> >>ซึ่งเป็นแขกด้วยกันเข้าไปไล่ช้อนซื้อหุ้น >> >>ที่สุดหางของบริษัทตาต้า กรุ๊ป ก็โผล่ >> >>คือเอาหุ้นไปผ่องถ่ายให้ สิงคโปร์แอร์ไลน์ >> >>เป็นยังไงครับ >> >>กว่าแขกจะรู้ทันสิงคโปร์หุ้นของแอร์อินเดียก็โดนช้อนซื้อไปไว้ >> >>ในมือเพื่อนแล้ว ถึง 40% อย่าคิดว่าจะโดนเฉพาะอินเดีย >> >>สายการบินจีนก็โดนเหมือนกัน เงินของการขายรัฐวิสาหกิจ >> >> >> >> >>ไม่ว่าที่อินเดียหรือจีนสุดท้ายไปนอนอยู่ในกระเป๋าของนักการเมืองขายชาติ >> >>ที่เข้ามาเพื่อหา ลู่ทางตักตวงธุรกิจให้กับ >> >>กลุ่มบริษัทในเครือของตัวเอง >> >>การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเดิมมีทรัพย์สินเป็นแสนล้าน >> >>เป็นสมบัติ ของคนไทยทุกคน เผลอแผล็บเดียว ตอนนี้จะถูกขาย >> >>และจะกลายเป็น สมบัติของคนไทยส่วนน้อยและต่างชาติจํานวนหนึ่ง >> >>ในอนาคต หุ้นของ รัฐวิสาหกิจอย่างนี้ >> >>ก็จะถูกผ่องถ่ายขายไปให้กับบริษัทต่างชาติอีกต่อหนึ่ง >> >>สิงคโปร์กลัวว่า >> >>ถ้าปล่อยให้บริษัทนํ้ามันของไทยโตวันหนึ่งข้างหน้า >> >> >>ประเทศไทยอาจจะกุมคุมการกลั่นและกลายเป็นมหาอํานาจนํ้ามันในภูมิภาคนี้ก็ได้ >> >>ทางที่ดีคือซื้อกิจการของไทยไว้ก่อน >> >>ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว ตัวแรกก็คือ >> >>ได้กําไรจากธุรกิจที่คนไทยเอาไปประเคนขายให้ >> >>นกตัวที่สองก็ คือ ควบคุมประเทศไทยให้อยู่หมัด >> >>โดยซื้อกิจการทางโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลาย >> >>ไม่ว่า นํ้า น้ำามัน ไฟฟ้า ดอกเบี้ยไว้ในอุ้งเท้าให้ได้ >> >>ใครได้ศึกษาวิธีการที่หน่วยงานของรัฐบาลสิงคโปร์ >> >>ซึ่งตั้งโดยนายลี กวน ยิว >> >>เข้าไปเขมือบธนาคารเซ็นทรัลเอเชีย (บีซีเอ) ของอินโดนีเซีย >> >>เขมือบบริษัทแอสตราอินเตอร์เนชั่นแนล >>ซึ่งเป็นของอินโดนีเซียเหมือนกัน >> >>ศึกษาแล้วก็จะรู้... รู้...แล้วก็จะบรื๋อสสส...หนาว. >> >> >> >>นิติภูมิ นวรัตน์ >> >> >> >>กรุณาส่งต่อให้พี่น้องชาวไทยที่คุณรู้จัก >> >>ให้รู้สึกสำนึกหวงแหนสมบัติของชาติ >> >>และต่อต้านพวกขายชาติด้วยครับ > " />คนไทยควรรับรู้ด่วน

ความคิดเห็นทั้งหมด : 5

คนไทยควรรับรู้ด่วน


   รายงานข่าวที่มีมาถึงนิติภูมิตรงกันหลายสายว่า
>> >>นายธนาคารใหญ่อันดับต้นของคนไทย ต้องบินไปสิงคโปร์ทุก 2 เดือน

>> >>เพื่อไปรายงานผลประกอบการของธนาคารให้อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ฟัง

>> >>เขียนตรง ไปตรงมาดีกว่า

>> >>คือนายธนาคารผู้นี้ต้องไปเล่าให้นายลี กวน ยิว

>> >>และบรรษัทเพื่อการลงทุนของสิงคโปร์ (GIC) ฟังว่า

>> >>กิจการธนาคารที่ท่านดูแลอยู่นั้น ขณะนี้มีความ

>> >>เคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง? สมบัติที่พ่อตัวเองสร้างไว้นั้น

>> >>ตอนนี้ทั้งธนาคารตัวเองเหลือหุ้นอยู่เพียงประมาณ 6%

>> >>เป็นหุ้นของสิงคโปร์ทั้งแบบสว่างทั้งแบบมืดที่มีคนมาถือแทนมากกว่า

>> >>

>> >>สิงคโปร์ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนประเทศอื่น

>> >>จึงพยายามเร่งสร้างคนและเข้าไปใช้ฐานในประเทศอื่น

>>

>> >>ด้วยการเข้าไปซื้อกิจการที่รัฐบาลลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานเอาไว้แล้วไม่ว่าถนนหนทาง

>> >>ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ฯลฯ

>>

>> >>สิงคโปร์ไม่ได้ลงทุนในโครงสร้างเหล่านี้สักสลึงเดียวแต่ได้ประโยชน์สูงสุดจากโครงสร้างดังกล่าว

>> >>ด้วยการเข้าไปซื้อกิจการและ ประกอบการในประเทศนั้นๆ

>> >>นักการเมืองไทยชุดนี้บางคนพยายามขายกิจการของรัฐ

>> >>คือพยายามแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็น ของเอกชน

>> >>โดยหลอกบอกคนไทยทั่วไปว่า

>> >>สมบัติรัฐเป็นแสนๆล้านบาทเหล่านี้ ถึงแม้จะแปรรูป

>> >>ไปก็ขายให้ประชาชนคนไทยนั่นแหละ

>> >>

>>

>> >>แต่เบื้องหลังคือแอบล็อกหุ้นไว้ให้พวกพ้องอยู่ในมือคนไทยกลุ่มน้อยนี้ไม่นานก็จะ

>> >>มีการโอนย้ายถ่ายเทไปอยู่ในมือของคนต่างชาติ

>> >>ทั้งแบบถือตรงๆ และแบบที่มีการถือแทนวิธีการอย่างนี้

>> >>

>>

>> >>สิงคโปร์เคยทํากับวิสาหกิจของนิวซีแลนด์มาก่อนก็สายการบินแอร์นิวซีแลนด์นั่นแหละ

>> >>มีอยู่ห้วงช่วงหนึ่งสายการบินนี้โตเร็วมีฐานะมั่นคง

>> >>ต่อมาก็มี *นิวซีแลนด์ขายชาติ

>> >>เมื่อมีอํานาจทางการเมืองแล้ว ก็พยายามพูดร้าย เพื่อกดให้

>>ราคาหุ้นตก

>> >>จากนั้นก็ให้พรรคพวกช้อนซื้อหุ้นที่ราคาสุดตํ่าเอาไว้

>> >>

>>

>> >>สุดท้ายหุ้นสายการบินแอร์นิวซีแลนด์ก็ถูกโอนถ่ายขายต่อไปให้บริษัทสิงคโปร์แอร์ไลน์

>> >>ในครั้งแรกโดนซื้อไป 8.3% หรือ 70.4 ล้านดอลลาร์

>> >>อินเดียก็โดนเหมือนกัน

>> >>สิงคโปร์ใช้นักการเมืองอินเดียขายชาติบางคน ไปพูดในทางร้าย

>> >>

>>

>> >>ทําให้หุ้นแอร์อินเดียตํ่าสุดเป็นประวัติการณ์จากนั้นก็ใช้บริษัทอินเดียที่ชื่อว่า

