ความคิดเห็นทั้งหมด : 3

ของเส้น ร้อนๆจ้า 18+++




   ประวัติบะหมีสำเร็จรูป

คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

ความง่าย อร่อย และราคาถูก ทำให้ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุด จนอาจจะพูดได้ว่า

"ทุกวันนี้อาหารที่คนทั่วโลกรับประทานมากที่สุดคือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป" ก็คงไม่ผิดจากความเป็นจริงเท่าไหร่

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีต้นกำเนิดมาจาก ประเทศญี่ปุ่น โดยนาย อันโด โมโมฟุกุ ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัท นิชชิน

วันที่ 25 สิงหาคน ปี 1958

(51 ปีมาแล้ว โอ้วววว 18+)

ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นประสบกับปัญหาข้าวยากหมากแพง

ทำให้ชาวญี่ปุ่นต้องทานแต่อาหารที่ราคาถูกและสะดวกในการทำหรือหาทานซึ่งก็คือ ราเมน

วันหนึ่งของฤดูหนาวในโอซาก้า นาย อันโด ได้เห็นสภาพของชาวญี่ปุ่นที่ยืนเข้าแถวยาวเหยียด

เพียงเพื่อรอทานราเมนแค่ 1 ชาม เพื่อเป็นอาหารคลายหนาว

ทำให้นายอันโดได้พยายามคิดค้น ราเมนที่สามารถทำทานเองที่บ้านเก็บไว้ได้นานและราคาถูก ขึ้นมา

จนในที่สุดก็ได้ "ชิกิ้นราเมน" ขึ้นมา

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในตอนแรก ทำโดยนำเส้นราเมนที่ได้จากผสมกับน้ำซุปกระดูกไก่(โทริคะระ)

ทอดในน้ำมันปาล์มเพื่อไล่ความชื้นออกไป ทำให้เก็บไว้ได้นานและแค่เพียงเติมน้ำร้อน

เส้นก็จะคืนสภาพเดิมสามารถกินได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเติมเลย เพราะว่าเส้นผสมกับน้ำซุปกระดูกไก่แล้ว

ในปัจุบัน ชิกิ้นราเมน ก็ยังเป็นรสที่ขายดี ที่ยังคงความอร่อยมาอยู่ถึงทุกวันนี้

ต่อมานายอันโดก็ได้ก่อตั้งบริษัทนิชชินขึ้นมา

และได้พัฒนาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสชาติและรูปแบบอื่นๆขึ้นมาอีกมากมาย

ไม่ ว่าจะเป็น "คัพเมน" ที่ได้แนวคิดมาจากการทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของคนอเมริกา (ในตอนแรกนั้นภาชนะที่ทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะเป็น ชาม แต่เพียงอย่างเดียว)

สำหรับ คัพเมนยังมีเกร็ดที่มาของความนิยมอยู่ คือในตอนแรกนั้น ยังไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก

จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์การลักพาตัวประกันโดยกลุ่มต่อต้านจักรวรรดิญี่ปุ่น ที่จังหวัดนากาโน่

ในเวลานั้นได้มีการถ่ายทอดสดตลอดเวลา ต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 10 วัน

อีกทั้งยังเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์โทรทัศน์ญี่ปุ่น(90%)

และนอกจากภาพเหตุการณ์การลักพาตัวประกันแล้ว ยังมีภาพของคนที่กำลังทานคัพนู้ดเด้ลในสถานที่เกิดเหตุด้วย

(ปกติคนญี่ปุ่นจะทานข้าวกล่องหรือ เบ็นโตะ แต่ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์นั้น เป็นช่วงอากาศหนาวเย็น ทำให้ข้าวกล่องแข็งจนทานไม่ได้)

คนญี่ปุ่นจึงได้รู้จัก คัพนู้ดเดิ้ล ในวงกว้าง และเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลกจนเป็นอาหารที่คนทานมากที่สุดในโลก

สำหรับประเทศไทย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้เข้ามาราวปี พ.ศ. 2514-2515

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อแรกในประเทศคือ "ซันวา" ที่มีต้นแบบมาจากบะหมี่ญี่ปุ่นที่ต้องต้มก่อนทาน

ส่วน "มาม่า" เป็นยี่ห้อที่ 3-4 ของประเทศไทย หาใช่ ยี่ห้อแรกอย่างที่ใครๆเข้าใจกัน

" มาม่า" จัดเป็น "Generic Name" หรือชื่อสามัญที่คนไทยในปัจจุบันใช้เรียก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งแสดงถึงPowerของยี่ห้อ มาม่าได้เป็นอย่างดี

