ความคิดเห็นทั้งหมด : 32

แบบว่าไม่อยากให้กระทู้นี้หายไปเฉยๆนะ อยากให้อาจารย์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มาอ่านเองนะ


   นศพ.ชั้นclinic อยากเสนออะไรเกี่ยวกับระบบการเรียนของเราบ้างไหม

ที่ผ่านมาในแต่ละblock ได้แต่comment รูปแบบของแต่ละ block คราวนี้ลองถอยออกมามองในภาพรวมที่กว้างขึ้น ว่ารูปแบบอย่างนี้มันดีรึเปล่า ทั้งเรื่องเวลา สัดส่วนเนื้อหา การประเมินผล ฯลฯ เพื่อน้องๆรุ่นต่อไปน่ะ คิดว่าระบบการเรียนจัดมาเพื่อเรา เราก็ควรจะมีส่วนในการวิจารณ์หรือเสนอแนะ อย่างมีเหตุผลนะครับ

Posted by เด๋อ() 2004-01-26 , 00:02:14 , 172.29.4.89






ผมก็อยากจะเสนอนะครับ ... แต่คิดว่าคงไร้ประโยชน์ ในเมื่อ....มีวิสัยทัศน์ที่แคบแบบนี้ ไม่ยอมรับฟังปัญหาของพวกเรา คิดแต่อยากจะได้เป็น pioneer โรงเรียนแพทย์ PBL รู้สึกว่าตอนนี้ที่จุฬา ก็ปรับหลักสูตรเป็น PBL แล้ว คราวนี้ละ ก็จะได้รู้จริงๆซะทีว่าที่เค้ารียกว่า pioneer ของจริงหนะ เป็นยังไง ไม่ใช่แบบของ....นี้

Posted by DM() 2004-01-26 , 18:04:58 , 203.113.77.4






ของจริงที่จุฬาเป็นยังไงเหรอครับ?



Posted by Phoenix() 2004-01-26 , 18:23:36 , 172.29.3.214






ผมว่า
1. บางบล็อกไม่รู้จะเรียนทำไม เช่น Health promotiion เสียเวลา
เสนอว่า เอาเนื้อหามารวมในคอมเม็ด เอาก็น่าจะได้ เนื้อหาก็คล้ายๆกัน

2. ออโถ ทำไมแบ่งย่อยได้ขนาดนี้ อยู่ใน block pre post op ปี ๔ สองสัปดาห์ (ต้องไปวิสัญญีด้วยนะ) แล้วหายไปเลยปีนึง โผล่มาอีกทีตอนอยู่ block pre post op ปี ๕ อีก สองสัปดาห์ แล้วยังแยกเนื้อหา พวก OPD ไปบล็อก Ambu อีก ส่วนไอพวก OA ก็ดันเอามาเรียนตอน med ซะได้ แถมออกสอบด้วย งง มาก ไม่ปะติดปะต่อกันเลย
ข้อเสนอ ตัด health promo ซะแล้วเพิ่มเวลาให้เรียนออโทเป็นเรื่องเป็นราวซะที

3. Pre Post op ของปี ๕ เนื้อหาของหน่วยมากไปนะครับ อยู่แค่ ๔ สัปดาห์ (แต่ต้องเรียนตั้ง ๖ หน่วย)
ข้อเสนอ ควรแบ่งบางหน่วยไปปี ๔ บ้างนะครับ เช่น Uro เห็นปี ๔ มี lecture neuro ด้วยแบ่งไปเรียนได้ก็น่าจะ work

4. เรียน med ทั้งปี ๔ ปี ๕ มีตารางออก OPD แค่ ๖ ครั้งเอง จะไปทำมาหากินได้ไงครับเนี่ย
ข้อเสนอ ให้ปี ๔ มีออก OPD และเพิ่มในปี ๕ ด้วย)

5. ยังคิดไม่ออก


Posted by 5th year() 2004-01-26 , 20:36:14 , 172.29.4.100






ข้อ 3 แก้ neuro เป็น uro

Posted by 5th year() 2004-01-26 , 20:38:08 , 172.29.4.100






เห็นด้วยเรื่องตัด health promation ออกซะ

แต่เหลือไว้ก็ได้ว่างดี สบายสุดๆ เที่ยวเล่นสนุกไปเลย ที่ว่าอย่างนี้ไม่ได้ต้องการให้เพิ่มเนื้อหานะ แต่ว่าต้องการให้ลดเวลาลงก็ดีนะ

Posted by 1234() 2004-01-26 , 20:54:10 , 172.29.4.73






อยากรู้ว่าทางคณะได้นำแบบสอบถามในแต่ละบล็อกมาพิจารณาและต้องการที่จะพูดคุยกับนักศึกษาอย่างจริงจังบ้างหรือไม่

Posted by ArLim() 2004-01-26 , 20:56:49 , 203.156.38.252






อยากให้ตอน preclinic มีการเรียนการสอน anatomy ให้มากกว่านี้ เนืองจากเมื่อขึ้นมาบนวอร์ดแล้วรู้ได้เลยว่าตัวเองอ่อนมาก ๆ และเป็นเนื้อหาที่ต้องเอามาใช้มากด้วย ทำให้บางครั้งรู้สึกว่าเราเพิ่งได้เรียน anatomy แบบจิง ๆ จัง ๆ ในชั้นคลีนิคนี่เอง

Posted by peter() 2004-01-27 , 08:30:07 , 172.29.2.134






clinical immersion กับ commed ตอนเป็น extern มันซ้ำซ้อนนะครับ
ผมว่าการไป immersion ตอนที่ยังไม่รุ้เรื่องอะไรและทำอะไรไม่เป็นมันน่าเบื่อ และเสียเวลานะครับ
หรือไม่ถ้าอยากเก็บ immersionไว้ ก็น่าจะตัด commed ตอนเป็น externออกไปนะครับ ทั้งสองตัวเลย เอาเวลาไปให้ ortho หรือ elective น่าจะ work กว่า

Posted by Aqua() 2004-01-27 , 16:31:38 , 202.129.48.122






" ผมก็อยากจะเสนอนะครับ ... แต่คิดว่าคงไร้ประโยชน์ ในเมื่อ....มีวิสัยทัศน์ที่แคบแบบนี้ ไม่ยอมรับฟังปัญหาของพวกเรา คิดแต่อยากจะได้เป็น pioneer โรงเรียนแพทย์ PBL รู้สึกว่าตอนนี้ที่จุฬา ก็ปรับหลักสูตรเป็น PBL แล้ว คราวนี้ละ ก็จะได้รู้จริงๆซะทีว่าที่เค้ารียกว่า pioneer ของจริงหนะ เป็นยังไง ไม่ใช่แบบของ....นี้"
ตามความคิดเห็นของผมนะครับ การที่คนเราไม่ทำตามข้อเสนอแนะทุกประการแปลว่าเป็นคนวิสัยทัศน์แคบ อยู่ที่ว่าข้อเสนอแนะทุกอย่างมีเหตุผลเพียงพอ การประเมินดูว่ามีน้ำหนักมากพออย่างที่ข้อเสนอแนะหรือไม่ ข้อเสนอแนะของอีกคนหนึ่งอาจจะเป็นข้อคัดค้านอีกคน ดังนั้นคงต้องมองภาพรวมทั้งหมด มิฉะนั้นจะต้องเป็นคนวิสัยทัศน์แคบหมด เพราะไม่รู้จะทำให้ถูกใจใคร ผมว่าการรับฟังและพิจารณาอย่างถ่องแท้ คือวิสัยทัศน์ไม่แคบแล้วครับ สำหรับการเรียนที่จุฬาเป็นแบบใด คงไม่ต้องไปเปรียบเทียบครับ เพราะผมคิดว่าทุกแห่งมีปรัชญาการเรียนการสอน และเป้าประสงค์ที่เป็นของตนเอง ผมคิดว่าเราควรจะมองตัวเราเองและแข่งกับตัวเอง จะมีความสุขกว่าครับ คงไม่ต้องเปรียบเทียบกับคนอื่นหรอกครับ หากเราเก่งจริง
ข้อเสนอแนะที่ดวรจะเป็นข้อเสนอแนะที่ไม่เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง และไม่คิดว่าเขาจะต้องทำตามสิ่งที่เราเสนอแนะไปทุกอย่างครับ

Posted by ปี 6 ครับ() 2004-01-27 , 16:46:22 , 203.113.76.12






อยากให้แยกศัลย์ anesth ตอนปี 4 ออกจากกัน..คือว่ามันมั่วเกินไป ไม่มีความปะติปะต่อของความรู้ วันนี้เรียนศัลย์คืนนี้อยากอ่านศัลย์ แต่ว่าพรุ่งนี้ก็ต้องไป anesth เดี๋ยวถ้าไม่อ่านไปก็ไม่มีอะไรไปตอบอาจารย์ มันค่อนข้างจะสับสนน่ะ จากที่เคยผ่านมา
ช่วง immersion ตัดออกบ้างก็ดี ไปแบ่งให้ anatomy บ้าง และก็เน้นที่เอามา apply มากๆ ที่ผ่านมา คิดว่าน้อยเกินไป
จะว่าไปแล้ว มีหลายอย่างที่เคยเสนอไปแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ข้อมูลนั้นได้ผ่านการพิจารณาแล้วหรือไม่..

