ความคิดเห็นทั้งหมด : 0

อุทธาหรณ์ แพ้ยาปางตาย




   
อันตรายจากการแพ้ยา สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและทุกเพศ ทุกวัย บางครั้งผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวว่าแพ้ยาอะไร ในขณะที่บางคนจะมีการบันทึกประวัติการแพ้ยาไว้ตามโรงพยาบาล

ที่จังหวัดสุรินทร์ ลูกชายแจ้งว่า มารดาวัย 50 ปี ของเค้าแพ้ยาหยอดตา"คอแลม ฟิลิคอล" จนเป็นเหตุให้ผิวหนังทั่วทั้งตัวไหม้เกรียม หลุดลอก แพทย์ชี้เป็นอาการแพ้ยาขั้นรุนแรง ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

อาการแพ้ยามีหลายรูปแบบ
1) หากไม่รุนแรงมากนัก จะเริ่มมีอาการผื่นคัน แดงตามร่างกาย หน้าบวม หนังตาและปากบวม ส่วนใหญ่เกิดจากการกินยาเม็ดเช่น แอสไพริน เพนวี และยาประเภทซัลฟา

2) รุนแรงขึ้นมาก็จะมีอาการใจสั่น แน่นหน้าอก คลื่นไส้อาเจียนหอบหืด มักเกิดจากการใช้ยาฉีด

3) อาการแพ้รุนแรง ลมชัก ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ อาจช๊อคเสียชีวิตได้ หรือพบ เป็นแผลผุพอง หนังและปากเปื่อยลอก คล้ายถูกไฟไหม้

4) อาการแพ้เลือดและน้ำเกลือ มักมีไข้หนาวสั่น หรือลมพิษขึ้นซึ่งอาการแพ้ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่ยาชนิดฉีดจะทำให้เกิดอาการรุนแรงมากกว่ายากินและยาทา

แน่นอนการแพ้ยา บางครั้งคนไข้เองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า เราแพ้ยาอะไรบ้าง จึงเป็นเรื่องที่ป้องกันยาก บางคนแพ้ยากิน ยาฉีด และยาทา มีอาการแตกต่างกัน แล้วแต่ภูมิคุ้มกันของตัวเอง

อย่างกรณีล่าสุด มารดาวัย 50 ปี ชาวบ้านที่จังหวัดสุรินทร์ เจ้าตัวบอกกับลูกชายว่า มีอาการตาแดง หมอสั่งจ่ายยาหยอดตาให้ เมื่อหยอดไป ก็เกิดอาการแพ้ทันที นับว่าเป็นความโชคร้ายของผู้ป่วยรายนี้ ที่มีอาการแพ้ขั้นรุนแรง

ทีมข่าวเจาะประเด็นลงพื้นที่ พบว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นางประสิทธิ วัย 50 ปี ไปรับการรักษาอาการตาแดง ที่โรงพยาบาลอำเภอสำโรงทาบ ได้รับยาหยอดตาที่มีส่วนผสมสารคอแลมฟินีคอล เมื่อหยอดตาไปแล้วอาการกลับไม่ดีขึ้น แถมยังบวมแดง ตามร่างกายมีผื่นขึ้นเต็มตัว จึงกลับไปพบแพทย์อีกครั้ง นอนรักษาตัวอยู่ 2 วัน อาการยิ่งรุนแรง ผื่นที่แดงเริ่มพุพอง เป็นแผลทั่วร่างกาย ช่องปากเปื่อย จนต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดสุรินทร์

ญาติผู้เสียหายอ้างว่า ก่อนรักษาได้แจ้งกับแพทย์แล้วว่านางประสิทธิ์มีประวัติแพ้ยา คอแลมฟินิคอล แต่ทางโรงพยาบาลก็ยังมีการจ่ายยาตัวนี้มาให้อีก จึงเชื่อว่า นี่คือ สาเหตุทำให้เกิดการแพ้ยาอย่างรุนแรง

โรงพยาบาลสำโรงทาบ แสดงความเสียใจต่อเหตุที่เกิดขึ้น และพร้อมจะรับผิดชอบ ย้ำ..แพทย์ไม่ได้มีเจตนาจ่ายยาผิด และขอยืนยันว่า ในข้อมูลผู้ป่วยไม่มีการแจ้งประวัติการแพ้ยาใดๆเลย ซึ่งตามระเบียบโรงพยาบาลจะซักถามข้อมูลการแพ้ยากับผู้ป่วยทุกครั้ง กรณีนี้จึงไม่มั่นใจว่า แพ้ยาหยอดตาจริงหรือไม่