(จากการสำรวจของบริษัท ซินโนเวต ในปี 2007 มาม่าเป็นตามสินค้าอันดับ 2 ที่ผู้บริโภคชาวไทยนึกถึง ส่วนอันดัน 1 คือ โนเกีย)

ผู้ให้กำเนิดมาม่าคือ บริษัท ไทยเพรซิเด้นท์ ฟูดส์ จำกัด(มหาชน) หรือ TF ซึ่งอยู่ใต้ร่มธงของเครือสหพัฒน์

(บริษัทไทยเพรซิเด้นท์ ฟูดส์ จำกัด ได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2515)

สาเหตุที่มาม่าได้รับความนิยมอย่างมากและต่อเนื่องนั้น ถ้าวิเคราะห์ตามหลัก 4Ps คือ

Price ราคาที่ ถูก คือ 5 บาท โดยที่ทางสหพัฒฯได้เน้นที่ กลยุทธ์ Pricing เป็นอย่างมาก ทำให้มาม่ามีราคาขายแค่ 5 บาท เป็นเวลานานถึง 10 ปี

Place มาม่ามีวางจำหน่ายทุกร้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านโชห่วย ห้างสรรพสินค้า หรือแผงหาบเร่ อีกทั้งยังครอบคลุมทุกพื้นที่ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่ที่ยากจะเข้าถึง(หมู่บ้านบนเขาหรือเกาะกลางทะเล)

Product มาม่ามีหลายรสชาติให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น รสหมูสับ ต้มยำ ฯลฯ และมาม่ามักจะเป็นผู้นำทางด้านการคิดค้นรสชาติใหม่ๆเสมอ

Promotion มาม่ามีโปรโมชั่นการขายสินค้าที่หลายหลากและต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น ลด แลก แจก แถม ซึ่งเปลี่ยนสลับกันอย่างต่อเนื่องมาตลอด

ปัจจุบัน คนไทยทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 6 ล้านซองต่อวัน และเป็นการทานมาม่ามากกว่า 50%

----------------------




บะหมี่ราเมน

บะหมี่ราเมน มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นประเทศที่บะหมี่ทุกชนิดได้ถือกำเนิดขึ้นมา

คำว่าบะหมี่ในภาษาจีนเรียกว่า โล-เมียง ซึ่งหมายถึง บะหมี่ที่ต้มแล้ว

บะหมี่ แบบจีนกลายเป็นที่โปรดปรานอย่างมากในเมืองซับโปโร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเกาะฮอกไกโดที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น

ปัจจุบันนี้ราเมนกลายเป็นอาหารประจำท้องถิ่นของเมืองซับโปโร เหมือนกับที่เบคบีนเป็นอาหารประจำท้องถิ่นของเมืองบอสตัน

ในประเทศอื่น ๆ คำที่ใช้เรียกราเมนก็แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศสิงคโปร์จะเรียกราเมนว่าแม๊กกี้

มีผู้ที่ริเริ่มเปลี่ยนกระบวนการผลิตราเมนแบบดั้งเดิม ให้กลายเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่บรรจุในซองก็คือ นายโมโมฟูกุ เอนโดะ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท นิสชิน ฟูดส์ จำกัด

ในประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2513 บริษัท นิสชิน ฟูดส์ จำกัด ได้เผยแพร่บะหมี่ท้อป ราเมนไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา

บริษัทอื่น ๆ อีกหลายบริษัทได้ทำการเผยแพร่สินค้าที่เลียนแบบ ท้อป ราเมน แม้แต่ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรม อย่างเช่น ลิปตัน และ แคมป์เบล

ได้เริ่มทำการทดลองผลิตสินค้าที่มีลักษณะเหมือนราเมน ถึงแม้ว่าจะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่นิสชินก็ยังสามารถควบคุมตลาดราเมนในสหรัฐฯ ได้เกือบครึ่งหนึ่ง

และยังสามารถควบคุมตลาดโลกของราเมนได้ถึง 15% หรือประมาณสิบพันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ต่อปี ในขณะที่เขียนบทความนี้ ราคาขายส่งโดยเฉลี่ยของ

ราเมนบรรจุซองในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 12.5 เซนต์ เท่านั้น

เนื่องจากราเมนกึ่งสำเร็จรูป ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในตลาด จึงมีการส่งออกข้ามพรมแดน และกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับนานาชาติ

