ความคิดเห็นทั้งหมด : 44

ปัญหา น.ศ.พ. เตรียมตัวสอบโดยใช้ความรู้แค่อ่านโพยข้อสอบ


   ช่วยบอกแนวทางการแก้ปัญหา

Posted by : vs , Date : 2004-01-13 , Time : 11:59:20 , From IP : 172.29.1.118

ความคิดเห็นที่ : 1


   โดยการไม่ออกข้อสอบตามโพย ออกตาม learning objectives



Posted by : Phoenix , Date : 2004-01-13 , Time : 12:41:09 , From IP : 172.29.3.103

ความคิดเห็นที่ : 2


   ออกตาม learning objective มันก็คือโพยนั่นเองครับ


Posted by : นศพ , Date : 2004-01-13 , Time : 13:23:18 , From IP : 172.29.2.159

ความคิดเห็นที่ : 3


   แต่อย่างน้อย ออกตาม learning objective ก็ทำให้ นศพ ได้ความรุ้มากกว่า การอ่านแค่โพย แน่นอนจ๊ะ ..

Posted by : stranger ... , Date : 2004-01-13 , Time : 14:34:30 , From IP : px2ar.ed.shawcable.n

ความคิดเห็นที่ : 4


   ที่จริงมันก็ไม่เชิงโพยหรอกนะคะ เพราะโพยของรุ่นพี่ก็ไม่เคยตรงซักที เพราะฉะนั้น เสี่ยงมากถ้าจะอ่านแค่โพย ไม่ค่อยมีใครทำหรอกค่ะ
จริงๆเป็นตัวอย่างข้อสอบมากกว่า เหมือนจะเอ็นทรานซ์ก็หัดทำข้อสอบเยอะๆนั่นแหละค่ะ เพราะบางครั้งเราก็จับประเด็นไม่ถูกว่าอันไหนสำคัญ อันไหนไม่สำคัญ ยังไงก็ต้องอ่านเนื้อหาอยู่แล้วค่ะ


Posted by : สาวน้อยร้อยชั่ง , Date : 2004-01-13 , Time : 14:51:01 , From IP : 172.29.2.132

ความคิดเห็นที่ : 5


   การอ่านโพยก็เหมือนกับการอ่านข้อสอบเอนท์ก็ใช่ ถ้าอ่านเนื้อหาความรู้จบแล้วการอ่านโพยเหมือนเป็นการทำข้อสอบอย่างหนึ่งก็ยังพอรับได้แต่พอเอาเข้าจริงก็อ่านแต่โพยไปสอบโดยไม่ได้ทำความเข้าใจกับเนื้อหาซึ่งเราคิดว่ามันเริ่มจะเป็นรูปแบบนี้มากขึ่น ขอพูดแบบเห็นแก่ตัวนะบางทีเราก็ไม่อยากให้มีโพยหรอกเพราะบางครั้งเราอ่าหนังสือแทบตายแต่ไม่มีโพยเหมือนเพื่อนเป็นอันว่าเราตกแต่เพื่อนผ่าน ทั้งๆที่เพื่อนเราคนนั้นก็ไม่ได้เก่งอะไรเลยวันๆเล่นแต่เกม แถมยังบอกเราว่าไม่ต้องอ่านหรอกไว้ใกล้สอบค่อยท่องโพยดีกว่า เราเจอเหตุการณ์นี้แล้วท้อใจ จริงอยู่ที่เราเลือกไม่ได้ที่จะเกิดเป็นคนฉลาด แต่เราก็ตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด แต่กลับเป็นเราต้องโดนเพื่อนเหยียบเพราะเราไม้ได้อ่านโพยเหรอ แสดงว่าเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าที่เราแพ้เป็นเพราะเราไม่มีโพย

Posted by : เซ็ง , Date : 2004-01-13 , Time : 15:24:31 , From IP : 172.29.2.91

ความคิดเห็นที่ : 6


   ทำไมบางคนมีแล้วถึงไม่ให้เพื่อนเหมือนๆกันทำไมแอบเก็บไว้เองล่ะ เห็นว่าตอนได้โพยมาก็ไปขู่เพื่อนจนเขาจำใจต้องให้เลยไม่ใช่เหรอ พอตัวเองไม่ได้ก็ขู่เพื่อนพอได้มาก็เอาแต่ตัวเองคนเดียว แต่ไงๆไม่ว่าจะให้หรือไม่ให้ก็........อ่ะนะ แน่ใจเหรอว่ามีความรู้แน่จรง ภูมิใจเหรอกับสิ่งที่ได้มาคะแนนที่ว่าสูงแต่ความรู้ดิ่งลงเหว เฮ้อมันก็......อ่ะนะครบสูตรเลย ขอแสดงความยินดีด้วยนะกับคะแนน midblock คงจะเหยียบเพื่อนได้เยอะเลยสินะ ........อ่ะนะ

Posted by : พูดไม่ออกว่ะ , Date : 2004-01-13 , Time : 15:32:01 , From IP : 172.29.2.91

ความคิดเห็นที่ : 7


    There are not too much of the points in every single topic for the medical students to get to know.I mean you have to know as broad as you can ,but still shallow.If you understand me, you would also understand why those who review the recent quiz have good score.Of course, they have the short way to get to what the school wants you to know.
But the wise would concerns pro and con of reviewing the old question.
"To understand the principle of the learning objective is ,for sure, better than just recognizing the right answer for the particular question."


Posted by : I come with you , Date : 2004-01-13 , Time : 16:39:16 , From IP : 172.29.3.167

ความคิดเห็นที่ : 8


   สงสัยนิยามของโพย ผมจะเข้าใจผิดไป

ถ้าโพยคือแค่เซ็ทของ learning objectives เราต้องเรียน "และสอบ" ตามโพยแน่นอนครับ เราไม่สามารถจะเรียนตามยถากรรม ไร้ทิศทางได้อีกต่อไป เพราะความรู้เกือบทุกสาขาอยู่ในช่วงรุดหน้าอย่างรวดเร็ว

ผมเข้าใจในตอนแรกว่าโพยคือชุดข้อสอบเก่า ซึ่งท่องโพยอาจจะตอบได้ถ้าออกซ้ำ แค่นั้นโอกาสที่เราจะได้ไม่ครบ learning objectives ก็จะสูง ตรงนี้ถ้าจะแก้ ก็โดยการมีโพยหรือ pool ข้อสอบซักหมื่นข้อ ใครท่องได้หมดก็จะผ่าน learning objective โดยอัตโนมัติ เป็นเรื่องควรสนับสนุนให้ทำได้ แต่เผอิญถ้าโพยมีแค่สองชุดข้อสอบ แล้วยังเกิดรั่วออกไปอีก ความแม่นยำในการประเมินผลก็จะลดลงไป ส่วนที่จะทดสอบระดับความเข้าใจหรือการดัดแปลงไปใช้ ก็จะลดลงเหลือแค่ทดสอบความจำซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของ cognitive learning

ส่วนเรื่องนำเอาคะแนนมา bluff กันนั้น คงเป็นเรื่องเด็กๆ คนทำก็ควรจะไปทำกับคนที่กำลังเล่นกับเรา แต่การเอาคะแนนที่ได้สูงๆจากรู้ข้อสอบไป bluff คนอื่นที่ได้น้อยกว่าเพราะไม่รู้ข้อสอบนั้นค่อนข้างจะน่าสมเพชอยู่บ้างที่มีความหลงผิดปรัชญาการประเมินไปได้ไกลถึงเพียงนั้น



Posted by : Phoenix , Date : 2004-01-13 , Time : 17:16:01 , From IP : 172.29.3.198

ความคิดเห็นที่ : 9


   คืออย่างรี้ นะครับต้องเข้าใจว่า โพยเอทรานซ์ ต่างจาก โพยของคณะเราอย่างไร
คือ ผมเรียนมาก็ไม่เคยท่องโพยหรอกนะ....จะว่าไม่เลยก็ไม่ถูกแต่ว่าเวลาเพื่อนๆมุงโพย ผมคิดว่าไปนั่งอ่านเองดีกว่า เสียเวลามุง เห็นก็ไม่เห็น..ผมความจำไม่ดี ต้องนั่งเทียนเองอ่านเองครับ.. . ไม่งั้นไม่จำ มันเป็นข้อเสีย ความงี่เง่าผมเองครับ ดังนั้นโพยจึงมีไว้สำหรับคนอัจฉริยะ ลองอ่านดูแล้วจะรู้ว่า ทำไม..

ผมก็ไม่เห็นว่าโพยไม่ใช่ของดีนะ มันก็เป็นแบบฝึกหัด ให้ ได้ คิด ได้นำทฤษฏีที่อ่านมาใช้ในสถานการณ์เกือบจริงได้

ข้อแรก..โพยเอนท์ จะมีอยู่เป็นร้อย เป็นล้านก็ว่าได้ เพราะฉะนั้น คุณอยากพึ่งโพย ให้แม่นๆๆๆ คุณก็ต้องอ่าน ข้อสอบ เก่า(โพย)เป็น ล้านๆๆๆข้อ ป่านนันคุณก็เก่งไปแล้วครับ คงไม่มีอัจฉริยะคนไหนที่ ท่องโพยเอนท์ ว่าโจทย์นี้ ตอบข้อนี้ ได้เป็นล้านโดยไม่เข้าใจหรอกนะครับ มันคงจะยากส์สสส... แต่ถ้าคุณอ่านอย่างเข้าใจประเด็น และที่มา เหตุผลของการตอบ..หรือวิธีทำ โพยทั้งล้าน นั้น ก็จะ ย่อลงไม่กี่ร้อยข้อ หรอก ครับ...ท้ายสุด ก็คือ back to the basic ....คือถ้าเข้าใจ ทฤษฏี กฏ หรือ นิยาม..อย่างถ่องแท้ แล้ว โจทย์ ข้อไหนก็ทำได้ ครับ แทบจะไม่ต้องทำ ข้อสอบ เยอะ เลยครับ เห็นชัดได้ในวิชา ฟิสิกส์ หรือ คณิต.. แม้ภาษาไทย ก้เช่นกันครับ.. ขอบอกว่า ผมอ่านข้อสอบน้อยนะ ครับตอนเอนท์ แต่ผมก็ได้ 1-2วิชา 90up.. แต่ต้องเข้าใจBasic ..theory ...definitionให้ดี

ข้อสอง...การสอบ คือการเข้าสู่ความเป็นจริง ข้อสอบเป็นเหมือน การยกตัวอย่างหรือขยายความ ทฤษฝฏี หรือนิยามที่เราอ่าน สังเกตุนะครับ เราจะเข้าใจนิยามได้ยาก ถ้าไม่มีตัวอย่างโดย เฉพาะวิชา คณณิต.. การที่เราอ่านโพย โดยเข้าใจที่มาเหตุผล จะทำให้เรา ใช้เวลา ในการทำข้อสอบลดลง เพราะการสอบถูกจำกัดด้วยเวลา..เป็ฯการคัดเลือก (ที่ฉลาด แล้วยังต้องไวในการตัดสินใจด้วย.....ก็เท่านั้นอเง..เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจทฤษฏีแต่ไม่ เคยทำแบบฝึกในโพย เรากฦจะทำข้อสอบช้า และไม่ทันเวลา ก็ตกได้เหมือนกันครับ

ข้อสาม....วิชาในคณะแพทย์ ต่างจาก วิชาอื่นครับ จัดอยู่ในหมวดวิชา ท่องจำ ต้องเข้าใจก็จริง แต่โดยรวมของเนิ้อหา ก็อยู่ในหมวด ท่องจำอยู่ดี........ปัญหานี้คือปัญหา ที่จะสร้างโจทย์ ซ่อนเงื่อน หรือประยุกต์ โจทย์ ไม่ค่อยได้....เหมือน เลข หรือ ฟิสิกส์
เพราะ ฉะนั้น คุณต้องบริโภค ข้อมูล เยอะๆ ครับ..โดยที่โพย ก็เป็น ข้อมู,ส่วนหนึ่ง.....แต่โพยของเรามันมักจะตรง เพราะ pool ของโพยมีจำนวนน้อย Random มา ก็โดน ตรงโพย ที่ท่องเสียบ่อย...

