ความคิดเห็นทั้งหมด : 13

Surgeon


   เนื่องในโอกาสที่พี่ ๆ ของผมจะเปลี่ยนสถานะเป็น "ผู้เชี่ยวชาญ" ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ในช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นใครมาปรากฎตัวแถวนี้ ไม่รู้ว่าอ่านหนังสือจนไม่มีเวลา หรือถูกกฎอัยการศึกห้ามปรากฎตัวแถวกระดานข่าว บังเอิญมีโอกาสหยิบหนังสือเก่า ๆบนชั้นมาอ่าน ชื่อเรื่องว่า "การสร้างศัลยแพทย์ ( The Making of Surgeon)" อยากเอาบางส่วนของหนังสือมาคุยกัน

ขอเริ่มที่บทสุดท้าย เขาพูดถึงการเปลี่ยนสถานะจาก Surgical Resident ไปเป็น Surgeon ว่าเมื่อใหร่ถึงควรจะเรียกตัวเองเป็น Surgeon ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ในหนังสือบอกว่า "เมื่อรู้สึกมีความเชื่อมั่นในตนเองเต็มที่แล้ว เชื่อในฝีมือตนเองเกี่ยวกับปํญหาศัลยกรรมทุกชนิด ว่าสามารถให้การรักษาได้ดีหรือดีกว่าศัลยแพทย์ผู้อื่นเสียด้วยซ้ำไป" นั่นแหละจึงได้ชื่อว่าเป็น"ศัลยแพทย์" เต็มขั้น

คิดว่าไงครับ

ขออนุญาตครับ แสดงความเห็นโดยอิสระ จะ Constructive หรือ Destructive ก็ได้


Posted by : Miracle , Date : 2003-12-26 , Time : 22:13:49 , From IP : 172.29.3.229

ความคิดเห็นที่ : 1


   สวัสดีครับพี่น้องชาวประชา
นี่ถ้าไม่ใช่พี่Miracleมาโพสแบบนี้ ผมคงไม่กล้าแหกกฏอัยการศึกมาเสนอหน้าแถวนี้ ตั้งใจว่าจะกบดานไปเรื่อยๆดีกว่าเจ็บตัวช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
ปกติกระทู้เครียดๆแบบนี้ไม่ค่อยถนัดหรอกครับ แต่ลองดูซักนิด

"เมื่อรู้สึกมีความเชื่อมั่นในตนเองเต็มที่แล้ว เชื่อในฝีมือตนเองเกี่ยวกับปํญหาศัลยกรรมทุกชนิด ว่าสามารถให้การรักษาได้ดีหรือดีกว่าศัลยแพทย์ผู้อื่นเสียด้วยซ้ำไป" นั่นแหละจึงได้ชื่อว่าเป็น"ศัลยแพทย์" เต็มขั้น

ฟังดูแล้ว อ้อนๆหัวแม่เท้าศัลแพทย์คนอื่นที่ได้ยินจังนะครับ "สามารถให้การรักษาได้ดีหรือดีกว่าศัลยแพทย์ผู้อื่นเสียด้วยซ้ำไป" แหม่ พูดยังงี้ได้ไง พี่Miracle อ่านฉบับแปลที่เค้าแปลมั่วเอามัน ใส่ไข่ให้อร่อยหรือเปล่าเอ่ย ถ้าเค้าแปลมาถูก ผมก็ไม่เห็นด้วยนะครับ

การเป็น "ศัลยแพทย์" เต็มขั้น ไม่น่าที่จะประกอบด้วยความเชื่อมั่นในตนเองอย่างเดียว จริงอยู่ว่าต้องเป็นองค์ประกอบหนึ่ง แต่จริงๆแล้วยังต้องมีคุณธรรมด้วยครับ คุณธรรมที่ว่ามันมีหลายๆข้อ เช่น เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และอีกหลายๆขาเป็นต้น ต้องมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ต้องมีความซื่อสัตย์ โอย ถ้าให้พิมพ์หมดผมคงต้องอาเจียนออกมาเป็นหนังสือธรรมะสำหรับเยาวชนเป็นแน่แท้

