ความคิดเห็นทั้งหมด : 8

ช่วยกันเตือนลูกหลานหน่อยนะครับ


    แผนฆ่าหมู่เด็กนักศึกษา จากหนังสือพิมพ์บ้านเมือง
คอลัมน์ : ฉลามเขียว


ฆ่าหมู่เด็กนักศึกษา


ไม่โดนระเบิดตายหมู่ก็ดีแล้วน้องเอ้ย
เพิ่งจะฉบับวานนี้เอง ที่ผมเขียนประเด็นพันธมิตรไม่สามารถที่จะจัดดาวกระจายได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม เพราะ 5 แกนนำต้องอยู่ในรั้วทำเนียบรัฐบาล ขืนทะเล่อทะล่าออกมามีโอกาสที่จะโดนตำรวจรวบตามหมายจับข้อหากบฏ

ก็เลยมีผู้บงการคนหนึ่งไปใช้ “พลตำรวจตรี” ไปจัดตั้งนักศึกษารามคำแหง ให้รับบทบาทจัดดาวกระจายไปที่นู่นที่นี่

และผมได้เขียวเฉี่ยวๆ เอาไว้ว่า เมื่อนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ไม่ลาออกไม่ยุบสภาฯ แต่เล่นเกมยื้อขังพันธมิตรไว้ในทำเนียบรัฐบาลอย่างไม่มีกำหนดแล้ว เกมต่อไปของพวกล้มรัฐบาลก็คือ ก่อความรุนแรง จะมีระเบิด

ก็มีจริงๆ ครับ แต่ยังไม่ใช่ระเบิด เป็นแค่ส่งคนไปยิงนักศึกษารามคำแหง ที่กำลังเดินจะไปบ้านนายกฯ สมัคร ในหมู่บ้านโอฬาร ซอย 81 ถนนนวมินทร์

ผมขอบอกแก่น้องนักศึกษารามฯ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ว่า พวกน้องๆ โชคดีมากที่เขาเปลี่ยนใจไม่ใช้ระเบิด เพราะตามที่รัฐบาลสืบข่าวลับมาได้ พวกเขาจะใช้ระเบิดกลางวง ทำให้เด็กนักศึกษาตายหมู่เยอะๆ เพื่อที่จะให้เป็นตัวเร่งให้นักศึกษาอื่นๆ ออกมาร่วมม็อบจำนวนมาก แต่ไม่รู้อีท่าไหนเปลี่ยนใจแค่ส่งคนไปยิง

วิธียิงก็ทำอย่างปรานี ใช้ปืน .22 กระสุนเล็กๆ และเลือกยิงที่ต้นขา กับข้อศอก ไม่ได้ยิงเข้าหัว หรือจุดสำคัญที่ทำให้ตายได้

ผมได้พยายามตรวจกระแสผู้คนทั้งในเว็บบอร์ดการเมือง และจากเสียงพูดคุยแล้ว ไม่มีเสียงว่านายกฯ สมัครส่งคนไปยิงนักศึกษา เพื่อสกัดกั้นไม่ให้มาถึงบ้าน มีแต่บอกว่ามือที่ 3 สร้างสถานการณ์ทั้งนั้น

ส่วนที่ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ สันนิษฐานว่าอาจจะเพราะชาวบ้านรำคาญนักศึกษานั้น ผมขอเถียงว่าไม่ถูกครับ ชาวบ้านอาจจะรำคาญหมั่นไส้จริง แต่ยังไม่ถึงขั้นจะยิงปืนใส่ แค่คิดในใจ

คนที่ยิงปืน .22 ใส่นักศึกษารามคำแหงจนเจ็บไป 2 คนในคราวนี้ ไม่ใช่มือที่ 3 ครับ แต่เป็นมือที่ 1 คือเป็นการสั่งยิงโดยผู้เดินเกมใช้นักศึกษาออกมาจัดดาวกระจายไปที่นั่นที่นี่ ให้มันป่วนทั่วเมือง และให้ลงมือกระทำพร้อมกันหลายจุด ให้เกิดภาพว่านักศึกษาเอาด้วยกับพันธมิตรแล้ว

เช่น การส่งสาธิตมัฆวานไปหน้า สตช.เมื่อบ่าย 5 ก.ย.51 และเสาร์ 6 ก.ย. ก็ยิ่งจะเพิ่มจำนวนขึ้นหลายจุดพร้อมๆ กัน