ทางแก้ คือ มีpool ข้อสอบมากๆ ครับ และ อีกวิธีคือ ข้อสอบที่ต้องใช้การตัดสินใจ.....ซึ่งผมเห็นใช้สอบในชั้นคลินิก. อีกกันคือสอบปากเปล่า คือ โยนคำถามไปเรื่อยๆโดยอาจารย์ถาม แล้วนศ..ก็ตอบไปเรื่อยๆ หรือ สอบตรวจร่างกายแล้วตัดสินใจ DX และkinvestigate..แต่การให้คะแนน สิ จะลำบากในวิธีหลังสุดนี้

จำไว้ว่าท่องโพยได้แต่จำ จะไม่ได้ใช้สมองส่วนคิดหาเหตุผล...แต่อ่านหนังสือเยอะไม่ทำแบบฝฝึกหัด เอาโพยมาเป็นแบบฝึกก็ได้ ดูว่าทำไมตอบอย่าง นี้ หาคำตอบเอา...ก็จะไม่ได้ใช้สมองส่วนแก้ไขปัญหา....(ฉบบ REalistic และ แบบคิดเร็ว)


Posted by : Oozing , Date : 2004-01-13 , Time : 20:00:55 , From IP : 172.29.2.167

ความคิดเห็นที่ : 10


   โพยเหรอครับ ถ้าเป็นโพบเอนทรานซ์ ตามที่คุณ oozing พูดถึงผมว่ามันก็ดีนะที่เราจะอ่านโพย เพราะว่ามันก็เหมือนกับทำแบบฝึกหัดนั่นล่ะ ผมว่าเป็นการดีซะอีกที่เราได้ทำโพยเอนทรานซ์

ตามที่คุณ phoenix บอกว่าถ้าเรามี pool ข้อสอบซัก 10000 ข้อ นั้นผมเห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะทำอย่างนั้น แต่ว่าเท่าที่เคยได้รู้มาบ้าง(มาบ้างนะครับ) ว่าการออกข้อสอบของคณะเราทำอย่างยากลำบากไม่ใช่เหรอครับ เพราะว่ามีติดปัญหานู้น นี้ ตลอด ยากไปบ้าง ง่ายไปบ้าง สุดท้ายก็ไม่เอาบ้าง ต้องออกใหม่บ้าง คนออกก็เหนื่อยใช่มั้ยครับ ผมเลยเห็นใจคนออกครับหากต้องมานั่งออกใหม่ทุกๆครั้งที่ทำการสอบ

ซึ่ง entrance นั้น มีผู้ทำหน้าที่ออกข้อสอบโดยเฉพาะ ใหม่ทุกปี เค้าคงไม่เหนื่อยเหมือนอาจารย์ของคณะเราที่จะต้องออกเองน่ะครับ

ทีนี้ตามที่ผมกล่าวมาไม่ทราบว่า เป็นจริงแค่ไหน(ผู้รู้จริงมาเสริมได้นะครับ)

สรุป
1 เห็นด้วยที่จะออกใหม่ทุกครั้งหรือว่าจะมี pool ข้อสอบซัก 10000 ข้อก็จะดีครับ
2 อันนี้อยากถามคุณ phoenix ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะออกข้อสอบร่วมกันทั่วประเทศได้มั้ย (แต่ผมคิดว่าไม่จำเป็นนะ)

สุดท้ายผมว่าผมอยู่รอดด้วยโพยนะ :D


Posted by : เหอๆๆ , Date : 2004-01-13 , Time : 22:21:49 , From IP : 172.29.4.237

ความคิดเห็นที่ : 11


   อย่างที่หลายๆคนอาจจะทราบแล้วว่านักศึกษาแพทย์ปีการศึกษาใหม่นี้จะเป็นรุ่นแรกที่ได้สอบ National Board Examination ใน 6 ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้น National Pool นั้นนอกจากจะไม่ใช่ speculation แล้ว ยังเป็นโครงการที่จริงแท้แน่นอนที่สุด

และถูกอย่างที่คุณ เหอๆๆๆ ว่าคือข้อสอบที่ดีนั้นออกยาก วิชาแพทย์เป็น hard science ไม่เหมือนกับ social science เช่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สามารถพลิกแพลงได้ร้อยแปดพันประการยิ่งกว่ามนต์เจ็ดสิบสองแปลงของซึงหงอคง ออกข้อสอบมาทุกปีๆ (บางทีปีละหลายครั้ง) สามารถทำให้คนออกข้อสอบหมดมุขเอาได้ง่ายๆ ข้อสอบข้อหนึ่งที่พยายามทำเป็น analysis อย่างยากเย็น พอรั่วหรือกลายเป็นส่วนหนึ่งของโพยก็ลดดีดรีลงไปเหลือ testing memory ในพริบตา นกศึกษาแพทย์นั้นชำนาญเรื่องนี้มาแต่ไหนแต่ไร รุ่นผมนั้นรวมทั้งรุ่นพี่อีกสี่ห้าปี พอสอบ comprehensive เสร็จ อีกสามชั่วโมงต่อมาก็มี complete copy ข้อสอบทั้งชุดมอบให้รุ่นน้อง เพราะเราแบ่งกันจำคนละแค่ข้อสองข้อ รุ่นน้องถัดไปที่จะได้ประโยชน์เป็นหน่วยรวบรวมข้อสอบ ระบบนี้ยังมีใช้อยู่ตอนสอบ board เช่นกัน ไม่ทราบปัจจุบันเป็นอย่างไรแล้ว ที่แน่ๆคือ pool ข้อสอบของ นศพ.ยุคผมนั้น ผมว่าแม้แต่อาจารยมาเห็นก็อาจจะตื่นตาตื่นใจ!!!

ทางออกอื่นอาจจะเป็น MCQ ไม่ใช่ ideal examination อีกต่อไป formative examination อาจจะสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้ง attitude, aptitude tests, psychomotor, และ professional performance อื่นๆ เช่น ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น หรือพูดง่ายๆ การประเมิน generic test ของบัณฑิต ได้แก่ ๑) professional knowledge ๒) ความถึงพร้อมซึ่งการแสดงออกอย่างผู้ได้รับการศึกษา ทั้งกาย วาจา ใจ และ ๓) ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม ผมเกรงว่าสองประการหลังอาจจะไม่ได้ถูกเพ่งเล็งหรือเน้นเท่าที่ควร

มีคนออกข้อสอบเพิ่มขึ้นนั้นดีแน่นอนครับ โอกาสที่อาจารย์ 200 คนจะออกข้อสอบดีๆซัก 20000 ข้อ ย่อมสู้คนออกซัก 1000 คนไม่ได้ ไหนๆ บัณฑิตที่จบมาจะเป็นแพทย์ "ไทย" อาจารย์แพทย์ทั่วประเทศก็คงจะ share มาตรฐานจากความต้องการของคนในประเทศเดียวกัน serve customers กลุ่มเดียวกัน So, Why not?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-01-13 , Time : 23:02:22 , From IP : 172.29.3.229

ความคิดเห็นที่ : 12


   งึม
ไม่รู้จะพูดไงดี
การกั๊กโพยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจิงในชั้นปีพวกเราแฮะ
เราเพิ่งมารู้ความจริงเมื่อวานซืนนี้เองว่ามีคนกลุ่มนึงได้โพยจากกองเก่า
- -a

ม่ายรู้นะ
ถ้ามีคนกลุ่มนึงได้กลุ่มนึงไม่ได้โพย เราว่ามันเอาคะแนนมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ง่ะ
เพราะมันเป็นการเริ่มต้นจากพื้นฐานที่ไม่เท่ากันซะแล้ว

ก็อย่างที่พอรู้ๆกันนะจากตอนปี2ปี3+กองศัลย์ว่าโพยคณะเรามันตรงข้อสอบจริงขนาดไหน
- -"

คนที่ได้โพย พอเจอข้อสอบจิงข้อที่ยากแล้วตรง ก็กาได้เลยตามคำตอบที่ไปหามาล่วงหน้า
ไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไร
เอาเวลาไปคิดข้ออื่นที่ยากๆไม่ตรงโพยได้ตั้งเยอะ
แต่คนที่ไม่ได้โพยต้องนั่งคิดอยู่อ่ะ แล้วพอเจอข้อที่ยากอีกข้อ ก็มีเวลาคิดน้อยลงเพราะต้องบริหารเวลาให้ตอบสอบทัน

งึม
แต่เอาเหอะ ไม่อยากโทษไรใครอีกแล้ว
คะแนนที่mid-blockที่ออกมาเราได้meanพอดีแค่นี้เราก็พอใจแล้วล่ะ
เราคงไม่หวังขนาดได้คะแนนสูงๆติดเป็นกลุ่มแรกๆของกอง

พูดอีกที อาจจะเป็นเราก็ได้ที่โง่เองม่ายด้ายโพยกะคนอื่นเค้า
- -"

แต่พูดถึงอยากรู้เหมือนกานแฮะว่าคนที่คุณพูดไม่ออกว่ะพูดถึงคือใคร
ถ้าคนคนนั้นทำจริงอย่างที่ว่า เพราะเราเองก็ได้ยินข่าวลือมาเหมือนกัน
จะได้จำไว้แฮะ

เพื่อคะแนนตัวเองยังทำได้ขนาดนี้
ต่อไปในอนาคต
ถ้าเพื่อความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือ เพื่อเงินจะทำขนาดไหน

อย่างที่บอก
ใครรู้บ้างว่าเป็นใครที่ทำ ช่วยลงชื่อคนที่ทำไว้ทีทุกคนจะได้รู้ทั่วกันว่าเป็นใคร

แล้วอยากรู้ว่าใครโดนขู่อ่ะ
หวงว่าคงไม่ใช่ เจ๊อุทัยของเรานะ
สงสาร T-T
เจ๊ยิ่งบอบบางอยู่

งึม สุดท้ายแระ
เราไม่ได้ว่าการท่องโพยไม่ดีนะ
เคยมีรุ่นพี่บอกไว้ว่าท่องโพยไปสอบก็ได้แต่ขอให้รู้จริงตามโพยทั้งหมด
เพราะจุดประสงค์ของการเรียนมันก็ต้องการให้รู้ตามโพยนั่นแหละ
ถ้าจำโพยได้หมดก็มีความรู้เท่ากับวัตถุประสงค์ที่ต้องการแร๊ว

แต่ถ้าจะมีก็ควรจะมีให้ทั่วถึง ให้มันเหมือนแบบฝึกหัดอันนึงที่แจกให้ทุกคนทำ
เราว่าถ้าโพยไม่ทั่วถึงอย่างนี้ จะตัดเกรดตามนี้เราว่าไม่สามารถแยกแยะคนที่เก่งจริงได้นะ
คนเก่งจริงจะได้คะแนน = คนเรียนเก่งระดับหนึ่ง+ข้อสอบตรงโพย
แล้วจะแยกเกรดกันได้ยังไง??

