ความคิดเห็นทั้งหมด : 1

จิตตปัญญาเวชศึกษา 75: บรมครู ข้าฯขอน้อมศีรษะคารวะ


   
บรมครู ข้าฯขอน้อมศีรษะคารวะ


ในการเรียนใดๆก็ตาม เรามี "ครู" เป็นสรณะ สมัยก่อนบิดามารดาพาลูกไปหาครู เอาดอกไม้ธูปเทียนใส่พานไปไหว้ครู​ เพื่อแสดงจิตศิโรราบ มอบกายมอบใจ ตั้งใจเรียนศึกษาวิทยาการต่างๆ ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์เป็นรากฐานของการส่งต่อคุณค่า วิทยาความรู้ จากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง เป็นศักยภาพอันเป็นเอกลักษณ์ของ Homo sapien sapien ที่ความทรงจำ ความรู้ และศักยภาพที่ปัจเจกมี ไม่สิ้นสุด สลายไปเมื่อชีวิตจบสิ้น แต่สามารถถ่ายทอด ทำให้เกิดการ "ต่อยอด" ทำให้เกิดการพัฒนารุ่นลูกหลานที่แข็งแรงกว่า ฉลาดกว่า มีศักยภาพที่สูงกว่าเดิม เป็น species ที่ถูกออกแบบมาให้ผลิตอภิชาตบุตร อภิชาตศิษย์ ธำรงเผ่าพันธุ์

สมัยก่อนนั้น ครูกับศิษย์อยู่ด้วยกัน ใกล้ชิดกัน ไม่เพียงแค่ศิลปวิทยาการเท่านั้นที่มีการถ่ายทอดให้กัน แต่รวมไปถึงการธำรงชีวิต การใช้ชีวิต การอยู่ในสังคม มารยาท จริยศาสตร์ จรรยาบรรณ และเหนืออื่นใดก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในลักษณะแห่งการรักที่ปราศจากเงื่อนไข ที่แฝงอยู่ในความเมตตาปราณี คำพูด วจนภาษาและอวจนภาษา ความสัมพันธ์นี้ทำให้มนุษย์ถ่ายทอดความรักจากรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่ง เป็นความดีที่จะทดแทนได้ต่อเมื่อเราสานต่อเจตนารมณ์ ไปกระทำกับมนุษย์รุ่นต่อๆไป ให้เผ่าพันธุ์อยู่ได้อย่างมีความหมาย และถักทอเป็น fabric อันมั่นคงแข็งแรงเต็มไปด้วยศักยภาพปรับตัวเปลี่ยนแปลงเพื่อเผชิญอุปสรรค ใหม่ๆ ให้ความหมายใหม่ที่ดีกว่าเก่า เกิดจิตวิวัฒน์ที่ประภัสสรมากขึ้นเรื่อยๆ

โรงเรียนแพทย์ของมูลนิธิพุทธฉือจี้ ที่ไต้หวัน เน้นเรื่องการกตัญญูรู้คุณ กิจกรรมที่ทำขึ้นจนสามารถแสดงออกซึ่งคุณธรรมเรื่องนี้ คือปรัชญาเรื่อง "บรมครูผู้ไร้เสียง (Silent Mentor)" อันหมายถึง "ร่างอาจารย์ใหญ่" หรือร่างกายคนที่ได้รับบริจาคเพื่อการศึกษาวิชากายวิภาคศาสตร์ (anatomy) ในการเรียนการสอนของโรงเรียนแพทย์นั่นเอง



ท่านธรรมาจารย์เจิ้นเหยียนได้กล่าวสรรเสริญ จิตเมตตาของผู้ป่วยที่บริจาคร่างกายและสมาชิกของครอบครัวอย่างที่สุด ว่าเป็นทานอันยิ่งใหญ่ ที่สืบทอดความเมตตา ความรัก และความหมายที่คนรุ่นหนึ่งจะสามารถถ่ายโอนไปให้รุ่นต่อๆไปถึงคุณค่า วิถีการดำรงชีวิต และการตายอย่างสง่างาม อย่างมีศักดิ์ศรี (dead with grace and dignity) เป็นการกระทำอันหลุดพ้นอัตตา ปล่อยวาง และเปี่ยมด้วยความรักบริสุทธิ์ต่อมวลมนุษย์อย่างแท้จริง

นักศึกษาแพทย์ของโรงเรียนแพทย์ฉือจี้ จะต้องปฏิบัติต่อบรมครูผู้ไร้เสียงนี้ด้วยกิริยาอันงดงาม และด้วยจิตกตัญญู ต่อทั้งเจ้าของร่างและต่อลูกหลานครอบครัวของผู้บริจาค ทำการศึกษาชีวิตของท่าน วิถีการคิด กระบวนทัศน์ของท่าน รวมทั้งได้รับทราบถึงเจตนารมณ์ของท่านว่าอะไรคือสิ่งที่ท่านต้องการจะ ถ่ายทอดให้ นอกเหนือจากวิชากายวิภาคศาสตร์แล้ว สิ่งทีมีค่าที่สุดที่ท่านได้ให้คือ "การเสียสละเพื่อความดีนั้น เป็นที่สุดของการเดินทางมาถึงจุดจบในชาติภพนี้ด้วยความสง่างาม"