Posted by ปี6() 2004-01-27 , 17:47:35 , 172.29.2.160






ตั้งแต่มีการปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบ PBL ที่เน้นให้นักศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง จนถึงตอนนี้ซึ่งก็จะมีแพทย์ระบบใหม่นี้จบออกไป ซึ่งคิดว่าระบบนี้ยังไม่มีคุณภาพพอก็ว่าได้ เพราะเนื้อหาบางอย่างที่สำคัญ เช่น ออร์โธ(ที่เอาไปรวมกับศัลย์+วิสัญญี) และวิสัญญีที่การจัดการสอนยังสะเปะสะปะ รังสี(ซึ่งสำคัญในการช่วยวินิจฉัยโรคที่เอาไปรวมกับ med) แต่ทางผู้เกี่ยวข้องโดยตรง(อ.อานุภาพที่รับผิดชอบด้านแพทยศาสตรศึกษา) ไม่เคยคิดที่จะปรับปรุงระบบการเรียนการสอนเลยตั้งแต่ชั้น preclinic จนถึงชั้น clinic แถมยังให้มีการเรียนที่ดูซ้ำซ้อนกัน เช่น แทนที่จะมี Health pro. 6 สัปดาห์น่าจะเอาไปรวมกับ commed ปี 4 ที่เรียน 5 สัปดาห์ รวมทั้ง selective ที่อาจจะดูซ้ำกับ immersion ก็น่าจะตัดไปหรือลดลงเหลือ 3 สัปดาห์ และเอาเวลาไปเรียนอย่างอื่นที่สำคัญมากต่อวิชาชีพ เช่น ortho 4 สัปดาห์ วิสัญญี 3 สัปดาห์ และในชั้นปีที่ 5 ซึ่งถือว่าสำคัญเพราะว่าหลังจากจบชั้นปีที่ 5 ก็จะต้องปฏิบัติงานเป็นส่วนใหญ่ จึงคิดว่าในชั้นปีที่ 5 ควรที่จะปรับรายวิชาบางอย่าง เช่น commed ถ้าตัดไม่ได้ ก็ลดลงเหลือ 3 สัปดาห์ สร้างเสริมประสบการณ์ก็ลดเหลือ 3 สัปดาห์หรือตัดทิ้ง แล้วเพิ่มเนื้อหาบางรายวิชา เช่น ออร์โธ วิสัญญีแยกจาก preop ของปี 5 หวังว่าที่กล่าวมาคงจะซึมซับไปถึงผู้เกี่ยวข้อง และปรับปรุง ไม่ใช่มัวแต่ดันทุรังคิดว่าระบบที่จัดมาดีแล้ว ถ้ายังไม่ทำก็สมควรพิจารณาตัว

Posted by ถึงอ.อานุภาพ() 2004-01-31 , 12:55:36 , palo8.pacific.net.th






อยากให้แยกorthoมาเป็น 1 blockเลยค่ะ

Posted by ^_^() 2004-02-02 , 15:10:28 , 172.29.2.160






ช่ายครับ เราต้องออกมาแสดงความเห็นของผู้ที่เรียนอยู่ครับ
- commed ปี 5,6 ค่อยเรียนตอน extern ก็ได้ครับ ไม่จำเป็นต้องเรียนตอนปี 4,5 เลยครับ เรียนปี 6 + เนื้อหาเกี่ยวกับระบบรพ. หลักสูตรบริหารสั้นๆที่แทรกอยู่ เผื่อต้องออกไปเป็นผอ.
- ปี 4 เห็นด้วยกะกระทู้ข้างบนครับ ที่เพิ่มเนื้อหาของ ortho, สูติ, เด็ก, รังสี ด้วยครับ เพราะเท่าที่เรียน เวลาออกไปข้างนอกแล้วไม่รูสึกเลยว่าความรู้ที่ได้จะพอในการไปใช้ชีวิตในรพ.ชุมชน

Posted by sentour() 2004-02-02 , 23:19:47 , 172.29.4.89






อยากเสนอความคิดในระบบการเรียน PBL
1. มีการเน้นcommed health promotion มากเกินไปทั้งปี 4 5 6ผ่านกันอยู่นั่นไปนั่งๆ นอนๆ เรียนมากเกินไปก็ลืม ซึ่งคิดว่าการเรียนพวกนี้ในอนาคตถ้าต้องไปอยู่ รพใ ชุมชนก็น่าจะเรียนรู้กันได้ไม่เห็นมีอะไรซับซ้อน
2 ได้ทำหัตถการน้อยมากๆ เช่น ER ห้าม นศพใ ทำหัตถการต้องมีอาจารญ์มาคุมแล้วเมื่อไหร่จะได้ทำเพราะเงวลาอดยู่เวรERเคยเห็นหน้าอาจารย์ไหมเนี่ย
ในนสมัยก่อนๆ เด็ก มอ ถึงแม้ด้านความรู้จะไม่เก่งมากเมื่อเทียบกับเด็ก กทม แต่ในด้านหัตถการ การตัดสินใจ ไม่เคยต้องกลัวใครนอนเมื่อจบเป็น intern แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมั่นใจแล้ว นอกจากความรู้ต้องอ่านเอาเองหัตถการก็ไม่ให้ทำ
3. ortho anes surgery เอามารวมกันหมดเวลาในการผ่านช่วงสั้นมากกว่าจะปรับตัว จับเนื้อหาได้ก็ผ่านไปอยู่หน่วยอื่นแล้วคงไม่มีเวลาพอจะเอาความรู้มาintegradee
4.ถึงอ.ยอมรับเสียเถิดว่า PBL ไม่ WORK เท่าเรียนแบบเก่า บางครั้งเรียนแบบเก่ามีคนสอนยังไม่รูเรื่องเลยแล้วต้องมาอ่านเองคิดเองจะฉลาดขึ้นไหมเนี่ย

Posted by pulo() 2004-02-03 , 21:20:29 , 172.29.3.197






อยากเสนอความคิดในระบบการเรียน PBL
1. มีการเน้นcommed health promotion มากเกินไปทั้งปี 4 5 6ผ่านกันอยู่นั่นไปนั่งๆ นอนๆ เรียนมากเกินไปก็ลืม ซึ่งคิดว่าการเรียนพวกนี้ในอนาคตถ้าต้องไปอยู่ รพใ ชุมชนก็น่าจะเรียนรู้กันได้ไม่เห็นมีอะไรซับซ้อน
2 ได้ทำหัตถการน้อยมากๆ เช่น ER ห้าม นศพใ ทำหัตถการต้องมีอาจารญ์มาคุมแล้วเมื่อไหร่จะได้ทำเพราะเงวลาอดยู่เวรERเคยเห็นหน้าอาจารย์ไหมเนี่ย
ในนสมัยก่อนๆ เด็ก มอ ถึงแม้ด้านความรู้จะไม่เก่งมากเมื่อเทียบกับเด็ก กทม แต่ในด้านหัตถการ การตัดสินใจ ไม่เคยต้องกลัวใครนอนเมื่อจบเป็น intern แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมั่นใจแล้ว นอกจากความรู้ต้องอ่านเอาเองหัตถการก็ไม่ให้ทำ
3. ortho anes surgery เอามารวมกันหมดเวลาในการผ่านช่วงสั้นมากกว่าจะปรับตัว จับเนื้อหาได้ก็ผ่านไปอยู่หน่วยอื่นแล้วคงไม่มีเวลาพอจะเอาความรู้มาintegradee
4.ถึงอ.ยอมรับเสียเถิดว่า PBL ไม่ WORK เท่าเรียนแบบเก่า บางครั้งเรียนแบบเก่ามีคนสอนยังไม่รูเรื่องเลยแล้วต้องมาอ่านเองคิดเองจะฉลาดขึ้นไหมเนี่ย

Posted by pulo() 2004-02-03 , 21:20:47 , 172.29.3.197






นักศึกษาที่ต้องการแสดงความคิดเห็นเรื่องการจัดการเรียนการสอนในชั้นคลินิกขอให้แสดงความคิดเห็นใน บอร์ดแสดงความคิดเห็น http://medcai.psu.ac.th คลิกเข้าไปในหน้า e-learning และเลือกแสดงควา่มคิดเห็น ตั้งกระทู้และแสดงความคิดเห็นได้ แต่ขอให้สมัครสมาชิกก่อนครับ

Posted by สมชาย สุนทรโลหะนะกูล() 2004-02-06 , 10:00:11 , 172.29.3.147






หวัดนกคิดว่า การให้สมัครเป็นสมาชิกก่อนแล้วจึงอภิปรายความเห็นในบอร์ดแสดงความคิดเห็นนั้นจะไม่ได้ความจริงใด ๆ เพราะนศพ.จะไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่แท้จริงออกมา เนื่องจากรู้ตัวคนอภิปรายได้ มันจะเสียหายอะไรถ้าจะอภิปรายกันตรงนี้ โดยตั้งประเด็นคุยกันให้ชัดเจนทีละประเด็นกันเลยก็ได้ ได้ความจริงมากกว่า หรือกลัวว่าจะมีการสวมรอยโดยคนที่ไม่ใช่ นศพ. ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่เห็นจะแปลกแสดงว่าเขาไม่เห็นด้วย ก็รับฟังด้วยกันเสียเลยไม่ดีกว่าหรือ .....แล้วอาจารย์ก็คิดแบบเก่า ๆ เหมือนเดิมอีกนั่นแหละ....

Posted by ไข้หวัดนก() 2004-02-07 , 16:51:42 , 172.29.3.209






ทางแก้อีกอย่าง คือ ปลดผู้บริหารออกทั้งชุดหรือเฉพาะฝ่ายแพทยศาสตร์ศึกษา แล้วเลือกบุคลกากรที่มีความจริงใจและเข้าใจจุดบกพร่องของระบบการเรียนโดยเฉพาะในชั้นคลินิกที่ถือว่าเป็นหัวใจหลักหรือแก่นนอกจากการเรียน basic sceine ในชั้นปลีคลินิกที่ถือว่าสำคัญแต่การจัดการเรียนก็ยังไม่ได้เรื่อง และแบบสอบถามที่ให้นศพ.ประเมินในแต่ละ block ก็ควรเผาทำลายทิ้ง
ปล.มีความรักในสถาบันแต่ไม่พอใจเป็นอย่างมากกับการจัดการเรียนการสอนของผู้ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์

Posted by เสนอแนะ() 2004-02-08 , 10:52:57 , 172.29.2.164


Posted by : อยากเปลี่ยนแปลงครับ , Date : 2004-02-10 , Time : 21:19:09 , From IP : 172.29.2.117

ความคิดเห็นที่ : 1


   ไม่เชื่อว่าคน" อยากเปลี่ยนแปลงครับ" นั้นมีความรักในสถาบัน อย่างจริงใจ เพราะการเสนอความคิดเห็นสามารถเขียนโดยตรงถึงรองคณบดีฝ่ายแพทยศาสตรศึกษา ไม่จำเป็นต้องมาเรียกร้องในกระดานข่าว และการเสนอความคิดเห็นโดยใช้ชื่อนั้นบ่งบอกถึงความจริงใจ ที่ต้องการให้แก้ไข ไม่ใช่เป็นเพียงทำตามอารมณ์เท่านั้น การเสนอความคิดเห็นทางกระดานข่าวไม่สามารถจะบอกได้ว่าเป็นความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ การเรียกร้องให้มีการแก้ไข ควรทำแบบผู้ใหญ่
"Be mature, be civilize, be positive"
สิ่งที่ต้องปรับและแก้ไขประการหนึ่งก็คือทำอย่างไรให้บัณฑิตแพทย์หรือนักศึกษาแพทย์ของเราเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้าง ไม่คับแคบ และเป็นคนที่แสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์


