ความคิดเห็นทั้งหมด : 2

------------- (แม้) โลกสั่นไหว ใจ (คนญี่ปุ่น) ไม่ไหวสั่น ---------------


   (แม้) โลกสั่นไหว ใจ (คนญี่ปุ่น) ไม่ไหวสั่น
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/suthichaiyoon/20110318/382418/(แม้)-โลกสั่นไหว-ใจ-(คนญี่ปุ่น)-ไม่ไหวสั่น.html

ตอนเกิดแผ่นดินไหวตามมาด้วยสึนามิ มหากาฬตามมาด้วยอันตราย จากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่น ผมอยู่ระหว่างเดินทาง แต่เกาะติดด้วยความห่วงใย เพราะความรุนแรงของความเสียหายนั้น หนักหน่วงเกินจะคาดการณ์ได้

วิกฤติครั้งนี้พิสูจน์ “ความเป็นมนุษย์” อันยอดเยี่ยมของคนญี่ปุ่น ในการเผชิญกับโศกนาฏกรรม ที่ไม่มีใครทำนายไว้ล่วงหน้าได้ว่าจะรุนแรงได้ปานนี้

เพื่อนนักหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นที่คบหากันมาหลายสิบปี และเป็นผองเพื่อนในแวดวง Asia News Network ที่เครือเนชั่น มีความผูกพันใกล้ชิด เขียนมารายงานกับเพื่อนร่วมอาชีพในเอเชียด้วยอารมณ์คนข่าวเป็นการภายในว่า

สำนักงานใหญ่ของหนังสือพิมพ์ยักษ์ Yomiuri Shimbun ที่โตเกียวไม่ได้รับความเสียหาย แต่สำนักงานและโรงพิมพ์ในต่างจังหวัดบางแห่งถูกแผ่นดินไหวและสึนามิทำให้เกิดความเสียหายพอสมควร

แต่เพื่อนคนข่าวคนนี้บอกว่าแม้ความเสียหายทั่วไปคราวนี้สำหรับคนญี่ปุ่นจะกว้างขวาง “สุดบรรยาย” แต่ไม่มีปรากฏการณ์ของการปล้นสะดมหรือยื้อแย่งอาหารกันด้วยกำลัง

“เพื่อนร่วมชาติญี่ปุ่นของผมเผชิญกับวิกฤติอันใหญ่หลวงครั้งนี้ ด้วยความสงบอย่างยิ่ง ไม่แตกตื่น ไม่เห็นแก่ตัว และที่น่าสนใจยิ่งคือ ผู้คนมีความสุภาพและเอื้ออาทรต่อกันมากกว่าในยามปกติด้วยซ้ำไป... แม้คนที่สูญเสียคนที่ตนรักและหวงแหน ก็ยังประพฤติตนด้วยความอดทนและเสียสละอย่างน่าสรรเสริญยิ่ง....” เขาบอก

เพื่อนนักข่าวญี่ปุ่นคนนี้สรุปข้อความขอบคุณ การแสดงความห่วงใยและพร้อมจะช่วยเหลือทุกอย่าง เพื่อให้คนญี่ปุ่นพื้นคืนจากความโศกเศร้าที่หนักหน่วง ไม่แพ้ความวิบัติช่วงสงครามโลกครั้งที่สองว่า

“บัดนี้ ผมตระหนักแล้วว่าสิ่งที่ญี่ปุ่นควรจะมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งนั้น มิใช่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ หากแต่คือคุณภาพแห่งความเป็นคนนี่เอง...”

นี่คือข้อสรุปที่ผมเองก็เห็นตลอดเจ็ดวันตั้งแต่เกิดวิกฤติที่ญี่ปุ่นคราวนี้ เพราะคนญี่ปุ่นถูกธรรมชาติกระหน่ำซ้ำเติมอย่างที่ไม่เคยประสบพบเห็นมาก่อน สูญเสียทั้งชีวิตของตนเองและคนใกล้ชิด กระทบทั้งส่วนตัวและสังคมส่วนรวม ภัยพิบัติที่กระหน่ำซ้ำเติมอย่างชนิดตั้งรับไม่ทัน

แต่คนญี่ปุ่นเกือบทุกคนไม่ว่าจะวัยใด อาชีพไหน หรืออยู่ในสถานภาพใดกลับตั้งรับด้วยความอดทน กล้ำกลืนความทุกข์ระทมอย่างสุดฤทธิ์ แม้เมื่อเห็นชัดถึงความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล และบริษัทที่รับผิดชอบในการป้องกันภัยร้ายแรงที่เกิดขึ้นคราวนี้

คนทั้งโลกต่างส่งกำลังใจและเงินทองข้าวของไปช่วยญี่ปุ่นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเช่นกัน เพราะวันนี้ไม่มีใครไม่ตระหนักแล้วว่าภัยธรรมชาติที่สามารถทำลายล้างมนุษย์อย่างบ้าคลั่งนั้นเกิดกับใครก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ และที่ไหนก็ได้

