ความคิดเห็นทั้งหมด : 8

Debate ยิ่งเรียนยิ่งเห็นแก่ตัว


   ว่ามั้ย?

รู้สึกว่าตนเองเป็นอย่างนั้น
Posted by ขำขันขำขัน() 2004-01-06 , 13:02:08 , 172.29.3.190

...................

ขอโทษทุกท่านนะครับ คือเห็นว่าประเด็นนี้น่าสนใจ จึงนำมาpost ซ้ำ
คือ อยากฟังความเห็น ที่conflict กันอีกน่ะครับ
ขออภัย phoenix ขำขันขำขัน opel โค่วจง Z Oozing ด้วยนะครับ


..........................
เป็นคำถามวิจัยที่ต้องพิจารณาว่าอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล หรือเป็นแค่ co-incidence

"เป็นเหตุ" คือ การเรียนมากทำให้เราเห็แก่ตัวมาก
"เป็นผล" คือ เพราะเราเห็นแก่ตัวก็เลยตั้งใจเรียน (ทะแม่งๆ)
"co-incidence" คือ ไม่เกี่ยวกันแต่เกิดร่วมกันเฉยๆ เช่น สมมติความเห็นแก่ตัวเกิดจาก aging (อายุมาก) เราก็อาจจะ observe เห็นว่าเราเรียนไปเรื่อยๆ เราเห็นแก่ตัวมากขึ้น ซึ่งจริงๆแล้วเป็นผลมาจากเราแก่ขึ้นต่างหาก เป็นต้น

สรุปแล้วเป็นอย่างไหนล่ะครับ?
Posted by Phoenix() 2004-01-06 , 14:24:31 , 172.29.3.103
..................
อ่า............. มันช่างเป็นซับเซตที่ซับซ้อน และซ่อนเงื่อนซะจิงๆ

Posted by โค่วจง() 2004-01-06 , 20:16:46 , 172.29.2.159

............................
เป็นเหตุ-เป็นผล หรือ......อือ...
ทุกๆอย่างละมั้ง คิดว่ามันอยู่ในส่วนลึกของจิตใจมากกว่า
ถ้ายิ่งเรียนไปยิ่งเห็นแก่ตัว นับว่าน่ากลัวมากจริงๆ
เพราะวิชาชีพนี้น่าจะต้องเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แบบว่า..เอื้ออาทร
หรือว่า 6 ปีที่เรียนในสถาบันไม่สามารถขัดเกลาจิตใจให้เป็นคนที่โอบอ้อมอารีและมีจิตใจที่อ่อนโยนได้ หรือมีแต่การแข่งขันเอารัดเอาเปรียบชิงความเป็นหนึ่ง น่ากลัวมากๆๆ
คงไม่เป็นอย่างนั้นทุกคนหรอก เพราะทุกที่ย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดี

Posted by z() 2004-01-09 , 17:48:01 , 203.113.61.196

...................................
จริงๆแล้วผมว่าไม่มีใครเห็นแก่ตัวซะทีเดียวหรอกครับ.... บางคนอาจดูเหมือนเห็นแก่ตัว เช่น วันๆเอาแต่เล่นเกมเหมือนไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับใคร แม้แต่ตัวเอง เห็นแก่ตัวจริงๆ+ เอาแต่ความสนุก แต่เปล่าเลย จริงๆเขาอาจกำลังทำเพื่อให้ตัวเองมีอายุยืนยาวขึ้น เขาอาจเป็นคนเครียดง่าย ไม่รู้จะหาทางออกยังไง เลยต้องเล่นเกม ถ้าเขามีวิธีอื่นที่ดีกว่าก็อาจทำ แต่สุดท้ายก็แล้วแต่เขาว่าหากเขาหายเครียด เขาจะเอาเวลาที่เหลือไปทำอะไรบ้าง แม้เห็นว่าเขาไม่สนใจอะไรเลย เรียนก็ไม่ค่อยเรียน กิจกรรมก็ไม่ค่อยทำ จริงๆเขาอาจเห็นแก่ครอบครัวก็ได้ พ่อกะแม่ย่อมมาก่อน เรื่องอื่นไว้ที่หลัง หรือบางคนอาจเห็นแก่แม่คุณ(แฟน) วันๆจี๋จ๋ากันตลอด แต่ก็ไม่ใช่ข้อสรุปว่าเขาเห็นก็ตัวใช่ไหมครับ อย่างน้อยก็เห็นแก่คนที่เขารัก ....จริงๆถ้าเราทุกคนรักกัน มันก็คงไม่มีคำว่าเห็นแก่ตัว อาจมีการสงสัยว่ารักไม่เท่ากันรึเปล่าแทน