Posted by : นักศึกษา , Date : 2004-02-10 , Time : 22:49:40 , From IP : 203.113.76.10

ความคิดเห็นที่ : 2


   สิ่งหนึ่งที่น่าจะมีประโยชน์เวลาจะปรับปรุงหรือประเมินเรื่องหลักสูตรคือ "เราเรียนหมอไปเพื่อใคร"

นั่นคือใครเป็นคนที่จะใช้บริการเมื่อเราจบ และระบบแบบไหนที่กำลังรองรับ ถึงตรงนี้คนที่อาจจะมีน้ำหนักในการประเมิน "ผลการฝึกอบรม" เราจริงๆ ได้แก่ ชาวบ้าน โรงพยาบาลข้างนอก (พี่หมอ พี่พยาบาล พี่เภสัช ฯลฯ) ที่จะร่วมมือทำงานกับเรา หรือในระดับมหภาคคือรัฐบาล นั่นเป็นลูกค้าตรง รองจากนั้นก็ถึงมาถึง "ตัวเรา" ที่อยากจะเรียนอะไร

ข้อมูลที่จะนำมาใช้ตอบความต้องการข้อหนึ่งคือชาวบ้านนั้น ได้แก่ คนไข้ประเภทไหน กลุ่มโรคใดที่เรากำลังออกไปให้บริการ ระบบสาธารณสุขแบบไหนที่เรากำลังไปอยู่นั่นคือ primary, secondary หรือ tertiary health care ถ้าเน้น primary ล่ะก็ ความรู้ตอน health promotion ตอน commed หรือ fammed อาจจะมีน้ำหนักและถูกรำลึกมาใช้มากกว่าถ้าเราจะไปอยู่โรงพยาบาลรักษาโรคมะเร็ง เหล่านี้เป็นต้น

บางคนอาจจะบอกว่าถ้าความต้องการของนักเรียนอยู่ลำดับสี่ของลำดับความสำคัญ ก็ไม่ใช่ student-centred แต่นั่นเป็นเพราะ "ปรัชญา" ของวิชาชีพแพทย์นั้น "ตัวเรา" ไม่เคยเป็นอันดับแรกมาแต่ไหนแต่ไร สำหรับแพทย์ทั่วไปที่จบออกมาจากมหาวิทยาลัยนั้น หนึ่งก็คือให้บริการชาวบ้าน โรงพยาบาลสาธารณสุข สองจึงมาดูที่ว่าใครจะทำอะไรมากกว่า general practionder หรือไม่ ถึงขนาดนั้น ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่คำนึงถึงความต้องการของชุมชน โรงพยาบาลเลย การรับฝึกอบรม หรืองื่อนไขที่โรงพยาบาลต่างๆจะส่งมาเรียนเพิ่มก็มาจาก "ความต้องการ" ของรงพยาบาลนั้นๆอยู่ดี เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง free-training กับ "มีต้นสังกัด" ผมว่าแต่ละสถาบันที่เปิดฝึกอบรมก็จะมีมุมมองคล้ายๆกันในเรื่องนี้

ข้อเสนอของนักเรียนแพทย์นั้นจะมีน้ำหนักและคุณค่าอย่างมากในการปรับปรุงหลักสูตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการอธิบายเหตุผลประกอบ มีการทำการประเมินอย่างเป็น objective และนำเสนออย่าง mature, positive, civilized ทำยังงั้นแล้วจะใช้นามจริงนามแฝงก็ไม่แปลก แต่ถ้าใครอุตส่าหืลงทุนวิเคราะห์และนำเสนอได้ขนาดนั้น แล้วจะไม่เปิดโอกาสในมีการติดต่อกลับเพื่อสนทนาเพิ่มเติมก็เป็นที่น่าเสียดาย



Posted by : Phoenix , Date : 2004-02-11 , Time : 00:22:53 , From IP : 172.29.3.203

ความคิดเห็นที่ : 3


   อยากให้ อ.Phoenix บอกกล่าวความคิดเห็นต่างๆ ในกระดานอภิปรายนี้ไปถึงผู้เกี่ยวข้องกับแพทยศาสตร์ศึกษา เพราะไม่ว่าจะมีนศพ.แสดงความคิดเห็นผ่านกระดานอภิปรายหรือแบบประเมินของแพทยศาสตร์ศึกษา คงไม่เคยได้มาอ่านหรอก วันๆ คงจะเดินเข้าเดินออกอาคารแพทยศาสตร์ศึกษา สอนก็เหมือนไม่สอน

Posted by : นศพ.คนหนึ่งที่ไม่ประสงค์จะออกน , Date : 2004-02-11 , Time : 10:36:06 , From IP : 172.29.2.110

ความคิดเห็นที่ : 4


   เห็นด้วยกับการแยก Ortho,Anes ออกจาก Block Preop-postop และขอเสนออีกนิดว่า
ควรแยก จิตเวชออกจาก Med ด้วยจะดีม
อืม........เราได้ไปฝึกงานที่รพ.แห่งหนึ่งก็มีพี่หมอคนหนึ่ง(จบมอ.)เข้ามาพูด(เราคิดว่าถ้าจะเรียกให้ถูกน่าจะเป็น ระบาย มากกว่า) ให้ฟังว่าเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหมอที่จบจากมอ. 2-3 รุ่นหลังมานี้ถึงเป็นแบบนี้คือ ไม่มีความรู้เพียงพอ+ไม่รับผิดชอบมาก และไม่ใช่เขาคนเดียวที่คิดแบบนี้ หมอทั้งรพ.ก็คิดแบบเดียวกัน เขาบอกว่าเขาสามารถมองเห็นได้เลยว่าต่อไป หมอมอ.จะออกมาในรูปแบบที่เลวร้ายแค่ไหนแม้เมื่อก่อนเราจะได้ชื่อว่ามีความรู้พอประมาณ แต่ด้านหัตถการนั้นเราไม่แพ้ใครแต่ตอนนี้ไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว ดูคนไข้ไม่เป็นไม่รู้ว่าจะต้องดูอะไรบ้าง ไม่มาดูแลคนไข้ จนตอนนี้ไม่มีหมอคนไหนในรพ.นี้สนใจหมอจากมอ.แล้ว เขาถือว่าเมื่อคุณไม่รับผิดชอบแบบนี้คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะดูแลคนไข้อีกต่อไป (แรงนะเราว่า)
เขาบอกว่าเขาเคย comment ไปทางคณะแล้วแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น (ซึ่งเราก็ไม่สงสัยเลยว่าทำไม)
เราว่ามันเป็นปัญหาที่แก้ได้นะ ถ้าทุกฝ่ายกล้าที่จะยอมรับว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่หลอกคนอื่นและหลอกตัวเองอีกต่อไป ว่าระบบแบบนี้มันดีจริง


Posted by : คงจะจริงมั้ง , Date : 2004-02-11 , Time : 17:53:23 , From IP : 203.113.77.73

ความคิดเห็นที่ : 5


   ถึงแม้ผมจะไม่ได้อยู่ในฝ่าย undergraduate โดยตรง (คืออยู่ postgraduate ฝ่ายแพทย์ใช้ทุน แพทย์ประจำบ้าน) แต่เท่าที่ได้มีการสัมผัสติดต่อกับอาจารย์หลายท่าน ผมไม่คิดว่ากระดานแห่งนี้ไม่เคยถูกอ่าน และจากบางโอกาสที่ได้มีส่วนร่วมกับการพัฒนาหลักสูตรนิดหน่อย (แบบเฉียงๆ ไม่ได้แบบโดยตรง) ผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับผลสรุปการประเมินพอสมควร

มีสองประเด็นข้างบนที่ต้องขยายความ

หนึ่งคือความเห็นจากกระดานข่าวนี้เป็น "หนึ่ง" ในความเห็นทั้งหมดจากการ feedback มอ.มีหน้าที่รับผิดชอบในการประเมินประสบการณ์ของแพทย์เพิ่มพูนทักษะในภาคใต้หลายๆโรงพยาบาล เช่น นครฯ สุราษฎร์ กระบี่ พังงา ภูเก็ต ปัตตานี สตูล ยะลา เบตง นราธิวาส โกลก ข้อมูลบางส่วนตรงกับที่คุณ "คงจะจริงมั้ง" ว่า และบางส่วนก็มีความเห็นที่ต่างกันออกไป ถึงแม้ผมจะไม่เห็นข้อมูลทั้งหมด แต่มีเสียงพูดถึงเรื่อง "ความรับผิดชอบ" มากจนน่าเป็นห่วงอย่างที่ว่า ส่วนเสียงบ่นเรื่องความรู้กับความชำนาญหัตถการที่เป็นที่น่าผิดหวังมากๆนั้น ในความเห็นส่วนตัวของผมคือไม่ถึงกับเป็น epidemic เรื่องหัตถการที่เราสอบถามข้อมูลจากแพทย์พี่เลี้ยงตามโรงพยาบาลต่างนั้น เราทำเป็นประจำทุกปี โดยมีแพทย์รุ่นพี่ประจำภาควิชาต่างๆ ได้แก่ สูติ ศัลย์ Med เด็ก และ ortho ซึ่งถามโดยความเห็นของพี่ๆเหล่านี้ที่ได้ดูแลน้องๆ intern เรื่องหัตถการ ส่วนใหญ่ (เท่าที่ผมได้รับฟัง) จะยินดีที่จะสอน และไม่ mind ที่จะต้องสอน รวมทั้งได้มีการทำความเข้าใจกับสิ่งที่แพทยสภาได้กำหนดเป็นเกณฑ์มาตรฐาน พบ. ว่าหัตถการอะไรแบบไหนที่ GP ควรทำได้ ซึ่งตรงนี้สามารถเป็นจุดอภิปรายได้ว่า "ความรับผิดชอบ" นั้นเกี่ยวโยงกับหลักสูตรมากน้องแค่ไหน และเราควรจะแก้ไขปรับปรุงอย่างไร