ไปแระดีก่า บ่นมากไปแระ
เรามานโง่เอง
T-T


Posted by : ly , Date : 2004-01-14 , Time : 09:57:04 , From IP : 172.29.2.94

ความคิดเห็นที่ : 13


   ขอ clarify คำว่าโพยนะว่า มันคือ ข้อสอบเก่าที่คนที่เคยสอบแล้วจำออกมาแล้วรวบรวมส่งต่อให้คนรุ่นหลัง ฉะนั้นคนอ่านโพยก็คือ ท่องคำตอบของข้อสอบเก่าที่ได้เฉลยกันแล้วก็เข้าไปสอบ ในความหมายของนศพ. โพยไม่ใช่ Learning objective ครับ

Posted by : น , Date : 2004-01-14 , Time : 10:04:25 , From IP : 172.29.2.159

ความคิดเห็นที่ : 14


   เห็นด้วยกับความคิดที่ว่า..................น่าจะมีการสอบโดยใช้การถามความรู้ปากเปล่าจากอาจารย์ผู้รู้ครับ ถ้าเพิ่มเข้ามาได้อย่างน้อยก้อแค่ซัก 5% ก็น่าจะดี เพราะคิดว่ามันเป็นการประเมินความรู้รวบยอดว่าจากการเรียนมาใน ward เราได้อะไรมาบ้างจะได้มีการเตรียมตัวอ่านความรู้ ได้กว้างขวางขึ้น และจำความรู้จากการดูแลผู้ป่วยตรงนี้ๆได้ดียิ่งขึ้น เอาคำถามแบบที่ถาม case ตอน round นี้แหละฮะ แล้วความรู้ตรงนี้ก็เปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ ไม่จำกัด คงจะทำโพยยากอะครับ (คิดว่าการสอบแบบนี้น่าจะดีกว่าในแง่การนำความรู้ไปใช้จริงน่ะครับ) คิดว่างัยบ้าง?


Posted by : tata , Date : 2004-01-14 , Time : 16:04:37 , From IP : 172.29.2.107

ความคิดเห็นที่ : 15


   ยอมรับเป็นอย่างยิ่งว่า โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าอ่านโพย จำโพยได้หมด ก็มักจะสอบผ่าน และบ่อยครั้งมาก ที่คนอ่านโพย จะได้เกรดสูงกว่าคนที่ไม่อ่านโพย

จำได้ว่าตัวเองเคยพูดกับเพื่อนหลายคนเหมือนกันค่ะว่า ... สำหรับการเรียนชั้นคลินิก (ตอน pre-clinic เนี่ย ไม่เกี่ยว ไม่ทราบถึงรุ่นหลังว่ามีโพยเยอะมั้ย แต่ตอนรุ่นตัวเองเนี่ย โพยไม่เยอะ หรือว่าไม่ได้หาเองก็ไม่รู้) ... ให้เรียนเพื่อเอาความรู้ อย่าเรียนเพื่อเอาเกรดเลย เกรดที่ออกมาสำหรับชั้น clinic ไม่ได้เป็นตัวบอกเลยว่าใครเก่งกว่าใคร (เพราะส่วนใหญ่มันตรงโพย) เกรดที่ออกมามันอาจจะบอกเพียงแค่ว่า ใครจำโพยเก่งกว่าใครเท่านั้น สำหรับตัวเองแล้ว จะรู้สึกภูมิใจถ้าเราได้ตั้งใจเรียน block นั้น และมีความรู้ในระดับหนึ่ง ที่คิดว่าพอดูแลคนไข้ได้ นำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตที่เหลือที่ต้องเป็นแพทย์ต่อไป มากกว่าภูมิใจที่ได้คะแนนดีๆ หรือเกรดดีๆ จากข้อสอบที่ตรงโพยค่ะ และคิดว่าส่วนใหญ่ก็คงรู้สึกอย่างนี้

แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องอ่านโพยไปสอบนะคะ หนูเองก็อ่านโพยไปสอบเหมือนกัน เพราะมันคือความอยู่รอดค่ะ แต่ทุกครั้ง หนูจะอ่านหนังสือเตรียมตัวก่อน โพยเนี่ย เป็นสิ่งที่หยิบมาอ่านๆช่วงใกล้ๆสอบมากๆ เช่น คืนก่อนสอบ ดูๆจำๆ มีเอามาเฉลยกับเพื่อนบ้าง ข้อที่เราคิดว่า เอ ข้อนี้มันใช่รึป่าวนะ มันก็ไม่ใช่ว่าเราจะเชื่อโพยไปทุกข้อ เพราะเราก็ไม่รู้ว่า ไอ้คนที่มันวงข้อนี้ไว้เนี่ย มันถูกรึป่าว ข้อไหนเราไม่แน่ใจ เราก็ต้องมาเปิดหาคำตอบที่ถูกต้องเองอยู่ดี

หนูว่าหลายๆคนก็คงเป็นเหมือนหนู ที่คิดว่าโพยก็เหมือนอะไรบางอย่างที่ทำให้อุ่นใจ แต่ทุกคนก็คงคิดเหมือนกันทั้งนั้นว่าองค์ความรู้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเป็นแพทย์ต่อไป คนที่อ่านแต่โพยไม่อ่านหนังสือเลยนั้น อาจจะมีบ้าง แต่มันก็คงต้องเป็นเรื่องของเค้าเองที่จะต้องสร้างสำนึกรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ของเค้าในอนาคต

แต่หนูว่าโพยก็มีข้อดีอยู่บางอย่างนะคะ (อาจจะเป็นข้อดีเล็กๆน้อยๆ) ก็คือว่า โพย คือ สิ่งที่เรา "ต้อง" รู้ สำหรับ block นั้นๆ โดยเฉพาะถ้าเราเห็นข้อสอบของหลายๆกอง หรือของรุ่นพี่ + รุ่นเรา เราก็จะเห็นข้อที่มันออกซ้ำๆ บ่อยๆ ทำให้เรารู้ว่า เฮ้ย ตรงนี้มันสำคัญนะ มันเป็น point ที่อาจารย์เน้น ซึ่งเวลาเราอ่านเอง เราอาจจะอ่านผ่านๆ และไม่รู้ว่ามันสำคัญก็ได้ ถ้าเราเห็นข้อแนวๆนี้บ่อยๆ เราก็จำได้ว่ามันสำคัญ

อีกอย่างนึงที่เคยได้ยินคนพูด ก็คือ โพยก็คือจุดประสงค์ที่เค้าอยากให้เรารู้นั่นแหละ ถ้าอ่านโพย แล้วทำโพยได้ เข้าใจในข้อที่อยู่ในโพย ก็คือโอเค ได้ตามวัตถุประสงค์ของการเรียนแล้ว หนูว่ามันก็จริงนะคะ แต่หมายความว่าเราต้องเข้าใจว่าโพยข้อนั้น ทำไมมันถึงตอบอย่างนี้ๆ ไม่ใช่แค่ท่องจำโพย (เช่น ถ้าโจทย์มีคำว่านางสาวน้อย อายุ 34 ปี ต้องตอบ ก. อะไรอย่างนี้) ถ้าเป็นแบบนั้นก็แย่ไปหน่อย

ส่วนการสอบ OSCE เรื่องมีโพยเนี่ย หนูกลับคิดว่ามันมีข้อดีเยอะเหมือนกันนะคะ ก็คือ ถ้าเรารู้ว่าจะสอบหัตถการนี้ เราก็จะไปหาข้อมูลที่คิดว่าถูกต้อง complete มาฝึกทำ ฝึกพูด ก่อนที่จะเข้าสอบ ซึ่งหัตถการที่ออกสอบก็เป็นหัตถการที่จำเป็นจะต้องรู้ ต้องทำเป็นอยู่แล้วจริงมั้ยคะ ถ้าการที่นศพ. รู้โพย แล้วทำให้นศพ.ไปค้นคว้าและฝึกทำได้จนถูกต้องก่อนสอบ น่าจะเป็นเรื่องดีมากกว่า ไม่รู้โพย แล้วเตรียมตัวไปไม่ดี แล้วไปงกๆเงิ่นๆอยู่ใน station ทำคะแนนก็ไม่ดี แล้วแถมยังไม่รู้ว่าที่ถูกต้องเป็นอย่างไร มี pitfall ตรงไหนบ้าง เพราะทำไม่ทันในเวลา อาจารย์ก็เลยไม่มีแม้แต่เวลา feedback จริงมั้ยคะ

ส่วนเรื่องวิธีการแก้ปัญหาเรื่องโพยเนี่ย หนูก็เห็นด้วยค่ะว่า วิธีแก้คือ ต้องมีข้อสอบหลายๆชุด หลายๆข้อ มีเป็น pool หรือไม่ก็ออกข้อสอบใหม่บ่อยๆ โดยยึด core เดียวกัน ระดับความยากง่ายใกล้เคียงกัน แต่ตัวโจทย์ไม่เหมือนกัน อาจจะเปลี่ยนนิดๆหน่อยๆ น่าจะดีค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าออกข้อสอบใหม่ โดยให้กองหลังๆได้ข้อสอบที่ยากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เพราะคิดว่าได้โพยมาจากกองแรกๆมาแล้ว อันนั้นก็ไม่น่าจะดีนะคะ แต่ถ้ายึดการออกข้อสอบตามจุดประสงค์ มีการถัวเฉลี่ยความยากง่ายของข้อสอบที่ดีก็ไม่น่าจะมีปัญหาค่ะ


