ความคิดเห็นทั้งหมด : 8

ระบบการเรียน tutorial ของ Oxbridge VS ระบบการเรียน PBL ของมอ


   ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนครับว่าผมไม่ค่อยมีความรู้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับระบบการเรียนการสอนแบบ PBL ที่ใช้กันในหลักสูตรคณะแพทย์ มอ

แต่ผมขออนุญาตเล่าประสบการณ์ส่วนตัว+ความรู้ที่พอจะมีให้ฟังครับ

ระบบการศึกษาของมหาวิทยาลัยออกฟอร์ดกับเคมบริดจ์ของประเทศอังกฤษว่ากันว่าเป็นระบบที่ดีที่สุดในโลก จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมสถาบันการศึกษาทั้งสองของอังกฤษสามารถผลิตบัณฑิตที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้จำนวนมากมาย

ขอยกตัวอย่างก่อนนะครับ ออกซ์ฟอร์ด ได้ชื่อว่าเป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูงที่ผลิตบัณฑิตให้เป็นผู้ปกครองหรือนักบริหารระดับโลก นักการเมือง นายกฯ ประธานาธิปดีของหลายๆประเทศในโลก จบการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้ เช่น นายกฯ ของอังกฤษมากกว่า 20 คน (รวมโทนีแบร์และมากาแร็ต แท็คเชอร์) อินทิรา คานธี อองซาน ซูจี อดีตผู้นำของออสเตรเลีย ปากีสถาน บังคลาเทศ ฮ่องกง ประเทศในอัฟริกา และอื่นๆ อดีตผู้นำสหรัฐ บิล คลินตัน อดีตนายกฯ ของเรา 2 ท่าน (ท่าน รมว เสนีย์และครึกฤทธิ์) ก็ล้วนแต่จบจากสถานบันแห่งนี้ แม้แต่อธิการบดีของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของอเมริกาอย่าง Harvard และ Yale ก็ลูกศิษย์จากออกฟอร์ด

ฝ่ายเคมบริดจ์ภูมิใจกับการสร้างคนให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก ตัวอย่างเช่น เซอร์ไอแซค นิวตันและชาร์ล ดาวิน รวมถึงนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบโครงสร้างดีเอ็นเอ ประจุนิวตรอน ยาเพนนิซิลิน และอื่นๆ เกียรติประวัติที่โดดเด่นที่สุดของเคมบริดจ์น่าจะเป็น จำนวนคนของมหาวิทยาลัยที่ได้รับรางวัลโนเบลมากที่สุดในโลก (80 คน) ถ้านับกันเฉพาะลูกศิษย์ของมหาวิทยาลัยโดยไม่รวม คณาจารย์และนักวิจัย เคมบริดจ์ก็ยังมีจำนวนลูกศิษย์ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุดในโลกไม่น้อยกว่า 70 คน ในช่วงเวลา 3 ปีจาก 4 ปีหลังสุด คนของเคมบริดจ์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาแพทย์ติดต่อกันถึง 3 ปี (2000-2002)

อะไรคือส่วนผลักดันสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการให้กับมหาวิทยาลัยทั้งสอง คำตอบที่ง่ายและชัดเจนก็คือ การจัดระบบการศึกษาที่โดดเด่นกว่าสถาบันการศึกษาอื่นๆครับ