สองคือการแก้ไขปรับปรุงที่มีมาจากข้อมูล feedback หลายแหล่ง ฉะนั้นแต่ละปัจเจกบุคคลที่ได้ feedback มา บางคนอาจจะรู้สึกว่าตนไม่ได้รับการตอบสนอง บางคนก็จะรู้สึกว่าได้รับการตอบสนอง ในส่วนที่คิดว่ามีการแก้ไขปรับปรุงเป็นรูปธรรม ได้แก่ การใช้ evidence-based การสอนจริยธรรม บทแนะนำเรื่อง Palliative care และการค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ทั้งสี่ประการเป็นการ address การแก้ไขเรื่อง professionalism และความสามารถในการต่อยอดความรู้ด้วยตนเองหลังจบ

ข้อมูลเพิ่มเติมที่น้องๆอยากจะให้มีการปรับเปลี่ยนนั้น จะมีความครบถ้วนมากขึ้นหรือไม่?ถ้าสามารถเพิ่มเติมเหตุผลและความจำเป็นที่จะให้เพิ่มลงไปในหลักสูตร โดยเหตุผลดังกล่าวนั้นสอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานแพทยสภาฉบับล่าสุดปี 2544 ส่วนการนำเสนอ feedback นั้น อยากจะขอร้องให้ทำตาม channel ที่คณะได้จัดไว้ให้ ในเวทีที่ได้เตรียมไว้ให้ บัตรสนเท่ห์นั้นบางเร่งอน่าสนใจมากจนกระทั่งน่าเสียดายที่เราไม่สามารถจะเปรียบเทียบข้อมูลการประเมินที่แตกต่างกัน เพื่อที่เราจะได้นำมาถกกันหาจุดร่วม จุดปรับปรุงได้ เพราะไม่มีแหล่งที่มา ไม่ทราบน้ำหนักว่าเป็นความเห็นของคนๆเดียวหรือกี่คนถ้าเป็น anonymous หมด



Posted by : Phoenix , Date : 2004-02-11 , Time : 22:30:33 , From IP : 172.29.3.254

ความคิดเห็นที่ : 6


   ขอให้ช่วยกันแสดงความคิดเห็นออกมา เพื่อช่วยกันปรับปรุงให้ดีขึ้นจะ channel ไหนก็ได้ ยิ่งหลาย channel ยิ่งดีครับ ขืนให้ feed back เฉพาะ channel ของหน่วยแพทยศาสตร์ศึกษา แล้วอาจารย์ที่ไม่เป็นผู้บริหารหน่วยนี้ก็จะไม่รู้ข้อมูลสิ


Posted by : รักคณะเหมือนกัน , Date : 2004-02-12 , Time : 15:46:47 , From IP : 172.29.3.111

ความคิดเห็นที่ : 7


   channel ไหนก็ได้จริงครับ ขอเพียงให้สามารถกลับมาคุยกันได้ในกรณีที่สงสัยว่าข้อมูลที่วิเคราะห์ออกมาไม่ตรงกัน ดีกว่านั้นคือให้เหตุผลประกอบอย่าง objective ว่า "ทำไม" หรือ "อะไร" คือที่มาของข้อสรุปอย่างที่ว่า เหนืออื่นใดคือ be mature, be positive, and be civilized



Posted by : Phoenix , Date : 2004-02-12 , Time : 18:03:47 , From IP : 172.29.3.214

ความคิดเห็นที่ : 8


   คุณ Phoenix ครับเกณฑ์มาตรฐานผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมของแพทยสภาปีล่าสุด 2545 ครับไม่ใช่ปี 2544
อีกเรื่องที่บอกว่าแพทย์รุ่นหลังๆ 2-3 รุ่นนี้ ไม่มีความรู้ ไม่มีความรับผิดชอบ คงจะบอกว่าเป็นนักศึกษารุ่นเรียนหลักสูตรใหม่นี้ไม่ได้เพราะยังไม่จบ ก็แสดงว่าเป็นตั้งแต่หลักสูตรเก่าแล้ว ซึ่งผมคิดว่าทางอาจารย์เขาก็ทราบดีถึงประเด็นนี้และได้พยายามที่จะปรับ แต่เรื่องนี้คงต้องค่อยเป็นค่อยไป และอีกอย่างเท่าที่เคยได้ยินรพ.ใกล้เคียงนี้พูดถึงนักเรียนที่จบจากมอ. ก็ยังดีในเรื่องความขยัน อดทน รับผิดชอบหัตถการดีกว่าที่อื่นแม้ความรู้จะน้อยกว่าก็ตาม โดยภาพรวมก็ยังดีกว่า เพียงแต่ว่าจะเทียบกับสมัยก่อนไม่ได้ ซึ่งเข้าใจว่าเป็น trend ของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเราคงต้องมาวิเคราะห์ดูว่าเกิดจากอะไร การเรียนการสอนก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่จะว่าไปการปฏิบัติเริ่มจะน้อยลงกว่าเดิม ซึ่งสอดคล้องกับสิทธิของผู้ป่วย ที่เราต้องเคารพเช่นกัน ตอนนี้ผมไม่คิดว่าทางผู้บริหารการศึกษาจะอยู่เฉยหรอกครับ เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ทันใจเราเท่านั้น และคิดว่าผู้ที่เกี่ยวข้องคงกำลังพิจารณาเช่นกัน และผมเห็นด้วยกับคุณ phoenix เรื่องให้ความเห็น ขอให้ให้เหตุผลด้วยครับ และ
be mature, be positive, and be civilized


Posted by : ผู้ที่อาจจะเกี่ยวข้อง , Date : 2004-02-12 , Time : 23:27:48 , From IP : 203.113.76.13

ความคิดเห็นที่ : 9


   ประการสำคัญเวลาเราได้ข้อมูลเพิ่มคือ อะไรที่อยู่ในข้อมูลนั้นบ้าง?

ยกตัวอย่าง "นักศึกษาแพทย์รุ่นใหม่มีปัญหาเรื่องความรับผิดชอบ" ประโยคนี้มีอะไรซ่อนอยู่มากมาย และเราสามารถก้าวลงไปใช้เฉพาะ "สิ่งที่เราสนใจ" หรือ "มองเห็น" แล้วเลือกมานำเสนอให้เข้ากับ "มุมมองของเรา" (เรื่อง Rachomon ของ Kurosawa ผุดขึ้นมาในสมอง) ถ้าอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของ อ.วิลาศ มณีวัต ตอนหนึ่งท่านเขียนว่า

"ข้าพเจ้าไม่ได้มีหน้าที่จะต้องมาปลุกใจใคร แต่ข้าพเจ้าทนไม่ได้ที่จะเห็นคนไทยชอบนั่งโม้กันเต็มร้านกาแฟ แต่การงานไม่รู้จักทำ และถ้าเหนใครทำ ก็ชอบไปค่อนขอดเขาต่างๆนานา แทนที่จะช่วยเชียร์ให้กำลังใจแก่เขา จึงมีคำกล่าวกันว่า คนไทยไม่รู้จักยกย่องเชิดชูคนดี เราชอบแต่นินทาว่าร้ายและทับถมคนอื่น...เมื่อไรจะเลิกนิสัยเหล่านี้เสียที?

สาเหตุประการหนึ่งคือบางทีเรามองเห็นหรืออยากจะพูดถึงสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ หรือคิดว่าคนอื่นทำไม่ดีมากกว่าอีกด้านหนึ่ง และบางครั้งถึงขนาดที่ว่าถึงแม้จะมีการกระทำพที่ดีมากมายเกิดขึ้นทุกวี่วัน แต่การกระทำที่ไม่ถูกใจแม้แต่ครั้งเดียวก็สามารถลบล้างของดีๆนั้นหมดไปได้

หรืออาจจะเป็นเพราะเวลาที่เราถามคำถามการประเมิน เราใช้คำว่า "มีอะไรอยากจะให้ปรับปรุงบ้าง" คำถามนี้เป็นคำถามนำ นั่นคือนำไปสู่การคิดว่าอะไรที่ไม่ดีบ้าง ก็จะได้คำตอบแบบหนึ่ง คือ List ของสิ่งที่ไม่ดี ผมว่าน่าสนใจถ้าเราคิดจะถามนำ คือลองถามนำในอีกลักษณะหนึ่งคือ "มีอะไรที่คิดว่าเด็กรุ่นนี้ดีบ้าง" เราอาจจะได้คำตอบที่ชื่นใจกว่า และอาจจะเป็นการ "สร้าง theme" ให้แก่ผู้ประเมินในขณะนั้นให้ลอง recall ถึงสิ่งดีๆบ้าง

จะว่าไปแล้วการสร้าง theme ดีๆ มีประโยชน์มาก แทนที่เราจะนึกว่า "ใคร ไม่ได้ ทำอะไรบ้าง (ซึ่งยากแก่การพิสูจน์กว่า) จะดีไหมถ้าเราไป focus ที่ "ใคร ได้ทำ อะไรอยู่" นั่นคือการมองค้นหา "คุณค่า" ของคนอื่นว่าเราจะใช้ประโยชน์อะไรจากเขาได้บ้าง แทนที่จะนั่งจับผิดในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำอะไร

ดังนั้นอย่างที่คุณ "ผู้ที่อาจจะเกี่ยวข้อง" ได้กล่าวย้ำ ตัวอย่างที่ผมยกมาคือ "นักศึกษาแพทย์รุ่นใหม่มีปัญหาเรื่องความรับผิดชอบ" นี้อาจจะเป็นข้อเท็จจริง แต่อาจจะไม่ทั้งหมด จริงอยู่แพทย์นั้น เราอยากจะให้มีความรับผิดชอบ 100% แต่เรากำลังพูดถึง "มนุษย์" ซึ่งห่างไกลจาก 100% ซึ่งเป็นระดับของอุดมคติ ขณะที่ปัญหานี้ควรได้รับการดูแลอย่าง serious จริงจัง เราก็ไม่ต้องถึงขนาด despair ว่ามันสายเกินแก้ หรือตื่นตูมที่จะต้องทำอะไรผลุนผลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ระดับความรับผิดชอบ" นั้น เกี่ยวข้องกับ "วิธี" การเรียนตอนมหาวิทยาลัย หรือเกี่ยวข้องกับ "วิธี" ที่เด็กเติบโตมา (แวดล้อมโดยสังคมที่ "ผู้ใหญ่" เรานี่แหละแสดงตัวอย่าง) กันแน่?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-02-12 , Time : 23:53:59 , From IP : 172.29.3.246

ความคิดเห็นที่ : 10


   อยากให้มีการติดประกาศนศพ.ที่สนใจและอยากให้ข้อมูลหรือ feed back หลักสูตรการเรียนการสอน ไม่ใช่ให้ชั้น 7 เป็นผู้เลือกคนที่จะให้ข้อมูล

Posted by : ปี 4 คนหนึ่ง , Date : 2004-02-13 , Time : 19:45:50 , From IP : 172.29.2.159

ความคิดเห็นที่ : 11


   เห็นด้วยที่ anes กับ ortho น่าจะแยกๆมาได้บ้าง เพราะรู้สึกเรียนแบบนำไหลผ่านมาก ไหลไป แล้วไม่ย้อนกลับ
ถ้าจะบอกว่ามันสำคัญน้อยกว่าพวกวิชา major มันก้อจิง แต่อยากจะได้แบบเป็นชิ้นเป็นอันกว่านี้อะครับ
รู้สึกไม่ค่อยได้อะไรจากการหยิบเล็กผสมน้อยเลย ได้ก้อแค่ผักชีมาโรยหน้าให้สวยงามแค่นั้น................