Posted by opel() 2004-01-10 , 14:50:48 , 172.29.2.182

.....................................
ผมพิมพ์โครงการอาสาสมัครบริจาคโลหิต เกือบ 10 ครั้งแล้วนะ
พิมพ์ครึ่ง แฮ้ง! ครึ่ง ไม่เสร็จสักที เลยปลีกเวลา มา ตอบ กระทู้ บ้างดีกว่า

ลองคิดดูให้ละเอียดนะครับ
คือ คำว่าเห็นแก่ตัว มันเป็น abstract เพราะฉะนั้น ถ้าหาก มีหมอดู บอกเรา ว่า เราเป็นคนเห็นแก่ตัว เรานึกมากๆ ก็อาจบอกว่า แม่น นึกน้อยๆ ก็อาจว่า ไม่แม่น
แต่ทำมายยัง มีคนบางคน ว่าคนที่เราคิดว่า ไม่เห็นแก่ตัว ว่าๆ เห้นแก่ตัว

ผมว่าการเรียน ไม่ได้ทำให้คนเห็นแก่ตัวหรอดกครับ แต่การที่เรามีกิจที่ต้อง ทำมากขึ้น ตามวัย ทำให้เราถูกบีบคั้นเวลามากขึ้น
ขณะนี้ เราโตขึ้น เราต้องรับผิดชอบเรื่อง เรียน เรื่องที่บ้าน เรื่องแฟน เรื่องเพื่อน
เทียบกับตอน เด็ก อาจมี เรื่องที่ เกี่ยวข้องกับเรา แค่ไม่กี่ อย่าง เช่น เพื่อน กับเรียน+ที่บ้านนิดหน่อย เพราะ ตอนเด็ก ที่บ้านรับผิดชอบ เรามากก่า เรารับผิดชอบทางบ้าน
การที่เราไม่สามารถจัดการกับความขัดแย้งไได้ หมด ระหว่าง เรียน บ้าน แฟน เพื่อน เรื่องใดเรื่องหนึ่งในเหล่านี้ จะทำให้เรากลายเป็น คนเห็นแก่ ตัวใน สาย ตาของเรื่องที่เหลือ
เช่น เราไม่สามารถที่จะนั่งคุยกับเพื่อน นานๆๆด้ เพราะ เราต้องไปรับแฟนมากินข้าว เพื่อนอาจจะว่าเราเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว คือ นึกถึงแฟน ไม่นึกถึงเพื่อน เพราะ เพื่อน ให้ความหมายแฟน เป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา แต่เราให้ความหมายแฟน เป็นอีก บุคคล เพราะ ฉะนั้น เราจะเห็นแก่แฟน (คนอื่น) แต่เรื่องนี้ เปรียบไม่ดีนัก เพราะ แฟนก็คือของรักของ เรา ที่สังคมไม่ได้ ให้ความสำคัญเท่ากับเรื่อง อื่น
เช่น ถ้าเราบอกว่า ต้องกลับไปช่วยแม่เราล้างจานที่ บ้าน เพื่อน ก็คงว่าเรา น้อยลงหน่อย เพราะสังคมยอมรับได้และเห็นเป็นเรื่องดี เรื่องช่วยแม่ทำงาน