ช่วงก่อนเกิดเหตุทั้ง 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519 เราคนไทยก็คงจำได้นะครับ พวกที่แย่งชิงอำนาจการเมืองกันอยู่จะใช้นักศึกษาเป็นเครื่องมือมาตลอด ฆ่านักศึกษาเป็นเครื่องสังเวย เช่นโยนระเบิดที่หน้าสยาม
พ่อแม่ที่อยู่บ้าน บอกลูกๆ ด้วยว่า เขามีแผนจะฆ่าหมู่นักศึกษา





http://www.banmuang.co.th/politic.asp?id=150491






Posted by : ninepon , Date : 2008-09-06 , Time : 18:43:28 , From IP : 125.24.135.153.adsl.

ความคิดเห็นที่ : 1


   ขอบคุณมากคับที่หวังดี แต่ไม่แน่ใจว่าประสงค์ร้ายต่อชาติบ้านเมืองหรือเปล่า หรือว่า เอหรือว่าจะมีผลประโยชน์ร่วมกันกับรัฐบาลชุดนี้ แต่ก็ช่าง ไงก็มองหลายแง่ไว้ก็ดีกว่าจริงมั้ยครับ แฮ่ๆๆๆๆ

Posted by : newone , Date : 2008-09-06 , Time : 19:13:55 , From IP : 125.24.182.21.adsl.d

ความคิดเห็นที่ : 2


   ไปบอกนายกฯ ให้ลาออกดีกว่า

ตอนนี้แทบจะทุกส่วนของสังคมออกมาไล่กันหมดแล้ว

ต่อให้พันธมิตรเลิกชุมนุมก็คงไม่มีอำนาจในการบริหารแล้ว

ขอบคุณสำหรับความหวังดีครับ

ออกไปๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


Posted by : zug , Date : 2008-09-06 , Time : 20:08:57 , From IP : 172.29.22.112

ความคิดเห็นที่ : 3


   ขอบคุณครับ ถ้ามีคนอ่านแล้วฉุกคิดได้ ใช้สติใคร่ครวญ ก็น่าจะเป็นประโยชน์

แต่ผมว่าคงไม่ได้ผลนัก

เพราะตอนนี้มันกลายเป็นความเชื่อไปซะแล้ว เชื่อว่าตัวเองกลุ่มตัวเองเป็นคนดี รักชาติ ฉลาด ฝ่ายตรงข้ามเป็นคนเลว ไม่รักชาติ

ความเชื่อโดยปราศจากเหตุผล จะน่ากลัวมาก ดูอย่างโอมชินริเกียว เป็นตัวอย่าง

ใครอยากจะเป็นวีรชนก็เชิญตามสบาย ยังจำกันได้ใช่ไหม วีรชนเดือนพ.ค ปี35 ยังหาตัวไม่พบ กลายเป็นบุคคลสาบสูญไปกี่คน

แล้วเป็นไงหละ พวกคนใหญ่คนโตมันก็สุขสบายดีกันทุกคน พวกชาวบ้าน เด็กนักเรียนที่ถูกชักจูงไปก็ตายฟรี

