ความคิดเห็นทั้งหมด : 3

Fwd: เสริม สาครราษฎร์


   เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ นำตัวนายเสริม สาครราษฎร์ ผู้ต้องหาที่ก่อคดีฆ่าชำแหละ
ศพ
น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี แฟนสาว กลับออกศาลอา-ารัชดา
หลังจากฟังคำพิพากษาศาลฎีกา สั่งลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
ผมต้องการเล่าเรื่องบางเรื่องให้ฟัง...
(มิใช่เพื่อแก้ตัว หรือขอความเห็นใจใด ๆ แค่อยากให้คุณมี "มุมมองอีกมุม
หนึ่ง"
เกี่ยวกับผู้ชายคนที่ชื่อ เสริม สาครราษฎร์ เท่านั้น) เรื่องมีอยู่ว่า ...

ผมเป็นอีกคนที่รู้จักกับคุณแม่ของ "เสริม สาครราษฎร์"
ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวที่ถือว่ามีฐานะดี เงินอาจจะไม่มีมากมายอะไร
แต่รวยที่ดิน...

ผมเห็นเขามาตั้งแต่เด็ก ชีวิตของเขาน่าสงสาร
เขาเป็นเด็กที่เก็บกดมาก ๆ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา
และบางครั้งเขาเงีบยจนดูน่ากลัว
(เป็นความเห็นส่วนตัวนะ เพราะเขาเงียบ แต่ดูท่าทางคิดอะไรอยู่ตลอด)
เหตุก็เนื่องมาจาก...
พ่อของเขาเป็นคนที่เข้มงวด และเผด็จการมาก
บังคับลูกทุกอย่าง แม้แต่แม่ของเขาก็ไม่สามารถมีปากมีเสียงได้

ไม่ว่ามีเรื่องอะไร เขาจะเล่าให้แม่เขาฟัง ทำให้เขาสนิทกับแม่
และแม่ของเขาก็โอ๋เขามากเช่นกัน (เป็นเพราะสงสารลูกที่ถูกพ่อบังคับ
และตีมาตลอด)

เขาเป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก
เพราะพอเรียนจากโรงเรียนเสร็จมาก็จะต้องไปเรียนกวดวิชาต่อ จนค่ำมืดดึกดื่น
(เป็นแบบนี้ทุกวัน)

ตั้งแต่เรียนหนังสือมา เขาเรียนได้ที่ 1 มาตลอด
รางวัลเรียนดีอะไรต่ออะไรเต็มบ้านไปหมด แต่ดูเป็นคนไม่มีสังคม ไม่มีเพื่อน
เพราะแม่ของเขาบ่นให้ผมฟังว่า... เขาไม่เคยพูดถึงเพื่อนเขาให้ฟังเลย

ครั้นพอเขาเรียนจบมัธยม (เขาเรียนจบเร็วมาก เพราะเขาสอบเทียบหลายปี)
เขาอยากเรียนวิศวะ แต่พ่อต้องการให้เรียนหมอ เขาก็ไม่เคยเถียงหรือพูดอะไร
แต่พอถึงตอนเอ็นท์ฯ เขาก็ "ขัดใจ" พ่อ โดยการใส่ชื่อคณะวิศวะ
ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง "อันดับเดียว" (ในสมัยนั้นเขาให้เลือกได้ 4
อันดับ)

ผลออกมาก็คือ เขาติดคณะวิศวะสมใจเขา แต่พ่อเขาโกธรมาก และก็ไม่ยอมให้ไป
เรียน
บอกว่าให้รอปีหน้าแล้วเอ็นท์ฯใหม่ ระหว่างนั้นก็ทั้งด่า ตี ต่าง ๆ นานา
พอแม่เข้ามาช่วย แม่ก็พลอยโดนลูกหลงเข้าไปด้วย
(คุณเชื่อไหมว่า... พ่อของเขาทั้งด่า และตีเขา "ทุกวัน" ...ทุกวันนะคุณ
ตอนแม่เขาเล่าให้ผมฟัง ผมยังตกใจเลย)

สุดท้าย... แม่เขาสงสารลูก ทนไม่ไหว จึงแอบส่งลูกไปเรียนมหาวิทยาลัยที่สอบ
ติด
และแอบส่งเงินให้ทุกเดือน
ส่วนพอเข้าใจว่า ลูกหนีออกจากบ้าน ทำให้ประกาศลั่นตัดพ่อตัดลูก

เสริมเรียนเก่งมาก เพราะเขาสามารถจบวิศวะโดยใช้เวลาแค่ 2 ปีครึ่งเท่านั้น
!!!
(เรื่องจริงนะ)

พอเขาเรียนจบเขาก็กลับบ้านมาด้วยความภูมิใจ หวังจะให้แม่ภูมิใจ
และจะกลับมาดูพ่อด้วยว่า พ่อใกล้ตายหรือยัง? (คำนี้..
ผมได้ยินจากปากเขาเลยนะ)
เพราะระหว่างที่เรียนอยู่
แม่เขาจะส่งข่าวมาตลอดว่าพ่อป่วยหนักเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย (เพิ่งตรวจพบ)
ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ เพราะเขา "เกลียด" พ่อ
(คงต้องใช้คำนี้นะ เพราะแม่เขาเล่าให้ฟังแบบนี้)

พอกลับมาที่บ้าน นอกจากพ่อจะไม่ภูมิใจแล้ว พ่อยังด่าทอต่อว่าต่าง ๆ นานา
(แต่ไม่มีปั--าจะลุกขึ้นมาตีลูกอีกเพราะป่วยหนัก)

