ความคิดเห็นทั้งหมด : 24

คิดอย่างไรกับเรื่อง พอเรียนจบแพทย์แล้วไม่เป็นหมอ


   อยากขอความคิดเห็นนะค่ะ
เพราะเห็นว่ามีหลายๆคนมากที่มีความสามารถหลายๆอย่างที่เก่งๆโดยไม่เกี่ยวข้องกับวิชาที่เรียนเลย บางคนเรียนได้ไม่ดีเลยแต่ถ้าจะสาขาอื่นคงเก่งมากๆ แต่ถ้าให้เบนเข็มกลับคงไม่ไหว แต่เรียนต่อไปก็ได้ไม่ดี ก็กลายเป็นเรียนไปพอผ่าน แล้วจบก็เสียเวลาไป 6 ปีเลย
ขอความคิดเห็น+คำแนะนำ กันเยอะๆนะคะ




Posted by : สาวน้อยจอมแก่น , Date : 2003-10-26 , Time : 00:11:54 , From IP : 202.129.56.182

ความคิดเห็นที่ : 1


   อยากเป็นอะไร? ถึงอย่างไรก็ต้องมีงานทำนะครับ เพื่อชาตินะครับ

Posted by : LIONKING , Date : 2003-10-26 , Time : 08:19:23 , From IP : 172.29.1.134

ความคิดเห็นที่ : 2


   แหวะ เพื่อชาติ......

Posted by : เฮ้ย , Date : 2003-10-26 , Time : 17:11:12 , From IP : 172.29.2.145

ความคิดเห็นที่ : 3


   ช่างเขาดิ....

ยุ่งไรด้วย... อย่าคิดให้วิชาแพทย์มันวิเศษวิโสมากนัก เหมือนที่ชาวบ้านส่วนใหญ่เขาเริ่มคิดกันแล้ว...

คนที่เรียนหมอ ก็เป็นคนที่เข้ามาหาความรู้แขนงนึง ส่วนเขาจะไปทำอาชีพอะไรต่อก็ช่างเขาเถอะคร้าบบบ


Posted by : หมอใจแตก , Date : 2003-10-26 , Time : 17:17:05 , From IP : 172.29.2.145

ความคิดเห็นที่ : 4


   เสียดายเวลาฮับ เสียดายเงิน
ถ้ากะว่าจบมาแล้วทำงานอย่างอื่นจะเสียเวลาเรียนแพทย์ตั้ง6ปีทำไม



มีบางคนจบมาขายผัดไทด้วยแฮะ


Posted by : จ่าพิชิต ขจัดพาลชน , Date : 2003-10-26 , Time : 19:10:54 , From IP : 172.29.2.137

ความคิดเห็นที่ : 5


   เรื่องนี้หลาย factors และเป็นเรื่องส่วนตัวปัจเจกบุคคล

อาจจะแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆคือมีทางเลือก กะไม่มีทางเลือก (ที่จะเปลี่ยน)

กลุ่มหลังคงจะไม่มีข้อจะต้องพูดมาก เช่น ลูกคนเดียวรับมรดกห้าพันล้านจากเตี่ยก็คงต้องไปทำกิจการขายเต้าฮวยส่งดาวอังคารต่อไป หรือคู่ชีวิตมีความจำกัดอย่างแรงที่จะให้เราคงอาชีพแพทย์ไว้ ครอบครัวสำคัญกว่าครับ

กลุ่มมีทางเลือกนี้น่าสนใจ และมีความหลากหลายสาเหตุ

ไม่ว่าจะเป็นอะไร โดยสรุปคือมันเป็นชีวิตของเขาคนนั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์ยุ่งหรือมาต่ค่าอะไรให้มันเสียเวลา แต่เราอาจจะมาวิเคราะห์ได้ว่าถ้าเกิดแล้วมันจะ waste อะไรของใครไปบ้าง และเป็นจุดที่อาจจะต้องมีการดัดแปลงแก้ไข ที่ว่า waste นี้สำคัญ เพราะประเทศเรายากจน การเรียนแพทย์ก็ถูก subsidized โดยเงินภาษีไว้เยอะมาก (เงินเดือนอาจารย์แพทย์ บุคลากร เครื่องมือเครื่องไม้ ถ้า capitol ทั้งหมดต้องแปลงเป็น tuition fee จะมีนักศึกษาจำนวนมากไม่สมารถจ่ายได้) ดังนั้นน่าจะเป็นเรื่องสำคัญที่ถ้าใครรู้ว่าจะเปลี่ยนอาชีพ ควรจะรีบรู้แต่เนิ่นๆ และรีบเปลี่ยนไปซะ ไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด ไม่เพียงแต่ประหยัดทรัพย์ให้คณะฯ โรงพยาบาล และชาติแล้ว จะเป็นการประหยัดเวลาชีวิตของตนเองอีกด้วย หกปีที่รียนหนักและรับผิดชอบสูงแบบนี้ อาจจะเปลี่ยนเป็นประสบการณือื่นที่มีค่า ความหมายตรงกับอาชีพที่แท้จริงที่อยากจะทำหรือจะไปทำมากมายนัก ถ้าทู่ซี้เรียนจนจบมาได้แล้วพึ่งรู้ว่าไม่ชอบ ไม่เอาแน่ ผมก็ยังว่าไปประกอบอาชีพอื่นซะก็ดี ดีต่อตนเอง ต่อคนไข้ และต่อวิชาชีพ เพราะเรื่องนี้คนที่ไม่มีอารมณ์ตั้งใจจะเป็นหมอนั้น ทำไปจะมีแต่ผลเสียต่อทุกคน