ทำไมเราไม่เอามาเป็นบทเรียน

รักชาติอย่างมีสตินะครับ



Posted by : eng , Date : 2008-09-06 , Time : 23:01:43 , From IP : 172.29.5.221

นำไปสู่การสร้างข่าวทำลาย บิดเบือน ป้ายสี ==> ประโคมข้อหาคลาสสิกคือการคอรัปชัน (ซึ่งมีทุกรัฐบาลแน่นอน) ==> ก่อม็อบให้เกิดความวุ่นวาย สับสน ==> ถ้ายังทำอะไรนายกไม่ได้ก็ต้องสร้างเรื่องที่เซ้นท์กับคนไทยคือเรื่องสถาบัน (เหมือนที่ท่านปรีดี, นศ.ปี 16-19 และ ทักษิณโดน) ==> สุดท้ายถ้านายกยังอยู่ก็ต้องใช้กำลังทหาร....มันเป็นหนังม้วนเก่าที่เอามาฉายซ้ำไปมา...... ถึงลูกศิษย์น้องๆนิสิต นักศึกษาที่รักสันติและเสรีภาพ......เป็นการดีที่เรา-ท่านสนใจการเมือง...อย่างไรก็ขอให้สนใจหน้าที่หลัก (คือการเรียน)ให้มากๆ ส่วนเรื่องรองๆ(เช่นการเมือง) ขอให้เฝ้าดูอย่างวิเคราะห์.......การที่คนเรียนเก่งเรียนดีในมหาวิทยาลัยดี คณะดี หรือจบออกมาแล้วมาอาชีพที่ดี มีหน้าหน้าตา..... มิได้หมายความว่า สิ่งเขารู้และคิดจะถูกหรือดีไปหมด....... ในขณะนี้กลุ่มกบฏเหมือนถูกปิดล้อมและรอแห้งเหี่ยวย่อยสลาย (โดยตัวเอง)....แต่เขาก็วางแผนและวาดหวังที่จะขอพลัง INNOCENT (ไม่ได้หมายถึงพลังบริสุทธิ์.....แต่หมายถึงพลัง INNOCENT ที่ไม่รู่อิโหน่อิเหน่ เฮไหน เฮกัน) ให้ออกมาช่วยเขาให้หลุดจากพันธนาการที่เขาก่อไว้.....และอยากดูหนังม้วนเก่า ถึงลูกศิษย์ น้องๆนิสิต นักศึกษาที่รักสันติและเสรีภาพ ผู้ไฝ่รู้ ไฝ่เจริญ.....จงมองดูและรับฟังอย่างวิเคราะห์..อย่างผู้ใช้ปัญญาแก้ปัญหา...อย่างมีสติและมีวิสัยทัศน์ที่จะมองไปข้างหน้า.... ผมขอฝากให้ดูลิงค์นี้ (ดูบ่อยๆหน่อยก็ดี) http://www.youtube.com/watch?v=XfgNh9gXeFA (อยากให้เปิดทีวีทุกช่อง ตามโครงการ 116 วันด้วยซ้ำ) แล้วถามใจตัวเองว่า "เรากำลังทำอะไรกันอยู่???" ท้ายนี้อย่าลืมว่า....ขอให้ทำความเข้าใจสิ่งที่ "เป็นอยู่" (ปัจจุบัน) แต่อย่าลืมมองสิ่งที่ "เป็นมา" (อดีต) และอย่าละเลยสิ่งที่จะ "เป็นไป" (อนาคต) ด้วยจิตสุจริต นักศึกษาปริญญาเอก (ยุโรป) และ อาจารย์มหาวิทยาลัย " />
ความคิดเห็นที่ : 4


   ถึงลูกศิษย์ น้องๆนิสิต นักศึกษา.....ว่าด้วยหนังม้วนเก่า
.......ว่าด้วยหนังม้วนเก่า........

ด้วยสมองอันน้อยนิดที่ผมจะพึงมี ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไม คนไทยหลายส่วน (แม้ว่าไม่ใช่ส่วนใหญ่...แต่ก็มีปริมาณมากพอควร) จึงยังลุ่มหลง กับการชักจูงและชวนเชื่อของฝ่ายศักดินาล้าหลัง ผมยอมรับว่าเขา เก่งด้านการปฏิบัติการจิตวิทยาจริงๆ กลุ่มบุคคลนี้มีมานานและสืบสานกันมา รุ่นต่อรุ่น เพราะเขาถนัดสร้างข่าว ให้ข่าวที่บิดเบือน บิดเบี้ยวจนหลายคนและน้องๆนิสิต นักศึกษาคล้อยตาม


ผมขอย้อนมาที่แถลงการณ์ของท่านอธิการสักนิด....ที่ย้อนมาตรงนี้เพราะฉุกคิดว่าทำไมท่านผู้ใหญ่ ผู้เจริญจึง อับจนหนทาง และแถลงออกมาเสมือนหนึ่งก้มหน้ารับกรรม (การกระทำ)ของเหล่ากบฏ (ผมจะไม่เรียกว่า พธม เพื่อ ปชต....เพราะมันไม่ใช่เพื่อ ปชต) ดังจะเห็นว่าในเนื้อความแทบไม่มีส่วนความใดๆจะแตะต้องให้เหล่ากบฏได้รู้สึกระคายเคือง อ่านแล้วผมรู้สึกปวดใจปนสังเวช ในฐานะที่ ผมก็เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งในมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่งของไทย แต่ชอบการทำงานแบบไทยๆคือ ลวกๆและขอไปที (เหมือนครั้งที่บอกว่า รับๆไปก่อนแล้วค่อยแก้รัฐธรรมนูญ50) โดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา รวมทั้งไร้แนวทางแก้ไขที่จะยึดหลักการและเหตุผลตามสากลนิยม