>> >>"ตาต้า กรุ๊ป"

>> >>ซึ่งเป็นแขกด้วยกันเข้าไปไล่ช้อนซื้อหุ้น

>> >>ที่สุดหางของบริษัทตาต้า กรุ๊ป ก็โผล่

>> >>คือเอาหุ้นไปผ่องถ่ายให้ สิงคโปร์แอร์ไลน์

>> >>เป็นยังไงครับ

>> >>กว่าแขกจะรู้ทันสิงคโปร์หุ้นของแอร์อินเดียก็โดนช้อนซื้อไปไว้

>> >>ในมือเพื่อนแล้ว ถึง 40% อย่าคิดว่าจะโดนเฉพาะอินเดีย

>> >>สายการบินจีนก็โดนเหมือนกัน เงินของการขายรัฐวิสาหกิจ

>> >>

>>

>> >>ไม่ว่าที่อินเดียหรือจีนสุดท้ายไปนอนอยู่ในกระเป๋าของนักการเมืองขายชาติ

>> >>ที่เข้ามาเพื่อหา ลู่ทางตักตวงธุรกิจให้กับ

>> >>กลุ่มบริษัทในเครือของตัวเอง

>> >>การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเดิมมีทรัพย์สินเป็นแสนล้าน

>> >>เป็นสมบัติ ของคนไทยทุกคน เผลอแผล็บเดียว ตอนนี้จะถูกขาย

>> >>และจะกลายเป็น สมบัติของคนไทยส่วนน้อยและต่างชาติจํานวนหนึ่ง

>> >>ในอนาคต หุ้นของ รัฐวิสาหกิจอย่างนี้

>> >>ก็จะถูกผ่องถ่ายขายไปให้กับบริษัทต่างชาติอีกต่อหนึ่ง

>> >>สิงคโปร์กลัวว่า

>> >>ถ้าปล่อยให้บริษัทนํ้ามันของไทยโตวันหนึ่งข้างหน้า

>>

>> >>ประเทศไทยอาจจะกุมคุมการกลั่นและกลายเป็นมหาอํานาจนํ้ามันในภูมิภาคนี้ก็ได้

>> >>ทางที่ดีคือซื้อกิจการของไทยไว้ก่อน

>> >>ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว ตัวแรกก็คือ

>> >>ได้กําไรจากธุรกิจที่คนไทยเอาไปประเคนขายให้

>> >>นกตัวที่สองก็ คือ ควบคุมประเทศไทยให้อยู่หมัด

>> >>โดยซื้อกิจการทางโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลาย

>> >>ไม่ว่า นํ้า น้ำามัน ไฟฟ้า ดอกเบี้ยไว้ในอุ้งเท้าให้ได้

>> >>ใครได้ศึกษาวิธีการที่หน่วยงานของรัฐบาลสิงคโปร์

>> >>ซึ่งตั้งโดยนายลี กวน ยิว

>> >>เข้าไปเขมือบธนาคารเซ็นทรัลเอเชีย (บีซีเอ) ของอินโดนีเซีย

>> >>เขมือบบริษัทแอสตราอินเตอร์เนชั่นแนล

>>ซึ่งเป็นของอินโดนีเซียเหมือนกัน

>> >>ศึกษาแล้วก็จะรู้... รู้...แล้วก็จะบรื๋อสสส...หนาว.