Posted by : .. , E-mail : (AvaRi) ,
Date : 2004-01-14 , Time : 16:11:27 , From IP : 172.29.4.178


ความคิดเห็นที่ : 16


   คิดเช่นกันว่า การมีโพยคงทำให้คนอุ่นใจเวลาใกล้สอบ ไม่ว่าจะอ่านหนังสือมาเยอะขนาดไหนแต่พอใกล้สอบก็ขอโพยมาอ่านกับเขา
ซึ่งน่าจะเปลี่ยนหรือแก้ไขทัศนคติตรงนี้ใหม่
ในขณะที่ยังเป็นนศพ.อยู่ ควรจะซื่อตรงต่อความรู้ของตัวเอง อ่านหนังสือมามากแค่ไหน ฝึกทำหัตถการมามากแค่ไหน เมื่อถึงเวลาสอบก็ควรยอมรับและประเมินผลความรู้ของตัวเองว่าผ่านหรือไม่ผ่านเกณฑ์
คงหายากที่จะอ่านโพยเอาช่วงใกล้สอบแล้วสามารถเข้าใจใน learning objective ทั้งหมดได้
เท่าที่เห็นน่าจะได้กันเป็นจุดๆมากกว่า

หลังจากเรื่องความอุ่นใจในเรื่องของการผ่านสอบแล้ว ก็ยังมีความหวังอยากได้คะแนนดีๆหรือไม่ตก mean กันอีก
ถ้าหากคิดว่าการสอบเป็นการประเมินตนเองนั้น ก็ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องนำไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น การแข่งกับตัวเองนั่นล่ะ ยากที่สุดแล้ว

oozing ถ้านายเรียนเข้าใจและคิดว่าอยู่ตัวได้ ช่วยๆนายรถเยอรมันหน่อยนะ ท่าทางมัน severe เบสิกมันไม่มีเอาเลย เน้นๆให้หน่อย


Posted by : ArLim , Date : 2004-01-14 , Time : 18:29:36 , From IP : 203.156.38.144

ความคิดเห็นที่ : 17


   เราก็เป็นอีกคนท่ได้คะแนนสอบในการสอบ midblock ไม่ดีเอาซะเลย และก็ไม่มีโพยท่เขาพูดถึงกันด้วย แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองได้ใช้ความรู้ท่มีอยู่วิเคราะห์ปัญหาแล้วผลมันออกมาไม่ดีก็รู้ว่าตัวเองมีจุดบกพร่องแล้วควรแก้ไขโดยด่วน เราก็ว่ามันเป็นข้อดีของคนท่ไม่อ่านโพยนะ ผลท่ได้เป็นผลของการอ่าน และการเรียนรู้โดยแท้จริง จะได้รู้ข้อบกพร่องของตัวเอง ส่วนคนท่อ่านโพยก็มีบางคนเหมือนกันจำสิ่งท่คนอื่นเฉลยเอาไว้แล้ว แบบนั้นได้คะแนนสูงก็จริงแต่การนำมาใช้งานก็ยากหน่อย ดังนั้นถึงเพื่อนๆท่ไม่มีโพย(ที่ตรงมากๆ)ทุกคนอย่าเดือดร้อนใจให้มากไปเลยมันเป็นคะแนนแค่ส่วนหนึ่ง้เท่านั้น ถ้าเราเรียนอย่างเข้าใจจริงๆ เชื่อว่าซักวันผลท่ดีก็ต้องเกิดขึ้นล่ะ

Posted by : akira , Date : 2004-01-14 , Time : 18:53:51 , From IP : 172.29.2.149

ความคิดเห็นที่ : 18


   คุร phoenix คุณเหอๆ ๆและคุณ...รู้สึกว่า เราจะเก็บตกตอบคำถาม ไม่หมดนะ
คือ ยังมี นศพ. กล่างหาหรือ จงเกลียด จงชัง กันด้วย เรื่อง โพย อย่าบอกว่านี่ ไม่ใช่ปัญหานะ ครับ เพราะ นศพ. ก็ต้องมีสังคมเพื่อนเช่นกัน...ไม่อยากให้แตก เพื่อนกัน หรือโกรธ กันด้วยเรื่อง ไร้สาระ ..(ไม่ได้ตั้งใจว่านะครับ) เข่นนี้ นะ ยิ่งรู้อย่แล้ว ว่าถ้ามีใครไม่ชอบใคร เดี๋ยวมันก็ลาม ไปทั้งชั้นปี ทั้งคณะ อยู่บ่อยๆ
ผมก็ไม่อยากว่านะ แต่ตัวอย่างก็คือกระดานอภิปรายที่เกือบจะเละเทะ คณะอื่นเขาไม่มีกันนะครับ...(จะว่ามันก็เป็นข้อดีที่คณะอื่นไม่มี..เหมือนกัน)ในตอนแรก...ดีที่มีคนมีนำใจเข้ามาจัดการให้..ก็ต้องขอบพระคุณไว้ ณที่นี้ครับ

ขอบอกว่า นศพ. ควรจะปรับความรู้สึกและความเข้าใจ ที่มี ต่อโพย เสียใหม่นะ คนทีมีโพย ก็แบ่งให้เพื่อนๆ บ้างไม่ใช่เก็บโพย เอาไว้ แล้วหวังฟันเพื่อน...ไอนี้ก็ไม่ถูก นะ ถ้าเราเอามาแบ่งปันกันรวม กันทุกคนจะได้โพยที่มากขึ้นมั้ย ล่ะ ข้อไหน เฉลยผิดก็จะได้ช่วยกันหาคำตอบ ผมเชื่อว่าความรู้สึก หลบซ่อนต้องแอบอ่าน มันคงไม่สุขมากหรอก....

..............แต่ในทางตรงกันข้าม..มันก็เป็นสิทธิ์ของคนที่มีโพย นะครับ ว่าเขาจะเอื้อเฟื้อเพียงเพื่อเพื่อนรัก รูมเมท หรือยินดีจะ public
หรือเก็บไว้ให้เพื่อนที่มันเรียนไม่เก่ง ด้วยความเห็นใจ....
หรือเก็บไว้คนเดียวแล้วเปิดติวเพื่อน เก็บตังค์ ...ก็เป็นสิทธของเขานะครับ คุณๆจะไปเกลียด เขาทำไมล่ะครับ

อย่าให้ต้องมีคำด่าว่าเช่นนี้เลย นะ....คนที่เห็นแก่ตัว กับคนที่ อิจฉาซ้ำยังริษยา
2คนนี้ไม่มีวันทะเลาะ กันจบสิ้นหรอก

เรามีเท่าไรเท่านั้น แหละนะ ขวนขวายได้เท่าไร ก้เท่านั้น แล้วมันจะภูมิใจเอง..


Posted by : Oozing , Date : 2004-01-14 , Time : 20:34:31 , From IP : 172.29.4.254

for diagnosis and discriminating irrelvant information") ประสบการณ์ที่ นศพ. เรียนๆกันอยู่ตาม ward นี้ไม่มากหรอกนะครับ ไม่มากพอที่จะมองหา "pattern" หรือจัดระบบการวินิจฉัยหรือ rule-out ตัวหลอกให้หลง ฉะนั้น formative examination หรือแบบฝึกหัดต่างๆจะช่วย serve ตรงนี้ ทีนี้ถ้าเคยทำโพยไปแล้ว ก็เป็นว่าเรา "เคย" เห็น เคยคิดประเด็นนั้นไปแล้วครั้งหนึ่ง คนทดสอบจึงต้องแสวงหาความแปลกใหม่มาทดสอบต่อๆไปเรื่อยๆ เพื่อหา "ตัวหลอก" ใหม่ๆที่จะเป็นกับดักในการประกอบอาชีพจริงๆ assume ว่าตัวล่อนี้น่าจะมีเยอะ ออกมาได้ไม่ซ้ำกันหลายสิบรุ่น ตรงนี้เป็นเรื่องที่บางครั้งยากในทางปฏิบัติ ยกตัวอย่าง เรื่อง "appendicitis" ให้ออกข้อสอบหมวด "mechanism of disease" เป็นปรนัย ต่อให้ expert มาออก ก็หมดมุขเอาง่ายๆ คุณจะหา choice มาหลอกล่อซัก 10 choices (สองข้อประนัย) ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ผลสุดท้ายก็คือ บางเรื่อง บางหมวด ข้อสอบจะซ้ำ อย่างหลีกเลี่ยงได้ยากมาก สรุป มีโพย และพยายามฝึกหัดทำโพยเป็นเรื่องที่ดี ถ้าชุดข้อสอบที่ผ่านเข้ามานั้นสามารถสั่งสม และ "sustain" เป็นส่วนหนึ่งของชุดประสบการณ์ระยะยาวก็ดี แต่ถ้าเป็น short-term memory คือชำเลืองดูโจทย์ จำได้ว่าตอบ A ก็ไมต่างอะไรกับลิงชิมแปนซี ซึ่งสามารถทำคะแนนข้อสอบปรนัยได้ประมาณ 10+% อยู่แล้ว การประเมิน clinical reasoning นั้นคงต้องทำตอบเรียน มีการประเมินอีกแบบคือ Portfolio เป็นการรวบรวม performance กิจกรรม "ทุกอย่าง" ตลอด curriculum การราวนด์ข้างเตียง group teaching, team teaching, etc เอามาตรวจ มาประเมิน OK ชักยาวขอจบตอน และพูดถึงอีกประเด็นถัดไป " />
ความคิดเห็นที่ : 19


   อืม...ตั้งใจมองข้ามประเด็นบางประเด็นไป เพระไม่อยากให้ดู personally มากเกิน แต่ไม่เป็นไร ดูเหมือนจะมีข้อขัดข้องใจหลงเหลืออยู่