ถ้าการเปลี่ยนเกิดเป็น sporadic และเปอร์เซนต์ไม่มาก ก็คงไม่ต้องทำอะไร drastic แต่ถ้าทำท่าจะเป็น epidemic อาจจะต้องจัดสอบ profile ตั้งแต่สัมภาษณ์จนถึง in-training ทุกๆปี และเชิญออกแต่เนิ่นๆถ้าไหวแน่



Posted by : Phoenix , Date : 2003-10-26 , Time : 22:14:26 , From IP : 172.29.3.215

ความคิดเห็นที่ : 6


   ผมว่าการที่เราเรียนเเพทย์เเล้วจบไำปไม่เป็นเเพทย์ไม่ใช่ประเด็นสําคัญหากเเต่ว่าเราเมื่อถึงจุดหนึ่งควรทําเพื่อสังคมบ้า่งนั่นคือเด็กยังคิดเป็นเราควรคิดได้เช่นกันเเละการทําประโยชน์เพื่อประเทศมันไม่นํ้าเน่านะคนเขียนที่บอกนํ้าเน่าคุณเปลี่ยนความคิดเถอะคุณยังไม่โตพอเเน่ๆ

Posted by : คนเก่งจริงที่มีหัวคิด , Date : 2003-10-27 , Time : 09:57:25 , From IP : 172.29.2.177

ความคิดเห็นที่ : 7


   ถ้าคิดว่าเรียนหมอแล้ว ชีวิตคุณต้องอยู่แต่ในโรงพยาบาลและคนใข้ เกี๊ยวว่าคุณคิดผิดนะ และถ้าเรียนจนจบแล้วคิดว่าทำได้ไม่ดีหรือไม่ใช่ในสิ่งที่ชอบสู้ออกไปทำงานอย่างอื่นที่เรามีความสุขและทำได้ดีไม่ดีกว่าเหรอ

Posted by : เกี๊ยวซ่า , Date : 2003-10-27 , Time : 14:16:10 , From IP : 172.29.2.153

ความคิดเห็นที่ : 8


   เห็นหมออนามัยบางคนอยากเป็นแพทย์จะตาย (โครงการพิเศษ) แบบว่ารักในอาชีพนี้จริงๆ อยากช่วยชาวบ้านแฮะๆๆ แหวะ ไม่อยาก SAID ้เลย (เพราะความจริงอยากมีเมียเป็นแพทย์ ขอให้สมใจอยากนะเว้ย)

Posted by : หมออนามัย , E-mail : (-) ,
Date : 2003-10-27 , Time : 16:24:25 , From IP : 202.47.247.130


ความคิดเห็นที่ : 9


   น่าเรียนแบบน่ะสิ

Posted by : 00 , Date : 2003-10-27 , Time : 19:09:11 , From IP : 172.29.2.253

ความคิดเห็นที่ : 10


   คิดผิดตั้งแต่แรกที่เข้ามาสมัคร แต่มันถอนตัวไม่ได้แล้ว จบแล้วไม่อยากเป็นควายจึงต้องออกไปทำอย่างอื่นที่ดีกว่านี้

Posted by : เบื่อโว้ย , Date : 2003-10-29 , Time : 13:02:40 , From IP : 172.29.3.213

ความคิดเห็นที่ : 11


   คิดผิดตั้งแต่แรกที่เข้ามาสมัคร แต่มันถอนตัวไม่ได้แล้ว จบแล้วไม่อยากเป็นควายจึงต้องออกไปทำอย่างอื่นที่ดีกว่านี้