ถึงตรงนี้ก็อยากจะฝากเตือนไปลูกศิษย์ และรุ่นน้องนิสิต นักศึกษา.....จงก้าวข้ามผ่านภาพมายาที่ เคลือบและบดบัง กลไกความจริงเกี่ยวกับการปกครองที่ว่าด้วยอำนาจของปวงชน อย่าให้ใครมาแอบอ้างว่าเขาเป็นตัวแทนภาคประชาชน อย่าให้เขามาชักจูง อย่าไปคล้อยตามและหลงเชื่อข่าวสารที่ล้วนแต่ถูกบิดเบือน จงอย่ามองแค่ "เหตุปัจจุบัน" จงพยายามร้อยเรียง "ความเป็นไปของกระบวนการในอดีต" และ มองข้ามผ่านไปให้ไกลถึงอนาคตที่อยากให้ไทยเป็น และ "ต้องเป็น"
หรือ "ต้องยืน"บนเวทีระบบสากลโลก

ถึงลูกศิษย์น้องๆนิสิต นักศึกษาที่รักสันติและเสรีภาพ......พอจะจำภาพในอดีตกันได้ไหม...ว่าในประวัติการปกครองของเรามีระบบการสร้างและทำลายวงทางการเมืองมาแล้วอย่างไร (และกี่ครั้งแล้ว?)...ทุกๆครั้งจะเริ่มด้วยการเสียอำนาจและผลประโยชน์ ==>นำไปสู่การสร้างข่าวทำลาย บิดเบือน ป้ายสี ==> ประโคมข้อหาคลาสสิกคือการคอรัปชัน (ซึ่งมีทุกรัฐบาลแน่นอน) ==> ก่อม็อบให้เกิดความวุ่นวาย สับสน ==> ถ้ายังทำอะไรนายกไม่ได้ก็ต้องสร้างเรื่องที่เซ้นท์กับคนไทยคือเรื่องสถาบัน (เหมือนที่ท่านปรีดี, นศ.ปี 16-19 และ ทักษิณโดน) ==> สุดท้ายถ้านายกยังอยู่ก็ต้องใช้กำลังทหาร....มันเป็นหนังม้วนเก่าที่เอามาฉายซ้ำไปมา......


ถึงลูกศิษย์น้องๆนิสิต นักศึกษาที่รักสันติและเสรีภาพ......เป็นการดีที่เรา-ท่านสนใจการเมือง...อย่างไรก็ขอให้สนใจหน้าที่หลัก (คือการเรียน)ให้มากๆ ส่วนเรื่องรองๆ(เช่นการเมือง) ขอให้เฝ้าดูอย่างวิเคราะห์.......การที่คนเรียนเก่งเรียนดีในมหาวิทยาลัยดี คณะดี หรือจบออกมาแล้วมาอาชีพที่ดี มีหน้าหน้าตา..... มิได้หมายความว่า สิ่งเขารู้และคิดจะถูกหรือดีไปหมด.......

ในขณะนี้กลุ่มกบฏเหมือนถูกปิดล้อมและรอแห้งเหี่ยวย่อยสลาย (โดยตัวเอง)....แต่เขาก็วางแผนและวาดหวังที่จะขอพลัง INNOCENT (ไม่ได้หมายถึงพลังบริสุทธิ์.....แต่หมายถึงพลัง INNOCENT ที่ไม่รู่อิโหน่อิเหน่ เฮไหน เฮกัน) ให้ออกมาช่วยเขาให้หลุดจากพันธนาการที่เขาก่อไว้.....และอยากดูหนังม้วนเก่า


ถึงลูกศิษย์ น้องๆนิสิต นักศึกษาที่รักสันติและเสรีภาพ ผู้ไฝ่รู้ ไฝ่เจริญ.....จงมองดูและรับฟังอย่างวิเคราะห์..อย่างผู้ใช้ปัญญาแก้ปัญหา...อย่างมีสติและมีวิสัยทัศน์ที่จะมองไปข้างหน้า....
ผมขอฝากให้ดูลิงค์นี้ (ดูบ่อยๆหน่อยก็ดี)
http://www.youtube.com/watch?v=XfgNh9gXeFA
(อยากให้เปิดทีวีทุกช่อง ตามโครงการ 116 วันด้วยซ้ำ)
แล้วถามใจตัวเองว่า "เรากำลังทำอะไรกันอยู่???"

