การรับฟังสี่ระดับ
ในยุคนี้ เรื่องการสื่อสาร การรับฟัง การใคร่ครวญ เป็นประเด็นสำคัญที่จะช่วยชี้ทิศทางของสังคม ทั้งในระดับมหภาค และจุลภาค ว่ามนุษยชาติ ตั้งแต่หน่วยย่อยของสังคมไปถึงหน่วยใหญ่ กำลังหันเหมุ่งหน้าไปทางไหน พฤติกรรมมนุษย์แปรเปลี่ยนตามข้อมูล "และ" การแปลความข้อมูลนั้นๆ ซึ่งไม่ได้เป็นไปโดย logic (สมองส่วนหน้า frontal lobe & prefrontal lobe) เท่านั้น ยังมาจากส่วน limbic system (hypocampus, temporal lobe, amygdala) อีกด้วย การผสมผสานระหว่างความคิด และความรู้สึกเป็นไปอย่างต่อเนืองแยกแยะจากกันยากยิ่ง เพราะการตีความ ให้ความหมายนั้น ขึ้นกับ "ประสบการณ์ในอดีต" ซึ่งแต่ละคนมีความหลากหลาย และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความแตกต่างของการให้ความหมายนั้นแทบจะเป็นสิ่งแน่นอนที่สุดประการหนึ่ง แต่ปัญหาก็คือ เกิดการ attach value หรือการให้คะแนนความดี_เลว ความถูกต้องความผิดพลาด ผนวกไปกับการตีความนั้นๆไปด้วย และเมื่อไรคุณค่าเหล่านี้ถูกผนวกติดไปกับความคิด อุดมคติ ก็เกิดความเสี่ยงที่ self จะเสียไปเมือคุณค่าดังกล่าวถูกโจมตี หรือแม้กระทั่งเปรียบเทียบ
เพราะถ้าสิ่งที่เราคิดนั้น "ดี" สิ่งที่ตรงกันข้ามน่าจะ "ดีไม่ได้" หรือ "เลว"??
สิ่งที่เราคิดนั้น "ถูก" สิ่งที่แตกต่างออกไปน่าจะ "ไม่ถูก" หรือ "ถูกน้อยกว่า"??
Stephen Hawking เคยตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อไรก็ตามที่มี new idea มาท้าทายความเชื่อเก่า แทนที่คนบางคนจะใคร่ครวญใน logic ของสิ่งใหม่ แต่สิ่งแรกที่มีคนทำก็คือ การ challenge ใน characters ของคนเสนอความคิดใหม่แทน การ rebut ด้วยความรู้เก่า ด้วยประสบการณ์เก่า ด้วยวุฒิเก่า ด้วยอายุ ด้วยคัมภีร์ ด้วย doctrine ฯลฯ ดังนั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ตอนพระชนมายุประมาณ 35 พรรษา หรือตอนที่กาลิเลโอ โคลัมบัส เสนออะไรขึ้นมา ก็ต้องผ่านอุปสรรคของ "การไม่เชื่อ" จากกระแสเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อุปสรรคของการเรียนรู้สี่ประการคือ not recognize what we see, not say what we think, not do what we say, not see what we do ทำให้เกิด blindspots ได้หลายจังหวะมากมาย มีหนังสือเล่มหนึ่งเป็นเรื่องของเลขาฮิตเลอร์ ที่อยู่ทำงานกับฮิตเล่อร์อย่างใกล้ชิดมาจนวันตายของเขา เธอรับรู้เพียงแต่ว่าฮิตเลอร์เป็นเหมือนคุณลุงใจดี สุภาพ อ่อนโยน ขอบคุณเวลาเธอยกกาแฟมาให้ ถามไถ่ทุกข์สุขเธอ บนรถไฟส่วนตัวของฮิตเล่อร์นั้นหน้าต่างจะมีม่านปิดตลอด เวลาที่ผ่านเมืองที่ถูกสงครามทำลาย รถไฟจะหลีกเลี่ยงผ่านบริเวณที่ถูกทำลายอย่างหนัก เวลาที่ฮิตเล่อร์เซ็นหนังสือ execute