ระบบการเรียนของออกซ์ฟอร์ดกับเคมบริดจ์ในทุกสาขาวิชา (โดยเฉพาะปริญญาตรี) อาศัยการจัดการเรียนการสอนแบบ tutorial เสริมการเรียน lecture, class และ seminar ระบบ tutorial คือการเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆสัดส่วนผู้เรียน 1-3 คนต่ออาจารย์ 1 ท่านในระดับ ป ตรี หรือ 1-1 ในระดับ ป โทในหลายๆสาขาวิชาของ ออกซ์ฟอร์ด ในระบบ tutorial ผู้เรียนมีโอกาสได้ฝึกการอภิปรายโต้แย้งหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาวิชากับคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสาขาวิชานั้นๆเป็นกลุ่มเล็กๆหรือตัวต่อตัวเป็นรายสัปดาห์ ขณะเดียวกันผู้เรียนมีภาระงานค่อนข้างหนัก ท้งนี้การเรียน tutorial ในแต่ละครั้งต้องอาศัยการทำรายงาน อ่านหนังสือและค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองเป็นหลัก เป็นฐานของการเรียน tutorial ในแต่ละครั้ง นอกเหนือจาก การอ่านหนังสือ ทำการบ้าน แบบฝึกหัด หรือรายงานแล็ป จากการเรียนในระบบ lecture lab หรือ seminarเหมือนอย่างที่มีในมหาวิทยาลัยทั่วๆไป ระบบการเรียนของอังกฤษ ผู้เรียนต้องพึ่งตนเองเป็นหลักในการเรียนรู้เนื้อหาวิชาต่างๆ อาจารย์เป็นเพียงผู้ให้ข้อมูลเบื้องต้น ให้คำแนะนำ คำปรึกษาปรึกษาในการเรียน รวมถึงการตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรียนเป็นระยะผ่านระบบ tutorial แต่ไม่ใช่ผู้สอนที่ "ยัดเยียดเนื้อหา" อย่างที่เห็นค่อนข้างมากในเมืองไทย ระบบการเรียนแบบนี้มีส่วนฝึกให้ผู้เรียนรับผิดชอบต่อการเรียนค่อนข้างมาก และค่อนข้างมีอิสระในระดับหนึ่งกับการเรียนรู้ในวิชานั้นๆ เด็กอังกฤษมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและกำหนดการเรียนรู้ของตนเองหรือกลุ่มได้ เป็นข้อดีของการฝึกการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการเรียนรู้ ในขณะที่อาจารย์คนไทยหลายท่านเป็นผู้กำหนดทุกอย่างและเป็นผู้ผูกขาดในการเรียนการสอน ทำให้เด็กไทยหลายคนคิดอะไรไม่ค่อยเป็นและไม่กล้าแสดงความคิดเห็น จึงไม่ค่อยแปลกใจที่ทำไมคนไทยไม่ค่อยมีผลงานวิชาการระดับโลกเหมือนอย่างประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งๆที่คนไทยก็ไม่ได้มีสติปัญญาด้อยไปกว่าชาติอื่นๆ

ความแตกต่างที่ผมเห็นได้ชัดระหว่างเด็กไทยกับเด็กอังกฤษคือ การจัดระเบียบการเรียนของตนเอง ในแต่ละวันเวลาที่ว่างจากการเรียน เด็กอังกฤษโดยส่วนใหญ่ใช้เวลาในห้องสมุดมากกว่าเด็กไทยหลายเท่านัก ผมสังเกตุอยู่บ่อยๆว่า ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยในอังกฤษนั้น แต่ละวันจะหาที่นั่งอ่านหนังสือได้ค่อนข้างยาก เพราะเต็มไปด้วยเด็กที่เข้ามาค้นคว้าอ่านหนังสือด้วยตัวเอง เด็กอังกฤษหลายๆคน บังคับตัวเองกับการใช้เวลาในห้องสมุดเป็นวันๆ ตั้งแต่ห้องสมุดเปิดจนห้องสมุดปิด เปรียบเหมือนคนทำงานในบริษัทที่เข้าทำงาน 9 โมงและเลิกงาน 5 โมงเย็น สถานการณ์ต่างจากเด็กไทยที่ใช้เวลาว่างจากการเรียนกลับไปนอนกลางวันหรือเดินเที่ยวตามห้าง การเรียน lecture หรือการเข้า class ในออกซ์ฟอร์ดกับเคมบริดจ์นั้น ไม่ถือว่าเป็นการบังคับและไม่มีคะแนนเข้าชั้นเรียนเพราะด็กของเขามีวินัยสูงในการเข้าเรียนสูง ถ้าเป็นบ้านเรา เด็กไทยคงกระโดดโลดเต้นดีใจกันหลายคน