ท้ายนี้อย่าลืมว่า....ขอให้ทำความเข้าใจสิ่งที่ "เป็นอยู่" (ปัจจุบัน) แต่อย่าลืมมองสิ่งที่ "เป็นมา" (อดีต) และอย่าละเลยสิ่งที่จะ "เป็นไป" (อนาคต)

ด้วยจิตสุจริต
นักศึกษาปริญญาเอก (ยุโรป) และ อาจารย์มหาวิทยาลัย




Posted by : ninepon , Date : 2008-09-07 , Time : 13:55:17 , From IP : 125.24.135.153.adsl.

ความคิดเห็นที่ : 5


   การรับฟังสี่ระดับ

ในยุคนี้ เรื่องการสื่อสาร การรับฟัง การใคร่ครวญ เป็นประเด็นสำคัญที่จะช่วยชี้ทิศทางของสังคม ทั้งในระดับมหภาค และจุลภาค ว่ามนุษยชาติ ตั้งแต่หน่วยย่อยของสังคมไปถึงหน่วยใหญ่ กำลังหันเหมุ่งหน้าไปทางไหน พฤติกรรมมนุษย์แปรเปลี่ยนตามข้อมูล "และ" การแปลความข้อมูลนั้นๆ ซึ่งไม่ได้เป็นไปโดย logic (สมองส่วนหน้า frontal lobe & prefrontal lobe) เท่านั้น ยังมาจากส่วน limbic system (hypocampus, temporal lobe, amygdala) อีกด้วย การผสมผสานระหว่างความคิด และความรู้สึกเป็นไปอย่างต่อเนืองแยกแยะจากกันยากยิ่ง เพราะการตีความ ให้ความหมายนั้น ขึ้นกับ "ประสบการณ์ในอดีต" ซึ่งแต่ละคนมีความหลากหลาย และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความแตกต่างของการให้ความหมายนั้นแทบจะเป็นสิ่งแน่นอนที่สุดประการหนึ่ง แต่ปัญหาก็คือ เกิดการ attach value หรือการให้คะแนนความดี_เลว ความถูกต้องความผิดพลาด ผนวกไปกับการตีความนั้นๆไปด้วย และเมื่อไรคุณค่าเหล่านี้ถูกผนวกติดไปกับความคิด อุดมคติ ก็เกิดความเสี่ยงที่ self จะเสียไปเมือคุณค่าดังกล่าวถูกโจมตี หรือแม้กระทั่งเปรียบเทียบ

เพราะถ้าสิ่งที่เราคิดนั้น "ดี" สิ่งที่ตรงกันข้ามน่าจะ "ดีไม่ได้" หรือ "เลว"??
สิ่งที่เราคิดนั้น "ถูก" สิ่งที่แตกต่างออกไปน่าจะ "ไม่ถูก" หรือ "ถูกน้อยกว่า"??


Stephen Hawking เคยตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อไรก็ตามที่มี new idea มาท้าทายความเชื่อเก่า แทนที่คนบางคนจะใคร่ครวญใน logic ของสิ่งใหม่ แต่สิ่งแรกที่มีคนทำก็คือ การ challenge ใน characters ของคนเสนอความคิดใหม่แทน การ rebut ด้วยความรู้เก่า ด้วยประสบการณ์เก่า ด้วยวุฒิเก่า ด้วยอายุ ด้วยคัมภีร์ ด้วย doctrine ฯลฯ ดังนั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ตอนพระชนมายุประมาณ 35 พรรษา หรือตอนที่กาลิเลโอ โคลัมบัส เสนออะไรขึ้นมา ก็ต้องผ่านอุปสรรคของ "การไม่เชื่อ" จากกระแสเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อุปสรรคของการเรียนรู้สี่ประการคือ not recognize what we see, not say what we think, not do what we say, not see what we do ทำให้เกิด blindspots ได้หลายจังหวะมากมาย มีหนังสือเล่มหนึ่งเป็นเรื่องของเลขาฮิตเลอร์ ที่อยู่ทำงานกับฮิตเล่อร์อย่างใกล้ชิดมาจนวันตายของเขา เธอรับรู้เพียงแต่ว่าฮิตเลอร์เป็นเหมือนคุณลุงใจดี สุภาพ อ่อนโยน ขอบคุณเวลาเธอยกกาแฟมาให้ ถามไถ่ทุกข์สุขเธอ บนรถไฟส่วนตัวของฮิตเล่อร์นั้นหน้าต่างจะมีม่านปิดตลอด เวลาที่ผ่านเมืองที่ถูกสงครามทำลาย รถไฟจะหลีกเลี่ยงผ่านบริเวณที่ถูกทำลายอย่างหนัก เวลาที่ฮิตเล่อร์เซ็นหนังสือ execute Jews เป็นจำนวนล้่านคนนั้น ทั้งหมดเป็นเพียงจดหมายเซ็นงานธรรมดาๆ ไม่มีอะไรที่จะสื่อถึงชีวิตที่สูญเสียไป การตัดขาดความเชื่อมโยงเหล่านี้ทำให้ morality ของคนนั้น corrupted ได้อย่างง่ายดาย สำหรับเลขาฮิตเล่อร์คนนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่ฮิตเลอร์จะเป็นคนเลวร้ายอะไร เพราะนั่นเป็น "ประสบการณ์ตรง"ของเธอ เธอ "เห็นอย่างนี้ รับรู้อย่างนี้" ก็แปลความว่าอย่างนี้