ความไม่เห็นแก่ตัว คือนึกถึงส่วนรวม หรือ นึกถึงคนอื่นก่อนกระทำเสมอ
การที่เราเอาแต่เรียน อ่านหนังสือ โดยที่ นึกว่าแม่เราคาดหวังสูงให้มาเรียน ไม่อยากให้แม่ผิดหวัง แต่ เรากำลังนึกถึงแม่ แต่ถ้าเราให้เวลา ในการตอบคำถาม ในตำรากับ เพื่อนไม่ได้ เนื่องจาก เราต้องรีบไปอ่านหนังสือ เพราะเหตูผลที่แม่คาดหวังดังกล่าว ถ้าเพื่อนที่มา ขอรู้เช่นนี้ และเขาำม่เห้นแก่ตัว เขาคงให้โอกาสเราไปอ่าน นหังสือ ฉะนั้นใครเห็นแก่ตัวกันแน่?????? แต่เราคงไม่ไปนั่งอธิบายบอกเขาว่า เรามีเหตุผลเช่นนี้ ฉะนั้นการจัดการเรื่องความขัดแย้ง ระหว่างกลุ่มคนที่เราเกี่ยวข้อง ด้วย เป้นทางออกให้เรา หลุด จากคำว่าเเห็นแก่ตัว
แบ่งเวลาให้พอกับความต้องการของกลุ่ม ให้การ ตอบสนองที่ เหมาะสม และที่สำคัญคือปฏิเสธ อยย่างเหมาะสมจะช่วย เาราได้

ผมคิดว่าช่วงเวลาที่มนุษย์ เห็นแก่ตัวมากที่สุด คือ ตอนที่เราทำงาน อดิเรก
ออกกำลังกาย กหรือเล่นเกม เพราะเป็นการกระทำที่ไม่ต้องนึกถึงใคร เราออกกำลัง กาย เพราะ เราอยากแข็งแรง เล่น เกม เพราะ อยากเอาชนะ ทำงานอดิเรกที่ใจเรารัก อยาก ทำ เป็นช่วงเวลาที่เราเห็นแก่ความสุขตัวเองมากสุด เพียงแต่ มัน ำไม่เดือดร้อนใคร จึงไม่มีเสียงมาว่า แต่ก็มีบางคนนะ บอกว่า ออกกำลังกาย ให้แข็งแรง จะได้ อายุยืน ไปรักษาคนไข้ ....คิดอย่างนี้ได้ทุกเรื่องก็ดีสิ

Posted by Oozing() 2004-01-10 , 15:55:37 , 172.29.2.169
.......................................



Posted by : - - , Date : 2004-01-14 , Time : 20:48:45 , From IP : 172.29.4.254

ความคิดเห็นที่ : 1


   เออ เพิ่งอ่านของ oozing

ดีแฮะ สรุปว่าผมเห็นแก่ตัวมากที่สุด เมื่อคิดจากมุมมองของคนอื่นทั้งโลก เพราะผมไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้คนอื่นเกือบทั้งโลกเลย


Posted by : เหอๆๆ , Date : 2004-01-14 , Time : 20:55:59 , From IP : 172.29.4.237

ความคิดเห็นที่ : 2


   เจ้าของกระทู้เห็นว่าน่าสนใจก็ลองแสดงความเห็น หรือขยายความให้ฟังได้ไหมครับว่าทำไมถึงตั้งกระทู้นี้ มี background เช่นไร



Posted by : Phoenix , Date : 2004-01-14 , Time : 22:05:52 , From IP : 172.29.3.246

ความคิดเห็นที่ : 3


   การเรียน(รู้)ที่แท้จริงควรยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ดีขึ้น และมีความสงบสุข ตามที่เคยอ่านจากหนังสือของท่านพุทธทาส

การเรียน ที่ไม่ได้ทำให้เกิดการ "รู้แท้ๆ" เช่นการเรียนให้สอบผ่านได้คะแนนดี เรียนให้เรียกว่าเป็นคนมีความรู้ (ตอบคำถามเวลาราวด์คนไข้ได้) อาจทำให้เกิดอาการเห็นแก่ตัวได้ เพราะยังมีอวิชชาครอบงำอยู่ และตัวอวิชชาทำให้จิตใจของเราไม่บริสุทธิ์