ในปัจจุบันโรงงานผลิตราเมนไม่ได้มีแค่ในประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังพบได้ในแถบยุโรป เกาหลี จีน สิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย

ราเมนของแต่ละประเทศจะสะท้อนให้เห็นถึงความชอบโดยเฉพาะของประเทศนั้นๆ ราเมนของเกาหลีจะมีรสจัดมากและมีซอสที่ทำจากถั่วดำบรรจุรวมอยู่ในซอง

ประเทศจีนจะผลิตบะหมี่เป็นรสชาติซูฉวน บะหมี่ที่ผลิตในประเทศไทยจะเป็นเส้นบางๆ และมีเครื่องเทศรสจัดบรรจุรวมอยู่ในซอง

ส่วนญี่ปุ่น จะชอบรสชาติแบบอาหารทะเล และรสของเครื่องเทศอ่อนๆ ในประเทศสหรัฐฯ จะมีบะหมี่รสเนื้อ รสเห็ด รสเครื่องเทศอ่อนๆ ซึ่งจะเรียกกันว่ารสชาติแบบตะวันออก



---------------

บะหมี่ และพาสต้า

บะหมี่ และพาสต้ามีความสัมพันธ์ย้อนหลังไปมากกว่า 700 ปีก่อน เชื่อกันว่า ในช่วงปลายศตวรรษที่ 13 มาร์โค โปโล ได้เดินทางไปประเทศจีน

และนำเส้นบะหมี่กลับมายังประเทศอิตาลีเพื่อเพิ่มเข้า ไปยังเมนูพาสต้าของประเทศ ในปัจจุบันรูปแบบการทำอาหารของตะวันออกและตะวันตกได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

อาหารที่ทำจากบะหม ี่จะรวมเอาส่วนผสม และรสชาติในแบบดั้งเดิมของเอเชียเข้าด้วยกันกับ วิธีการทำอาหารสมัยใหม่ของโลกตะวันตก

บะหมี่มีความสำคัญอย่างมากในวัฒนธรรมจีน มันเป็นสัญลักษณ์ของ ความมีอายุยืน และการบริโภคบะหมี่ถือว่าเป็นวิธีการทำให้อายุยืนยาว ตามธรรมเนียมแล้ว

จะมีการเสิร์ฟบะหมี่ในวันเกิด เช่นเดียวกับที่ทางตะวันตกเสิร์ฟเค้กนั่นเอง

---------------

กินบะหมี่สำเร็จรูปอย่างฉลาด

กองโภชนาการ กรมอนามัย
กระทรวงสาธารณสุข

เกือบจะไม่มีคนไทยรายใด ที่ไม่รู้จัก "บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป" ซึ่งส่วนมากมักจะเรียกชื่อตามตราหรือยี่ห้อ เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทยติดอันดับตลอดมา

หากจะนำตัวเลขยอดของคนไทย กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ออกมาเปิดเผยแล้ว หลายคนจะตาค้าง คาดไม่ถึง เพราะจากรายงานระบุว่า ในแต่ละวัน

คนไทยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 6-7 ล้านซอง ตกคนละประมาณ 50 ล้านซองต่อปี กลุ่มที่กินมากที่สุดเห็นจะเป็น เด็ก และ วัยเรียน วัยรุ่น โดยเฉพาะ เด็กหอพัก

เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา นักโภชนาการจัดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารด้อยคุณค่า ไม่สมดุล มีแต่แป้งและผงชูรส ต่อมาทานกระแสการบริโภคที่มาแรงของคนไทยไม่ได้

จึงร่วมมือกันนำมาพัฒนาให้มีคุณค่ามากขึ้นโดยการเสริมสารอาหาร 3 ชนิดในเครื่องปรุง คือวิตามินเอ ไอโอดีน และธาตุเหล็ก แล้วส่งเสริมการบริโภคให้ถูกหลักโภชนาการ

การ กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโดยเพียงแค่เติมน้ำร้อนแล้วกินเลยนั้น ถือได้ว่ากินไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะกินแบบนี้ติดต่อกันจนเป็นนิสัย ที่เห็นยิ่งไปกว่านั้นคือ

ฉีกซองกินทั้งดิบๆ เป็นขนม กินเล่น การกินลักษณะนี้ติดต่อกันเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้ เพราะเท่ากับว่าได้กินเฉพาะแป้ง

ตอนเลือกซื้อต้องสังเกตบนซองว่า มีสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ อยู่ด้วย เมื่อนำมาปรุงจะต้องเติมไข่ หรือเนื้อสัตว์ และผักลงไปทุกครั้ง

