ความคิดเห็นทั้งหมด : 8

กิจกรรมกับการเรียนจะไปด้วยได้ยังไง????


   ผมไม่ค่อยเห็นใครที่สามารถทำกิจกรรมอย่างเต็มที่ไปพร้อมๆกับการเรียนที่มีคะแนนอย่างสวยหรู หลายคนที่มุ่งทำกิจกรรมจนผลการเรียนไม่ดีนัก แต่หลายคนที่ไม่เคยมายุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมเลย วันๆอยู่แต่กับการอ่านหนังสือ มีคนหลายๆคนที่บอกว่าเรียนพอผ่านแล้วเป็นนักกิจกรรมที่ดี แต่ผู้ปกครองมักจะบอกว่ากิจกรรมไม่ต้องทำ มุ่งทำเกรดดีๆก็พอแล้ว แล้วสรุปว่าควรจะทำอย่างไรดีครับ

Posted by : The Saint , Date : 2003-10-26 , Time : 19:03:39 , From IP : dial-94.ras-2.ska.s.

ความคิดเห็นที่ : 1


   คนที่ทำได้ดีทั้งสองอย่างเหรอ
อืมม ไม่รู้ พสวท คณะวิทย์ฯ ทำได้หรือเปล่า
แต่รุ่นผม พสวท. เรียนดีกิจกรรมเด่น ทั้งนั้นเลย


Posted by : superman , Date : 2003-10-26 , Time : 19:27:34 , From IP : 172.29.1.179

ความคิดเห็นที่ : 2


   ถ้าน้องมุ่งแต่ด้านเรียน ไม่ทำกิจกรรมเลย น้องจะพลาดอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตเหมือนที่พี่เป็นมาแล้ว เชื่อสิ เรียนดีอย่างเดียวไม่ได้ทำให้น้องมีความสุขหรอก

Posted by : Mr.Z , Date : 2003-10-26 , Time : 20:18:08 , From IP : 172.29.3.237

ความคิดเห็นที่ : 3


   มันขึ้นกับว่า คุณนิยามคำว่า "เรียนดี"กับ"กิจกรรมเด่น" ไว้แค่ไหน?

Posted by : โบทซึมุ , Date : 2003-10-26 , Time : 21:02:38 , From IP : 172.29.2.96

ความคิดเห็นที่ : 4


   ไหงมันเป็น all or none ไปได้?

เอาง่ายๆก่อน คนเราต้องมี balance ทั้งด้านความรู้ การงาน และสังคม โดยเฉพาะอาชีพแพทย์ที่ทำงาน "กับ" คนอื่น และ "เพื่อ" คนอื่น และความสำเร็จของอาชีพเรานั้นขึ้นอยู่กับ "ความสุขของผู้อื่น"เป็นตัววัดที่สำคัญที่สุด

การจัดสรรเวลาเรียนและเล่นนั้นคงจะมีประโยชน์ต่อคนทุกสาขา ถ้าเราทราบว่า social skill เป็นเรื่องสำคัญและสั่งสมไว้ตั้งแต่เด็กๆ อาจจะไม่แปลกที่ในช่วงหกปีเราจะกลายเป็นหนอนทุ่มเต็มที่กับการเรียน เพราะ social skill มันจะอยู่และออกมาเมื่อเรียกหาได้ skill ส่วนนี้มีฐานบนเจตคติเป็นนัยสำคัญ

แต่ถ้าเราเรียน alone มาแต่ไหนแต่ไร โอกาสสูงที่เราจะไม่เปลี่ยนหลังจากเข้ามาเรียนแพทย์ ผลที่ว่าจบออกมาแล้วเข้ากับคนอื่นไม่เป้น ทำงานกับคนอื่นไม่ได้ ก็ predictable แต่ไม่ใช่พึ่งมาเกิดในช่วงหกปีนี้ น่าจะเป็นของเรื้อรังกว่านั้น

ทำกิจกรรมเป็นเรื่องดีแต่ไม่ใช่ข้ออ้างในการจัดสรรเวลาไม่ไปน จัดลำดับความสำคัญไม่ได้ เราไม่จำเป็นต้องทำกิจกรรม "เด่น" ของเพียงใช้เวลาว่าง extracurriculum บ้างก็ตรงกับวัตถุประสงค์แล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นกิจกรรมคณะฯ หรือมหาวิทยาลัยซะด้วยซ้ำ แค่เล่นกีฬาทีมตั้งแต่สองคนขึ้นไปก็ได้เรื่อง social skill แล้ว ไม่งั้นเรามิต้องพยายามเป็นหัวหน้าสโมฯกันทุกคนเพื่อให้ได้ชื่อว่าทำกิจกรรมหรอกหรือ จัดกลุ่มท่องเที่ยวปิดเทอม กลุ่มวิจารณ์หนังหรือหนังสือ กล่มดูนก กลุ่ม ฯลฯ ไม่ต้องเด่นต้องดังก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน ปัญหาคือคนที่ไม่ได้มีเจตคติจะทำก็จะไม่ได้คิดว่าจะทำเลย คงไม่ใช่เพราะมานั่งไตร่ตรองว่าตูจะเรียนอย่างเดียว หรือ ทำกิจกรรมบ้างแล้วสุดท้ายตัดสินใจเด็ดขาดว่าเรียนอย่างเดียวดีที่สุด ผมคิดว่า scenario อย่างว่า unlikely and unrealistic