Posted by : เบื่อโว้ย , Date : 2003-10-29 , Time : 13:03:02 , From IP : 172.29.3.213

ความคิดเห็นที่ : 12


   ความจริงถอนตัวได้นะครับ ผมคิดว่าถ้าใครต้องการจะลาออกจริงๆ ไม่ว่าคณะไหนก็ตาม ไม่มีใครสามารถห้ามได้อยู่แล้ว มันเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะเลือกเป็นควายพันธุ์ต่างๆกันหรือหาที่เรียนเพื่อรู้ว่าควายคืออะไรก็มีหลายวิชาอยู่



Posted by : Phoenix , Date : 2003-10-29 , Time : 18:04:37 , From IP : 172.29.3.203

ความคิดเห็นที่ : 13


   คิดถูกแล้ว หลายคนเรียนมาไกลเกินกว่าที่จะถอนตัว ก็ต้องทนๆเรียนให้จบๆไป เราเองก็เช่นกันคงทนๆเรียนให้จบ แล้วค่อยคิดต่อไปว่าจะไปทำอะไรดี

Posted by : นศพ. , Date : 2003-11-02 , Time : 10:04:42 , From IP : 172.29.2.160

ความคิดเห็นที่ : 14


   สงสัยว่านิยามของ "เกินกว่าที่จะถอนตัว" ของเราจะไม่เหมือนกัน

ของผมนั้น วลีนี้หมายความว่าไม่สามารถถอนตัวได้ จำเป็นต้องดำเนินต่อไปเรื่อยอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง เพราะการหลบหรือเปลี่ยนจะก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

ไม่ใช่หมายความว่าทางเลือกยังมี แถมยังอาจจะดีกว่า อย่างนี้ฟังดูไม่ใช่เกินกว่าที่จะถอนตัว คิดดูอาจจะมีอีกจำพวกแฝงอยู่คือ ตนเองไม่เคยรู้ว่าตัวเอง "ต้องการ" จะทำอะไร เพียงแต่รู้ว่าตนเอง "ไม่ชอบ" ทำอะไร เลยต้องใช้วิธีลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ แต่โอกาสที่จะเจอของดีที่ตนเองชอบนั้นอาจจะยาก ตราบใดที่ยังไม่ทราบความต้องการของตนเอง หรือรู้จักตนเองก่อน

เรื่องรู้จักตนเอง ทราบความต้องการของตนเอง หรือมีจุดมุ่งหมายในการคงอยู่ของตน (meaning of self existence) นั้น เป็นคุณลักษณะประการหนึ่งของคนที่โตแล้ว (หมายถึง mature แล้ว) ถ้าหากอยากจะรู้ว่าเราจะเรียนอะไรดี ประกอบอาชีพอะไรดี สามารถเริ่มจากการเป็นผู้ใหญ่ คิดเป็นผู้ใหญ่ ดีกว่าการ "คิด" ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ไม่ดี แต่สายเกินกว่าที่จะเปลี่ยนทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าเปลี่ยนเป็นอะไร ถ้าหากจะเรียนแพทย์เพียงเพื่อให้มันจบๆออกไปนั้นแล้วจะเปลี่ยนอาชีพแน่ๆ ขอแนะนำให้เปลี่ยนซะเดี๋ยวนี้ เป็นประโยชน์ต่อตนเอง คนไข้ในอนาคต และอาชีพแพทย์ ทนเรียนไปตัวเองก็ไม่มีความสุข อาจารย์ก็ลำบากใจ คนไข้ก็ถูกดูแลอย่างซังกะตาย ไม่รู้ว่าจะทนไปทำไม สู้เริ่มต้นใหม่ อาจจะยังประโยชน์ในสังคมได้อย่างที่โดยตนเองก็มีความสุข



Posted by : Phoenix , Date : 2003-11-02 , Time : 14:44:18 , From IP : 172.29.3.201

ความคิดเห็นที่ : 15


   สงสัยว่านิยามของ "เกินกว่าที่จะถอนตัว" ของเราจะไม่เหมือนกัน

ของผมนั้น วลีนี้หมายความว่าไม่สามารถถอนตัวได้ จำเป็นต้องดำเนินต่อไปเรื่อยอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง เพราะการหลบหรือเปลี่ยนจะก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