Posted by : ปี 4 อีกคน , Date : 2004-02-13 , Time : 20:03:42 , From IP : 172.29.2.127

ความคิดเห็นที่ : 12


   เห็นด้วยกับคำว่า "คนไทยไม่รู้จักยกย่องเชิดชูคนดี เราชอบแต่นินทาว่าร้ายและทับถมคนอื่น...เมื่อไรจะเลิกนิสัยเหล่านี้เสียที? " ครับ แต่ว่าในที่นี้ก้อไม่ได้บอกว่าระบบมันไม่ดีถึงขนาดจะทำให้ล่มจม แต่อยากให้ลองนำความคิดไปพิจารณาดู ระบบมันจะได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยได้ข้อมูลจากผู้ที่ต้องผ่านประสบการณ์มาเองหลายๆคนมันก้อน่าจะดีนะครับ


Posted by : ขอต่ออีกนิด , Date : 2004-02-13 , Time : 20:08:52 , From IP : 172.29.2.127

ความคิดเห็นที่ : 13


   อยาก feed back อ.Phoenix ที่ควรทุ่มเทการเรียนการสอนให้กับนักศึกษาให้พอๆ กับการเล่น internet ไปวันๆ จะเห็นได้จากที่แทบทุกกระดานอภิปรายจะมี อ. Phoenix เข้าไปมีส่วนร่ามไปวันๆ อุตส่าห์จบเมืองนอกแทนที่จะเอาเวลาไปทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่น เอาเวลาไปสอนนศพ.ในเรื่องความรู้ในวิชาชีพที่นศพ.ควรรู้หรือเป็นจุดอ่อนของนศพ.

Posted by : ควรปรับปรุงอาจารย์ด้วย , Date : 2004-02-13 , Time : 21:19:08 , From IP : 172.29.2.129

ความคิดเห็นที่ : 14


   ผมคิดว่าเราดูจากเวลาที่ผมส่งกระทู้ก็คงพอจะบอกได้ว่าใช้เวลาตอนที่เป็นของส่วนตัวของผมหรือของรัฐ ผมคิดว่าหากผมจะใช้เวลาตอนกลับบ้าน ตอนตีหนึ่งตีสอง มาพูดคุยกับคนในคณะที่นี้อาจจะมีประโยชน์ต่อส่วนรวมบ้างเท่านั้นแหละครับ

ตอนเข้าอบรมแพทยศาสตร์ศึกษาครั้งหนึ่ง Professor Harden (คนคิดระบบ OSCE) แนะนำว่าการเรียนการสอนนั้น "สื่อสาร" สำคัญ ซึ่งรวมทั้ง "วิธี" การสื่อด้วย คือหากมีสื่อกลางชนิดใดที่นักศึกษาใช้แล้วครูอาจารย์ไม่ยอมใช้ก็จะเสียโอกาส ผมคิดว่าระดับ Professor ซึ่งอยู่ในวงการการศึกษามานานกว่าผมเยอะ แนะนำอย่างนั้นก็น่าจะลองดูบ้าง

"การเล่น Internet" นั้น อาจจะเป็นเพราะคำว่า "เล่น" กระมังที่ทำให้รู้สึกไม่ดี ไม่มีคุณค่า จริงๆแล้วมนุษย์และสัตว์เรียนรู้เริ่มต้นก็โดยการเล่นทั้งนั้น อีกประการคือ Internet นั้นเป้นสื่อที่มีพลังซ่อนเร้นอยู่มากขึ้นอยู่กับการใช้ เช่น จะใช้เพื่อสอน จะใช้เพื่อเป็นเวทีถกจริยธรรม หรือจะใช้เพื่อทำ personal attack โดยไม่ต้องเปิดเผยตัว ก็จะมีวัตถุประสงค์และประยชน์ที่แตกต่างกันได้มาก ในสถาบันการศึกษาหลายที่ เริ่มให้นักศึกษาสามารถส่งการบ้าน เขียนรายงาน ผ่านทาง Internet กันแล้ว เพิ่มประสิทธิภาพแบะเวลาในการที่นักศึกษากับอาจารญืสามารถจะมี Interactive กันนอกเวลาเรียนได้มากยิ่งขึ้น

ขอบพระคุณที่เตือนให้ผมเอาใจใส่เรื่องการเรียนการสอนนักศึกษาครับ ผมเห็นด้วยว่าครูทุกคนควรจะเตือนตนเองหรือถูกนักศึกษาเตือนเรื่องนี้อยู่เนืองๆ ผมคิดว่าจุดอ่อนของนักศึกษาในปัจจุบันที่เราสามารถจัดระบบให้มีการพัฒนาให้ดีขึ้นนั้นมีอยู่อีกมากมายหลายจุด communication skill เป็นหนึ่งในบรรดาสิ่งเหล่านั้น

Communication skill ส่วนที่ผมคิดว่าถ้ามีการพัฒนาเกิดขึ้นได้กับนักศึกษาแพทย์คือ Be Mature, Be Positive, and Be Civilized สามประการนี่แหละครับ ไม่ว่าจะเป็นกระทู้ในหรือนอก curriculum เราสามารถสอดแทรกสามสิ่งสามประการนี้ลงไปได้เสมอ และผมคิดว่าถึงแม้บางทีเราชำนาญแล้ว รู้ทฤษฎีก็แล้ว แต่ในทางปฏิบัติเราอาจจะมี "จุดอ่อน" ที่ว่าเราไม่ได้นำเรื่องพวกนั้นมาใช้ เราไม่สามารถทำ constructive criticism เป็น เราไม่สามารถประเมินแบบ objective เป็น เรื่องเหล่านี้เป็นพื้นฐานของ Clinical Reasoning ถ้าใครได้ round กับผมในเวลาราชการก็จะมีการพูดกันถึงเรื่องนี้ ผมคิดว่าอาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างกับคนอื่นที่เราไม่ได้เจอกัน เวทีนี้ก็สามารถเป็นที่ใช้ได้ที่หนึ่ง

ส่วนกิจกรรมวิชาการในห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็น Journal Club, Team Teaching, Ethics Classroom, Minor Thesis อะไรนั้น ผมยินดีที่จะรับฟัง feedback ซ่าผมควรปรับปรุงและใช้เวลาเพิ่มเติมอย่างไร จริงอย่างที่ผมเคยกล่าวไว้แล้วคือถ้าเราจะร่างรายการว่าเรา "ยัง" ไม่ได้ทำอะไรนั้น ทุกๆคนมี list ยาวเหยียดแหละครับ อาจจะต้องดูว่า "ทำอะไร" ทั้งในละนอกเวลานั้นเป็นอย่างไรบ้างก็คงจะดีเหมือนกัน บาวทีถ้าผมไม่ได้ใช้เวลาตอบกระทู้อยู่ อาจจะไปนอนกอดลูกสาวเข้านอนก็คงจะดีเหมือนกัน แต่ประโยชน์คงจะตกอยู่กับลูกสาวผมและผมใช่ไหมครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-02-13 , Time : 21:46:54 , From IP : 172.29.3.198

ความคิดเห็นที่ : 15


   พี่ฟินิกส์อาจจะเหลือเป็นคนเดียวที่ยังทนกับการแลกเปลี่ยนความเห็นในกระดานแห่งนี้ ในขณะที่หลายท่านมองไม่เห็นประโยชน์อะไรนอกจากการเปลืองตัว และถอยออกจากการเป็นผู้ทอยความคิดมาเป็นผู้อ่านอย่างเดียว หลายคนถอยออกจากการกดแป้นพิมพ์เข้ามาอ่านไปโดยสมบูรณ์
.
ผมเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าการเข้ามาคุยกัน แบ่งปันเรื่องราว เล่าความคิด โดยปราศจากการใช้ความเกลียดชังหรือการติเพื่อทำลาย มันเป็นการปลูกสมอง มันเป็นการประสมรวมมุมมองต่างวัยต่างพื้นฐาน มันเป็นการสอนซึ่งกันและกันฉันกัลยาณมิตร
.
พี่กำลังสอน โดยใช้เวลาที่พี่ควรจะใช้สำหรับกอดลูกสาว ผมนับถือพี่และจะเป็นกำลังใจให้อยู่เสมอ
.
พี่เคยว่าไว้บนกระดานนี้เองว่าเป็นธรรมดาของคนหนุ่มสาวที่จะมีความคิดรุนแรง ต่อต้าน และยึดมั่น ผมเชื่อว่าความคิดที่รุนแรง เป็นพลังซึ่งหากมันได้รับการขัดเกลาอย่างเหมาะสม เมื่อเจ้าของความคิดเหล่านี้เติบใหญ่ ก็จะเป็นเชื้อฟืนที่ดีสำหรับที่จะช่วยปลูกช่วยประคองความคิดของคนรุ่นถัดมาต่อไปอีก
.
ผมเชื่อว่าพี่มีแนวทางของพี่ ที่พร้อมจะพิสูจน์ให้กระจ่างชัด ถึงค่าของมันในไม่ช้า
.
Gambatte


Posted by : Shonigeka , Date : 2004-02-14 , Time : 07:20:08 , From IP : pedsurg.med.osaka-u.