วันนี้ผมกับอาจารย์จารุรินทร์ และอาจารย์ศศิกานต์ก็ได้สอน holistic doctor programme ให้แก่ extern กองศัลยกรรม ระหว่างนั้นเราก็ได้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างครุแพทย์ และลูกศิษย์หรือนักเรียนแพทย์ พูดถึงเรื่องจำนวนนักศึกษาที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งเกิดความลำบากมากขึ้นในการที่ครูจะมีโอกาสทำความรู้จักกับ นักเรียนอย่างใกล้ชิดอย่างแต่ก่อน ในตอนนี้เองที่อาจารย์จารุรินทร์เล่าถึงคำพูดของอาจารย์อานนท์ วิทยานนท์ หัวหน้าภาควิชาจิตเวชศาสตร์ รพ.สงขลานครินทร์ ในเรื่องบรมครูผู้ไร้เสียง (อาจารย์อานนท์ ไปดูงานที่มูลนิธิพุทธฉือจี้ด้วยกันกับผม เมื่อเดือนเมษายนปีนี้) ท่านว่า:

"ฉือจี้แสดงให้เราได้เห็นถึงความหมายของบรมครูผู้ไร้เสียง หรืออาจารย์ใหญ่ของเรา ให้เห็นตัวอย่างของการตาย ว่าคือการจากไปอย่างมีศักดิ์ศรี สง่างาม ทิ้งร่องรอยแห่งความงาม ความดี และสัจจธรรมไปให้คนรุ่นหลัง และความสำคัญที่นักเรียนแพทย์ควรจะได้ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ในความหมายเหล่านี้ เพื่อจะได้เป็นต้นทุนแห่งชีวิตและวิชาชีพนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าหากเราได้มองให้ลึกซึ้ง แพทย์ทุกคนยังมี "บรมครูผู้อุทิศ" อีกนับพัน นับหมื่น นั่นคือ "คนไข้ทุกคน" ที่เราได้ไปเรียน ไปตรวจ ไปมีปฏิสัมพันธ์ ให้การรักษา จนเกิดความเชี่ยวชาญ เชื่อมต่อความรู้เชิงทฤษฎี ให้หล่อหลอมกลายเป็นปัญญาเชิงปฏิบัติ ดังนั้นบรมครูผู้อุทิศกลุ่มนี้ ก็เป็นมงคลอย่างที่สุด ที่นักเรียนแพทย์ แพทย์ (ทุกคคน แม้แต่อาจารย์แพทย์ก็ด้วย) พึงปฏิบัติ และรำลึกในพระคุณยิ่งใหญ่ ที่ท่าน ได้ทำให้ก่อเกิดพุทธิปัญญา จลนปัญญา เจตคติ ความหมายแห่งชีวิต ความหมายแห่งการมีอยู่ดับไป ความหมายแห่งความผูกพันในครอบครัว ในสังคม รูปแบบต่างๆ จะโดยตั้งใจหรือไม่ของท่านก็ตาม"




สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
บิดาแห่งการแพทย์ไทย


"การรับรู้" ของคนเราเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง การที่นักเรียนแพทย์ "ให้ความหมาย" ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ตอน สัมภาษณ์คนไข้ ตอนทำแผล ตอนตรวจร่างกาย ตอนไปพูดคุย ว่าจะคิดแค่ว่า "กำลังไปหาข้อมูลทำรายงาน ทำอะไร routine ประจำวัน ไปหาโจทย์เพื่อจะได้ไปอ่านหนังสือ" หรือว่า "ไปหาครู และไปหาความรู้ที่ครูท่านยอมเสียสละร่างกายให้เราได้เรียนได้ศึกษา"

เป็นแค่เสี้ยวเส้นผม ที่แยกแยะ relationship ที่กำลังจะเกิดงอกงามต่อไป ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง

เรากำลังเรียนรู้ "ความเป็นคน" ด้วย บทเรียนของแท้ยิ่งกว่าแท้ authentic life lesson กำลังฉายสด ปราศจากผู้กำกับ ปราศจากสมุดโน้ต แต่จารึกลงไปในประสบการณ์ตรงของทั้งสองฝ่าย ที่เหลือก็ขึ้นอยู่่กับว่าใครจะหยิบมาใคร่ครวญ ไตร่ตรอง กันอย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างเป็น "บารมีสั่งสม" ที่แต่ละคนจะต้อง exercise free will เลือกก่อนว่าจะทำอะไรกับประสบการณ์ตรงหน้าของเรา

สิ่งหนึ่งที่พึงระวังก็คือ คนไข้มักจะแสดงความรักและความตื้นตันในสิ่งที่แพทย์ไปทำให้อย่างมาก และฝ่ายคนไข้และญาติมักจะเป็นฝ่ายที่ "มีความเป็นคน" สูง มี empathy หรือการคิดเผื่อหมอ เผื่อพยาบาล เผื่อโรงพยาบาล จนบางครั้งหมอเกิดความเข้าใจไปว่า หมอเป็นคนให้เท่านั้น ไม่ได้เป็นคนรับ ซึ่งเป็นความคิดที่อันตรายมาก

การที่หมอเป็นผู้เชี่ยวชาญ ได้มาอยู่ในทีที่ "บุญเดินมาให้ที่ทำงาน" โอกาสเช่นนี้ ควรที่จะทำให้เราเกิดสำนึกอย่างกตัญญู สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นเหตุปัจจัยในการที่ส่งเรามาอยู่ ณ ที่ที่เราอยู่นี้ ให้เราทำในสิ่งที่เราทำอยู่นี้

และอย่างน้อยที่สุดที่เราจะทำได้ สำหรับ "บรมครูผู้อุทิศ" นั่นคือ "ข้าฯขอน้อมศีรษะคารวะด้วยความกตัญญู"


Posted by : phoenix , Date : 2008-08-27 , Time : 08:42:29 , From IP : 203.170.234.12

ความคิดเห็นที่ : 1


   ลืมใส่ link ไป

จิตตปัญญาเวชศึกษา 75: บรมครู... ข้าฯขอน้อมศีรษะคารวะ


Posted by : phoenix , Date : 2008-08-27 , Time : 09:29:14 , From IP : 203.170.234.12

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.004 seconds. <<<<<