ผมว่าทางที่ดีพี่Miracle เอาหนังสือฉบับที่ว่ามาให้ผมยืมอ่านซะดีๆดีกว่า แล้วค่อยมาออกความเห็นใหม่ ดีไหมครับ จะได้แอบเอาไปxeroxซะ



Posted by : กะหลั่วเป็ด , Date : 2003-12-27 , Time : 10:16:00 , From IP : 172.29.3.96

ความคิดเห็นที่ : 2


   ..............อ้าาาาาาา.......พี่ Miracle กลับมาอีกแล้ว..........:D....:D
..................
.............ผมคิดว่านะครับ.......ถ้าเรามองแค่ตรงนั้นว่า......แค่นั้น....แค่นี้.....เราจะเป็นศัลยแพทย์ที่เต็มขั้นได้....ถามผมเองนะ.....ถ้าผมได้มีโอกาสเรียนจบ......ผมคงใช้เวลาอีกสัก 10 หรือ 20 ถึงจะมั้นใจขนาดนั้นหละมั้ง.......
........ผมเชื่อว่านะครับ.....ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ยั้งยืนและตายตัวหรอกครับ.......และความคืดและความเห็นของแต่ละคนไม่เท่ากันหรอกครับ.....ถ้าในความเห็นของผม....ความหมายของ Surgeon ของผม......เป็นยากกว่าที่พี่ Miracle อ่านจากหนังสือเล่มนั้นมากครับ......
...............
...........Happy New Year ครับพี่ Miracle.....:D



Posted by : Death , Date : 2003-12-27 , Time : 10:23:35 , From IP : 172.29.3.144

ความคิดเห็นที่ : 3


   ผมเสียใจด้วยที่จะบอกว่าพวกหมอยังยืนด้วยขาของตนเองไม่ได้ ฮ่าฮ่า

Posted by : รู้รู้อยู่ , Date : 2003-12-27 , Time : 10:40:44 , From IP : 172.29.3.240

ความคิดเห็นที่ : 4


   อ่านไม่รู้เรื่อง!!! ก็มีขาอยู่แล้ว ทำไมยืนไม่ได้ละ งงแฮะ ถูก amputate ขาไปแล้วตั้งแต่เมื่อไร?

Posted by : ไม่บอกชื่อ , Date : 2003-12-27 , Time : 20:10:22 , From IP : 172.29.3.210

ความคิดเห็นที่ : 5


   ฟังทะแม่งๆยังไงชอบกล ยังงี้ถ้าเราจะคิดว่าเราเป็นหมอMed เป็นครู เป็นคนดี ก็ต่อเมื่อเรามั่นใจว่าเราเก่งที่สุด สอนดีที่สุด และดีกว่าคนอื่นทุกคนด้วยรึเปล่า?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-12-27 , Time : 21:34:38 , From IP : 172.29.3.228

ความคิดเห็นที่ : 6


   The making of surgeon เป็นหนังสือเล่าประสบการณ์การ Training เป็นศัลยแพทย์ ในอเมริกาเมื่อ 20-30 ปีก่อน เขียนโดย ศัลยแพทย์ท่านหนึ่ง เป็นความรู้สึกส่วนตัวของเขาครับ หลังจากที่เขาใช้ชีวิตในโรงพยาบาลที่เขา Training คงไม่สามารถเอามาเป็นบรรทัดฐานได้ แค่อยากรู้ว่าศัลยแพทย์ท่านอื่นรู้สึกว่าตนเองเป็น "ศัลยแพทย์" เมื่อไหร่ เมื่อไหร่ถึงจะแนะนำตัวกับคนไข้ได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าผมเป็นหมอผ่าตัด มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่
อะไรคือ"ศัลยแพทย์" อย่างใหนเป็น"ช่างผ่าตัด" หรืออย่างใหนเป็น"คนหั่นเนื้อ"


Posted by : Miracle , Date : 2003-12-27 , Time : 23:01:55 , From IP : 172.29.3.211