ยืนยันอีกครั้งว่ามนุษย์โลกมีชะตากรรมร่วมกัน ไม่ว่าในยามปกติจะบ่อยครั้ง มนุษย์บ้าอำนาจและเห็นแก่ตัวจะพยายามฟาดฟันกันเองอย่างไร้เหตุไร้ผลก็ตาม

การฟื้นตัวของญี่ปุ่นครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ทุกคนในโลกต้องเรียนรู้จากวิบัติภัยของญี่ปุ่นคราวนี้อย่างละเอียดทุกแง่มุม เพราะพรุ่งนี้มันอาจจะเป็นคราวของคุณ

ต้องคารวะต่อจิตวิญญาณของชาวญี่ปุ่นด้วยการพาดหัวขึ้นปกของ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ฉบับล่าสุด

“โลกสั่นไหว ใจ (คนญี่ปุ่น) ไม่ไหวสั่น” ใดๆ เลย


Posted by : ช่วย , Date : 2011-03-18 , Time : 08:53:22 , From IP : 172.29.1.186

ความคิดเห็นที่ : 1


   MV ดอกไม้ของน้ำใจ - เรื่องเล่าเช้านี้

http://www.moosuper.com/blog293-MV%20%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%88%20-%20%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89.html


Posted by : ช่วย , Date : 2011-03-18 , Time : 10:53:47 , From IP : 172.29.1.186

ความคิดเห็นที่ : 2


   พอดีได้รับ forward mail อันนี้มาจึงขออนุญาตนำเรื่องราวคล้ายๆ กัน มาเล่าสู่กันฟังนะครับ

ผมได้อ่านข้อความจากเพื่อนคนหนึงที่ไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ญี่ปุ่น เป็นข้อความที่นักเรียนไทยแปลมาจากข้อความของ ชาวญี่ปุ่นหนึ่ง

หลายคนคงได้อ่านหรือได้ฟังเรื่องราวของชาวญี่ปุ่นในยามที่เขาประสพภัยมาบ้างแล้ว นี้คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมได้อ่านแล้วก็น้ำตาซึมอย่างไม่รู้ตัว

ก่อนอ่านทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า "ข้าพเจ้า" คือคนญี่ปุ่นที่เป็นคนเขียนเรื่องนี้ขึ้นในสิ่งที่เค้าพบเจอ

เรื่องแรก ข้าพเจ้าได้เห็นเด็กน้อยพูดกับพนักงานรถไฟว่า "ขอบคุณค่ะ/ครับ ที่เมื่อวานพยายามอย่างสุดชีวิตทำให้รถไฟเดินรถอีกครั้ง" พนักงานรถไฟได้ฟังแล้วร้องไห้ ส่วนข้าพเจ้าร้องไห้ฟูมฟายไปแล้ว (เพราะคืนวันที่เกิดแผ่นดินไหว รถไฟหยุดวิ่งกว่าจะวิ่งได้ก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว หลายคนไม่ได้กลับบ้าน หลายคนต้องเดินกลับ)

เรื่องที่สอง ที่ดิสนีย์แลนด์ คนติด ไม่สามารถกลับบ้านได้จำนวนมากและทางร้านขายของได้เอาขนมใสแจกนักท่องเที่ยว ก็ได้มีนักเรียนม.ปลายหญิงกลุ่มหนึ่งไปเอามาจำนวนมาก มากเกินพอ แว่บแรก ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีคือ “อะไรวะ เอาซะเยอะเลย” แต่วินาทีต่อมากลายเป็นความรู้สึกตื้นตันใจ เพราะเด็กกลุ่มนั้นเอาขนมไปให้เด็กๆที่พ่อแม่ไม่สามารถไปเอาเองได้เพราะต้องดูแลลูกๆ

เรื่องที่สาม ในซุปเปอร์แห่งหนึ่ง ของตกระเกะระกะเพราะแรงแผ่นดินไหว แต่คนซื้อก็เดินไปช่วยกันเก็บของ แล้วก็หยิบส่วนที่ตนอยากซื้อไปต่อคิวจ่ายเงิน และ ในรถไฟที่เพิ่งเปิดให้ใช้บริการ มีคนที่ตกค้างจำนวนมากกำลังเดินทางกลับก็ได้เห็นคนแก่คนหนึ่งลุกให้สตรีมีครรภ์นั่ง คนญี่ปุ่นแม้ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ ก็ยังมีน้ำใจ มีระเบียบ