ความคิดเห็นที่ : 16


   สำหรับเรื่อง ortho น้องได้เรียน หัวข้อในบ้างครับ(โทษทีที่พี่ไม่รู้)
แล้วมีเรื่องไหนที่น้องอยากให้เพิ่มหรือเน้นครับ

คิดง่ายๆก็คือ สมมติว่าจบเป็นGP แล้วเจอcase orthoแล้ว คิดว่าความรู้ตอนนี้
ยังทำให้เกิดความลำบากในขั้นตอนการทำงานข้อไหนครับ
1.ซักประวัติตรวจร่างกาย
2.ส่ง film
3.วินิจฉัยโรค
4.ให้คำแนะนำเรื่องการรักษาแก่ผู้ป่วย
5.การ round ผู้ป่วยortho
ข้อไหนที่คิดว่าตอนนี้ด้อยที่สุดบอกมาได้เลยนะครับเอาละเอียดๆยิ่งดีครับ
อยากบอกว่าทุกข้อนะ เดี๋ยวพี่ตกใจหมด

พี่ๆและอาจารย์ orthoยินดีรับฟังครับ


Posted by : พี่ปุ๋ย , Date : 2004-02-14 , Time : 09:04:28 , From IP : 203.107.194.158

ความคิดเห็นที่ : 17


   ขอบคุณพี่ปุ๋ยมากครับ แม้ว่าผมจะลงจาก ortho แล้วแต่รู้สึกว่ายังไม่ค่อยมีความรู้เลยครับ อยากให้อาจารย์และพี่ๆ พชท. ช่วยสอนเน้นในเรื่องเหล่านี้
1.การซักประวัติและการตรวจร่างกาย โดยเฉพาะการตรวจร่างกายที่ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยโรค ขอบอกจริงๆ ครับว่าไม่มีความรู้เลยครับว่าจะตรวจอะไร แปลผลอย่างไร ซึ่งทางคณะก็เคยจัดการตรวจร่างกายในส่วน Neuro & Muscular systems แต่เวลาในการสอนมีน้อย ซึ่งอาจารย์จะสอนเพียงระบบประสาทอย่างเดียว ส่วนของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อให้ไปอ่านเองและฝึกตรวจกับเพื่อนๆ เอง ซึ่งถือว่าเป็นจุดบกพร่องของคณะ ถ้าอาจารย์ภาค ortho และพี่ๆ มีการจัดการสอนตรวจร่างกายและแปลผลสำหรับที่ GP จะต้องรู้จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง อาจจะติดประกาศแจ้งให้นศพ.ทราบว่าจะสอนเมื่อไร รับรองว่าจะมีนศพ.ไปกันเยอะแน่ครับ แต่อย่างให้อาจารย์จัดเป็นกลุ่มย่อย 5 คน/อาจารย์ 1 คน
2.การอ่าน Film ซึ่งอาจจะได้จากการ round หรือการเข้าฟัง conference หรือ bedside แต่อยากให้มีการจัดเป็น lecture หรือมี bedside เพิ่มขึ้น ไม่ใช่อย่างที่เคยเป็นมาของปี 4 ที่มี Lecture Introduction to ortho กับ Bone tumor(team teaching) แค่นี้ แล้วไปหาความรู้เองตอนผ่าน ortho 2.5 week อยากจะให้อาจารย์จัดให้มีการเรียนในช่วงที่ลงมาเรียน ortho 2.5 week ของปี 4 หรือของปี 5 ในเนื้อหาที่สำคัญ เช่น การอ่าน film fracture, Anatomy ที่สำคัญ, การ Approach ผู้ป่วยทาง ortho, การเลือกส่ง investigation ที่สำคัญถ้ามี lecture พร้อมกับการปฏิบัติการจริงในเรื่องการตรวจร่างกายจะยิ่งดีมากเลย
3.สอนเรื่องการเฝ้าติดตามและการรักษาเบื้องต้นให้เป็นกิจลักษณะ


Posted by : นศพ.ลงกองแล้วแต่ยังไม่มีความรู , Date : 2004-02-14 , Time : 11:11:22 , From IP : 172.29.2.176

ความคิดเห็นที่ : 18


   ชอบที่อาจารย์สิทธิโชคจำลองเหตุการณ์จริงให้นักศึกษาปฏิบัติ ตอนอยู่block ER ครับ มีคนไข้จำลองตามcondition ต่างๆ เช่น มาด้วย hip dislocate สมมติว่าเราเป็นแพทย์อยู่ตรงนั้นจะทำอะไรบ้าง เอาเหมือนจริงเลย อัดวีดิโอไว้แล้ว แล้วเอามา discuss กัน มีประโยชน์มากครับ ถ้าได้ทำบ่อยๆ คงจำได้แม่นกว่าการอ่านหนังสือครับ แต่เข้าใจว่าวิธีนี้ค่อนข้างต้องลงทุนมากในหลายๆอย่าง
อีกวิธีหนึ่งคือ เราต้องขวนขวายเอาเองครับ case บนward ที่เพิ่ง admit สามารถเรียนได้ทั้งนั้น วันก่อนมีผู้ป่วย ACL จะผ่าพรุ่งนี้ผมก็ไปเปิด chart แล้วไปขอตรวจ ตรงไหนไม่รู้จักวิธีตรวจก็ถามพี่ๆแถวนั้นให้เขาสอนครับ ก็ได้เรียนอีกทางครับ


Posted by : นศพ.ที่ลงER ไปแล้ว , Date : 2004-02-15 , Time : 20:24:15 , From IP : 172.29.4.89

ความคิดเห็นที่ : 19


   ไม่ได้เป็นนศพ.เลยนะแต่ชอบเข้ามาอ่านกระดานนี้บ่อยๆ และรู้สึกชอบการโพสของคุณ pheonix มากๆเลยค่ะ รู้สึกว่าท่านเป็นอาจารย์ที่ดีมากๆคนนึงเลยทีเดียว การเรียนการสอนไม่ได้มีแต่ในชั้นเรียนเท่านั้นนะคะ มันอยู่รอบๆตัวเราเลยทีเดียว หากว่าเราใส่ใจจะเก็บมันไว้ มันก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเราเองค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้อาจารย์ด้วยคนนะคะ


Posted by : aishiteru , Date : 2004-02-16 , Time : 10:47:23 , From IP : 172.28.91.56

ความคิดเห็นที่ : 20


   วันนี้อาจารย์ Ortho ถามเรื่องการประเมินผล Extern ภาค Ortho ของ มอ. ตอบไม่ถูกครับ ก็มันไม่มีสอนไม่ต้องไปปฏิบัติงาน แล้วจะประเมินยังงัย เอ๊ะหรือว่าจะรอประเมินจาก log book ที่ให้ไปเก็บหัตถการจากโรงพยาบาลข้างนอก ทำงัยดีล่ะครับ ไม่มีใครทำกันด้วยสิ เหตุผลหรือครับ ไม่รู้เหมือนกันครับ ไม่ได้ตั้งใจประท้วงที่คณะปล่อยลอยแพพวกเราหรอกนะ เอาเป็นว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันอีกไม่กี่วันนี้ที่ผมจะจบหลักสูตรแพทยศาสตร์จากที่นี่จะมีความรู้ Ortho แค่ไหน
แต่ที่แน่ๆ ที่นี่คงหนักใจเหมือนกันถ้าจะรับ แพทย์พี่เลี้ยง Ortho ที่แทบจะไม่มีความรู Ortho เลย


Posted by : Aqua , Date : 2004-02-17 , Time : 17:14:02 , From IP : 202.129.48.122

ความคิดเห็นที่ : 21


   ขอเชียร์อาจารย์ pheonix มากๆเลย อาจารย์ใจกว้างมาก ขนาดเวลาส่วนตัวอาจารย์ยังช่วยมาแสดงความคิดเห็นเพื่อพวกเรา แต่ไม่เข้าใจคนที่ไม่ทำอะไรแล้วยังเข้ามาขัดขวาง ไม่ให้คณะนี้ได้มีการปรับปรุง ไม่ทราบว่าทราบถึงปัญหาจริงๆรึเปล่า รู้ไหมคะ ว่าแพทย์ที่คอยดูแล intern ตามรพใ พูดกันทั้งนั้นว่าเด็ก มอใ อ่อน ortho สุดๆ แถมยังบอกว่าถ้า มอ. ยังเป็นแบบนี้ อีกหน่อยคงไม่มีหมอ ศัลย์เก่งๆ เพราะ basic anatomy แย่มาก
ถ้าคุณๆที่ชอบเข้ามาแย้งกันนักรักคณะนี้จริงๆล่ะก็ช่วย สละเวลาส่วนตัวนำเอาความคิดเห็นของนักศึกษาไปคิดพิจารณาบ้าง ก็จะดีกว่ามานั่ง post ว่าอาจารย์ดีๆ และขัดขวางการพัฒนาหลักสูตรอย่างนี้นะคะ
อยากให้ มอ มีทั้ง หมอดีและเก่ง ไม่ใช่ดีอย่างเดียว แต่ทำรักษาโรคไม่ถูก คนไข้คงโชคร้ายแย่เลย
เรื่องหมอดีคณะนี้สนับสนุนอยู่แล้ว ทราบดี แต่ถ้าจะกรุณาใส่ความรู้ติดไปในสมองให้บ้างจะเหนือบ่ากว่าแรงมากไหมคะ ช่วยตอบที


Posted by : บอกตรงๆ ตัวเองยังรู้สึกสงสารคน , Date : 2004-02-17 , Time : 19:08:34 , From IP : 172.29.2.108

ความคิดเห็นที่ : 22


   สำหรับหลักสูตร Orthopaedics นั้น ผมกล้ากล่าวได้ว่าเป็นภาควิชาที่กำลังมีการปรับปรุงการเรียนการสอนไปข้างหน้ามากที่สุด และอาจารย์ไม่ได้อยู่เฉยๆแน่นอน

เริ่มจากการ address "เวลา" ที่น้อยนิดที่ได้รับปันมานั้น อาจารย์ได้กรุณา set Vitual classroom (หรือที่แกใช้คำ E-learning) สำเร็จเป็นภาควิชาแรกของเรา และจาก e-learning อันนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักเรียนที่จะกลับมาทบทวน ใช้เวลาศึกษา "เมื่อไหร่ก็ได้" มีการลองจัดระบบการเรียน simulated patient ที่มีน้องกล่าวถึงไปแล้ว และผมเชื่อว่าจาก library ของภาควิชาที่ได้สะสมรูป case ผู้ป่วยจริง จะกลายเป็นแหล่ง resource ทา_การเรียนที่สมบูรณืที่สุดอันหนึ่งทีเดียว