ผมไม่แน่ใจว่าการเรียนการสอนของคณะแพทย์ มอ ในปัจจุบันมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกับระบบที่ผมเล่าให้ฟังหรือไม่ แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกดีใจที่คณะแพทย์ของ มอ เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนการสอนใหม่ที่เน้นตัวผู้เรียนมากขี้น เด็กๆหลายคนอาจรู้สึกว่า ระบบการเรียนแบบนี้ค่อนข้างยาก แต่อย่างน้อยข้อดีของระบบนี้คือการฝึกให้เด็กมีวินัยและความรับผิดชอบต่อตัวเองและต่อการเรียนของตัวเองมากขึ้น มีความสามารถที่จะพึ่งตนเองได้ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับการค้นคว้าหาความรู้หลังจากที่จบการศึกษาจากที่นี่ไปแล้ว ประเทศชาติจะพัฒนาก้าวหน้าไปได้ไกล หากคนของชาติมีวินัยต่อตนเองและศักยาภาพสูงในการเรียนรู้ที่จะพัฒนาตนด้วยตัวเอง อนาคตอันใก้ลเราอาจมีคนเก่งแบบลูกศิษย์ของออกฟอร์ดหรือเคมบริดจ์ก็ได้

ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆที่กำลังศึกษาอยู่ครับ


Posted by : cantab , Date : 2004-01-27 , Time : 08:04:49 , From IP : so-10844-x0.essex.ac

ความคิดเห็นที่ : 1


   หวัดดีคับผมเป็นนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งที่ผ่านระบบการเรียนแบบ block system ครับก็อยากจะอธิบายให้เข้าใจถึงระบบการเรียนแบบนี้เพื่อที่จะได้ไปเปรียบเทียบกับระบบ tutorial ของ Oxford หรือ Cambridge คับ
1. มีการบรรยาย lecture ที่ค่อนข้างจะน้อย(ซึ่งการเรียนระบบที่อยากให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางผมคิดว่ามันน่าจะมีจุดที่สมดุลระหว่าง lecture และ การศึกษาด้วยตัวเอง) ซึ่งเป็นปัญหากับนศพ.มากครับเนื้อหาบางส่วน miss ไปมากๆเลยเพราะใน 1 วันมีเพียงแค่ 1 lectureเอง ซึ่งผมคิดว่าถ้าจะมีการศึกษาด้วยตัวเองนั้นน่าจะมีการจัดการบรรยายที่บรรยายประเด็นเนื้อหาที่สำคัญให้ครบทุกส่วนแต่รายละเอียดย่อยๆนั้นก็ให้เด็กศึกษาด้วยตนเองคับไม่ใช่ให้เด็กไปหาอ่านเอาเองทั้งหมดซึ่งในบางครั้งเนี่ยไม่รู้ว่าขอบเขตการอ่านควรจะเน้นตรงจุดไหนและอ่านมากเพียงไร ถึงท่านอาจารย์จะบอกว่ามีขอบเขตเนื้อหาให้แล้วแต่อยากจะบอกว่าถ้าได้ลองไปอ่านในสมุดคู่มือประจำรายวิชาจะเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์ค่อนข้างจะกว้างมากอย่างเช่น วัตถุประสงค์สามารรถอธิบาย anatomy ของช่องอกภ้าลองไปเปิด text หรือหนังสือภาษาไทยพบว่ามีถึงไม่ต่ำกว่า 100 หน้าครับ นอกจากนี้เนื้อหาที่ให้อ่านเองบางครั้งยากแก่การเข้าใจมากเลยครับเช่น ให้ศึกษา reticular formation เองซึ่งลองไปอ่านเองแล้วยากแก่การเข้าใจมากเลยครับ ก็เลยอยากที่จะเสนอแนะว่าอยากให้มีการจัดระบบ lecture ให้มีการบรรยายในประเด็นสำคัญแต่ให้มีการบรรยายส่วนในเนื้อหาครับ
2. การเรียน lab นั้นน้อยมากครับ อย่างเช่น lab anatomy นั้นน้อยมาก จากการสอบถามอาจารย์นั้นพบว่าอาจารย์บอกว่าไม่จำเป็น แต่ในความคิดของผมคิดว่าการที่เราได้เห็นของจริงและได้ปฏิบัตินั้นจะทำให้เราได้เห็นของที่เป็น 3 มิติและสามารถคิดนึกออกเมื่อมาทบทวนเองครับ เป็นต้น ก็อยากที่จะเสนอในเรื่องนี้ว่าถ้าให้ลองมีโอกาสได้ลองทำ lab อย่างเต็มที่ทั้ง anatomy histology pathology หรือ lab อื่นๆก็ตาม มันคงจะเป็น basic ที่ดีอย่างยิ่งคับ
3. ระบบ PBL ที่คล้าย tutorial นั้นแต่ต่างกันตรงที่ว่า ในระบบ tutorial นั้นมี professor หรือ ผู้เชี่ยวชาญมารับฟังข้อคิดเห็นและจะช่วยแก้ไขในส่วนที่ผิดได้ ในขณะที่ระบบการเรียนแบบ PBL นั้น มี facilitator ซึ่งในบางครั้งไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านใน case ที่ทำการ discussion นั้นและเมื่อเราทำการ disscussion นั้นท่านก็จะไม่สามารถแก้เนื้อหาที่ผิดพลาดไปได้ ก็มีการบอกให้ไปทำการ consult กับผู้เชี่ยวชาญเหมือนกันแต่มันจะมีปัญหาตรงที่ว่าบางครั้งผู้เชี่ยวชาญท่านติดภารกิจจนทำให้ไม่สามารถให้การ consult ได้ครับ ข้อเสนอแนะคงอยากจะเป็นการให้มีการจัดการ conference รวมโดยมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาขานั้นมาร่วมการอภิปรายแก้ไขความเข้าใจที่ผิดให้ครับ
จากที่กล่าวมาทั้งหมดก็เป็นความรู้สึกและความเห็นของผมคับ