ที่สำคัญต้องไม่ลืมฉีกซองเครื่องปรุงใส่ลงในบะหมี่ทุกครั้งที่ปรุง ใส่น้ำให้พอดี ซดน้ำให้ได้มากที่สุด หมดชามยิ่งดี เพราะเท่ากับว่าได้สารอาหาร 3 ชนิดเข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป...กินได้ แต่ต้องใส่ใจ...กินให้ถูก ปรุงให้สุก เติมเนื้อสัตว์ และผักทุกครั้ง

-------------------


ประวัติชายสี่บะหมี่เกี๊ยว

พันธ์รบ กำลา เจ้าตำรับ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" จากลูกอีสาน สู่เถ้าแก่ร้อยล้าน

ย้อนหลังกลับไปเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว ณ จังหวัดร้อยเอ็ด พันธ์รบ กำลา กำเนิดในครอบครัวชาวนายากจน โดยเป็นพี่ชายคนโต

มีน้องชายอีก 3 คน และน้องสาว 1 คน เขาเล่าย้อนเส้นทางชีวิตให้ฟังว่า ...

ผมเป็นเหมือนลูกชาวนาจนๆ ทั่วไป ได้เรียนแค่ชั้น ป.4 หลังจากนั้น ต้องออกมาใช้ชีวิตเหมือนชาวนาทั่วไป ทำไร่ทำนาไปวันๆ จนกระทั่งอายุ 14 ปี

ได้เข้าทำงานในกรุงเทพฯ ได้งานเป็นคนสวนในบ้านนายจ้าง ย่านปากเกร็ด นนทบุรี ค่าจ้างเดือนละ 300 บาท

นายจ้างผมเป็นคนมีเมตตา จึงเปิดโอกาสให้เรียนต่อ ระหว่างทำงานเป็นคนสวน จึงเข้าเรียน กศน. ไปด้วย จนกระทั่งจบชั้น ม.3

จากนั้น เข้าทำงานในโรงงานวัสดุเครื่องใช้ในครัวเรือนอยู่ 1 ปี จนเมื่ออายุ 21 ปี จึงกลับไปเกณฑ์ทหารที่บ้านเกิด หลังจากปลดประจำการ แต่งงานมีครอบครัว

และยึดอาชีพทำงานนาเป็นหลัก พอหมดฤดูทำนาในแต่ละปี ก็จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ รับจ้างขายไอศครีม

ชีวิตของเขาวนเวียนอยู่เช่นนี้ หลายปี จน 2535 น้องชายคนที่ 2 ซึ่งรับจ้างวิ่งส่งลูกชิ้นในกรุงเทพฯ ได้แนะนำให้มาขายก๋วยเตี๋ยวดู

เพราะเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวลูกค้าที่เขาวิ่งส่งต่างขายดีทั้งนั้น พันธุ์รบ เกิดความสนใจ จึงชวนภรรยาเข้ากรุงเทพฯ ลงทุนหารถเข็น ขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส

แถวหน้าสนามธูปะเตมีย์ หลังจากนั้น จึงเปลี่ยนมาขายบะหมี่ด้วย

ผมถือว่า นี่เป็นจุดพลิกผันของชีวิตเลยทีเดียว ธุรกิจขายก๋วยเตี๋ยว ประสบความสำเร็จมาก แค่ 2 ปี มีเงินเก็บถึง 6-7 แสนบาท

จนปี 2537 ผมเริ่มทดลองผลิตเส้นบะหมี่เพื่อขายเองในร้าน เพราะต้องการลดต้นทุน และในอีกประการ เพราะเส้นบะหมี่ที่รับมาคุณภาพไม่เป็นตามต้องการ

แต่ช่วงแรกลำบากมาก เพราะเราไม่มีความรู้ใดๆ ในกระบวนการผลิต อีกทั้งยังไม่มีเครื่องมือ เราก็ต้องทุ่มเทเรียนรู้ด้วยตนเอง ใช้มือนวดแป้งเอง จนผ่านไป 1 ปีเต็ม

จึงได้สูตรลงตัวเป็นที่พอใจของลูกค้า เมื่อกิจการของตัวเองประสบความ สำเร็จ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆ คนอยากมาขายบะหมี่รถเข็นบ้าง

พันธุ์รบจึงได้เริ่มผลิตเส้นส่งให้กับพ่อค้าหน้าใหม่เหล่านี้

ชายสี่ บะหมีเกี๊ยว แตกสาขาออกไปทีละเล็กละน้อย และเพิ่มจำนวนขึ้นไม่ขาดสาย จนเลิกขายเอง หันมายึดอาชีพผู้ผลิตเส้นบะหมี่ขายพร้อมสูตรต่าง ๆ