ส่วนที่มีผู้ปกครองบังคับให้เรียนเอาเกรดหลังจากเข้าแพทย์ได้แล้วนั้น ผมไม่สามารถ comment ได้ เพราะ psychology เบื้องหลังนี่ลุ่มลึกเกินเข้าใจ พ่อแม่จะมายุ่งอะไรกับเกรดตอนเรียนแพทย์ และสามารถมีอิทธิพลทำให้ลูกไม่สามารถทำกิจกรรมที่ยกตัวอย่างข้างบนแล้ว คงจะมีการเข้าใจผิดอย่างแรงของปรัชญาการเรียนแบบผู้ใหญ่ ถ้ามีจริงขอแสดงความเป็นห่วง ว่างๆน่าจะไปคุยเล่นๆกับอาจารย์ลิลลี่หรือพี่อานนท์ก็น่าจะดี



Posted by : Phoenix , Date : 2003-10-26 , Time : 21:59:21 , From IP : 172.29.3.215

ความคิดเห็นที่ : 5


   กิจกรรม สอนให้รู้จักว่าเมื่อไหร่ควรหนัก เมื่อไหร่ควรโอนอ่อนผ่อนตาม
ซึ่งไม่มีบอกไว้ในหนางสือ หรือถึงจะมีบอกไว้ก็ไม่เคยได้ลองฝึกปฏิบัติจริง ยังงี้คงไม่ เวิร์ค


Posted by : YOU , Date : 2003-10-27 , Time : 19:51:30 , From IP : 172.29.2.253

ความคิดเห็นที่ : 6


   เห็นด้วยครับ การเรียนอย่างเดียวไม่ทำให้มีความสุขเลย แต่กิจกรรมทำให้คุณได้เรียนรู้อะไรๆมากมายที่ไม่สามารถหาอ่านได้จากในหนังสือเล่มไหนๆ ทั้งยังได้เพื่อนมากขึ้นด้วย
ส่วนคนที่ทำกิจกรรมแล้วเรียนดีด้วยก็มีนะครับ เช่นเจ๊บาส สุดยอดมากครับผู้หญิงคนนี้ นับถือๆ


Posted by : บินเดี่ยวหมื่นลี้ , Date : 2003-10-28 , Time : 23:20:41 , From IP : 203.113.76.71

ความคิดเห็นที่ : 7


   ใครทำกิจกวรรมมากๆ ระวังจะตกนะ แล้วอย่ามาเสียใจทีหลังเหมือนผมล่ะ

Posted by : 000 , Date : 2003-10-31 , Time : 12:50:58 , From IP : 172.29.2.196

ความคิดเห็นที่ : 8


   ทุกๆเหตุการณืมีมุมมองได้หลายประการ บางครั้งเราสามารถใช้ประสบการณ์ที่ดูเหมือนไม่ดี พลิกผันให้กลายเป็น positive force ได้

การสอบตกจากการทำกิจกรรมนั้นเป็นเพราะการจัดสรรแบ่งเวลาไม่ถูกต้อง หลักฐานคือมีหลายท่านที่พอให้เวลามากขึ้นกับการเรียนก็ผ่านได้อย่างคนอื่นๆ ผ่านได้ดีมากซะด้วยสำหรับบางคนที่ผมรู้จัก แต่ประสบการณ์ที่ได้จากการทำกิจกรรมมากขนาดนั้นคนๆนี้จะดึงเอามาเป็นประโยชน์ได้มากน้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง ในที่สุดเวลาที่ช้าไปหนึ่งปีนั้น มันไม่ได้มีความหมายมากมาย เราจะเห็นว่านักเรียนตะวันตกจะมี year-brake ที่ออกไปใช้ชีวิตนอกมหาวิทยาลัยหลังจากจบหลักสูตรภาคบังคับ เพื่อที่จะได้ "รู้" ชีวิตจริงข้างนอกซักหน่อย Prince William ไปอยู่ Chile ไปช่วยก่อสร้างโรงเรียน เข้า community สอนหนังสือเด็ก ประสบการณ์ "extra-curriculum" เหล่านี้มีการทำการศึกษาแล้วว่ามีประโยชน์มาก ทำให้นักเรียนมี perspective ต่อชีวิต อาชีพ มากขึ้น กว่าการที่จะอยู่แต่ในโรงเรียนและเลือกเรียนต่อระดับสูงขึ้นโดยไม่เคยเห็นโลกภายนอกเลย

ไม่ได้พูดให้เห็นว่าสอบได้เป็นเรื่องตลก สอบตกเป็นเรื่องธรรมดา แต่อยากจะบอกว่าประสบการณ์นั้นจะมีความหมายต่อเมื่อเรา "เรียนร้" จากมัน ต่อเมื่อเรานำมาใช้และมีผลต่อพฤติกรรม การตัดสินใจของเราภายหลัง มิเช่นนั้นก็จะเป็นอย่างคำบอกที่ว่า "แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน" คือไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากเวลาที่ผ่านๆไป



Posted by : Phoenix , Date : 2003-10-31 , Time : 17:45:33 , From IP : 172.29.3.234

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.003 seconds. <<<<<