เอาโจทย์มาตั้งใหม่และชำแหละเป็นส่วนๆ

โพย
คืออะไร
ผมเห็นด้วยกับข้อสรุปอันหนึ่งที่ว่าไปแล้วคือ โดยเป็นชุดรวบรวมข้อสอบเก่า (จริงๆ) ที่นำมาถ่ายทอดให้รุ่นต่อๆมาให้ลองทำ (หรือหนุนหัว ต้มน้ำซุป นอนกอด ฯลฯ ให้เกิด osmosis เอง)
ก็ถามต่อว่าข้อสอบเหล่านี้มาจากไหน?
มาจาก "learning objectives" ครับ รับประกันได้ว่าในปัจจุบัน ชุดข้อสอบที่ออกมาจะอยู่ใน learning objectives ทั้งหมด ซึ่งจะอ้างอิงเกณฑ์มาตรฐานแพทยสภา (นศพ.) หรือราชวิทยาลัย (พชท.) เป็นหลัก
มี หรือทำข้อสอบโพยดีไหม?
คำตอบโดยทั่วๆคือน่าจะดี การทำแบบฝึกหัดนั้นเป็นการบริหารสมอง ทบทวนว่าเราเข้าใจหรือไม่ ข้อสอบช่วงหลังนี้จะออกโดยตามหลักการการศึกษาทั้งหมด (เค้นมันสมองออกมาทุกข้อ ทุก choice เลยทีเดียว) เพราะคนตรวจตั้งใจจะ "ประเมิน" ผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน และเนื่องจากจำนวนข้อสอบถูกจำกัด (ตามหลักการศึกษา) ฉะนั้นประเด็นที่คัดมาทดสอบ จะเป็นประเด็นที่ผู้สอบ หรือคนกำกับหลักสูตรมีความเห็นว่าสำคัญอยู่ในอันดับต้นๆ น่าจะทดสอบมากกว่าประเด็นอื่น
แต่ว่า...
มีประเด็นแฝงอีกสองสามอย่าง หนึ่งก็คือโพยข้อสอบสามารถถกมองเป็นทางลัดในการที่ผู้เรียน "สะสม" ชุดตัวอย่างของ case จริงๆ เป็นการเสริมสร้างความเป็น "ผู้เชี่ยวชาญ" (Reference: Geoff Norman, MedEd McMaster "Expert = person who has accumulated set of "stable and large" examples of a subject and subsequently identifies "PATTERN"/b> for diagnosis and discriminating irrelvant information") ประสบการณ์ที่ นศพ. เรียนๆกันอยู่ตาม ward นี้ไม่มากหรอกนะครับ ไม่มากพอที่จะมองหา "pattern" หรือจัดระบบการวินิจฉัยหรือ rule-out ตัวหลอกให้หลง ฉะนั้น formative examination หรือแบบฝึกหัดต่างๆจะช่วย serve ตรงนี้
ทีนี้ถ้าเคยทำโพยไปแล้ว ก็เป็นว่าเรา "เคย" เห็น เคยคิดประเด็นนั้นไปแล้วครั้งหนึ่ง คนทดสอบจึงต้องแสวงหาความแปลกใหม่มาทดสอบต่อๆไปเรื่อยๆ เพื่อหา "ตัวหลอก" ใหม่ๆที่จะเป็นกับดักในการประกอบอาชีพจริงๆ assume ว่าตัวล่อนี้น่าจะมีเยอะ ออกมาได้ไม่ซ้ำกันหลายสิบรุ่น ตรงนี้เป็นเรื่องที่บางครั้งยากในทางปฏิบัติ ยกตัวอย่าง เรื่อง "appendicitis" ให้ออกข้อสอบหมวด "mechanism of disease" เป็นปรนัย ต่อให้ expert มาออก ก็หมดมุขเอาง่ายๆ คุณจะหา choice มาหลอกล่อซัก 10 choices (สองข้อประนัย) ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ผลสุดท้ายก็คือ บางเรื่อง บางหมวด ข้อสอบจะซ้ำ อย่างหลีกเลี่ยงได้ยากมาก

สรุป
มีโพย และพยายามฝึกหัดทำโพยเป็นเรื่องที่ดี ถ้าชุดข้อสอบที่ผ่านเข้ามานั้นสามารถสั่งสม และ "sustain" เป็นส่วนหนึ่งของชุดประสบการณ์ระยะยาวก็ดี แต่ถ้าเป็น short-term memory คือชำเลืองดูโจทย์ จำได้ว่าตอบ A ก็ไมต่างอะไรกับลิงชิมแปนซี ซึ่งสามารถทำคะแนนข้อสอบปรนัยได้ประมาณ 10+% อยู่แล้ว การประเมิน clinical reasoning นั้นคงต้องทำตอบเรียน มีการประเมินอีกแบบคือ Portfolio เป็นการรวบรวม performance กิจกรรม "ทุกอย่าง" ตลอด curriculum การราวนด์ข้างเตียง group teaching, team teaching, etc เอามาตรวจ มาประเมิน

OK ชักยาวขอจบตอน และพูดถึงอีกประเด็นถัดไป



Posted by : Phoenix , Date : 2004-01-14 , Time : 22:40:51 , From IP : 172.29.3.246

ความคิดเห็นที่ : 20


   ส่วนเรื่องการรู้โพยแล้วไม่บอกเพื่อน มีคะแนนเอามา bluff กันนั้น อย่างที่ผมเคยบอก มันเป็นพฤติกรรม "เด็กๆ" พูดง่ายๆ ยังไม่ mature นั่นเอง

ยังไม่อยากจะวิเคราะห์ หรือ profiling คนทีทำอย่างนั้น ต่อไปจะเป้นหมอฆาตกร คนโกงชาติ หรือตกนรกสามสิบชั้น ฯลฯ ที่เพื่อนๆ (ตอนนี้) อาจจะอยากให้เป็น หรือตราหน้าไว้ ทางออกที่ดีคือ โพยควรเป็นเรื่องของกรรมการชั้นปี และมอบหมายต่อๆไปให้รุ่นน้องอย่างเป็นระบบ ขอให้คิดว่าเป็นคลังประสบการณื หรือ case จำลอง ที่เพิ่มประสบการณ์ที่ควรรู้เท่านั้น เพิ่มเติมจาก fresh case บน ward ซึ่งไม่ได้มากมายอะไรที่เห็นในช่วงหกปี ถ้าทำอย่างนี้ได้ปัญหาเรื่อง accessibility ของโพยก็จะหมดไป เหลือแต่ปัญหาการสร้างคลังข้อสอบให้ใหญ่พอ แต่นั่นเป็นปัญหาของอาจารย์ ไม่ใช่ของนักเรียน

คนที่มีโพยแต่ไม่ได้ให้เพื่อน อาจจะมีทั้งตั้งใจ หรือ ไม่ได้คิดอะไรมาก ผมอยากจะ optimistic ว่าน่าจะตกอยู่ในอันหลัง แต่ใครที่มีโพยและหลบๆซ่อนๆไม่ให้คนอื่นรู้นั้น ได้พัฒนาจิตใจไปในด้านมืด (ไปอยู่กับ Darth Vader หรือ Dark Lord ถ้าเป็นตอนนี้ ก็ต้องเป็น Orcs หรือพวกเดียวกับ Sauron) อย่างที่ผมบอกถ้าหลงมาขนาดนี้นั้นน่าสมเพช น่าสงสารมาก ที่ไม่ได้มีความเข้าใจเรื่อง professionalsim หรือหลักการประเมินว่าเขาประเมินไปทำไมเลย เป็นคนประเภทใส่หมวกกันน็อคตะเบ๊ะยามตอนเข้า รพ. ขับรถถึงสี่แยกก็ชำเลืองดูว่ามีตำรวจหรือเปล่าแทนที่จะดูว่าสัญญานไฟจราจรเป็นยังไง อ่านกฏหมายก็มองหาช่องโหว่ เห็นคิวที่ไหนแปลว่าจะต้องแซง ฯลฯ เป็นคนที่สังคมพึงรังเกียจ และน่าจะตักเตือนให้รู้ตัวแก้ไข ก่อนที่จะเป็นตัวอย่างของตระกูลนั้นๆสืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน จะเป็นมะเร็งของสังคม ผมคิดว่าตรงนี้ social justice น่าจะทำให้ work ได้ ("ถ้า" นะครับ)



Posted by : Phoenix , Date : 2004-01-14 , Time : 22:53:11 , From IP : 172.29.3.246

ความคิดเห็นที่ : 21


   ในฐานะอดีตนักเรียนแพทย์ที่เคยมีโพยข้อสอบเป็นตั้งๆ

การมีโพยข้อสอบเก่าคงมีข้อดีและข้อเสียหลายๆอย่าง ตามแต่มุมมองและการนำไปใช้

สำหรับเราเอง การมีดพยข้อสอบ มีคุณค่าเหมือนการนั่งทำข้อสอบเอนทรานซ์ย้อนหลังสิบปี ก่อนสอบเอนทรานซ์จริง

นั่นคือ อ่านเพื่อให้รู้แนวข้อสอบ รู้ว่าบทเรียนนี้จะออกข้อสอบตรงไหน ต้องคิดยังงัยถึงตอบได้ และเนื้อหาสำคัญอยู่ตรงไหน

แล้วแน่นอน เมื่ออ่านโพยจบ เราต้องกลับไปอ่านหนังสือใหม่อีกรอบเหมือนปกติ เพื่อเก็บข้อมูลเหล่านั้นให้หมด แล้วลองมาทำโพยใหม่ ครั้งนี้ทำได้มากกว่าเดิม มั่นใจกว่าเดิมหรือเปล่า

เพื่อนๆรุ่นเรา(ซึ่งก็เป็นรุ่นก่อนนี้นานพอดู) ทำแบบนี้กัน และเราก็พบว่า เราเรียนแบบรู้จุดหมาย รู้จุดสำคัญมากขึ้น บางครั้งเรียนจบแล้วพอจะเดาได้เลยว่าบทนี้จะออกสอบยังงัย

ดังนั้น การอ่านโพยแบบนี้ จะไม่มีการเดินออกมาจากห้องสอบแล้วบอกว่าข้อสอบชุดนี้ตรงโพยหรือไม่ตรงโพย เพราะข้อสอบต้องตรงโพยแน่นอน นั่นคือแนวข้อสอบและแนวคำถามไม่ผิดไปจากนี้ แค่เพียงโจทย์ต่างกันเท่านั้นเอง

แต่เดี๋ยวนี้ เราได้ยินน้องๆนักศึกษาบ่นกันมากว่ากองนี้ตรงโพยมั่ง กองนั้นไม่ตรงมั่ง จะตัดคะแนนรวมชั้นปีไม่ได้นะเพราะกองแรกเสียเปรียบอะไรแบบนั้น

แน่นอน เกรดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเรียน เพราะถ้าเราจะเรียนต่อหรือไปทำอะไรในวันข้างหน้า เราจะไม่รู้หรอกว่าตัวเลขไม่กี่ตัวในนั้น มันexpress ตัวเราให้คนอื่นที่จะเป็นเจ้านายหรือเจ้าของทุนเราเห็นได้แค่ไหน

เราจึงไม่แอนตี้หรือมองน้องๆที่ฟูมฟายว่าได้โพยน้อย ไม่มีโพย หรือข้อสอบตรงโพยน้อยกว่ากองอื่นแล้วตัวเองได้คะแนนน้อย

ใครๆก็อยากเรียนได้คะแนนดีๆทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคนขยันหรือคนช่างเล่นมากกว่าเรียน ผู้ใหญ่ทำงานหนักก็อยากได้ค่าจ้างมากกว่าคนทำงานน้อย เด็กตั้งใจเรียนมาก แม้ว่าจะภูมิใจว่ามีความรู้มาก แต่ก็คงจะดีใจกว่าถ้าคะแนนมากตามความรู้ด้วย