แต่ประการหนึ่งคือ psychomotor นั้น ได้มาโดยวิธีเดียวครับคือลงมือทำ ทำซ้ำๆ รับรองได้ว่าเวลาที่ให้ ไม่ว่าจะเป็นของภาควิชาไหน ในส่วน psychomotor skill นั้น คนที่จะได้มากที่สุด ก็คือคนที่เฝ้า ER เฝ้า ward เฝ้าห้องเฝือก และกระโดเข้าใส่ ขอเข้าไปทำ ขอเข้าไปดู จึงจะได้ anatomy ก็เหมือนกัน ไม่มีใครจำ anatomy ได้จากห้อง lecture หรอกครับ ต้องยืมหีบกระดูกไปนอนกอดที่บ้านตลอดปีสอง (ในระบบเก่า) ก็ยังจำไม่ได้หมด จนขึ้น Clinical year ที่ต้องตรวจร่างกายว่าจิ้มไปตรงนี้แล้วคนไข้สะดุ้งโหยงมานั้น มันมีอะไรอยู่ข้างล่างบ้าง ดึงตรงนี้แล้วคนไข้อ่อนแรงมันเกิดได้จากระดับไหนบ้าง พวกนี้จะได้จากตอนรับคนไข้บน ward หรือที่ OPD แล้วกลับไปอ่านต่อที่บ้านครับ จะเรียนระบบเก่าหรือระบบใหม่ รับประกันได้ว่าวิชาแพทย์ต้องพึ่ง self directed learning แน่นอน และเป็นหัวใจหลักด้วย



Posted by : Phoenix , Date : 2004-02-17 , Time : 22:25:39 , From IP : 172.29.3.248

ความคิดเห็นที่ : 23


   อยากให้เปลี่ยนผู้บริหารทั้งชุดโดยเฉพาะรองคณบดีฝ่ายแพทยศาสตร์ศึกษา นี้ก็ใกล้ครบวาระ 4 ปีแล้ว

Posted by : นศพ.ตัวจริงแต่ไม่อยากเอยนาม , Date : 2004-02-18 , Time : 18:57:11 , From IP : 172.29.4.254

ความคิดเห็นที่ : 24


   ข้อจำกัดของความเห็นบนกระดานกระทู้ที่ไม่ได้มีระบบสมาชิกคือเราไม่สามารถ "นับ" ความเห็นได้ สิ่งเดียวที่คนอ่านวิเคราะห์ได้คือ "เหตุผล" ครับ ส่วนคนเสนอจะใช้ "นามแฝง" ว่า นศพ. อาจารย์ ผู้ปกครอง พระเจ้า ฯลฯ นั้นไม่มีความเป็นนัยสำคัญ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-02-18 , Time : 21:24:43 , From IP : 172.29.3.203

ความคิดเห็นที่ : 25


   เออน่าไอ้น้อง เขาให้เรียนอะไรก็เรียนไปเถอะ เวลาพักผ่อนมากดีไม่ชอบเหรอ จะได้ไม่เครียด มีพวก block ที่ให้พวกเอ็งได้เบรก พวกพี่ก็ยังเรียนมาเหมือนพวกเอ็งก็ยังทำงานได้สบาย อย่าง ortho anesth ที่พวกเอ็งบอกว่ามั่วๆกัน ตอนเรียนก็ยังเป็นแค่ตำรา ไม่ใช่ตัวคนไข้ ไม่เชื่อตอนเป็น extern ข้างนอกน่ะ ได้ดู 1-2 ครั้งเอ็งก็ต้อง solo เองแล้ว ไอ้ความรู้ตอนปี 4-5 ที่เรียนๆมาน่ะพี่ก็จำได้ไม่หมดหรอกโดยเฉพาะตอนอยู่ศัลย์ที่มอ.น่ะจะเรื่อนเรียนกับข้อสอบสอนพวกเอ็งอย่างกับ specialist แต่พอมาอยูข้างนอกเอ็งใช้ชีวิตจริงๆก็ตอน management เบื้องต้นแล้วรอ consult แค่นี้แหละ GP พอตอนเป็นextern ข้างนอกนั่นละคือการเรียนรูของแท้พอเอ็งได้อ่านได้ใช้มันก็จะซึมซับแบบ wistper มีปีกเอง ยิ่งถ้า case ร่อแร่เอ็งช่วยได้ก็จะรู้สึกเหมือนฮีโร่เลย แต่บางทีเอ็งทำพลาดก็จะหดหู่สุดๆโดยไอ้ประเภทที่ตายคามีอช่วยไม่ทันไม่รู้จะพูดกับญาติคนไข้ยังไง เช่นพวก aplastic anemia plt 0 ิbleed ใน brain หรืออย่างวันนี้ผมเจอมา เด็ก single venticle นอนรพ.4-5วันอยู่สบายดี วันนี้ PND มันเสือกปิดตอนอยู่เวรคนเดียวนี่ก็ dead ต่อตาเลย ไหนจะเจอกับ pressure จากพ่อแม่ญาติของเด็กอีก พวกเอ็งควรจะไปหาประสบการณ์ไว้นะ

Posted by : super extern , Date : 2004-02-20 , Time : 00:19:08 , From IP : lvs3.moph.go.th

ความคิดเห็นที่ : 26


   สมองก็เท่านี้ไม่ได้โตกว่าก่อน ความรู้ก็มากขึ้นกว่าเดิม เวลาเรียนยังเท่าเดิม คงไม่มีใครที่จะสามารถเรียนรู้ได้หมดภายในเวลาจำกัดสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ทำอย่างไรจึงจะใช้เวลาเรียนที่น้อยแบบนี้เก็บเกี่ยวความรู้ที่สำคัญให้มากที่สุด ไม่มีคนไหนที่สามารถเรียนรู้ได้หมด แต่ตัองมีคนที่ต้องเรียนด้วยตนเองและต่อเนื่องตลอดเวลาที่เรียกว่าself-dierected and life-long learning และที่สำคัญเรียนในสิ่งที่จำเป็นต้องใช้หรือพื้นฐานก่อน เรายังมีโอกาสเรียนอีกมาก ทางคณะคงต้องกลับมาพิจารณาแล้วเพราะจากกระดานข่าวที่เห็นอยู่ทุกวัน การศึกษาของเราได้พัฒนาขึ้นจริงหรือเปล่า เราสอนให้นักเรียน SDL สอนให้รู้จัก life long learning นักศึกษายังออกมาบอกว่าอันนี้ไม่สอน อันนั้นไม่สอน ทั้งๆที่นักศึกษาควรจะต้องกลับไปทบทวนด้วยตนเองได้ แสดงว่าเราสอนให้นักศึกษาเรียนด้วยตนเองไม่ได้ใช่หรือไม่ (ส่วนใหญ่อาจจะได้ แต่กระทู้ต่างๆนี้อาจมีนักศึกษาเพียงไม่กี่คนตอบ) อาจารย์คงต้องกลับมาดูเรื่อง communication skill เราสอนให้นักศึกษาสื่อสารไม่เป็นใช่หรือไม่ การแสดงความคิดเห็นในกระดานข่าวเป็นเครื่องบอกให้เราได้รู้ว่าการศึกษาของเราอาจจะดีเฉพาะรูปแบบ แต่ตัวนักศึกษายังไม่สามารถที่จะพัฒนาให้บรรลุบัณฑิตแพทย์ที่พึงประสงค์ได้ สาเหตุอาจจะอยู่ที่อาจารย์ หรือตัวนักศึกษา หากจะโทษคงจะต้องโทษอาจารย์ ไว้ก่อน ดังนั้นอาจารย์ต้องกลับมามองบทบาทของตนเองว่าเป็นเช่นไร

Posted by : รัตติกาล , Date : 2004-02-25 , Time : 22:54:48 , From IP : 203.113.76.73

ความคิดเห็นที่ : 27


   ประเด็นที่คุณรัตติกาลยกมาน่าสนใจมากครับ ในแง่ที่ว่าเราได้สอนให้นักศึกษาเรียนด้วยตนเองได้หรือไม่

ตรงนี้ผมคิดว่ามีสองส่วนใหญ่ๆที่เกี่ยวข้องสำหรับความล้มเหลว (คนที่สำเร็จก็ไม่ต้องพูดถึงนะครับ) คือ "เจตคติ กับ ความชำนาญ" นักศึกษาของเราที่ล้มเหลวสองเรื่องนี้ ล้มเหลวอันไหนแน่หรือทั้งสองอัน?

ดังที่ได้กล่าวถึงในอีกกระทู้หนึ่ง ฉันทา หรือ ความพึงพอใจ ความเห็นชอบว่าเป็นสิ่งดีพึงกระทำนั้นสำคัญ และถ้าประการนี้ไม่เกิด มีโอกาสสูงที่ความชำนาญก็จะเกิดได้ยาก พวกเราทำให้นักศึกษาตระหนักมากน้อยเพียงไรที่ว่าความรู้ทางการแพทย์ปัจจุบันนั้นไม่มีทางที่เรียนจบในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะใช้เวลากี่ปีก็ตาม สามารถเรียนได้ไม่มีสิ้นสุด พวกเราทำให้นักศึกษาได้ตระหนักมากน้อยเพียงใดว่าระบบเก่านั้น หรือ ระบบป้อนความรู้นั้น จะทำให้ผลระยะยาวที่เราต้องการ คือ "เจตคติ และความชำนาญ" ในการตั้งใจและแสวงหาความรู้หลังจบออกไป อาจจะไม่พอเพียง