และเธอแปลอย่างนี้ รับรู้อย่างนี้ โดย "บริสุทธิ์ใจ" ด้วย

Otto Scharmer เขียนหนังสือเรื่อง Theory U พูดถึงการฟังสี่ระดับ
1. การฟังแบบ I in Me "ฉันในฉัน" คือฟังจากเสียงในหัวของเราเท่านั้น เราเคยแปลยังไง เราก็จะแปลยังงั้น เราจะ download ของเก่าของเรามาให้ความหมายเสมอๆ บ่อยครั้งที่เราแปลกใจ จนไปถึงหงุดหงิดใจ ว่าทำไมคนอื่นๆถึงโง่เง่าเต่าตุ่น ไม่มีใครเห็นภาพชัดเจนเท่าเราอีกแล้ว (เพราะพวกนี้มันไม่ได้แปลเรื่องราวเหมือนเรา)
2. การฟังแบบ I in It "ฉันในมัน" ฟังอย่างเป็น objectives มากขึ้น เราเริ่มใช้ evidence เท่าที่เรามองหา การฟังในระดับนี้เกิดขึ้นในวงการ academic ซึ่งการแปลความ ขึ้นกับคุณภาพของ evidence ที่เราใช้ การสนทนาเป็นในรูปแบบ debate ใครชนะก็คือคนที่ถือหลักฐานที่ดีกว่า แต่จริงๆแล้วเราจะพบว่าหลักฐานที่ดีที่สุดนั้น เป็นเพียง facts เท่านั้น ไม่ใช่ Truth นักวิชาการที่ตระหนักในเรื่องนี้ จะใจเปิดกว้าง พร้อมที่จะเปิดหัวใจของตนต่อหลักฐานใหม่ๆ ต่อความเชื่อ ต่อทฤษฎีใหม่ๆทีดีกว่าเดิม
3. การฟังแบบ I in You "ฉันในเธอ" เป็นการรับฟังเพื่อเข้าใจว่า คนอื่นเขาคิดอย่างไรหนอ เขาถึงแสดงออกมาเช่นนั้น ทุกๆคนไม่มีใครคิดว่าตนเองเป็นคนเลว ตนเองเป็นคนผิด ตนเองเป็นคนเห็นแก่ตัว หรือว่าตนเองกำลังกบฏต่อแผ่นดิน แต่เขามีเหตุผล มีประสบการณ์ที่แตกต่างจากเรา จึงคิดไม่เหมือนเรา ถ้าเราสามารถฝึกทักษะการห้อยแขวนสิ่งที่เราคุ้นชินในการ download ของเก่าๆของเรามาแปลผล สามารถ suspend ความเชื่อและ judgmental attitude ของเราได้ เลิกการทำฟันธง เพราะนัน้นเป็นการ download ของเก่าๆมาใช้ เราจะเกิด Empathy หรือ "อตฺตานํ อุปมํ กเร" (การเอาใจเขามาใส่ใจเรา) ขึ้นมาได้ เราก็จะ "ฟังเป็น" มากขึ้น
4. การฟังแบบ I in Now "ฉันในปัจจุบัน" ถ้าเราฟังในขั้นที่สามมากขึ้นๆ เราก็จะหลุดจากกรอบความคิดเดิมของเรา เห็นชัดเจนมากขึ้นว่า collective mind ตอนนี้เป็นเช่นไร การบริหารจัดการคนรอบข้าง ก็จะมีข้อมูลเข้ามาแบบ 360 องศาอย่างแท้จริง เมื่อนั้น "ความจริง" ที่ใกล้เคียงกับ Truth ณ ขณะใดๆ ก็จะผุดปรากฏขึ้นมาได้