ความคิดเห็นที่ : 7


   "ความหมายของ Surgeon ของผม......เป็นยากกว่าที่พี่ Miracle อ่านจากหนังสือเล่มนั้นมากครับ...... "

ถ้าอย่างนั้นความหมายของ Surgeon สำหรับคุณ Death คืออะไรครับ เพราะไอ้ที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้กระผีกเดียวของที่เขาเล่าให้ฟังเลยทั้งในเรื่องความรู้ skill ความรับผิดชอบ หน้าที่


Posted by : Miracle , Date : 2003-12-27 , Time : 23:08:37 , From IP : 172.29.3.211

ความคิดเห็นที่ : 8


   .....ในแง่อื่นที่ไม่ใช่ศัลยกรรมไงครับ.....ที่ยากกว่า......ผมอยากเป็น Surgeon ที่ไม่ได้เป็นแต่แก้ปัญหาทางศัลยกรรมอย่างที่หนังสือเล่มนั้นว่า....ผมอยากจะทำได้ทุกๆอย่างครับ....[ฟังดูบ้านะครับ].....แต่ผมคิดอย่างงั้นจริงๆ....ผมอยากเป็นผู้เชียวชาญจริงๆ.....แต่บางทีผมเองก็รู้สึกขัดใจเวลาที่บางทีต้องมานั่งนึกว่า....เอออ....ทำไมนั่นเราไม่รู้หว่า....ทำไมนี่เราไม่รู้หว่า.....ทำไมหมอคนนั้นรู้หละ....หนังสือที่เขาอ่านเราก็มีเหมือนกัน....Journal ที่เขาหามา...เราก็หาได้เหมือนกัน...ทำไมเราต้องปรึกษาเรื่องไม่เป็นเรื่อง.....ทั้งๆที่เราเองมีความสามารถพอที่จะจัดการได้เองด้วย.....คำว่าผู้เชียวชาญเฉพาะทางด้านการผ่าตัด...ไม่ได้หมายถึงถือมีดเป็นแล้วก็ลงมือหั่นหั่นหั่น....[นั่นหละครับคนขายหมูของจริง]....แต่น่าจะหมายถึงผู้ที่ทำได้ทุกอย่าง....เพราะพื้นฐานพวกเราทุกคนมาจาก พบ ด้วยกันทั้งนั้น.....และจะปรึกษาผู้อื่นต่อเมื่อสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่มีปัญญาทำได้จริงๆ......นั้นหละครับ....ความหมายของผม.....เฮ้ออออออออ.........:D



Posted by : Death , Date : 2003-12-28 , Time : 02:04:02 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 9


   อันนี้ฟังดูเหมือนหลักปรัชญาที่อภิปรายกันระหว่างค่ายหินยานกับมหายาน

ลองพิจารณาจาก "ข้อเท็จจริง" ดู ทุกๆอาชีพรวมทั้งศัลยแพทย์ด้วย ทุกๆคนมีความสามารถเท่ากันหรือไม่? การ consult ปรึกษาภายในสายอาชีพเดียวกันเกิดขึ้นหรือไม่? เสร็จแล้วเราอาจจะตอบได้ว่าคนเราจำเป็นต้องสำเร็จอรหันต์ถึงจะพูดเร่องพุทธศาสนาให้คนอื่นฟังรึเปล่า

อาชีพอะไรก็ตามจะสั่งสมความเป็น "ผู้เชี่ยวชาญ" หลังจากตอนที่ทำงานเฉพาะด้านไปแล้วพักหนึ่ง แต่คำว่าผู้เชี่ยวชาญนี้ก็ยังมีเฉดความเข้มข้นที่ต่างกัน ไม่งั้นเราก็คงไม่มี subspecialty หรือ GenSurgery ก็คงไม่มีแตกหน่อเป็น Colorectal หรือ Head & Neck หรือ Oncosurgery สิ่งที่อาจจะเป็นมาตรฐานในการพิจารณาตนเองอาจจะเป็น "ความรับผิดชอบ" ต่อผู้ป่วย ไม่เพียงแต่ทำเป็นด้วยตนเองเท่านั้น แต่รวมถึงการปรึกษาคนที่เหมาะสมมาช่วยร่วมทีมการรักษาเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อคนไข้ ผมสงสัยว่า "ความมั่นใจว่าทำได้ทุกอย่าง" นั้น เมื่อเปรียบเทียบผลดีผลร้ายแล้วอะไรจะมากกว่ากัน ลองนึกถึง M&M Conference ทุกวันนี้ มีสัดส่วนเท่าไหร่ที่เกิดจาก Over-confidence สัดส่วนเท่าไหร่ที่อาจจะลดลงไปหากมีการปรับปรุงการดูแลรักษา