การสื่อสารนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ การเรียนการสอนการทำงาน ทุกอย่างจะมีรากฐานมาจากการสื่อสารที่ประสบความสำเร็จทั้งนั้น อาจารย์ในที่นี้ ไม่เพียงแต่จะต้องสอน แต่ต้องนำมาใช้เป็นตัวอย่าง การ feedback ที่เป็น constructive criticism เป็นอย่างไร มีการนำมาใช้หรือไม่ ถ้าตรงนี้ยังไม่เกิดเป็นระดับ "วัฒนธรรม" ขององค์กร เราก็ยังห่างไกลจากดวงดาวที่ได้ตั้งไว้เยอะครับ ถ้า ethics ยังมีการพูดถึงแค่ในชั่วโมง ethics ถ้า evidence-based ยังพูดถึงอยู่ในเฉพาะชั่วโทง CRT หัวข้อ evidence-based เท่านั้น ไม่ได้นำมาใช้ในการอภิปราย ในการสอน ในการพูด หรือ communication skill คือการพูดจาไพเราะเสนาะหูแต่ในชั่วโมงนั้น ออกมาก็ยังแทงกัน เฉือดกัน กัดกัน สิ่งที่เราพูดไปก็คือ Joke ธรรมดาๆ นั่นเอง



Posted by : Phoenix , Date : 2004-02-26 , Time : 00:08:18 , From IP : 172.29.3.201

ความคิดเห็นที่ : 28


   จากการที่มีปัญหาก้านการจัดการเรียนการสอนโดยเฉพาะในชั้นคลินิก อาจจะเกิดจากผู้บริหารด้านแพทยศาสตรศึกษาไม่มีความจริงใจในการที่จะปรับปรุงการเรียนการสอน คิดว่าดีอยู่แล้ว เวลามีปัญหาก็ไม่เคยแก้ไข สักแต่ให้ผู้อยู่เบื้องล่างรับภาระไป ไม่เคยที่จะให้มีการประชุมปรับปรุงหลักสูตรใหม่ที่เป็นอยู่เลย ควรไปอ่าน....
ในการปฏิบัติงานนั้น ย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อปัญหาเกิดขึ้นต้องแก้ไข อย่าทิ้งไว้ให้พอกพูนลุกลามจนแก้ยาก ขอให้ทุกคนระลึกว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข ถ้าแก้คนเดียวไม่ได้ก็ช่วยกันคิดช่วยกันแก้หลายๆคนหลายๆทาง ด้วยความร่วมมือปรองดองกัน…

พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 13 กรกฎาคม 2533)
แต่ผู้บริหารด้านการศึกษาก็ไม่เคยคิดที่จะแก้ไขร่วมกับอาจารย์ทั้งหมดของคณะแพทย์ที่ต้องสอนนศพ.ว่าต้องมีการปรับปรุงจริงๆได้แล้ว ไม่ใช้ดันทุรังจนมาครบ 3 ปีแล้วในระบบใหม่


Posted by : จงอ่านไว้ , Date : 2004-02-26 , Time : 19:11:06 , From IP : 172.29.2.87

ความคิดเห็นที่ : 29


   เบื่อมากกันการที่มีคนมา post วว่ากระดานข่างวไม่ใช่ที่ feed backควรไปบอกตรงๆ แต่จาประสบการณ์ที่ผ่านมาการ feed back ค่อหน้าอาจารย์ก็จะถูกมองไม่ดีและ เยนลงใบประเมิณก็ไม่เห็นปรับปรุงเพราะเขียบนทุกครั้งเลยว่าข้อเสียของกานรียน PBL เป็นอย่างไร ก็ยังเหมือนเดิม คือ ไม่ปรับปรุงและยังไม่ยอมชี้แจงอีก ก็คงต้องใช้กระดานข่าวเป็นที่สุดท้าย

Posted by : IVIG , Date : 2004-03-03 , Time : 21:06:29 , From IP : 172.29.3.249

ความคิดเห็นที่ : 30


   แล้วน้องเขียนว่า ระบบการเรียนในขณะนี้ไม่ดีอย่างไร ควรจะทำอย่างไร ไม่เอามาลงตรงนี้ให้พวกเรารับทราบล่ะครับ?

ส่วนการลงกระดานกระทู้นี่จะช่วยให้อาจารย์มองน้องดีขึ้น หรือรีบปรับปรุงหรือชี้แจงได้อย่างไรนั้น อาจจะเป็นการ speculation นะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-03 , Time : 22:48:56 , From IP : 172.29.3.226

ความคิดเห็นที่ : 31


   อาจารย์นกไฟไม่เห็นหรือว่าก็เสนอไปแล้วว่าคุณเพิ่มหรือยุบรายวิชาอะไร แล้วทางคณะจัดการอย่างไรบ้าง ก็ทำเป็นหูทวนลมอย่างเดิม

Posted by : ก็เคยเสนอ , Date : 2004-03-06 , Time : 09:23:49 , From IP : 172.29.2.80

ความคิดเห็นที่ : 32


   ขออนุญาตตั้งข้อสมมติฐานว่า คุณอาจจะหาแหล่งข้อมูลไม่ตรงเพื่อที่จะทราบว่าคณะฯมีการปรับปรุงอย่างไรบ้าง

เมื่อหกเดือนที่แล้ว หน่วยสื่อการสอนนำโดยอาจารย์สิทธิโชคจัดสัมมนา workshop เรื่องสื่อการสอนแบบต่อเนื่องตลอดทุกเดือน เพื่อแก้ไขปัญหาแหล่งความรู้และการเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับนักศึกษาก็ได้มีการวางรากฐานการสร้าง virtual classroom และจัดสำเร็จเป็นตัวอย่างแล้วหนึ่งรายวิชา

เมื่อสองเดือนที่แล้วอาจารย์ทิพยวรรณได้รับมอบหมายจัดกลุ่ม evidence-based medicine เพื่อจัดกิจกรรมเสริมความเข้าใจความรู้ความชำนาญด้านการแพทย์เชิงประจักษ์ให้มีการบูรณาการกับหลักสูตรแพทยศาสตร์ศึกษา แผนโครงการตลอดสองปีต่อนี้ไปออกมาแล้ว และได้รับอนุมัติจากคณบดีเรียบร้อย กำนดให้ scenario CRT ต่างๆ reflect ถึงความต้งการด้านนี้ across all the blocks

เมื่อสองเดือนก่อนเช่นเดียวกันมีการจัดสัมมนา block health ptomotion มีการปรับเปลี่ยนตัดอาทิตย์บางอาทิตย์ออกและเสริมของใหม่มาโดยให้ตรงกับ feedbacl วัตถุประสงค์ของหลักสูตรมากยิ่งขึ้น จัดประชุมเดือนละครั้งทั้งหมดประมาณ 4 ครั้ง ขณะนี้ตารางแผนการสอนใหม่ออกมาเรียบร้อยแล้ว เริ่มใช้เปิดเทอมนี้

เมื่อเดือนที่แล้วมีประชุมปรับปรุงคุณภาพสื่อการสอนของคณะฯ ทุกภาควิชาจะมีการปรับปรุงเอกสารและการจัดประสบการณ์การสอนใหม่เพิ่มเติมทั้งหมด

เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วมีจัดสัมมนา block pre-post op care สองวันติดกัน เชิญ นศพ.ปีหกและปีสี่ (ปีห้ากำลังสอบ) บรรยากาศและผลการประชุมเป็นอย่างไรลองสอบถามจากเพื่อนน้องเอง จะได้ไม่หาว่าเราโฆษณาเอง

อาทิตย์ที่แล้วมี workshop เรือง virtual classroom มีอาจารย์เข้าประมาณ 50 คน ทุกภาควิชา เพื่อที่จะพัฒนารายวิชาต่างๆเข้ากับวิธีใหม่นี้ เป็นการปรับปรุงเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับนักศึกษาและอาจารย์

อาทิตย์หน้ามีการจัดสัมมานาเพื่อสอดแทรก palliative care, holistic care, commmunication skill เข้าบูรณาการกับหลักสูตรแพทยศาสตร์ศึกษาตั้งแต่ปีสองจนตลอดถึงปีหก

นั่นเป็นเฉพาะที่ผมมีส่วนรู้เห็น ยังมีส่วนที่เป็นของ block ต่างๆอีกซึ่งไม่ได้เป็นกรรมการ ในส่วนของ Post-graduate มีการบูรณาการหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูงเข้ากับ training programme ซึ่งหมายความว่าในสามปีนี้จะมีการปรับการประเมินทุกรายวิชาให้เป็นแบบวัดได้ ตัดเกรดได้ จะมีความโปร่งใสในการประเมินและให้คะแนนมากขึ้น curriculum plan ก็จะถูกใช้อย่างมีความหมายมากยิ่งขึ้น

ตลอดเวลาเกือบสองปีที่ผมกลับมาทำงาน การเปลี่ยนแปลงนั้นกล่าวได้ว่าเกิดขึ้นตลอดเวลา อาจจะเป็นการยากที่ นศ.แต่ละรุ่นจะทราบว่ารุ่นน้องหรือรุ่นพี่มีการเรียนแตกต่างกับเราอย่างไร ต้องดูในภาพรวม จัดเป็นสีๆ ตาม themes ตาม objective learning จะเห็นชัดยิ่งขึ้น การสัมมนาแต่ละครั้งของ block ที่ผมได้มีส่วนร่วมประชุมด้วยก็ได้นำเอา feedback มาเป็นส่วนประกอบในการปรับปรุงตลอดเวลา ที่พูดนี่ไม่ได้หมายความว่าเราสำเร็จสมบูรณ์พร้อม ผมเห็นด้วย 100% กับการประเมินว่าเรายังมีช่องที่จะพัฒนาให้ได้ดีขึ้นอีกมากมายนัก แต่ผมจะไม่เห็นด้วยที่ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย อย่างน้อยที่สุดในปีกว่าๆที่ผมทำงานมานี่ มันอะไรหลายอย่างปรับเปลี่ยนอยู่เกือบตลอดเวลา บางทีคนทำงานอาจจะมีกำลังใจมากขึ้นเหมือนกันถ้ามีคน appreciate บางคร้งการรวบรวมข้อมูลเรื่องมีอะไรปรับบ้างเปลี่ยนบ้างอาจจะไม่ง่ายนัก แต่ไหนๆน้องอยากจะประเมินทั้งที อาจจะใช้ความพยายามด้าน methodology มากขึ้น ติดต่อฝ่ายแพทยศาสตร์ หรือเปิดดูหนังสือคู่มือปีต่อปีดู จะได้เพิ่มความแม่นยำถูกต้องของการวิเคราะห์ เราจะได้ตีได้ตรงจุด โดยมีหลักการและเหตุผลประกอบ




Posted by : Phoenix , Date : 2004-03-06 , Time : 13:30:35 , From IP : 172.29.3.213

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.015 seconds. <<<<<