Posted by : phoenix , Date : 2008-09-07 , Time : 17:15:27 , From IP : 172.29.9.243

ความคิดเห็นที่ : 6


   เนื่องจากปัจจุบันบ้านเมืองกำลังวุ่นวาย มีการระดมคน ปลุกเร้า เพื่อดึงมวลชนให้อยู่ฝ่ายเดียวกับตนเอง ผ่านสื่อต่างๆ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว

ขอนำหลักธรรมคำสอนพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราอ่านกันนะครับ

กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล เรียกว่า เกสปุตตสูตร ก็มี กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดี ก่อนเชื่อ มี ๑๐ ประการคือ

1.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
2.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
3.อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
4.อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
5.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
6.อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
7.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
8.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
9.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
10.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน

สิ่งที่พวกเราได้รับรู้จากสื่อต่างๆ เราเชื่อทันทีหรือไม่ เราเชื่อเพราะเหตุใด เราใช้ปัญญาพิจารณาถี่ถ้วนมากน้อยเพียงใด

ใครที่คิดจะไปร่วมชุมนุม ไปแสดงพลัง คิดให้ดีๆก่อนนะครับ เวลาคนจำนวนมากๆไปอยู่รวมกัน เวลาเกิดเหตุชุลมุน ( ทุกครั้งที่ผ่านมาจะอ้างว่ามีมือที่ 3 ตลอด ) อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น อันตรายอย่างมากครับ

เหตุการณ์ต.ค.ปี 2516 , 2519 และพฤษภาทมิฬ เป็นบทเรียนที่เราควรนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์

ขอให้รักชาติอย่างมีสตินะครับ



Posted by : eng , Date : 2008-09-07 , Time : 17:53:23 , From IP : 172.29.5.221

ความคิดเห็นที่ : 7


   
"All that is needed for evil to prevail is for good men to do nothing."
Edmund Burke, an 18th, Century British Statesman


ขณะที่เราพยายามอยู่กับปัจจุบันขณะนั้น ก็จะเกิด "การกระทำ" (ซึ่ง "การไม่กระทำ" ก็เป็น "การกระทำ" อย่างหนึ่งเหมือนกัน) ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเสมอ เพราะประสบการณ์นั้นไม่มีการหยุดนิ่งแม้เพียงชั่วขณะ เหมือน Time & Space ที่มีการขยัเขยื้อนเคลื่อนที่ตลอดเวลา

บางครั้ง "การไม่กระทำ" ดูแล้วอาจจะเหมือนกับปลอดภัยดี ไม่มี karma จะมี vipaka ได้อย่างไร แต่ถ้าหากการไม่กระทำก็เป็น "กรรมะ" อย่างหนึ่ง เราก็จะสามารถเห็นและติดตามวิปะกะของการไม่กระทำได้พอๆกับการกระทำเช่นกัน

สติ สัมปะชัญญะ ปัญญา จงมีแต่เราทุกคนเทอญ


Posted by : phoenix , Date : 2008-09-07 , Time : 19:07:38 , From IP : 172.29.9.243

ความคิดเห็นที่ : 8


   อยากบอกว่าทำไมถึงมีความคิดที่เห็นแก่ตัวจัง

ไม่นึกว่า นศ.แพทย์ที่นี่จะเห็นแก่ตัวอย่างนี้ ทั้งๆที่ใช้เงินภาษีของประชาชนมา

เรียน อยากบอกว่าผิดหวังมากจริงๆๆ

ประเทศชาติจะล่มจม เพราะ มีคนอย่างพวกคุณ


Posted by : แซ่กิ้ว , E-mail : (----) ,
Date : 2008-09-10 , Time : 15:05:34 , From IP : 202.28.69.164


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.007 seconds. <<<<<