>> >>

>> >>นิติภูมิ นวรัตน์

>> >>

>> >>กรุณาส่งต่อให้พี่น้องชาวไทยที่คุณรู้จัก

>> >>ให้รู้สึกสำนึกหวงแหนสมบัติของชาติ

>> >>และต่อต้านพวกขายชาติด้วยครับ

>



Posted by : I COME , Date : 2003-03-22 , Time : 13:19:24 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 1


   เคย post มาแล้ว หลายที่ หลายครา จะรู้ได้อย่างไรว่าจริง เรื่องให้คนไทยสำนึก
ในสิ่งต่างๆนั้นเห็นด้วย แต่เอาชื่อประเทศเขามาว่าถ้าไม่จริงจะไม่ดี


Posted by : คนเคยอ่าน , Date : 2003-03-24 , Time : 13:15:31 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 2


   เขาเขียนลงหนังสือพิมพ์หลายเดือนแล้ว
ข้อมูลจะจริงหรือไม่ ไม่รู้ รู้แต่ว่าเรื่องไม่ดีๆของโลกนี้ มีเยอะ


Posted by : ArLim , Date : 2003-03-24 , Time : 20:54:22 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 3


   ผมไม่ทราบกลวิธีการสืบหาคนขายชาติในแต่ละประเทศทำอย่างไรหรอกนะครับ แต่ที่แน่ๆคือการเขียนว่ามีคนขายชาติอยู่ชาตินั้นชาตินี้ทำได้ง่ายกว่าการสืบสวนสอบสวนเยอะ

ผมเห็นด้วยกับคุณ "คนเคยอ่าน" อยู่อย่างหนึ่งที่ว่า เราน่าจะได้ผลดีกว่าในการปลุกระดมความรักชาติโดย positive reinforcement มากกว่าการโจมตีชาติอื่นๆ การประกาศนโยบายของชาติใดชาติหนึ่งว่ารัฐบาลนั้นๆเลวสุดฤทธิ์สุดเดชนั้นเราไม่ใคร่เห็นชอบด้วยเท่าไรนัก (มีใครเห็นชอบกับ America เรื่องรัฐบาลซัดดัมเลวสุดๆ โดยหลักฐานที่มีอยู่ ยกมือขึ้น?)

เมื่อไรก็ตามที่คำพูดหลุดออกจากปากเราไป และมีคนได้ยิน เราจะต้องรับผิดชอบในข้อมูลนั้นๆว่าๆได้มีการสอบสวนหรือมีเหตุผลว่าเป็นเรื่องจริงอยู่ระดับหนึ่ง จริงอยู่การ "เขาเล่าว่า" หรือ "เขาบอกต่อกันมา" อาจจะทำให้เกิด sense of not-responsible ขึ้นมา แต่พวกเราคงจะเคยได้ยินเกม "นินทา" ที่ให้ผู้เล่นกระซิบต่อๆกันหลายๆคน แล้วดูว่าต้นเรื่องกับปลายเรื่องต่างกันแค่ไหน ในอดีตมีงลี knowledge is power ในปัจจุบันอาจจะดัดแปลงเป็น information is power และโชคไม่ดีที่ power นี้อาจจะถูก abuse ได้ง่ายโดยการให้ข้อมูลที่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง



Posted by : Phoenix , Date : 2003-03-24 , Time : 21:35:35 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 4


   เราคงต้องยอมรับความเป็นจริงกันละครับที่ว่าโลกเรานั้นประกอบไปด้วยคนดีและคนชั่วปะปนกันไป ในคนหนึ่งคนก็มีดีเลวประกอบกันอยู่ เพียงแต่คน ๆ นั้นจะระงับกิเลศได้มากน้อยแค่ไหนได้มากก็ดีไป ได้น้อยก็เลวไป