Posted by : นักศึกษาแพทย์คนหนึ่ง , Date : 2004-01-27 , Time : 10:38:05 , From IP : 172.29.2.194

ความคิดเห็นที่ : 2


   พอเจอปัญหาแล้ว น้องนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งทำอย่างไรครับ


Posted by : megumi , Date : 2004-01-27 , Time : 16:16:37 , From IP : 172.29.1.151

ความคิดเห็นที่ : 3


   ผมคิดว่าคำตอบคงมีอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า นักศึกษาแพทย์คนหนึ่งเข้าใจเรื่องการเรียนมากน้อยเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นการเรียนโดยการฟังบรรยาย การทำ Lab ผมแนะนำให้น้องลองดูวัตถุประสงค์ของการศึกษา จะได้เข้าใจถ่องแท้ว่า เราต้องการอะไร จุดอ่อนของนักศึกษาไทย มักจะอยู่ที่ไม่ได้เข้าใจวัตถุประสงค์ของการศึกษามีน้กศึกษากี่คนที่อ่านหลักสูตรคู่มือรายวิชาที่ตนเรียน (รวมทั้งผมด้วย)ฃ
ผมมองอย่างเป็นธรรม นักศึกษาส่วนใหญ่ยังมีวุฒิภาวะไม่เพียงพอ ต่อการเรียน ไม่รับผิดชอบต่อการเรียน ไม่รู้ว่าอีกนานหรือไม่นักศึกษาจะรับผิดชอบการเรียนมากกว่านี้


Posted by : พี่ปี 6 , Date : 2004-01-27 , Time : 16:51:12 , From IP : 203.113.76.12

ความคิดเห็นที่ : 4


   แก้ความเข้าใจหน่อยนึง "วัตถุประสงค์การเรียน" ของหลักสูตรนั้น ไม่ใช่ "ขอบเขต"ของเนื้อหา แต่เป็น minimal subject ที่ควรจะรู้ การที่ Oxbridge ทำได้ดีนั้น เพราะทฤษฎีที่เชื่อว่าการที่นักเรียนมีความสนใจทะเยอทะยานอยากรู้จริงๆทำให้ขอบเขตนั้นไม่สำคัญหรือจำเป็นอีกต่อไป ผลก็คือ "อภิชาติศิษย์" หรือศิษย์ที่เก่งมากขึ้นไปเรื่อยๆไม่ "ติดขอบเขต" อยู่แค่ที่ครูรู้



Posted by : Phoenix , Date : 2004-01-27 , Time : 19:41:16 , From IP : 172.29.3.248