แม่ของเขาเล่าให้เขาฟังว่า... พ่อบ่นและเพ้อออกมาตอนป่วยว่า
อยากให้เขาเรียนหมอ อยากให้เขาเป็นหมอ
แม่เขาจึง "ขอร้อง" ให้เขาเรียนหมอ โดยให้ถือซะว่าทำเพื่อแม่
(ไม่ต้องคิดว่าทำเพื่อพ่อ เพราะเขาเกลียดพ่อ คงไม่ทำเพื่อพ่ออยู่แล้ว)

แม่ของเขาขอร้องให้เขาเรียนหมออีกครั้งอยู่นาน
(เพราะต้องการจะทำความหวังของสามีให้เป็นจริงก่อนที่สามีจะตาย)
แม่ของเขาถึงขนาด ร้องหม่ร้องไห้ทุกวัน ไม่กินข้าวกินปลา จนเขาทนไม่ไหว
ด้วยความที่รักแม่ จึงรับปากว่า เขาจะเอ็นท์ฯ และเรียนหมออีกครั้ง
"เพื่อแม่"...
(ขณะที่เขาเรียนจบวิศวะมา เขาอายุไม่มากเลย เพราะทั้งสอบเทียบ
และเรียนจบมาเร็ว)

โดยเลือก คณะแพทย์ศาสตร์อันดับเดียวเหมือนเดิม
ผลออกมาก็คือ เอ็นท์ฯติดตามระเบียบ แต่พ่อของเขาไม่สามารถที่จะอยู่เพื่อ
เห็น
"ความสำเร็จ และสิ่งที่บังคับ" อยากให้ลูกเป็นมาตลอดได้
เพราะหลังจากที่เขาเข้าเรียนได้ไม่กี่เดือน "พ่อเขาก็เสียชีวิต"...

เหตุการณ์หลังจากนั้น คงไม่ต้องให้ผมเล่า
เพราะมันก็เป็นเหมือนอย่างที่ทุกคนเห็น ๆ กันอยู่...

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ จะโทษใครดี
- โทษตัวเขา
ที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ
- โทษพ่อเขา ที่กดดัน
เข้มงวด ดุด่า และตีเขามาตลอด จนกลายเป็นคนเก็บกด
- โทษแม่เขา ที่สงสารลูก
ตามใจลูก เนื่องมาจากสงสารลูกที่ถูกพ่อตี
และบังคับทุกอย่าง

*** ที่ผมตัดสินเล่าเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ก็เนื่องมาจาก...
อยากให้ทุกคนที่ได้อ่านข้อความนี้ ได้มีมุมมองอีกมุมนึง สำหรับผู้ชายที่
ชื่อ
เสริม สาครราษฎร์

*** ไม่ได้หวังที่จะเล่าเพื่อขอความเห็นใจ หรือแก้ตัวให้เขาแต่อย่างใด
เพราะเมื่อเขาทำผิด เขาก็ต้องได้รับโทษ
เพียงแต่ต้องการเสนอมุมมองต่างมุมที่บางคน (ผมคิดว่าคนส่วนให-่นะ) ไม่ทราบ
ได้รับรู้ว่า "เด็กคนนี้ เป็นเด็กที่น่าสงสารมาตั้งแต่เด็กแล้ว"
เท่านั้นเอง...

(ลืมบอกไปว่า เรื่องทั้งหมดนี้ บางอย่างผมก็เห็นเอง
บางอย่างแม่ของเขาเล่าให้ผมฟังเอง เพราะผมค่อนข้างจะสนิทกับครอบครัวนี้มาก


Posted by : ปีศาจลูกหมี , Date : 2003-11-11 , Time : 18:14:35 , From IP : 172.29.2.127

ความคิดเห็นที่ : 1


    ผมขออนุญาติแสดงความคิดเห็นครับ ต้องขอบคุณ คุณปีศาจลูกหมีครับที่เล่าเรื่องให้อ่าน ผมคิดว่าสถาบันครอบครัวเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการอบรมหรือพัฒนาจิตใจเด็กๆครับ เรามีหลายตัวอย่างแล้วที่พอเราทราบถึงครอบครัวก็พอจะเดาได้เลยว่าเหตุใดเด็กจึงเป็นอย่างที่เราเห็น หากพื้นฐานทางครอบครัวดีเราคงทำนายได้ว่าเด็กน่าจะไม่มีหรือมีปัญหาน้อย พื้นฐานทางครอบครัวที่ดีคงมีหลายปัจจัยด้วยกันครับได้แก่ กาย จิต และวิญญาณ และอาจรวามถึงการอยู่ร่วมกันในสังคม การแก้ป้ญหา หรือ EQ และอาจมีอีกหลาบอย่างครับ อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าเราสูญเสียทรัพยากรทางมนุษย์ที่สำคัญของประเทศชาติไปพร้อมๆกันถึงสองคนครับ

Posted by : free bird , Date : 2003-11-14 , Time : 08:16:15 , From IP : 172.29.1.146

ความคิดเห็นที่ : 2


   แล้วอย่างกรณีหมอวิสุทธิ์ล่ะ

Posted by : little voice , Date : 2003-11-20 , Time : 23:12:19 , From IP : 192.168.33.150

ความคิดเห็นที่ : 3


   แล้วมานผ่านสำภาสไปงัยฟระ

Posted by : Neo X , Date : 2003-12-06 , Time : 04:25:34 , From IP : 203.113.77.73

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.008 seconds. <<<<<