครับว่าถ้าหากไม่ได้ขอพบเป็นทางการและนัดพบให้เรียบร้อยก่อนและคุณดันทุรังบุกเข้าไปพบแล้วอะไรจะเกิดขึ้น และถ้าในที่ที่มีการบริหารปกติของโลกนี้เขาจัดการอย่างไรกับพฤติกรรมแบบนั้น คุณอยากจะเขียนอะไรให้คนทั้งโรงพยาบาลอ่านนั้นเป็นเรื่องความเหมาะสมของคุณเองครับ ไม่เกี่ยวกับความต้องการหรือความอยากของผมแต่อย่างใด ถ้าสรุปออกมาตรงกับที่ผมเข้าใจผมก็ไม่เหนจะเสียหายอะไรที่ทุกคนในโรงพยาบาลจะทราบว่าเราคุยอะไรกันบ้าง ถ้าไม่ตรงผมจะตอบ version ที่ผมเข้าใจมาเปรียบเทียบกันด้วยกิริยาและวาจาอย่างที่ปกติผมทำอยู่ทกครั้ง เราเป็นนายของการกระทำของเรา และก็เป็นทาสของผลแห่งการกระทำนั้นๆด้วย คุณ Death กำลังฝึกเป็นศัลยแพทย์คงทราบดีถึงคำ "ความรับผิดชอบ" ดังนั้นจะทำหรือไม่ทำอะไรไม่ต้องรอ approve

ผมอาจจะลืมอะไรอยู่บ้างเหมือนกันครับ ถึงแม้ว่าความจำจะเป็นหนึ่งใน function ของสมองที่ดีที่สุดของผม เป็นไปได้หรือไม่ว่าคุณ "เข้าใจ" ว่าผมลืมอะไรโดยที่สิ่งนั้นไม่เคยอยู่ในหัวผมมาก่อน? ที่ถามเพราะว่าเรามี communication deficit กันเยอะมากเป็นเรื่องปกติ ที่ผมเตือนอะไรใครไว้บ้างนั้นขอให้สำเนียกอยู่ประการหนึ่งคือ ทุกอย่างนั้นมี "บริบท" ครับ ไม่มีคำๆเดียว หรือพฤติกรรมอย่างใดที่เป็น universal ใช้ได้หมดทุกสถานการณ์

ผมไม่ทราบว่ามันเลื้อยมาลงเรื่องนี้ได้อย่างไร อาจจะเป็นเพราะ anti-system ของคุณ หรือไม่ก็ pro-system ของผม



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-04 , Time : 19:00:34 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 19


   ก็บอกไปซิโว๊ย
ว่าใครสั่งไม่ให้ไปพบ
ใครที่สั่งว่าถ้าไปพบจะไม่ส่งสอบนะ
ใจไม่กล้าเลย


Posted by : แรมโบ้ , Date : 2004-03-05 , Time : 01:03:15 , From IP : ppp-203.118.83.156.r

ความคิดเห็นที่ : 20


   ผอ.รพ. ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวกับการส่งไม่ส่งใครสอบบอร์ดครับ แล้วที่คุณ Death พูดถึง ไม่ได้มีใคร "ห้าม" ไม่ให้ไปพบ แต่ยังไม่มี "การนัดไปพบ" ให้เรียบร้อยก่อนเท่านั้นเอง





Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-05 , Time : 15:57:36 , From IP : 172.29.3.250

ความคิดเห็นที่ : 21


   อิจฉาเค้าเหรอที่ตัวเองไม่มีเหมือนเค้าอ่ะ

Posted by : ทศ , Date : 2004-03-11 , Time : 23:46:02 , From IP : 202.133.167.39

ความคิดเห็นที่ : 22


   เดี๊ยนจะเล่านิทานให้ฟังค่ะ คุณ Phoenix

เช้าวันหนึ่งก่อนที่จะมีการส่งตัวแทนพชท.ไปพบผ.อ.
มีการเรียกพชท.ปีโตเข้าไปที่ภาควิชาทีละคน2คน
ไม่รู้ไปทำอะไร สงสัยจะเลี้ยงข้าวมั๊งคะ
แต่พอเดินออกมามีธงขาวเหน็บหลัง
และก็ไม่มีการเข้าพบผ.อ.อีกหลังจากนั้น
และเรื่องนี้ก็ลอยหายไปกับสายลมและหยาดเหงื่อคราบน้ำตาของแพทย์ใช้ทุน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "กรุณาฟังคุณ Death บ้างเถอะค่ะ ความจริงก็คือความจริงค่ะ"


Posted by : Alive , Date : 2004-03-12 , Time : 08:31:52 , From IP : proxy-mu2.mahidol.ac

ความคิดเห็นที่ : 23


   ไม่ได้มีการว่าใครว่าโกหกเลยนะครับ แต่ perception ของแต่ละเรื่องนั้นออกมาตาม ผู้ให้ บริบท และผู้รับ ผมและคุณ Death ได้รับทราบและแลกเปลี่ยน version ของเหตุการณ์เดียวกัน เรื่องเดียวกันมาหลายเรื่อง แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่เรามีข้อสรุปไม่เหมือนกัน ผมไม่ใคร่ขอให้ใครฟังผมเท่าไหร่นักเพราะเหตุนี้ ความจริงของผมนั้นอาจจะไม่ใช่สำหรับคนอื่น

การศึกษาคือ "การเปลี่ยนแปลง" ครับ ถ้าเราเข้าห้องไหนไปแล้ว ตอนกลับออกมายังคิดเหมือนเดิม ยังรู้เท่าเดิม ยังมั่นใจเหมือนเดิม ก็เท่ากับเราใช้เวลาไปโดยไม่มีการศึกษาเกิดขึ้น การเรียนรู้นั้นเกิดยากขึ้นเรื่อยๆตามความยึดมั่น "ความจริง" ที่แต่ละคนเรียก เสมือนเหล็กดีที่ทำดาบ Dai-katana ของซามูไรนั่นแหละครับ ต้องตีแล้วตีอีก เปลี่ยนรูปแล้วเปลี่ยนรูปอีกกว่าจะได้ดาบที่เหนียวแต่แกร่ง คมแต่ไม่เปราะ บางเบาแต่ทนทาน บางทีเราอาจจะได้ประโยชน์เมื่อทบทวนว่าคนที่มีความคิดเหมือนหรือต่างกับเรานั้นเพราะอะไร เขาก็อาจจะเคยผ่านชีวิตแบบเรามาแต่อะไรที่เขาผ่านมาเพิ่มเติมหรือมากกว่าเราที่ทำให้บทสรุปมันต่างออกไป และที่เพิ่มมานั้นมันทำให้เขาหลงทาง หรือทำให้เขาเห็นทางชัดเจนมากขึ้น

"ความจริง" ที่ว่ากัน โดยส่วนใหญ่คือ facts ไม่ใช่ truth ส่วนที่ต่างกันคือ Fact นั้นแปรเปลี่ยนตามบริบท ตาม ability to understand แต่ truth นั้นพอเข้าใจปุ๊บก็อยู่อย่างนั้น ตัวอย่างของ truth ได้แก่ อริยสัจสี่ เป็นต้น



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-12 , Time : 15:02:45 , From IP : 172.29.3.191

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.012 seconds. <<<<<