ความคิดเห็นที่ : 5


   คิดว่าวัตถุประสงค์การเรียน ของหลักสูตร นั้นเป็น ขอบเขตอันหนึ่งครับ ถึงแม้ว่าจะเป็น minimal requirement ที่นักศึกษาต้องเรียน แต่นั่นคือขอบเขต ที่ต้องทำ ให้ได้ ส่วนนักเรียนที่จะขวนขวาย นั้นเป็นส่วนที่นอกเหนือจากที่หลักสูตรที่วางไว้ ซึ่งไม่ได้กีดขวางนักศึกษา ผมคิดว่าการเรียนแบบ PBL เป็นวิธีการหนึ่งที่คล้ายกับ oxbridge เช่นกันที่เราไม่กีดขวางความต้องการของนักศึกษา แต่เรามี input ที่ต่างกัน คือนักศึกษาส่วนใหญ่เรามักน้อย ซึ่งผมคิดว่าการจัดการเรียนการสอนแบบ PBL ของเราน่าจะมีปัญหาที่ว่ามีอะไรเป็นจุดอ่อนหรือไม่ ปล่อยมากเกินไป หรือไม่ เตรียมครูและนักเรียนดีหรือไม่ เพราะว่า เรายังได้เด็กที่ส่วนใหญ่ไม่ใฝ่รู้ ยังต้องการบรรยาย และหากบรรยายลงรายละเอียดนักเรียนยิ่งชอบ การบรรยายของเราคงไม่เหมือนที่ oxbridge แน่ และหากเป็นเช่นนั้น นักเรียนของเราก็คงไม่ชอบ คิดว่าทางฝ่ายรับผิดชอบน่าจทบทวนว่าของเราได้ผลดีจริงหรือไม่ และเราบรรลุวัตถุประสงค์ตามปรัชญาที่เราตั้งไว้หรือไม่

Posted by : Maniac , Date : 2004-01-27 , Time : 22:56:54 , From IP : 203.146.198.233

ความคิดเห็นที่ : 6


   ผมคิดว่าเรากำลังเป็นเหมือนตาบอดคลำช้าง มาพูดถึงเรื่องที่ใหญ่มากเพียงส่วนเดียว คงต้องลงไปพิจารณาถึงการศึกษาพื้นฐานที่ยังปฏิรูปกันไม่เสร็จ และไม่รู้จะเสร็จเมื่อไร และก็คงต้องไปพิจารณาโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรมประเพณีของประเทศเราด้วย คงจะมาจับแพะชนแกะเปรียบเทียบกันดื้อๆไม่ได้ ผมเองก็อยากให้มหาวิทยาลัยของเรามีผู้ที่มีผลงานโดดเด่นจนเข้าตากรรมการของเขาแล้วได้รางวัลโนเบล บ้างเหมือนกัน
การจัดการเรียนการสอนก็ควรคำนึงถึงปัจจัยที่กล่าวถึงข้างต้นด้วย ไม่ใช่พิจารณาเฉพาะอยากจะเป็นผู้นำหรือได้ชื่อว่าเป็นผู้เริ่มต้นก่อนเพียงอย่างเดียว


Posted by : TheOldMan , Date : 2004-01-28 , Time : 09:23:30 , From IP : 172.29.1.211

ความคิดเห็นที่ : 7


   เห็นด้วยกับ the old man ว่าการผลักดันการศึกษาของคณะ จะต้องมองให้รอบด้าน ไม่ใชทำตาม่ความมุ่งมั่นของคนๆเดียว
ชื่อในสิ่งที่วางมิชชั่นไว้ แล้วให้คนคนนั้นผลักดันไปโดยไม่ฟังสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด


Posted by : ศิษย์เก่า , Date : 2004-01-29 , Time : 09:38:29 , From IP : 172.29.3.34

ความคิดเห็นที่ : 8


   The old man ก็ยังคงเป็น Old man อยู่วันยังค่ำ คงจะไม่พัฒนาไปมากกว่านี้

Posted by : ํYoung man , Date : 2004-01-29 , Time : 11:36:02 , From IP : 172.29.2.143

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.008 seconds. <<<<<