แต่คะแนนไม่ใช่ทุกอย่างที่เราจะเอาออกไปจากโรงเรียน ขยันเรียน ทำคะแนนให้ดี ถ้าคะแนนไม่ดี สำรวจตัวเองว่าทำข้อสอบ"เป็น" หรือเปล่า แล้วจะทำให้ดีกว่าได้อย่างไร

และอย่างที่คนอื่นได้ตักเตือนมา โพยก็มีข้อเสียสำหรับคนที่ใช้มันเพื่อท่องจำก่อนเข้าสอบ โดยไม่ได้อ่านหนังสือหรือรู้เรื่องที่ตอบอย่างถ่องแท้ ทำตามที่ผู้ใหญ่แนะนำ ไม่เสียหายหรอกนะ

เอาเป็นว่า สำหรับคนที่มีโพยมาก แบ่งปันให้เพื่อนบ้าง
คนที่มีโพยน้อย ไม่ต้องเสียใจ ใช้มันให้เป็นประโยชน์อย่างที่เราบอก
และสำหรับทุกคน เรียนหนังสือให้ได้ความรู้ เพื่อตอบข้อสอบได้ และตอบตัวเองได้ว่า มาเรียนแล้วได้ความรู้อะไรไปบ้าง แล้วจะใช้มันเป้นประโยชน์ต่อคนอื่นอย่างไร

สุดท้าย อยากตั้งข้อสังเกตที่หลายคนอาจมองข้ามประโยชน์อีกอันของโพยไป นั่นคือประโยชน์ทางสังคมของมัน

การมีโพย คือสัญลักษณ์หนึ่งที่บอกว่า คนรุ่นก่อน มีความห่วงใย และคาดหวังสิ่งที่ดีกว่าเพื่อคนรุ่นหลังเพียงใด

โพยที่เราเคยมีส่วนมากมาจากรุ่นพี่ของเรายกให้

แน่นอน กระดาษพวกนั้นไม่มีความหมายต่อรุ่นพี่เลยหลังจากพวกเขาสอบเสร็จ

แต่ทำไมเขายังเก็บมันข้ามปี เพื่อแบกมาให้รุ่นน้องของเขาได้อ่าน ได้รู้แนวข้อสอบ และไม่ลำบากในการทำข้อสอบอย่างที่เขาเจอมา

แน่นอน ค่านิยมนี้ส่งต่อมาเรื่อยๆ กระดาษพวกนี้จึงไม่ได้มีค่าแค่กระดาษเก่าๆ หรือเครื่องมือขโมยคะแนนอย่างง่ายๆอย่างที่พวกเราหลายคนเข้าใจ

แต่มีความหมายถึงการมีอยู่ของสังคมที่คนคนหนึ่งจะมีความห่วงใยต่อคนอื่น

คนที่มีโพย แม้แต่เพียงชุดเดียว

ต่อให้คุณอ่านโพยไม่เก่ง จำได้น้อย หรือทำข้อสอบไม่ได้

คุณจงภูมิใจเถิดว่า คุณไม่ได้อยู่คนเดียวในสังคมนี้
ยังมีคนอื่นที่คิดถึงคุณ ห่วงใยคุณ และส่งมันมาให้คุณ

สุขสันต์วันสอบนะ



Posted by : natalie , Date : 2004-01-15 , Time : 01:58:22 , From IP : 172.29.3.217

ความคิดเห็นที่ : 22


   ดีใจมากที่มีชื่ออยู่ในกระดานนี้ แต่แปลกจังไอ้คนที่โดนกล่าวหาว่ากั้กโพยยังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่กลับมีชื่อคนโดนขู่ซะแล้ว จะลืออะไรก็ใช้สมองคิดหน่อยนะจ้ะ คนที่โดนขู่เอาโพยน่ะ น่าจะเป็นคนแบบไหน แต่ที่แน่ ๆคงไม่ใช่คนที่มีกล้าม หรือ หน้าแข้ง ที่พอจะเตะปากคนขู่ได้อย่างเราแน่
ปล.ทุกท่านอย่าโวยวายไปเลยนะ สงบเถอะ ไอ้พวกที่ขึ้นศัลย์กองแรกน่ะ ไม่มีโพยกองไหนเลย แถมยังใจดีแจกโพยที่แสนจะสมบูรณ์ให้กองอื่นอีก จะเอาอะไรกันนักหนาจ้ะ......พวกเราน่ะยังไม่โวยวายเลย.......เฮ้อสัตว์โลก กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมสนองเอง (ไม่ต้องรอชาติหน้า แค่กองนี้ยังไม่ทันลงกองกรรมก็ตามสนองเองแหละจ้า)............สาธุ
ไม่โอนะค้ะ......เย เย เปา เดอ ชา...........


Posted by : อะไรหลาว , Date : 2004-01-15 , Time : 14:57:22 , From IP : 172.29.2.94

ความคิดเห็นที่ : 23


   ถ้าพบเห็นเหตุการณ์คนอื่นถูกขู่ ก็ช่วยเตะปากให้ด้วยละกัน


Posted by : ArLim , Date : 2004-01-15 , Time : 19:10:20 , From IP : 203.156.38.144

ความคิดเห็นที่ : 24


   ทำไมคะแนนไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ในเมื่อคะแนนเอาไปตัดเป็นเกรด

ทำไมเกรดไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ในเมื่อการรับเรียนต่อก็ต้องดูเกรดเป็นองค์ประกอบ

แม๋
หรือใครจะเถียงว่าไม่จริง


Posted by : Mr.Palm , Date : 2004-01-15 , Time : 23:32:05 , From IP : r131-skaHS1.S.loxinf

ความคิดเห็นที่ : 25


   จะมีโพย หรือ ไม่มี ผมไม่สนหรอกครับ ยังไงก็อ่านเองอยู่ดี

แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็ขอความกรุณา ท่านอาจารย์ ที่ออกข้อสอบ ควรพยายามอย่าออกให้เหมือนกันมากนัก ผมเข้าใจว่า บางครั้งจะออกให้ไม่เหมือนเลย มันก็ลำบากเหมือนกัน แต่ที่ผมเห็นมาเนี่ย บางครั้งมันเหมือนกันเด๊ะ ๆ น่าเกลียดมากครับ ช่วยปรับปรุงด้วยนะครับ


Posted by : q , Date : 2004-01-16 , Time : 05:02:22 , From IP : ppp-203.144.235.68.r

ความคิดเห็นที่ : 26


   ประทับใจความคิดของคุณ natalei มากค่ะ
มองโลกในมุมที่แตกต่างได้อย่างน่าทึ่ง


Posted by : สาวน้อยร้อยชั่ง , Date : 2004-01-16 , Time : 16:54:09 , From IP : 172.29.2.150

ความคิดเห็นที่ : 27


   เราคิดว่าการอ่านโพย ก็ไม่ได้แปลว่าไม่อ่านหนังสือนี่
คงมีนักศึกษาน้อยคนที่ท่องโพยไปสอบโดยไม่ได้เข้าใจว่าทำไมถึงต้องตอบเช่นนั้น
ตรงกันข้าม เวลาเราอ่านโพย เราก็พยายามหาคำตอบทำความเข้าใจกับมัน ว่าทำไมข้อนี้ถึงตอบอย่างนี้ ตอบอย่างอื่นได้หรือไม่ และมีความรู้อะไรอีกที่เกี่ยวข้องกับข้อสอบข้อนี้ และก็ยังทำให้เรารู้แนวข้อสอบที่จะออกด้วยว่าเป็นอย่างไร
นั่นก็เป็นวิธีการเรียนรู้อีกวิธีหนึ่งนั่นเอง
เพราะฉะนั้น การมีโพย ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย หากเรารู้จักนำมันมาใช้ให้ถูกวิธี
ส่วนเรื่องคะแนน คงไม่สำคัญมาก(ขอแค่ผ่านก็พอ) เพราะสำคัญอยู่ที่ว่าเรารู้และเข้าใจในเนื้อหาที่เราเรียนและสามารถนำมันไปใช้ได้หรือเปล่าต่างหาก


Posted by : เอ็กซ์-สะ-เทิน , Date : 2004-01-16 , Time : 17:56:48 , From IP : 172.29.4.254

ความคิดเห็นที่ : 28


   ตามประสบการ ในสมัยเรียน ผม ก็อ่านโพยเหมือนกันครับ แต่นั่นหมายความว่าผม ได้อ่าน เนื้อหา ในหนังสือจบแล้วครับ ถึงจะอ่าน โพย เชื่อใหม ครับ การอ่านโพยทำให้ผม ได้ความรู้เพิ่ม เติม ขึ้นอีกเยอะ เพราะในการอ่านโพย เรามักจะคิดเสมอว่าไอ้ที่เฉลยเนี่ยมันถูกหรือปล่าว และอีกอย่างโพยบางชุด มันมีคำอธิบายอยู้ด้วย มันก็เหมือนกับการที่เราอ่านโน้ตย่อนั่นเอง
ผม ว่าการจะแก้ปัญหานี่เนี่ย คงต้องให้อาจารย์ออกข้อสอบ ใหม่ทุกปี อย่าออกเหมือนกับข้อสอบเดิม ก้คงจะทำให้นักเรียนไม่อ่านแต่โพยอย่างเดียวแน่


Posted by : Dr K , Date : 2004-01-16 , Time : 22:17:27 , From IP : proxy-mu2.mahidol.ac

ความคิดเห็นที่ : 29


   เห็นด้วยกับคุณ natalie ครับ การมองโลกในแง่ดีทำให้เราทุกคนสบายใจขึ้น และเลิกคิดน้อยเนื้อต่ำใจหรือทำอะไรๆที่แย่ลงไป
แต่ก็มีบางคนที่ไม่ได้รับโพยมาโดยความเต็มใจของผู้ให้ แต่ผ่านการข่มขู่ ถากถาง ติฉินนินทา แย่งชิงกันมา อันนี้ดูไม่ดีเลยนะ


Posted by : Ikarus , Date : 2004-01-17 , Time : 00:20:55 , From IP : 172.29.3.243

ความคิดเห็นที่ : 30


   ทางแก้ปัญหาสำหรับการสอบเพื่อความยุติธรรมแก่ทุกคน โดยไม่ขอกล่าวเรื่องโพย คือ การสอบพร้อมกันทุกคนในตอนปลายปี โดยแต่ละกองก็หมุนเวียนกันเรียนตามที่เคยจัดไว้ แล้วค่อยมาสอบพร้อมกันทั้ง 100 กว่าคน แม้ว่าจะลำบากในการจัดการสอบบางอย่าง เช่น OSCE ก็ตาม หวังว่าถ้าผู้บริหารคณะแพทย์คงรับฟัง feedback แต่ก็นั้นแหล่ะคงไม่ทำอะไรเหมือนเคย จะมีก็แต่เรื่องผักชีโรยหน้าเวลามีการมาตรวจHA หรือการไปนิเทศน์ถึงระบบ PBL เวลามีคณะแพทย์จากที่อื่นๆ มาดูงาน น่าจะให้รางวัลตุ๊กตาทองจริงๆ

