> เฉลย " ปาเข้าไปสามสิบยังไม่มีผัว " > > ใครดันถาม มันผู้นั้นสมควรตาย > > > > ตอนเรียนหนังสือเป็นนักเรียนนักศึกษา คุณพ่อคุณแม่ก็สอนนักสอนหนาว่า > > " อย่าริรักในวัยเรียน " "ตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี จบแล้วค่อยมีแฟน " > > ทั้งๆ ที่ไอ้ตอนเรียนหนังสือมีโอกาสพบปะเพศตรงข้ามมากหน้าหลายตา > > ก็หาได้สนใจไม่ เป็นคนประเภท " รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่เรียน " > > ทุ่มเทชีวิตให้แก่การศึกษา เมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา > > เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน > > > > หลังจบการศึกษา ประกอบสัมมาอาชีวะ ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาว่าง > > "เลือกสรร - ควานหา" ผู้จะมาเป็นเจ้าบ่าวในอนาคต > > ตั้งสเปกว่าต้องได้แฟนหนุ่มประเภทซูเปอร์เพอร์เฟค > > อย่างวิลลี่ แมคอินทอชหรือจอห์นนี่ แอนโฟเน่ หรืออย่างน้อยๆ > > ก็ต้องมาดแมนแฮนซั่ม หล่อล่ำดำขรึม ถึง > > จะได้มาตรฐาน ไอ้ประเภทหุ่นอัฟริกา หน้าติมอร์ > > อย่าได้สะเออะหน้ามาให้เห็น ไม่มีทางได้แอ้มหรอก > > > > จากวันเป็นเดือน - จากเดือนเป็นปี > > ความรักไม่มีวี่แววคืบหน้าแม้วันเวลา > > ผ่านไป เพราะที่ทำงานทั้งห้องมีผู้ชายอยู่แค่ 5 คน - > > เจ้านายก็มีเมียแล้ว ไม่อยากตกเป็นภรรยาบุญธรรม > > สองคนดันเป็นเกย์ อีกคนยังลังเลอยู่ว่าจะเป็นดีหรือเปล่า > > คนสุดท้ายเป็นชายแท้ แต่กำลังถูกแย่งตัวระหว่างเกย์สองคนอยู่ > > ไม่อยากเข้าไปเป็นมือที่สาม นั่งรถมาทำงาน ก็สองชั่วโมงครึ่ง > > กลับอีกสองชั่วโมงสี่สิบนาที กลับถึงบ้าน หมดสิ้นกำลัง > > ขอนอนเอาแรงก่อน......... > > > > ขณะที่งีบหลับอย่างสนิท ภาพในความฝันที่เธอเห็นคือ > > สถาบันการศึกษาที่เธอจบมา > > แหล่งที่มีเพศตรงข้ามชุกชุม เธอหวนรำลึกนึกถึงผู้ชายดีๆ > > ที่เขาเคยอุตส่าห์มาเฝ้าตามจีบ ตามง้อตามตื้อ > > แล้วเราเล่นตัวจนเคยตัว ในที่สุดผลประโยชน์ตกอยู่ที่เพื่อนสนิท > > เป็นที่เรียบร้อย > > แหม ! ไม่น่าเลย ยิ่งคิดยิ่งเสียดายจริงจริ๊ง ตื่นพอดี > > > > เจอโลกแห่งความจริง > > ดำเนินชีวิตไปแต่ละวัน ยิ่งเข้าหน้าหนาว ซองสีชมพูกลิ่นหอมๆ จากเพื่อนๆ > > เริ่มทยอยมา ตามหลังซอง กฐินซองผ้าป่าที่เพิ่งหมดฤดูกาล > > พอไปในงาน ดันเจอคำถามสะกิดใจอีกว่า > > "เมื่อไรจะถึงคิวแจกการ์ดของตัวบ้างล่ะ"... > > "โถ! การ์ดแต่งงานน่ะพิมพ์เสร็จแล้ว > > เหลือแต่ชื่อเจ้าบ่าวที่ยังไม่ได้เลือกว่าจะเป็นใคร > > เพราะครั้งนี้เขาเปลี่ยนระบบเลือกตั้งใหม่ ยังงงๆ > > เรื่องปาร์ตี้ลิสต์อยู่เลย" > > เอ๊ะ เกี่ยวอะไรกัน! ในใจก็คิดว่า " ก็ฉันอยู่เป็นโสดนี่มันไม่ดียังไง > > หนักกระบาลใครรึเปล่า" > > > > เคยตั้งคำถามกันไหม ว่าทำไมต้องแต่งงาน (กันด้วย!) > > คำตอบจากเพื่อนๆ ที่แต่งงานแล้วหรืออยากจะแต่งงานอาจมีหลากหลาย > > "อยู่คนเดียวมันว้าเหว่ อยากมีใครสักคนไว้แก้เหงา " > > รายนี้เห็นผู้ชาย เป็นตัวคลายเหงา > > "รายได้ไม่พอใช้ หาคนช่วย (หาเงิน) " ผมกลัวมาช่วยผลาญเงินมากกว่า > > "อยากมีลูก ก็ต้องหาพ่อก่อนสิ " > > เกิดได้ลูกแล้วจะทิ้งพ่อรึเปล่าเนี่ยะ > > "โรงงานพร้อมแล้ว ขาดผู้ประกอบการ" > > เจ้าของคำตอบกำลังหาผู้ร่วมลงทุนฯลฯ > > > > อันว่า " ชีวิตคู่ " อยู่ไปเพื่อสิ่งใด ? > > ชีวิตคู่ คือ การเติมเต็มซึ่งกันและกัน ดังนั้นเมื่อมีชีวิตสมรสแล้ว > > ครึ่งหนึ่งของ ชีวิตเราจะหายไป > > ในส่วนที่ขาดจะมีครึ่งชีวิตของอีกฝ่ายมาเติมแต่งแห่งพื้นที่ว่างนั้น > > ขณะที่ครึ่งชีวิตของเราที่หาย ก็มิได้สูญสลายไปไหน > > มันก็ไปเติมที่ว่างของคู่เรานั่นเอง > > > > จุดมุ่งหมายของการแต่งงานคือ > > การใช้ชีวิตคู่ให้มีความสุขมากขึ้นและมีชีวิตที่ดีขึ้น > > เมื่อเป็นสามีภรรยาแล้วต้องมีความสุขมากกว่าตอนอยู่คนเดียว > > ถ้าตอนอยู่ด้วยกันแล้ว มีแต่ความทุกข์ ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน > > ก็ไม่รู้ว่า จะแต่งงานไปหาพระแสงดาบคาบค่ายที่ไหน > > อยู่คนเดียวมันส์กว่า > > > > ชีวิตคู่ต้องเกื้อกูลกันและกัน ความก้าวหน้าของสามี ภรรยาต้องมีส่วน > > อย่างน้อยก็ปลอบใจในยามที่สามีเครียดจากการงาน > > ชีวิตภรรยาถ้าไม่คิดเอาดี ในทางโลกก็เจริญในทางธรรม > > กำลังใจต้องได้จากสามีเช่นกัน อย่างน้อยก็อย่าหาทุกข์มาสุมเพิ่ม > > ถ้าคู่รักของเราป> ระกอบมิจฉาอาชีวะ ติดเหล้า เล่นการพนัน > > โกงบ้านกินเมือง > > ชีวิตอีกฝ่ายก็เหมือนตก นรกทั้งเป็น > > > > เพราะฉะนั้นเวลาเลือกแฟน แทนที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องรูปร่างหน้าตา > > ฐานะการเงิน ยี่ห้อรถเก๋งที่ใช้อยู่ ฯลฯ > > เปลี่ยนเป็นเงื่อนไขแค่สองข้อที่จำแสนง่าย คือ > > หนึ่ง - สุขใจยามอยู่ใกล้ชิด > > สอง - คู่ช่วยคิดชีวิตก้าวหน้า > > เพราะชีวิตคู่คือการเติมเต็มชีวิตแก่กันและกัน > > หาใช่เป้าหมายเพื่อการเสริม เพิ่มความเสียว > > เพราะอยู่คนเดียวก็เสียวได้ ไม่ง้อใครให้เสียเวลา > > ไม่เสียชาติเกิดหรอกครับ ถ้าคุณจะใช้ชีวิตเป็นโสด > > ถือคติประจำใจว่า "อยู่เป็นโสด ดีกว่ามีผัวเลว " " />
โสด ไม่โสด ดีบทความโดย นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล > > ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ > > > > ในฐานะผู้ชายดีๆ ที่หายากคนหนึ่ง ผมรู้สึกเห็นใจสตรีเพศจริงๆ ครับ > > ช่วงเวลาในการเลือกคู่ของเธอทั้งหลายช่างสั้นยิ่งนัก > > พราะช่วงอายุขัยของวัยสาวเริ่มผลิบานเมื่อประมาณ 13 ปี > > แล้วมาสุดเขตแดนเมื่อวัยสามสิบ > > วันเกิดครบรอบ 30 จึงเป็นตัวเลขแห่งความสะเทือนขวัญ > > ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก > > > > หลายคนไม่อยากพูดถึง