สำหรับคำถาม original ผมเข้าว่าหนังสือเล่มนี้ (หรือเล่มอืนไม่แน่ใจ) ยกตัวอย่างที่ดีมาประการนึง คือเมื่อไหร่ที่หมอดมยาเอาญาติพี่น้องมาฝากให้คุณดูแล นั่นพอจะนับเป็น honourable certificate ในการผ่าตัดได้ (เฉพาะการผ่าตัดนะครับ ไม่ได้พูดถึงข้างนอก) เพราะหมอดมยาทำงานร่วมกับหมอผ่าตัดหลายคน "เห็น" มาเยอะ และพอจะ Judge โดยไม่มี bias และมีข้อมูลมากพอสมควรจาก first-hand experience ถ้าจะดูข้างนอกด้วยก็คงต้องนับพยาบาล ICU กระมังที่อาจจะพอบอกได้ว่าใครดูคนไข้หนักได้อย่างจริงจัง ส่วนถ้า case ไม่หนักเท่าไหร่ ก็คงต้องถามพวก Head ward ต่างๆนั่นแหละที่จะประเมิน doctor-patient relationship (เพราะ case พวกนี้ไม่ได้เกี่ยวกับ technical เท่าไหร่ เกี่ยวกับ communication skill ซะมากกว่า)

ศัลยแพทย์ด้วยกันก็อาจจะพอบอกได้ระดับหนึ่ง แต่ sample ที่แต่ละคนมีจะไม่กว้าง จะค่อนไปทางลึกกับคนที่เคยทำงานร่วมกันมากกว่า ฉะนั้นอาจจะบอกได้ว่าใครดีไม่ดีอย่างละเอียด แต่เปรียบเทียบกับคนอื่นยาก





Posted by : Phoenix , Date : 2003-12-28 , Time : 10:13:48 , From IP : 172.29.3.213

ความคิดเห็นที่ : 10


   .......นั้นหละเห็นไหมครับ....ว่าที่ผมคิดฟังดูบ้าจริงๆ......มีคุณ Phoenix ที่เห็นด้วย....HAHAHAHA.......ผมแค่อยากจะเก่งเท่านั้นครับ.....เพราะในเรื่องการแพทย์นี้.....มีอะไรที่น่าสนใจ....น่าอ่านอีกมากมายเลยครับ.....บางเรื่องไม่เกี่ยวกับสาขาที่เรียน.....ผมอาจจะไปเจอจากหนังสือบางเล่ม....จาก Journal บางที่....ผมยังชอบเอามาอ่านเลยครับ...[จริงๆบางคนก็บอกว่าน่าจะไปอ่านหนังสือที่เกี่ยวกันมากกว่ามั้ง.....ที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้เก่งอะไรเลย].....แต่ก็นั่นหละครับ....แค่ความคิด.....ผมไม่ปฏิเสธการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นหรอกครับ....ทุกวันนี้ผมชอบที่จะปรึกษาด้วยซ้ำไปครับ....เพราะผมอยากรู้ว่าที่ผมคิด...ที่ผมอ่านมา....เป็นอย่างที่เป็นหรือเปล่า.....มันได้ความรู้และอะไรๆอีกหลายๆอย่างครับ......เฮ้อออออ......แต่ผู้รับปรึกษาบางท่านไม่ได้คิดอย่างงั้นเลย......บางท่านยังแอบบ่นดังๆให้ำด้ยินอีกว่า.....ไม่มีปัญญาดูเองหรือไง.......บางทีมันก็เจ็บใจนะครับ.......:D..:D

...ถ้าให้เลือกที่จะเป็น.....ผมอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทำได้หลายๆอย่างครับ....อาจจะไม่ถึงทุกอย่างหรอกครับ.....ไม่ได้แค่อยากจะถือมีดแล้วก็หั่นเป็น......ผมไปเรียนจากในตลาดก็ได้ครับ....ถ้าอยากได้แบบนั้น.....แถมเก่งเร็วกว่าด้วย.......:D..:D.....ก็แค่ความคิด.....ที่ฟังดูบ้าๆจริงๆด้วยนั้นหละ................................