Posted by : ทางแก้ , Date : 2004-01-17 , Time : 13:21:19 , From IP : mtot11-bkkSP2.c.loxi

ความคิดเห็นที่ : 31


   จบมาได้ก็เพราะโพย ทำมาแหลง

Posted by : ชิ , Date : 2004-01-17 , Time : 19:29:25 , From IP : 172.29.4.89

ความคิดเห็นที่ : 32


   ผมเห็นบ่นเรื่องนี้มาทุกปี บ่นว่าออกตามโพย ก็ยังไม่เคยเห็นใครสอบได้คะแนนเต็มเลย หากว่าออกตามโพยจริง เห็นค่าเฉลี่ยก็ยังประมาณ 60 กว่าๆทุกปี บางคนขนาดออกเหมือนโพยก็ยังตอบไม่ได้ แปลว่าอะไร แสดงว่านักศึกษาไม่มีความรู้จริง ก็สมควรตก และจะมีเสียงมาทุกปีว่าปีนี้ออกตามโพย ก้เห็นโพยหักกันทุกปี เช่นปีนี้ก็เช่นกัน นักเรียนบ่นว่าออกตามโพย แว่วว่าปีนี้ข้อสอบ comprehensive โพยเกือบ ร้อยละ 80 ลองดูนะว่าจะทำได้เท่าไร

Posted by : ออออ , Date : 2004-01-17 , Time : 19:37:41 , From IP : 203.155.221.253

ความคิดเห็นที่ : 33


   ฮือ กำลัง ถูก ลบ แล้ว....ไม่น่า ด่ากันเลย


Posted by : Oozing , Date : 2004-01-18 , Time : 17:49:31 , From IP : 172.29.2.144

ความคิดเห็นที่ : 34


   ถูกลบ???? ไม่น่านะครับ ทราบข่าววงในจากที่ไหนหรือครับ? คุณ Garnet ไม่น่าจะถูกขอให้ลบกระทู้นี้จากเท่าที่มีการอภิปรายกันมาเลย



Posted by : Phoenix , Date : 2004-01-18 , Time : 18:56:31 , From IP : 172.29.3.242

ความคิดเห็นที่ : 35


   ความเห็นของคุณทางแก้ น่าสนใจนะครับ

แต่ว่าอย่างของปี 4 น่าจะใช้เวลาสอบตอนปลายปีประมาณ 1 สัปดาห์เป็นอย่างน้อยมั๊งครับ

ส่วนปี 5 นี่ ไม่ต้องพูดถึง นานกว่านั้นแน่ครับ

เหมือนสอบ compre ทุกปีเลยนะครับ

ถ้าตกซักที นี่เรื่องใหญ่ชัวร์


Posted by : เหอๆๆ , Date : 2004-01-18 , Time : 22:04:56 , From IP : 172.29.4.214

ความคิดเห็นที่ : 36


   เข้าใจผิดบางอย่างแล้วครับ

OSCE นั้น ไม่เคยมีการปิดข้อสอบเลย Pool ของหัตถการตามเกณฑ์มาตรฐานนั้นน้อยมากจรรู้ๆกันอยู่ มีทั้ง formative exam เตรียมสอบด้วยซ้ำไป ฉะนั้นการที่กระจายสอบตลอดปีนั้นเป็นการ optimize ขั้นตอนการจัดที่ดีกว่าจัดสอบนักศึกษาทั้งชั้นปี ทุก station ของ OSCE สำหรับทุก Block แน่ๆ

การสอบไปเรื่อยๆนั้น มีประโยชน์ตอนที่โอกาสในการเตรียมซ่อม หรือเสริมในกรณีที่ไม่ผ่าน คิดว่าน่าจะมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปรับปรุงกว่าการที่มาทราบตอนสิ้นปีว่าตกหมดทุก Block ซึ่งสายเกินไป ต้องซ้ำชั้นหรือ retire ไปเลยตามกฏมหาวิทยาลัย แทนที่จะมีการแทรกแซงโดยหน่วยกิจการนักศึกษาก่อนหน้านั้น

วิธีสร้าง Pool ดูจะเปแนทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้

อ้อ...เวลา feedback แล้วไม่เห็นทำตามเลยนั้น คงจะมีเหตุผลอื่นนอกเหนือจากไม่สนใจนะครับ ยกตัวอย่างเมื่อสี่ปีก่อนมีเด็กตกท่อลึกเป็นร้อยๆเมตรที่ USA มีจดหมาย มี Emails แนะนำวิธีช่วยเหลือเป็นหมื่นๆ messages หลายร้อยวิธี แต่ก็ถูกเลือกแค่วิธีเดียว ในบรรดาวิธีที่ดีนั้น ก็มีวิธีที่ดีกว่า ดีที่สุด พอใช้ หรือวิธีที่ไม่ดี ไม่ดีเลย หรือแย่ปนๆกันอยู่ ก็อาจจะเป็นเหตุผลได้เหมือนกัน



Posted by : Phoenix , Date : 2004-01-18 , Time : 22:45:15 , From IP : 172.29.3.246

ความคิดเห็นที่ : 37


   ถ้าคิดเสียใหม่ว่าการอ่านโพย เป็นการประเมินความรู้ของตัวเอง ว่าทำได้มากน้อยเพียงไร ก็มีประโยชน์แล้ว อย่าไปติฉินเรื่องโพย เลย และคิดเสียว่าโพยเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของการศึกษา หากทำโพยได้เต็ม แต่ไม่มีความรู้จริง ก็ใช่ว่าจะอยู่ในโลกของความเป็นแพทย์ได้ หากตัวเองต้องการความมั่นใจ อ่านหนังสือ ดูคนไข้ ให้เป็น มีความรู้เรื่องคนไข้ให้มากๆ อดทน ทำงาน ความสำเร็จรออยู่ข้างหน้า อย่าบ่นเรื่องโพยกันอีกเลย และไม่ต้องสร้างกระแส เพราะจะมีเรื่องแบบนี้ทุกปี โดยเฉพาะใกล้สอบปลายปี ขอให้ทุกคนโชคดีกับการสอบ comprehensive ปีนี้ครับ (ได้ข่าวว่าข้อสอบยากมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก)

Posted by : กก , Date : 2004-01-19 , Time : 10:58:32 , From IP : 172.29.3.112

ความคิดเห็นที่ : 38


   โพสกันเยอะจัง ยังอ่านไม่จบเลย
แต่ขอแสดงความคิดเห็นนิดหน่อยนะคะ
ไม่รู้สิคะ แต่คิดว่าถ้าได้คะแนนดีกับโพย มันก็ไม่น่าภูมิใจเท่าไหร่ ถึงแม้เราจะได้เกรด A มาเชยชม แต่ว่าความรู้แทบจะไม่มี มันก็เหมือนกับเราไม่ได้อะไรกลับมาเลย และเกรดก็ไม่ใช่ตัววัดอะไรได้เลย


Posted by : กระป๋องน้อย , Date : 2004-01-19 , Time : 12:19:24 , From IP : 172.29.2.134

ความคิดเห็นที่ : 39


   เรื่องทุกเรื่องมีหลายมุมมอง เราสามารถ exercise การมองมัมในทางกลับ หรือ lateral view จะพบว่าสนุกดี ใครเคยดูภาพยนต์เรื่อง Dead Poet Society (Robin William acclaim-Oscar performance) ที่ครู (Mr Keating) เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ (Robin) กลับมาสอนที่โรงเรียนเก่า ซึ่งเป็นโรงเรียนชั้นสูงระดับ Ivy league ของอเมริกา นำเอา "essence" ของภาษษอังกฤษมาสอนเด็ก ไม่ยอมใช้วิธี conservative แต่โบราณ ผลสุดท้ายถูกบีบให้ออกโดยพวก Dean หัวเก่า เนื่องจากเด็กนักเรียนกินใจในความเป็นครูของแกมาก ตอนแกมาเก็บของกลับบ้านจากในห้องเรียนเด็กก็เลย "แสดงความเคารพ" เป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการปีนขึ้นไปยืนบนโต๊ะเรียนกล่าว Oh! Captain, My Captain! เพราะครู Mr Keating เคยสอนไว้ว่าจงกล้ามองจากมุมที่ไม่เคยมองมาก่อน มุมกล้องจากลานสายตานักเรียนที่ยืนบนโต๊ะนั้นให้ "ความรู้สึก" โดยไม่ต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม ห้องเรียนทั้งห้องที่เรียนมาตลอดปีตลอดชาติก็ดูไม่เหมือนเดิม

คำถามอาจจะเป็นการถ่ายทอดโพยจากรุ่นพี่ให้รุ่นน้องนั้นเป็น "เจตนาดี" ที่ "มีแต่ผลดี" หรือเปล่า?

คงไม่ต้องทบทวนในรายละเอียดอีกครั้งว่าโพยคืออะไร เกิดจากอะไร จริงอยู่ถ้าเรามองเป็นแค่แบบฝึกหัด แล้วเราเห็นว่าดี ก็เลยจำมาบอกน้องๆก็ไม่เห็นเสียหายอะไร ตอนผมทำไมว่าจะเป็นสมัยนักศึกษาแพทย์หรือสมัยสอบ Board ก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ Noble ไม่มีอะไรผิด แต่เรื่องบางเรื่องมันอาจจะไม่เป็นไปตามที่เราเจตนาทุกครั้ง

ข้อสอบปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อสอบ comprehensive นั้น ออกยากเย็น และออกแบบมาเพื่อทดสอบ "ความเข้าใจ" ซึ่งหมายความว่าต้องการให้นักเรียนมีการ "แก้ไขปัญหา" เฉพาะหน้า เป็นการประเมินสิ่งที่ควรจะ "ติดหัว" หลังจาก "ผ่ากระบวนการเรียนการสอนมาทั้งขั้นปีหรือทั้งหลักสูตร" แต่การที่ข้อสอบเหล่านี้กลายเป็นโพย ซึ่งเป็นทางลัด ทำให้ตรง "กระบวนการเรียนการสอนมาทั้งปี" นี่แหละลดความสำคัญลงไป ซึ่งตรงนี้ไม่ healthy เลยแม้แต่น้อย หลังจากเรียนจบมา และเหนความลำบากยากเย็นในการออกข้อสอบแต่ละข้อ ผมเองกลับมานึกดู เออ...บางทีเจตนาดีของรุ่นพี่ก็เป็นการทำลายน้องทางอ้อมได้เหมือนกัน