ตอนนี้นางประสิทธิ์นอนรักษาตัวที่ห้องปลอดเชื้อโรงพยาบาลสุรินทร์นานกว่า 12 วันแล้ว อาการยังทรงตัว แม้ไม่มีไข้ แต่ผิวหนังยังพุพองและลอก โดยเฉพาะตามข้อพับ และหลัง จึงต้องใช้ใบตองที่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคมารองไว้ ไม่ให้หนังลอกติดกับเสื้อผ้า

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเผย อาการของนางประสิทธิ์น่าเป็นห่วงเข้าขั้นแพ้ยาอย่างรุนแรง หรือที่เรียกว่า สตีเวนจอห์นสัน Steven Johnson Syndrome พบไม่บ่อย ซึ่งการที่ผิวหนังเปื่อยลอกแบบนี้ อันตรายมากหากติดเชื้อแทรกซ้อนในกระแสเลือด มีโอกาสเสียชีวิตสูง 30-50 เปอร์เซ็นต์ ต้องจัดให้อยู่ในห้อง
ปลอดเชื้อ ให้ยาสเตียรอยด์อย่างดีเข็มละหลายพันบาท เพื่อยับยั้งการแตกลอกของผิวหนัง
ขณะที่สาธารณสุขจังหวัดเปิดเผยว่า ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว ซึ่งจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เบื้องต้นแจ้งให้ทางผู้เสียหายรับทราบสิทธิการช่วยเหลือ ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพปี 2545 มาตรา 41 แล้ว เพราะถือว่า ได้รับผลกระทบจากการรับบริการสาธารณสุข

ด้วยความรักและเป็นห่วงผู้เป็นแม่ ลูกๆทั้ง 3 คนของนางประสิทธิ์ยอมละทิ้งงาน มาเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรก จนวันนี้ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว ต้องหยุดงาน รายได้ก็ไม่มี แถมต้องใช้จ่ายทุกวัน

สมศักดิ์ ลูกชายคนสุดท้องเฝ้าดูแลแม่อย่างดี คอยหยอดตาและทายาให้ทุกชั่วโมง ทุกครั้งที่แม่ร้องด้วยความเจ็บปวด น้ำตาลูกผู้ชายแทบกลั้นไว้ไม่อยู่ ไม่อยากให้แม่ทรมาน จึงคิดจะพาแม่ไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ

วันนี้อาการแม่ทรงตัว ไม่มีไข้ สมศักดิ์และน้าสาวจึงกลับบ้านที่สำโรงทาบ เพื่อดูแลคุณยายที่อยู่บ้านเพียงลำพัง ก่อนจะรีบกลับไปดูแม่ต่อ ซึ่งทันทีที่ถึงบ้านญาติและเพื่อนบ้านจำนวนมากแห่มาสอบถามอาการของนางประสิทธิ์ด้วยความเป็นห่วงพร้อมให้กำลังใจ

แม้ขณะนี้บรรดาญาติๆ ยังไม่มีการพูดถึงการฟ้องร้องค่าเสียหายใดๆ จากแพทย์และโรงพยาบาลสำโรงทาบ ขอเพียงให้นางประสิทธิ์ ได้รับการรักษาพยาบาลจนกลับมามีชีวิตปรกติเหมือนเดิม ในส่วนของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสำโรงทาบได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบประวัติผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยย้ำหากผู้ใดเพียงแค่สงสัยว่าตน อาจมีอาการผิดปรกติ แพ้ยา ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

เป็นอุทธาหรณ์ สำหรับผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านเมื่อยารักษาโรค คือ ดาบสองคมที่ส่งผลต่อชีวิต ให้ทั้งคุณ และ โทษกับผู้ป่วย

ที่มา: http://www.ch7.com/news/news_thailand_detail.aspx?c=2&p=376&d=131165


Posted by : aonmy , Date : 2011-03-08 , Time : 10:32:43 , From IP : 172.29.3.62

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.004 seconds. <<<<<