ระบบการเรียนและภาวะการณ์ของเมืองไทยมีปัญหามาก และเอื้อต่อโรคและอาการเห็นแก่ตัวได้ โดยเฉพาะสถานการณ์ที่มีการแข่งขันสูง ปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังคือจะทำอย่างไรให้นักเรียน หรือผู้เรียน เรียนรู้ได้อย่างถ่องแท้ เข้าใจและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตและส่วนรวม หรือที่เรียกว่าเป็นผู้มีปัญญา เป็นบัณฑิตอย่างแท้จริง ไม่ใช่ "หมาหางด้วน"


Posted by : Lunar , Date : 2004-01-16 , Time : 09:10:29 , From IP : webcache01.mas.optus

ความคิดเห็นที่ : 4


   เห็นด้วยกับคุณ lunar ทุกประการ

แต่ขอแซวหน่อยเหอะ หมาหางด้วนก็ไม่ severe ้เท่าบัณฑิตพิการทางใจอย่างที่บรรยายมานะครับ บัณฑิตแบบนี้เหมือนหมาบ้าที่จะแพร่โรคร้ายให้ชุมชนมากกว่า (หมาหางกุดก็น่ารักดี)



Posted by : Phoenix , Date : 2004-01-16 , Time : 15:19:42 , From IP : 172.29.3.103

ความคิดเห็นที่ : 5


   คุณเหอๆ แน่ใจหรือว่าคุณเป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุดในโลก การทำประโยชน์ ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ เอาเงิน เอาทอง เอาอาหารไปให้คนอื่น การที่คุณเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส คุณก็สามารถส่งผ่าน สิ่งเหล่านั้นให้คนอื่นได้ ก็ถือว่าคุณได้ทำสิ่งดีๆในวันหนึ่งแล้วเหมือนกัน

ถ้าคุณมีเหตุผลที่จะคิดว่า คุณไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้คนอื่นเลย แล้วถึงเวลาหรือยังที่คุณจะทำอะไรให้เกิดประโยชน์ต่อตัวคุณเอง และผู้อื่นได้บ้าง อย่าลืมว่าการที่มีตัวเราอยู่ในวันนี้ ล้วนมาจากสิ่งที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ในวันวาน เช่นพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ไม่มีใครเกิดได้ หรือโตมาได้ด้วยตัวเองหรอก และที่สำคัญมากก็คือ การที่ได้เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐนั้น ภาษีจากตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ก็ถูกนำมาช่วยเหลือในการเรียนแพทย์ของคุณเหมือนกัน ถึงแม้ว่าค่าเรียนตอนนี้จะแพงกว่าสมัยก่อนมากมาย แต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นเงินแสน เงินล้าน เหมือนคนที่เรียนใน มหาวิทยาลัยเอกชน

จะดีใจมาก ถ้า นักศึกษาแพทย์ได้ใคร่ครวญก่อนนอนว่า วันนี้เราทำอะไรดีๆ ให้ตัวเอง ให้ผู้อื่น และให้สังคมบ้างหรือยัง


Posted by : Lunar , Date : 2004-01-17 , Time : 10:50:13 , From IP : webcache01.mas.optus

ความคิดเห็นที่ : 6


   เห็นว่ามันสัมพันธ์ กับประเด็น โพยครับ


Posted by : - - , Date : 2004-01-18 , Time : 17:44:36 , From IP : 172.29.2.144

ความคิดเห็นที่ : 7


   ผมขอยิ้มให้คุณ lunar หนึ่งครั้งนะครับ :D

อย่างน้อยในมุมมองของคุณ lunar ผมอาจจะถือว่าได้ทำประโยชน์บ้างนะครับ :D




Posted by : เหอๆๆ , Date : 2004-01-18 , Time : 21:47:04 , From IP : 172.29.4.214

ความคิดเห็นที่ : 8


   Lunar ยิ้มตอบแล้วนะคะ : )

Posted by : Lunar , Date : 2004-01-22 , Time : 18:40:33 , From IP : webcache03.mas.optus

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.005 seconds. <<<<<