ยังมีกมามายหลายวิธีอื่นๆที่ถ้าหากรุ่นพี่ หรือแม้แต่เพื่อนรุ่นเดียวกัน อยากจะให้ประสบการณืของเรามีประโยชน์ต่อรุ่นต่อๆไปโดยไม่ต้องใช้วิธีเอาข้อสอบมาบอก และอาจจะทำให้เราเรียนโดยถูกหลักมากยิ่งขึ้น ข้อสอบนั้นมีอยู่มากมายอยู่แล้วตามหอผู้ป่วย ลองแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของคนไข้ที่เรารับกับเพื่อนก็เป็นการทำที่ง่ายๆ ไม่งั้นจะเหมือนความรักผิดๆของพ่อแม่ที่เอาใจลูก เอาใจน้องมากเกินโดยใช้วิธี spoil ซึ่งจะบ่มสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ อาจจะเพาะเมล็ดพันธุ์ที่เราไม่ได้ตั้งใจ รักลูก รักน้องนั้น เราก็ยังจำเป็นต้อง "เลือก" วิธีที่จะแสดงความรัก ความเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่อะไรก็ได้ขอเพียงรักแล้วใช้ได้หมด




Posted by : Phoenix , Date : 2004-01-20 , Time : 03:23:35 , From IP : 203.155.144.21

ความคิดเห็นที่ : 40


   เห็นด้วยกับอาจารย์ Phoenix ค่ะ สมัยเรียนอยู่ก็อ่านโพยเหมือนกัน ที่อ่านก็เพราะว่าชาวบ้านเขาอ่านกัน เดี๋ยวจะรู้น้อยกว่าคนอื่น ถ้าอยากจะชนะ จะลงสนามรบทั้งทีต้องรู้ให้เท่ากับคู่ต่อสู้ หรือต้องรู้มากกว่า อีกอย่างการอ่านโพยขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้ประโยชน์โพยในแบบไหน ที่อ่านก็คือไม่ได้จำตัวข้อสอบ เพราะคิดว่าคงจะได้ไม่เท่าไร OK อาจจะมีที่ตรงบ้าง แต่ถ้าคิดจะได้ A จำโพยไม่พอหรอกค่ะ ถึงจะอ่านของหลายปีแต่คงจะจำไม่หมด แล้วก็เปลืองเนื้อที่สมองเปล่าๆ เอาไปอ่านอย่างอื่นดีกว่า ถ้าเกิดไม่ตรงโพยจะได้ไม่ซวย วัตถุประสงค์ที่อ่านโพยอีกอย่างคือจะอ่านเพิ่มเติม (extension) จากโพยต่อ เพราะโพยก็เหมือนกับวัตถุประสงค์ที่อาจารย์อยากให้รู้ ก็คล้ายๆ กับการซื้อข้อสอบเอนท์ปีก่อนๆ มาอ่าน สรุปว่าการอ่านโพยไม่ผิดหรอกค่ะ แต่ต้องรู้จักอ่านให้เป็นเท่านั้น ท่องจำโพยอย่างเดียวระวังเฉลยผิดนะคะ เอ...ดูเวลาที่อาจารย์ Phoenix ตอบกระทู้ล่าสุดแล้วตกใจค่ะ นอนดึกจังเลยค่ะ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

Posted by : Enigma , Date : 2004-01-26 , Time : 09:33:06 , From IP : 172.29.1.231

ความคิดเห็นที่ : 41


   ขอบพระคุณที่เป็นห่วงครับ จริงๆผมหลับไปตอนหัวค่ำน่ะครับ ตื่นมาทำงานต่อเพราะเคยชินกันบรรยากาศหลังเที่ยงคืน ประโยชน์อย่างหนึ่งคือเวลาฝนตกหนักน้ำท่วมที่จอดรถก็เดินลงมาย้ายได้เลย



Posted by : Phoenix , Date : 2004-01-26 , Time : 20:33:02 , From IP : 172.29.3.214

ความคิดเห็นที่ : 42


   เท่าที่อ่านความเห็นมาสรุปได้ว่า
-ส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าการมีโพยไม่ได้เสียหายอะไร
-โพยไม่ได้วัดความรู้จริงๆของนศพ.โดยเฉพาะถ้าโพยกระจายไม่ทั่วถึง
-คนที่ได้คะแนนมากอาจจะมีความสามารถด้านการแพทย์ด้อยกว่าคะแนนน้อย

ถ้าคิดได้อย่างงั้นเวลารับเขาเรียนต่อก็ก็อย่าพิจารณาเกรดดิ
จะรู้ได้ไงคนไหนอ่านโพยไม่อ่านโพย
สมมติ2คนมีคุณสมบัติเท่ากันทุกอย่างได้recommendจากอาจารญ์ที่เหมือนๆกันคนนึงเกรด 3.8เพราะอ่านโพยคนนึงเกรด3.5เพราะไม่อ่านโพยเรื่องการทำงานก็พอๆกัน ลองบอกมาสิคุณจะใช้อะไรตัดสิน

ถ้าคุณหาเกณฑ์ตัดสินเรื่องนี้กันได้ โดนไม่อิงเกรดละก็คงไม่มีใครมาเดือดร้อนหรอก
แต่นี่ผลการเรียนมันมีผลใครๆก็อยากได้รับโอกาสที่ดีทั้งนั้น จนทำได้ถึงขนาดกั๊กโพยขนาดนี้
จริงๆในชั้นปีได้โพยกันไม่กี่คนหรอก ขนาดบางคนเป็นเมทยังไม่ให้กันเลย

แล้วทุกคนที่สนับสนุนการออกข้อสอบเดิมในขณะที่โพยไม่ทั่วถึงอย่างนี้
ช่วยหาคำตอบมาด้วยแล้วกันนะ ว่าจะใช้เกณฑ์อะไรเป็นตัวตัดสินในการรับเข้าเรียนต่อ ทำดังนี้ได้คงไม่มีใครออกมาบ่นให้เสียเวลา

ขอบคุณมาก


Posted by : ThePCMania , Date : 2004-01-31 , Time : 23:38:15 , From IP : r195-skaHS1.S.loxinf

ความคิดเห็นที่ : 43


   ผมมีความคิดเห็นที่แตกต่างเล็กน้อยในสามข้อมที่สรุปมานะครับ

-ส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าการมีโพยไม่ได้เสียหายอะไร
ผมคิดว่าที่เราอภิปรายกันโพยมีทั้งข้อดีและข้อเสียขึ้นอยู่กับวิธีใช้ เจตคติต่อการประเมิน

-โพยไม่ได้วัดความรู้จริงๆของนศพ.โดยเฉพาะถ้าโพยกระจายไม่ทั่วถึง
โพยไม่ได้วัดความรู้ของนักศึกษาไม่ว่าจะกระจายครบหรือไม่ครบอยู่แล้วครับ เป็นแค่พิสัยเดียวของข้อสอบ จากการประเมินที่ไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซนต์ของคะแนนทั้งหมดขนาดข้อสอบครบทักรายวิชาปหนึ่งชุดเต็มๆเสียด้วยซ้ำ

-คนที่ได้คะแนนมากอาจจะมีความสามารถด้านการแพทย์ด้อยกว่าคะแนนน้อย
คะแนนไม่ได้วัดความสามารถด้านการแพทย์จริง แต่คะแนนต่ำมากหรือดีมากพอจะบอกอะไร "ได้บ้าง" ครับ การประเมิน "ทุกอย่าง" นั้นมีความหมายและถูกนำมาร่วมใช้ แต่จากข้อข้างบนที่เรียนให้ทราบโอกาสที่ใครจะได้ข้อสอบหนึ่งชุดเต็มนั้นน้อยมากจนถึงไม่มีเลย แล้วยังประกอบเป็นไม่ถึง 50% ของคะแนนรวมด้วยซ้ำ

ก็จะมาถึงข้อสรุปที่เกี่ยวกับการเรียนต่อ ฟังดูเหมือนกับว่าถ้าการพิจารณาเรียนต่อพิจารณาเกรดการกั๊กโพยก็จะถูกต้อง แต่ผมว่าเหตุผลไม่ได้ไปยังงั้น

๑) การตัดเกรดไม่ได้อิงกลุ่มเป็น absolute การกันไม่ให้เพื่อนรู้ข้อสอบนั้นไม่ได้มีผลทำให้เกรดตัวเองดีขึ้น แต่เป็นลักษณะความคิดเห็นแก่ตัวของคนๆนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับต้องการเกรดสูงๆเพียงอย่างเดียว
๒) การเรียนต่อเพื่อศึกษาวิชาเฉพาะทางนั้น ไม่ว่าที่ไหนที่ผมได้เคยคุยมาก้ไม่ใช้เกรดตัวเดียวเป็นตัวตัดสินครับ จริงๆแล้วเราดูหมดทุกอย่างรวมทั้งกิจกรรมนอกหลักสูตร เช่น ร่วมทำกิจกรรมคณะหรือมหาวิทยาลัยรึเปล่า เป็นการบอกโดยนัยถึงความต้องการทำงานเพื่อส่วนรวมและการทำงานร่วมกับผู้อื่นซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ต้องการและจำเป็นของบัณฑิตระดับสูง (มากกว่า undergradaute)

เท่าที่อ่านมาทั้งหมด ผมไม่แน่ใจที่ว่า แล้วทุกคนที่สนับสนุนการออกข้อสอบเดิมในขณะที่โพยไม่ทั่วถึงอย่างนี้ มาจากไหน? ผมว่าที่แนะนำกันมามีแต่ให้ออกข้อสอบเพิ่มเพื่อไม่ให้ซ้ำ ส่วนเกณฑ์อะไรบ้างที่ใช้ในการตัดสินเข้ารับเรียนต่อนั้น (ถ้าเป็นเหตุผลหลักที่จะกั๊กโพยเพียงประการเดียวล่ะก็) ผมขออนุญาตแนะนำให้ติดต่อสอบถามได้โดยตรงกับภาควิชาที่สนใจเลยครับ คิดว่าเกณฑ์ไม่น่าจะลึกลับมาก ถามตรงๆก็น่าจะได้คำตอบ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-02-01 , Time : 09:44:50 , From IP : 172.29.3.197

ความคิดเห็นที่ : 44


   เพิ่งจะได้เคยเห็นโพยของจริงที่เขาอ่านกันครับ
เยอะมาก อย่างกับรวบรวมข้อสอบ 10 ปี
ได้ข่าวว่าบางคนถ่ายเอกสารเฉพาะโพยก็ปาเข้าไปครึ่งพันแล้ว
แถมคำตอบในโพยก็ไม่ใช่ว่าจะถูกต้อง

ผมว่าโพยที่มีอยู่นั้นเป็นเหมือนแบบฝึกหัดนะครับ
อ่านหนังสือก่อนอ่านโพยก็คงดี


Posted by : ArLim , Date : 2004-02-02 , Time : 18:44:00 , From IP : 203.156.38.250

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.019 seconds. <<<<<