Posted by : Death , Date : 2003-12-28 , Time : 11:37:15 , From IP : 172.29.3.144

ความคิดเห็นที่ : 11


   โห ไม่เปิดcomแค่วันเดียว discussกันเมามันขนาดนี้แล้ว

อย่างนี้ผมจะเรียกตัวผมว่าเป็น"ศัลยแพทย์"ได้หรือยังครับเนี่ย เพราะส่วนตัวผมเองนั้นคิดว่าตัวเองมีความรับผิดชอบต่อคนไข้ที่ผมดูแลนะครับ ถึงแม้ความรู้ความสามารถของผมจะไม่ได้เด็ดดวง จ๊าบไปทุกกระบวนท่าเหมือนพี่Vicrylหรือพี่ร่วมด้วยฯ แต่เรื่องความเป็นห่วงเป็นใยในคนไข้ทุกคนก็คงไม่น้อยไปกว่าพี่ทั้งสอง อะไรที่ผมไม่มั่นใจหรือคิดว่าทำเองไม่ได้ ผมก็จะไม่บันยะบันยังทำมั่วๆสั่วๆไป เพราะมันเป็นเรื่องของชีวิตคนๆนึงเชียว ผมก็จะconsult ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์หรือแพทย์สาขาอื่นเสมอๆ

เอ หรือจะมองว่า ผมยังยืนอยู่บนขาตัวเองไม่ได้เนี่ย...ไปหัดเดินก่อนดีกว่ามั๊ง...อิอิ



Posted by : กะหลั่วเป็ด , Date : 2003-12-28 , Time : 18:34:55 , From IP : 172.29.3.200

ความคิดเห็นที่ : 12


   เมื่อหลายเดือนก่อนผมค่อนข้างกังวลเพราะในกระทู้ที่ Hot มากกระทู้หนึ่ง มี Resident ท่านหนึ่งบอกว่า ถ้ามีไข้ก็ให้ Med ดูก่อน ถ้าปวดท้องมาและเป็นเพศหญิงก็ Consult OB-Gyn ก่อน เพราะความคิดเช่นนี้ ไม่แตกต่างกับช่างผ่าตัด ไม่ได้หมายความว่าเราเก่งคนเดียวนะครับ ไม่แน่ใจก็ Consult มีเสียงบ่นบ้างก็ไม่แปลก น่ายินดีครับที่วันนี้เรามี Resident ที่ต้องการมีความรู้ในหลาย ๆ สาขา

เห็นด้วยกับพี่กะหลั่วเป็ดครับ เรื่องความรับผิดชอบต่อคนไข้ ผมคิดว่าอันนี้เป็นอีกอย่างที่พอจะบอกความเป็นศัลยแพทย์ได้ เตรียมผู้ป่วยให้พร้อมก่อนผ่า ดูแลให้ดีหลังผ่า เมื่อสมัยผมเป็นเด็ก ๆ จะมีธรรมเนียมที่พี่ ๆ ปฎิบัติมาคือตามดูคนไข้ที่ตนเองผ่าจนออกจากโรงพยาบาล แม้เดี๋ยวนี้ ก็มีให้เห็นอยู่บ้าง ผมเห็น Resident บางท่านรีบกลับมาจาก Dinner ที่สงขลาเนื่องจากคนไข้ของตัวเอง GI Bleed จน Shock ถึงแม้เขาไม่ได้อยู่เวร ผมเคยเห็นพี่อีกหลายท่านเดินมาดูอาการคนไข้หรือแม้แต่นอนเฝ้าถ้าผู้ป่วยมีอาการไม่ดี อันนี้ถึงแม้เขาไม่ได้รับการรับรองจากใครเขาก็มีความเป็น ศัลยแพทย์อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว

