ความคิดเห็นทั้งหมด : 5

Facebook กับการหย่าร้าง (น่าสน น่าสน)




   เว็บไซต์เครือข่ายทางสังคมชื่อดังเป็นสาเหตุหลักให้คู่รัก 1 ใน 5 ต้องแยกทางกัน
-------------------------------------------------
เว็บไซต์บริการแจ้งการหย่าร้างออนไลน์ Divorce-Online ได้เปิดเผยข้อมูลสาเหตุหลักของการหย่าร้างของคู่รักในช่วงปัจจุบันว่า 1 ใน 5 หรือกว่า 20 เปอร์เซ็นต์นั้นมีสาเหตุหลักมาจากเว็บไซต์บริการเครือข่ายสังคมชื่อดังอย่าง Facebook โดยในเรื่องนี้ตัวแทนของ Divorce-Online ได้ออกมาเปิดเผยว่ากว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของคู่รักที่ใช้บริการการหย่าออนไลน์ได้บอกสาเหตุหลักของการตัดสินใจว่ามาจากการที่พบเจอคู่รักของตนแอบสนทนาและพูดคุยกับเพื่อนที่อยู่บนเว็บไซต์เครือข่ายสังคมดังกล่าวจนแปลเปลี่ยนความสัมพันธ์จากเพื่อนมาสู่ความสัมพันธ์แบบชู้สาวจนทำให้เกิดสาเหตุของการหย่าร้างกันในที่สุด และนอกจาก Facebook แล้วยังมีรายชื่อของเว็บไซต์เครือข่ายทางสังคมอย่าง MySpace, Twitter และ Bebo ก็มีรายชื่อสาเหตุของการหย่าร้างด้วยเช่นกัน และหากนับจากผลสำรวจของคู่รักที่ใช้บริการหย่าออนไลน์ของเว็บไซต์ Divorce-Online กว่า 5000 คู่นั้นพบว่าสาเหตุของการหย่าร้างว่า 989 คู่มาจาก Facebook

http://www.pantip.com/tech/newscols/news/231209g.shtml


Posted by : อาฉี , Date : 2010-07-09 , Time : 08:09:31 , From IP : 172.29.16.228

ความคิดเห็นที่ : 1


   
ทุกวันนี้ ปริมาณการใช้ Internet คณะแพทย์ฯ ประมาณ 35% เป็น Facebook นศพ. และ บุคลากรคณะแพทย์ฯ มีโอกาส หย่าร้างสูงขึ้น กี่ % ครับ


Posted by : garnet , Date : 2010-07-09 , Time : 08:55:36 , From IP : 172.29.1.74

ความคิดเห็นที่ : 2


   

Posted by : garnet , Date : 2010-07-09 , Time : 08:56:15 , From IP : 172.29.1.74

ความคิดเห็นที่ : 3




   5555555555555 ในคณะแพทย์เรามีแน่ๆ ผมก็โดนมาแล้วครับท่าน(โดนด่า)

Posted by : hp40 , Date : 2010-07-09 , Time : 09:25:53 , From IP : 172.29.11.174

ความคิดเห็นที่ : 4


   
เป็นกำลังใจให้ทุกการใช้งานอย่างสร้างสรรค์คัรบ

ส่วนปัญหาสังคมไทย ล้วนมากจากหลายสาเหตุ แต่สิ่งปัจจัยต่างๆ รอบตัวกลับเป็นจำเลยสังคม รวมทั้ง Facebook ด้วย ทั้งที่แท้จริง ต้นตอ ปัญหาเกิดมาจากความไม่พอ กับความไม่เข้าใจตัวตน และอื่นๆ ที่ส่งผลให้การใช้เครื่องมือรอบตััวกลายมาเป็นตัวแร่ง ตัวกระตุ้นทางจิตสำนึกของจิตใจ

ง่ายๆ คืิอ มีด ก็คือมีด ใช้ทำครัว ก็คือเป็นประโยชน์ในการหันผัก แต่เอาไปแทงคนเมื่อไหร่ มีดหันผักก็กลายเป้นอาวุธไปทันที

นั้นละ สาเหตุไม่ได้เกิดจากมีด แต่เกิดจากจิตสำนึกคนถือมีด นั้นละ แล้วจะแก้ที่ ลบคมมีด ที่หันผักได้รวดเร็ว บางฉียบ หรือ จะแก้ที่จิตสำนึกคนถือมีด ว่าอะไรควรหัน และไม่ควรหัน ....

เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ในการนำมาพัฒนาในด้านต่างๆ ที่เื้อื้อประโยชน์มากมายมหาสาร เพียงแต่การพัฒนาเทคโนโลยี มันสวนทางกับการพัฒนาทางจิตใจผู้ใช้เทคโนโลยี เหล่านี้ก็เลยกลายเป็นปัญหาที่ตามมาโดยที่การแก้ไข ไม่ตรงจุดตรงประเด็น แก้อย่างไร แก้ยังไงก็ไม่หมด

สุดท้าย ยังสนับสนุนและมองเป็นความสำคัญของเทคโนโลยีในวันนี้และจะตามมาในวันหน้า ครับ ถามตัวเองก่อน ว่าใช้เวลาฟังธรรมะ พาลูกไปวัดทำบุญครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ กราบไหว้พ่อแม่ ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ บอกรักคนรัก ล่าสุดเมื่อไหร่ แล้วค่อยมาดูอีกที ว่า Facebook มันดีหรือไม่ดี ...

ขอบคุณครับ
ptom

ปล. บทความนี้เป็นความเห็นส่วนบุคคล โปรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ



Posted by : ptom , E-mail : (suriya.k@psu.ac.th) ,
Date : 2010-07-09 , Time : 12:02:13 , From IP : rx200.pharmacy.psu.ac.th


ความคิดเห็นที่ : 5


   **** ขอแก้ตัวแก้คำผิดนะครับ เพราะเยอะจัด 5555+*****

เป็นกำลัง ใจให้ทุกการใช้งานอย่างสร้างสรรค์ครับ

ปัญหาสังคมไทย ล้วนมากจากหลายสาเหตุ แต่สิ่งปัจจัยต่างๆ รอบตัวกลับเป็นจำเลยสังคม รวมทั้ง Facebook ด้วย ทั้งที่แท้จริง ต้นตอ ปัญหาเกิดมาจากความไม่พอ กับความไม่เข้าใจตัวตน และอื่นๆ ที่ส่งผลให้การใช้เครื่องมือรอบตัว กลายมาเป็นตัวเร่ง ตัวกระตุ้นทางจิตสำนึกของจิตใจ

ง่ายๆ เช่น มีดก็คือมีด ใช้ทำครัว ก็คือเป็นประโยชน์ในการหั่นผัก แต่ถ้าเอาไปแทงคนเมื่อไหร่ มีดหั่นผักก็กลายเป็นอาวุธไปในทันที

นั้นละ สาเหตุไม่ได้เกิดจากมีด แต่เกิดจากจิตสำนึกคนถือมีดนั้นละ แล้วจะมาแก้โดยการ "ลบ" คมมีด ที่หันผักได้รวดเร็ว บางเฉียบ!! หรือ จะแก้ที่จิตสำนึกคนถือมีด ว่า "อะไรควรหัน และไม่ควรหัน ...."

เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ในการนำมาพัฒนาในด้านต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์มากมายมหาศาล เพียงแต่การพัฒนาเทคโนโลยี กลับสวนทางกับการพัฒนาทางจิตใจผู้ใช้เทคโนโลยี... เหล่านี้จึงกลายเป็นปัญหาที่ตามมาโดยที่การแก้ไขไม่ตรงจุดตรงประเด็น แก้อย่างไร แก้ยังไงก็ไม่หมด

สุดท้ายยังขอสนับสนุนและมองความสำคัญของเทคโนโลยีในวันนี้และที่จะตามมาในวันหน้าครับ ถามตัวเองก่อนว่า "ใช้เวลาฟังธรรมะบ้างหรือไม่? พาลูกไปวัดทำบุญครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? กราบไหว้พ่อแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? บอกรักคนรักล่าสุดเมื่อไหร่? แล้วค่อยมาดูอีกที ว่า Facebook มันดีหรือไม่ดี ... !!!!

ขอบคุณครับ
ptom

ปล. บทความนี้เป็นความเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ


Posted by : ptom , E-mail : (suriya.k@psu.ac.th) ,
Date : 2010-07-09 , Time : 12:12:25 , From IP : rx200.pharmacy.psu.ac.th


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.005 seconds. <<<<<