ในระบบแฟรนไชส์ เช่นในปัจจุบัน แม้ว่าเดี๋ยวนี้ จะมีคู่แข่งรายใหม่ๆ เข้ามา แต่ยอดลูกค้าของเรา ไม่เคยตก

แม้จะมีความรู้เพียงแค่ ม.3 แต่พันธ์รบ เชื่อว่า ความเป็นคนรักการอ่าน และมุ่งมั่นศึกษาด้วยตัวเอง เป็นส่วนสำคัญให้เขามีวันนี้

การเรียนในสถานการศึกษา คือการเรียนรู้จากนักวิชาการ และตำรา แต่ในความจริง มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมเป็นอ่านหนังสือเยอะ และเป็นคนช่างสังเกต

ผมจะมีสมุดโน้ตติดตัวตลอด เวลาดูทีวีเห็น หรืออ่านหนังสืออะไรก็ตาม ที่สามารถใช้เป็นแนวทางในการบริหารงาน ธุรกิจ หรือวางตัว เพื่อปกครองลูกน้อง

ผมจะโน้ตสรุปย่อไว้ แล้วก็พูดอัดเสียงเก็บไว้ เพื่อไม่ต้องอ่านอีก แล้วก็จะมาเปิดฟังอยู่เสมอๆ เพื่อเป็นการย้อนสมองตัวเอง


เปิดอาณาจักร ชายสี่ 10 ปี ทะลุ 2,000 สาขา

นับจากปี 2537 จากรถเข็นขายบะหมี่เกี๊ยวคันเดียว ระยะแค่ 10 ปี ปัจจุบัน ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว มีสาขาทั่วประเทศมากกว่า 2,000 สาขา

โดยแบ่งเป็นในกทม. 70% ตจว. 30% พนักงานประจำ 120 คน มีโรงงานผลิตและส่งสินค้า 5 แห่ง ทั้งใน กทม. และตามภาคต่างๆ

ยอดส่งเส้นบะหมี่ และแผ่นเกี๊ยว ประมาณ 5-6 ตันต่อวัน คิดอัตราขายรวมค่าขนส่ง 37 บาทต่อกิโลกรัม โดยโรงงานมีศักยภาพผลิตได้สูงสุดถึงวันละ 20 ตัน

นอกจากนั้น ยังมีรายได้จากการขายแฟรนไชส์ พร้อมอุปกรณ์ 47 รายการ สำหรับลูกค้า ในราคา 33,000 บาท


ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว ชื่อนี้ได้แต่ใดมา ?

ที่มา ของชื่อ ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว พันธ์รบ บอกว่า ตั้งขึ้นมาเอง โดยไม่ได้ตั้งใจจะสื่อความหมายอะไรเลย เพราะตอนที่คิดแค่อยากได้ชื่อที่เห็นชัดๆ สะดุดตา

เมื่อคำนวณจากขนาดป้ายแล้ว เห็นว่าไม่ควรเกิน 4 พยางค์ ตัวเองเป็นคนชอบอ่านนิยายจีน จึงอยากตั้งใจให้ชื่อออกเป็นแนวจีนๆ ตอนแรกคิดไว้หลายชื่อเช่น

ปักกิ่ง ป๊ะป๋า ราชินี จนมาลงตัวที่ ชายสี่เพราะคล้องกับคำว่า บะหมี่เกี๊ยว ภายหลังเมื่อชื่อเริ่มติดหู ลูกค้าที่กินจึงให้คำอธิบายเสียเองว่า ชื่อ ชายสี่

เพราะมีพี่น้องที่เป็นผู้ชายด้วยกัน 4 คน

Ref : http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=159933





Posted by : livers , Date : 2009-06-01 , Time : 14:01:12 , From IP : 172.29.18.235

ความคิดเห็นที่ : 1




   Ref : http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=159933

Posted by : livers , Date : 2009-06-01 , Time : 14:03:12 , From IP : 172.29.18.235

ความคิดเห็นที่ : 2




   http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=159933

Posted by : livers , Date : 2009-06-01 , Time : 14:04:01 , From IP : 172.29.18.235

ความคิดเห็นที่ : 3




   http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=159933

Posted by : livers , Date : 2009-06-01 , Time : 14:04:27 , From IP : 172.29.18.235

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.004 seconds. <<<<<