สมัยผมเป็นเด็ก ๆ (อีกครั้ง) พี่ท่านหนึ่งสอนให้ผมดูแลคนไข้ ท่านบอกว่าโตอีกหน่อยค่อยเรียนรู้วิธืการผ่าตัด แล้วโตขึ้นไปอีกก็ต้องแม่นเรื่องเมื่อไหร่จะผ่า แต่เมื่อถึงที่สุดแล้วสิ่งที่ต้องรู้ก็คือเมื่อไหร่ไม่ต้องผ่า จะเห็นว่าวิธีการผ่าตัดเป็นนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้อีกมาก

ผมชอบจังเลย ในเรื่อง Outbreak ที่ตัวแสดงท่านหนึ่งบ่นกับตัวเองว่า "เสียทีที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ"


Posted by : Miracle , Date : 2003-12-28 , Time : 23:24:05 , From IP : 172.29.3.205

ความคิดเห็นที่ : 13


   ผมคิดว่าสำหรับคำถามตั้งต้นนี้ คำตอบน่าจะเหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นแพทย์สาขาอะไร หรือแม้แต่คำว่า "หมอ" ที่จะเรียกตนเอง ก็คงจะมีคำตอบคล้ายๆกัน

ไม่ว่าจะกำลังจะจบ board ศัลย์ Med เด้ก สูติ ฯลฯ หรือแม้แต่น้อง Intern, extern การสำรวจตนเองว่าเรา "เป็น" อย่างที่อีกไม่กี่วันกำลังจะเป็น "official" นี่ เรา "พร้อม" จริงๆรึเปล่า ทั้งความรู้ attitude อย่างที่ผมเคยสรุปไว้ในเรื่องความหมายของบัณฑิโดย generic คือ ผู้ถึงพร้อมซึ่งความรู้ การแสดงออกทางกายวาจาใจ และความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมนั้น อาชีพแพทย์และจรรยาบรรณแพทย์ "ต้องการ" สิ่งเหล่านี้ literally ตามตัวอักษรและลึกกว่านั้นอีกด้วย

ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือเลวร้ายอะไรในวงการนี้ในการที่จะสำรวจและยอมรับว่าเราพร้อมและสามารถจะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน สาขาวิชาที่มีหัตถการเยอะ อาจจะมีส่วนรับผิดชอบตรงในสิ่งผิดพลาดได้ชัดเจนกว่า (ชีวิตแขวนอยู่บน "เส้นด้าย" นั้น คนคิดน่าจะเป็นหมอศัลย์นะผมว่า) แต่ไม่ได้หมายความว่าหมออื่นๆจะไม่มีความรับผิดชอบตรงนี้ การสั่งยา สั่ง investigate right time and right way สามารถมีผลที่ dramatic และ serious ไม่แพ้การผูกเส้นเลือดหลุด การดันตับแตก หรือนิ้วซนไปโดนอะไรต่อมิอะไร (ใครเคยดึง retractor ตอนทำ brain tumour หรือ Whipple คงพอจะนึกภาพออก) ส่วนที่ต่างกันคงจะเป็นการที่ศัลยแพทย์ต้องตัดสินใจเหตุการณ์เฉพาะหน้ามากกว่า มีเวลาเป็นวินาทีหรือนาทีในการคิดและทำให้ถูก ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้การันตีผล ความ unpredictable ทั้งๆที่ทำตามหลักการทุกอย่างแล้วผลไม่ดีก็ยังเกิดอาจจะมากกว่าสาขาอื่นและเป้น Burden ที่คนเป็นศัลยแพทย์ต้องสามารถรับและเรียนรู้ (คือทั้งทน และฉวยเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเองให้ได้)



Posted by : Phoenix , Date : 2003-12-28 , Time : 23:46:25 , From IP : 172.29.3.200

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.007 seconds. <<<<<