คนอื่นก็ไม่ควรเอ่ยปากด้วย > > ถือเป็นมารยาทสังคมอย่างหนึ่ง ยกเว้นพวกมีวาจาเป็นอาวุธ ที่ชอบถามว่า > > "ปาอะไรเอ่ยที่ผู้หญิงกลัวที่สุด " > > เฉลย " ปาเข้าไปสามสิบยังไม่มีผัว " > > ใครดันถาม มันผู้นั้นสมควรตาย > > > > ตอนเรียนหนังสือเป็นนักเรียนนักศึกษา คุณพ่อคุณแม่ก็สอนนักสอนหนาว่า > > " อย่าริรักในวัยเรียน " "ตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี จบแล้วค่อยมีแฟน " > > ทั้งๆ ที่ไอ้ตอนเรียนหนังสือมีโอกาสพบปะเพศตรงข้ามมากหน้าหลายตา > > ก็หาได้สนใจไม่ เป็นคนประเภท " รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่เรียน " > > ทุ่มเทชีวิตให้แก่การศึกษา เมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา > > เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน > > > > หลังจบการศึกษา ประกอบสัมมาอาชีวะ ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาว่าง > > "เลือกสรร - ควานหา" ผู้จะมาเป็นเจ้าบ่าวในอนาคต > > ตั้งสเปกว่าต้องได้แฟนหนุ่มประเภทซูเปอร์เพอร์เฟค > > อย่างวิลลี่ แมคอินทอชหรือจอห์นนี่ แอนโฟเน่ หรืออย่างน้อยๆ > > ก็ต้องมาดแมนแฮนซั่ม หล่อล่ำดำขรึม ถึง > > จะได้มาตรฐาน ไอ้ประเภทหุ่นอัฟริกา หน้าติมอร์ > > อย่าได้สะเออะหน้ามาให้เห็น ไม่มีทางได้แอ้มหรอก > > > > จากวันเป็นเดือน - จากเดือนเป็นปี > > ความรักไม่มีวี่แววคืบหน้าแม้วันเวลา > > ผ่านไป เพราะที่ทำงานทั้งห้องมีผู้ชายอยู่แค่ 5 คน - > > เจ้านายก็มีเมียแล้ว ไม่อยากตกเป็นภรรยาบุญธรรม > > สองคนดันเป็นเกย์ อีกคนยังลังเลอยู่ว่าจะเป็นดีหรือเปล่า > > คนสุดท้ายเป็นชายแท้ แต่กำลังถูกแย่งตัวระหว่างเกย์สองคนอยู่ > > ไม่อยากเข้าไปเป็นมือที่สาม นั่งรถมาทำงาน ก็สองชั่วโมงครึ่ง > > กลับอีกสองชั่วโมงสี่สิบนาที กลับถึงบ้าน หมดสิ้นกำลัง > > ขอนอนเอาแรงก่อน......... > > > > ขณะที่งีบหลับอย่างสนิท ภาพในความฝันที่เธอเห็นคือ > > สถาบันการศึกษาที่เธอจบมา > > แหล่งที่มีเพศตรงข้ามชุกชุม เธอหวนรำลึกนึกถึงผู้ชายดีๆ > > ที่เขาเคยอุตส่าห์มาเฝ้าตามจีบ ตามง้อตามตื้อ > > แล้วเราเล่นตัวจนเคยตัว ในที่สุดผลประโยชน์ตกอยู่ที่เพื่อนสนิท > > เป็นที่เรียบร้อย > > แหม ! ไม่น่าเลย ยิ่งคิดยิ่งเสียดายจริงจริ๊ง ตื่นพอดี > > > > เจอโลกแห่งความจริง > > ดำเนินชีวิตไปแต่ละวัน ยิ่งเข้าหน้าหนาว ซองสีชมพูกลิ่นหอมๆ จากเพื่อนๆ > > เริ่มทยอยมา ตามหลังซอง กฐินซองผ้าป่าที่เพิ่งหมดฤดูกาล > > พอไปในงาน ดันเจอคำถามสะกิดใจอีกว่า > > "เมื่อไรจะถึงคิวแจกการ์ดของตัวบ้างล่ะ"... > > "โถ! การ์ดแต่งงานน่ะพิมพ์เสร็จแล้ว > > เหลือแต่ชื่อเจ้าบ่าวที่ยังไม่ได้เลือกว่าจะเป็นใคร > > เพราะครั้งนี้เขาเปลี่ยนระบบเลือกตั้งใหม่ ยังงงๆ > > เรื่องปาร์ตี้ลิสต์อยู่เลย" > > เอ๊ะ เกี่ยวอะไรกัน! ในใจก็คิดว่า " ก็ฉันอยู่เป็นโสดนี่มันไม่ดียังไง > > หนักกระบาลใครรึเปล่า" > > > > เคยตั้งคำถามกันไหม ว่าทำไมต้องแต่งงาน (กันด้วย!) > > คำตอบจากเพื่อนๆ ที่แต่งงานแล้วหรืออยากจะแต่งงานอาจมีหลากหลาย > > "อยู่คนเดียวมันว้าเหว่ อยากมีใครสักคนไว้แก้เหงา " > > รายนี้เห็นผู้ชาย เป็นตัวคลายเหงา > > "รายได้ไม่พอใช้ หาคนช่วย (หาเงิน) " ผมกลัวมาช่วยผลาญเงินมากกว่า > > "อยากมีลูก ก็ต้องหาพ่อก่อนสิ " > > เกิดได้ลูกแล้วจะทิ้งพ่อรึเปล่าเนี่ยะ > > "โรงงานพร้อมแล้ว ขาดผู้ประกอบการ" > > เจ้าของคำตอบกำลังหาผู้ร่วมลงทุนฯลฯ > > > > อันว่า " ชีวิตคู่ " อยู่ไปเพื่อสิ่งใด ? > > ชีวิตคู่ คือ การเติมเต็มซึ่งกันและกัน ดังนั้นเมื่อมีชีวิตสมรสแล้ว > > ครึ่งหนึ่งของ ชีวิตเราจะหายไป > > ในส่วนที่ขาดจะมีครึ่งชีวิตของอีกฝ่ายมาเติมแต่งแห่งพื้นที่ว่างนั้น > > ขณะที่ครึ่งชีวิตของเราที่หาย ก็มิได้สูญสลายไปไหน > > มันก็ไปเติมที่ว่างของคู่เรานั่นเอง > > > > จุดมุ่งหมายของการแต่งงานคือ > > การใช้ชีวิตคู่ให้มีความสุขมากขึ้นและมีชีวิตที่ดีขึ้น > > เมื่อเป็นสามีภรรยาแล้วต้องมีความสุขมากกว่าตอนอยู่คนเดียว > > ถ้าตอนอยู่ด้วยกันแล้ว มีแต่ความทุกข์ ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน > > ก็ไม่รู้ว่า จะแต่งงานไปหาพระแสงดาบคาบค่ายที่ไหน > > อยู่คนเดียวมันส์กว่า > > > > ชีวิตคู่ต้องเกื้อกูลกันและกัน ความก้าวหน้าของสามี ภรรยาต้องมีส่วน > > อย่างน้อยก็ปลอบใจในยามที่สามีเครียดจากการงาน > > ชีวิตภรรยาถ้าไม่คิดเอาดี ในทางโลกก็เจริญในทางธรรม > > กำลังใจต้องได้จากสามีเช่นกัน อย่างน้อยก็อย่าหาทุกข์มาสุมเพิ่ม > > ถ้าคู่รักของเราป> ระกอบมิจฉาอาชีวะ ติดเหล้า เล่นการพนัน > > โกงบ้านกินเมือง > > ชีวิตอีกฝ่ายก็เหมือนตก นรกทั้งเป็น > > > > เพราะฉะนั้นเวลาเลือกแฟน แทนที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องรูปร่างหน้าตา > > ฐานะการเงิน ยี่ห้อรถเก๋งที่ใช้อยู่ ฯลฯ > > เปลี่ยนเป็นเงื่อนไขแค่สองข้อที่จำแสนง่าย คือ > > หนึ่ง - สุขใจยามอยู่ใกล้ชิด > > สอง - คู่ช่วยคิดชีวิตก้าวหน้า > > เพราะชีวิตคู่คือการเติมเต็มชีวิตแก่กันและกัน > > หาใช่เป้าหมายเพื่อการเสริม เพิ่มความเสียว > > เพราะอยู่คนเดียวก็เสียวได้ ไม่ง้อใครให้เสียเวลา > > ไม่เสียชาติเกิดหรอกครับ ถ้าคุณจะใช้ชีวิตเป็นโสด > > ถือคติประจำใจว่า "อยู่เป็นโสด ดีกว่ามีผัวเลว " Posted by : No name No.1 , E-mail : (warit74@hotmail.com) , Date : 2004-02-10 , Time : 21:19:24 , From IP : dial-94.ras-1.nrt.s. |
ตอนมีโอกาสเจอคนมากมายอย่างช่วงนี้ก็ให้มองๆไว้บ้างใช่ไหม Posted by : ArLim , Date : 2004-02-11 , Time : 02:03:56 , From IP : 202.183.151.90 |
ความเห็นจาก Social Network : Facebook |
|
>>>>> Page loaded: 0.004 seconds. <<<<< |