โดยเฉพาะการก้าวขึ้นสู่ความมีอำนาจในปัจจุบันนั้น หายากที่จะมาด้วยความขาวสะอาดหรือความศรัทธาของประชาชนที่มีให้ พรรคการเมืองหนึ่งพรรคอย่างน้อย ๆ ต้องมีเงินสนับสนุนจากองค์กรธรุกิจ ไม่งั้นคงจะหาทุนมาดำเนินการไม่ได้ แหละเมื่อพูดถึงคำว่าธุรกิจ ก็หนีไม่พ้นจากการที่ต้องได้มาซึ่งผลประโยชน์ตอบแทน จะด้วยวิธีการใด ๆ นั้นคงไม่ขอกล่าวถึง จึงไม่แปลกที่เรื่องคอรัปชั่นจะมีอยู่ทุกหย่อมหญ้าในโลกนี้ เพียงแต่ที่ไหนจะเห็นประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติมากกว่าที่นั้นก็จะมีการคอรับชั่นน้อยกว่า ด้วยเหตุนี้ความที่องค์กรธุรกิจกับระบบการเมืองนั้นเอื้อประโยชน์ต่อกัน ทำให้เกิดการค้ำจุนซึงกันและกันต่อไปไม่จบสิ้นเพราะหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มอีกฝ่ายก้อต้องประสบปัญหา (แต่ส่วนใหญ่ฝ่ายการเมืองจะตายก่อน)

เรื่องคนขายชาติจึงเป็นเรื่องจริงที่มีอยู่ เพียงแต่หาหลักฐานยากเพราะส่วนใหญ่จะโดนข้าราชการประจำที่ร่วมก๊วนด้วยก่อน (สาวไม่ถึง) การแก้ไขจึงต้องแก้ที่ต้นเหตุที่ต้องสอนให้เยาวชนองเราเห็นต่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน แก้ไขระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันที่มีจุดบกพร่องหลาย ๆ จุด

อีกความจริงที่อยากให้ตระหนักนั้นคือ สงครามปัจจุบันนั้นเราคงไม่สามารถมองแค่การใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ มาฟาดฟันกันเท่านั้น แต่การชิงความได้เปรียบทางธุรกิจนี่สิคือสงครามที่แท้จริงและกำลังดำเนินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน การรู้ไม่เท่าทันหรือรู้แล้วแต่ไม่สนใจย่อมส่งผลกระทบต่อตัวเราเองทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะนั้นคือการลุกคืบของทุนต่างชาติที่จะเข้ามามีอำนาจต่อการกำหนดวิถีชีวิตประจำวันของเรา วันนี้ยังอาจไม่เห็นผลชัดนัก แต่หากเรายังปล่อยไปให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยไม่ตระหนักว่ามันคือหน้าที่ของเราทุกคน วันหน้าเราอาจจะต้องกระหมิดกระเหมี้ยนใช้น้ำปะปาหรือไฟฟ้าให้น้อยลงเพราะราคาแพงหูฉี่ (อาจจะดีเพราะช่วยลดการเกิดมลพิษ) ถนนคุณอาจต้องขับอ้อมเพราะทางหลักถูกขายให้ธุรกิจต่างชาติถ้าจะวิ่งต้องจ่ายค่าธรรมเนียม นี่เป็นตัวอย่างคราว ๆ ที่เราคงไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับประเทศอันเป็นที่รักของเรา หากไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น วิธีเริ่มง่าย ๆ ก็คือจงภูมิใจในความเป็นไทย อย่าดูถูกสินค้าไทย เพราะ ที่ติด Brand ดัง ๆ หลาย ๆ ชิ้นก็ผลิตในไทยทั้งนั้น พยายามใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศให้มาก ๆ แค่นี้คุณก็มีส่วนช่วยได้แล้ว


Posted by : Mercury , Date : 2003-03-26 , Time : 12:30:34 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 5


   เราน่าจะทำวิจัยเพื่อประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อสืบค้นคนขายชาดิแนะ!
เพราะกลุ่มเป้าหมาย (sample population) ก็มีชัด หาไม่ยาก
มากกว่า 30 เพราะทั้งสภาก็ประมาณ 300 กว่าคน
ถือว่าทำกับประชากรจริงก็ว่าได้

ใครสนใจทำบอกด้วย จะขอร่วมด้วยคน
ข้อมูลจะได้เป็น evidence base


Posted by : Bulls , Date : 2003-03-27 , Time : 09:22:08 , From IP :

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.029 seconds. <<<<<