Jews เป็นจำนวนล้่านคนนั้น ทั้งหมดเป็นเพียงจดหมายเซ็นงานธรรมดาๆ ไม่มีอะไรที่จะสื่อถึงชีวิตที่สูญเสียไป การตัดขาดความเชื่อมโยงเหล่านี้ทำให้ morality ของคนนั้น corrupted ได้อย่างง่ายดาย สำหรับเลขาฮิตเล่อร์คนนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่ฮิตเลอร์จะเป็นคนเลวร้ายอะไร เพราะนั่นเป็น "ประสบการณ์ตรง"ของเธอ เธอ "เห็นอย่างนี้ รับรู้อย่างนี้" ก็แปลความว่าอย่างนี้
และเธอแปลอย่างนี้ รับรู้อย่างนี้ โดย "บริสุทธิ์ใจ" ด้วย
Otto Scharmer เขียนหนังสือเรื่อง Theory U พูดถึงการฟังสี่ระดับ
1. การฟังแบบ I in Me "ฉันในฉัน" คือฟังจากเสียงในหัวของเราเท่านั้น เราเคยแปลยังไง เราก็จะแปลยังงั้น เราจะ download ของเก่าของเรามาให้ความหมายเสมอๆ บ่อยครั้งที่เราแปลกใจ จนไปถึงหงุดหงิดใจ ว่าทำไมคนอื่นๆถึงโง่เง่าเต่าตุ่น ไม่มีใครเห็นภาพชัดเจนเท่าเราอีกแล้ว (เพราะพวกนี้มันไม่ได้แปลเรื่องราวเหมือนเรา)
2. การฟังแบบ I in It "ฉันในมัน" ฟังอย่างเป็น objectives มากขึ้น เราเริ่มใช้ evidence เท่าที่เรามองหา การฟังในระดับนี้เกิดขึ้นในวงการ academic ซึ่งการแปลความ ขึ้นกับคุณภาพของ evidence ที่เราใช้ การสนทนาเป็นในรูปแบบ debate ใครชนะก็คือคนที่ถือหลักฐานที่ดีกว่า แต่จริงๆแล้วเราจะพบว่าหลักฐานที่ดีที่สุดนั้น เป็นเพียง facts เท่านั้น ไม่ใช่ Truth นักวิชาการที่ตระหนักในเรื่องนี้ จะใจเปิดกว้าง พร้อมที่จะเปิดหัวใจของตนต่อหลักฐานใหม่ๆ ต่อความเชื่อ ต่อทฤษฎีใหม่ๆทีดีกว่าเดิม
3. การฟังแบบ I in You "ฉันในเธอ" เป็นการรับฟังเพื่อเข้าใจว่า คนอื่นเขาคิดอย่างไรหนอ เขาถึงแสดงออกมาเช่นนั้น ทุกๆคนไม่มีใครคิดว่าตนเองเป็นคนเลว ตนเองเป็นคนผิด ตนเองเป็นคนเห็นแก่ตัว หรือว่าตนเองกำลังกบฏต่อแผ่นดิน แต่เขามีเหตุผล มีประสบการณ์ที่แตกต่างจากเรา จึงคิดไม่เหมือนเรา ถ้าเราสามารถฝึกทักษะการห้อยแขวนสิ่งที่เราคุ้นชินในการ download ของเก่าๆของเรามาแปลผล สามารถ suspend ความเชื่อและ judgmental attitude ของเราได้ เลิกการทำฟันธง เพราะนัน้นเป็นการ download ของเก่าๆมาใช้ เราจะเกิด Empathy หรือ "อตฺตานํ อุปมํ กเร" (การเอาใจเขามาใส่ใจเรา) ขึ้นมาได้ เราก็จะ "ฟังเป็น" มากขึ้น
4. การฟังแบบ I in Now "ฉันในปัจจุบัน" ถ้าเราฟังในขั้นที่สามมากขึ้นๆ เราก็จะหลุดจากกรอบความคิดเดิมของเรา เห็นชัดเจนมากขึ้นว่า collective mind ตอนนี้เป็นเช่นไร การบริหารจัดการคนรอบข้าง ก็จะมีข้อมูลเข้ามาแบบ 360 องศาอย่างแท้จริง เมื่อนั้น "ความจริง" ที่ใกล้เคียงกับ Truth ณ ขณะใดๆ ก็จะผุดปรากฏขึ้นมาได้
Posted by : phoenix , Date : 2008-09-07 , Time : 17:15:27 , From IP : 172.29.9.243
|