เรื่องที่สี่ ในคืนแรกที่เกิดแผ่นดินไหว รถไฟไม่วิ่ง ทำให้คนจำนวนมากต้องเดินกลับบ้านแทนการนั่งรถไฟ ขณะที่ข้าพเจ้าต้องเดินกลับจากมหาลัยมายังที่พัก ร้านรวงก็ปิดหมดแล้ว ข้าพเจ้าได้ผ่านร้านขนมปังร้านหนึ่งซึ่งปิดไปแล้ว แต่คุณป้าเจ้าของร้านก็ได้เอาขนมปังมาแจกฟรีแก่คนที่กำลังเดินกลับบ้าน แม้ภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ น้ำใจเช่นนี้ทำให้หัวใจข้าพเจ้าอบอุ่น ตื้นตัน

เรื่องที่ห้า ในขณะที่รอรถไฟให้กลับมาวิ่งได้ ข้าพเจ้าก็ได้รออยู่ในอาคารสถานีอย่างเหน็บหนาว โฮมเลส (คนจรจัด) ก็ได้แบ่งปันแผ่นกล่องกระดาษให้ โฮมเลสที่ข้าพเจ้ามองด้วยหางตาทุกวันที่มาใช้สถานี คืนนั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด

เรื่องที่หก (เรื่องราวคืนรถไฟไม่วิ่งเยอะหน่อยนะครับ) ด้วยระยะเวลาสี่ชั่วโมงที่ต้องเดินเท้ากลับบ้าน ก็ได้ผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่งตาก็ไปสะดุดกับแผ่นกระดาษที่เขียนว่า "เชิญใช้ห้องน้ำได้ค่ะ" หญิงสาวท่านหนึ่งได้เปิดบ้านตัวเองให้แก่คนที่กำลังเดินกลับบ้านได้ใช้ วินาทีที่ได้เห็นแผ่นกระดาษนั้นน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง น้ำใจคนญี่ปุ่น

เรื่องที่เจ็ด แม้ว่าไฟดับ ก็ยังมีคนที่สู้ทำงานให้ไฟกลับมาติด น้ำไม่ไหลก็ยังมีคนไม่ยอมแพ้ทำให้น้ำกลับมาไหล เกิดปัญหากับโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ก็มีคนที่พร้อมจะเข้าพื้นที่เพื่อซ่อมมัน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้กลับมาสู่สภาพปกติด้วยตัวมันเอง ขณะที่พวกเราอยู่ในบ้านอันอบอุ่นแล้วก็พร่ำบ่นว่าเมื่อไรไฟมันจะติด น้ำจะไหลน้าา ก็มีคนที่อยู่ข้างนอกท่ามกลางความหนาวเหน็บกำลังพยายามสู้อยู่

เรื่องที่แปด ในจังหวัดจิบะ คนลุงคนหนึ่งที่หลบภัยอยู่ก็ได้เปรยออกมาว่า ต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรน้า เด็กหนุ่มม.ปลายก็ตอบกลับไปว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ต่อจากนี้ไปเมื่อผมเป็นผู้ใหญ่ พวกผมจะทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมแน่นอน (ไม่เป็นไร พวกเรายังมีอนาคต!!!)

เรื่องที่เก้า ขณะที่กำลังได้รับความช่วยเหลือ หลังจากที่ติดอยู่บนหลังคาบ้านมากว่า 42ชั่วโมง คุณลุงก็ได้กล่าวว่า "ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ เคยมีประสบการณ์สึนามิที่ชิลีมาแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเรามาช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองกันนะ" แกกล่าวด้วยรอยยิ้ม (สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราคือ ต่อจากนี้ไปเราจะทำอะไรต่างหาก)

เรื่องสุดท้าย ก่อนหน้านี้เมืองมันสว่างเกินไป เกินที่จะมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่จริงๆแล้วดาวสวยเช่นนี้เอง ชาวเซนไดทุกคนลองแหงนมองขึ้นไปข้างบนดูซิ (ตรงนี้ไม่มั่นใจว่าแปลว่า ชาวเซนไดทุกคนมองขึ้นไปบนฟ้า รึเปล่า)

ขอบคุณ คุณ ฉั่ว Kyoto ในการแปลข้อความพวกนี้เป็นภาษาไทย ให้พวกเราทุกคนได้อ่านกัน

ขอบคุณเพื่อนผมที่อยู่ที่นั้น และฝากข้อความมาให้อ่าน และเค้าบอกว่าที่นั้นสบายดี กลายเป็นว่าแทนทีผมจะให้กำลังใจเพื่อนฝ่ายเดียว แต่เค้าได้ให้กำลังใจผมกลับมาจนเต็มหัวใจ

สุดท้าย “คนไทยในยามวิกฤต ช่วงน้ำท่วมหรือสึนามิ เราก็เคยได้เห็นน้ำใจคนไทยแบบนี้เช่นกัน”


Posted by : frank , Date : 2011-03-18 , Time : 14:05:59 , From IP : pcache.psu.ac.th

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.005 seconds. <<<<<