ไม่ใช่หมายความว่าทางเลือกยังมี แถมยังอาจจะดีกว่า อย่างนี้ฟังดูไม่ใช่เกินกว่าที่จะถอนตัว คิดดูอาจจะมีอีกจำพวกแฝงอยู่คือ ตนเองไม่เคยรู้ว่าตัวเอง "ต้องการ" จะทำอะไร เพียงแต่รู้ว่าตนเอง "ไม่ชอบ" ทำอะไร เลยต้องใช้วิธีลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ แต่โอกาสที่จะเจอของดีที่ตนเองชอบนั้นอาจจะยาก ตราบใดที่ยังไม่ทราบความต้องการของตนเอง หรือรู้จักตนเองก่อน ปัญหาใหญ่ที่สุดเห็นจะเป็นแม้แต่ตนเองไม่ชอบทำอะไรไม่รู้เหมือนกัน การลองผิดลองถูกเป็นแบบ absolute, double blind อาการไม่รู้อะไรเลยนี้คนปกติจะเป็นในช่วงเริ่มแรกขอชีวิต และดีขึ้นเรื่อยๆตามวัยวุฒิที่เหมาะสม

เรื่องรู้จักตนเอง ทราบความต้องการของตนเอง หรือมีจุดมุ่งหมายในการคงอยู่ของตน (meaning of self existence) นั้น เป็นคุณลักษณะประการหนึ่งของคนที่โตแล้ว (หมายถึง mature แล้ว) ถ้าหากอยากจะรู้ว่าเราจะเรียนอะไรดี ประกอบอาชีพอะไรดี สามารถเริ่มจากการเป็นผู้ใหญ่ คิดเป็นผู้ใหญ่ ดีกว่าการ "คิด" ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ไม่ดี แต่สายเกินกว่าที่จะเปลี่ยนทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าเปลี่ยนเป็นอะไร ถ้าหากจะเรียนแพทย์เพียงเพื่อให้มันจบๆออกไปนั้นแล้วจะเปลี่ยนอาชีพแน่ๆ ขอแนะนำให้เปลี่ยนซะเดี๋ยวนี้ เป็นประโยชน์ต่อตนเอง คนไข้ในอนาคต และอาชีพแพทย์ ทนเรียนไปตัวเองก็ไม่มีความสุข อาจารย์ก็ลำบากใจ คนไข้ก็ถูกดูแลอย่างซังกะตาย ไม่รู้ว่าจะทนไปทำไม สู้เริ่มต้นใหม่ อาจจะยังประโยชน์ในสังคมได้อย่างที่โดยตนเองก็มีความสุข



Posted by : Phoenix , Date : 2003-11-02 , Time : 14:48:41 , From IP : 172.29.3.201

ความคิดเห็นที่ : 16


   สงสัยว่านิยามของ "เกินกว่าที่จะถอนตัว" ของเราจะไม่เหมือนกัน

ของผมนั้น วลีนี้หมายความว่าไม่สามารถถอนตัวได้ จำเป็นต้องดำเนินต่อไปเรื่อยอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง เพราะการหลบหรือเปลี่ยนจะก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

ไม่ใช่หมายความว่าทางเลือกยังมี แถมยังอาจจะดีกว่า อย่างนี้ฟังดูไม่ใช่เกินกว่าที่จะถอนตัว คิดดูอาจจะมีอีกจำพวกแฝงอยู่คือ ตนเองไม่เคยรู้ว่าตัวเอง "ต้องการ" จะทำอะไร เพียงแต่รู้ว่าตนเอง "ไม่ชอบ" ทำอะไร เลยต้องใช้วิธีลองผิดลองถูก

ไปเรื่อยๆ แต่โอกาสที่จะเจอของดีที่ตนเองชอบนั้นอาจจะยาก ตราบใดที่ยังไม่ทราบความต้องการของตนเอง หรือรู้จักตนเองก่อน ปัญหาใหญ่ที่สุดเห็นจะเป็นแม้แต่ตนเองไม่ชอบทำอะไรไม่รู้เหมือนกัน การลองผิดลองถูกเป็นแบบ absolute,

double blind อาการไม่รู้อะไรเลยนี้คนปกติจะเป็นในช่วงเริ่มแรกขอชีวิต และดีขึ้นเรื่อยๆตามวัยวุฒิที่เหมาะสม

เรื่องรู้จักตนเอง ทราบความต้องการของตนเอง หรือมีจุดมุ่งหมายในการคงอยู่ของตน (meaning of self existence) นั้น เป็นคุณลักษณะประการหนึ่งของคนที่โตแล้ว (หมายถึง mature แล้ว) ถ้าหากอยากจะรู้ว่าเราจะเรียนอะไรดี ประกอบ

อาชีพอะไรดี สามารถเริ่มจากการเป็นผู้ใหญ่ คิดเป็นผู้ใหญ่ ดีกว่าการ "คิด" ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ไม่ดี แต่สายเกินกว่าที่จะเปลี่ยนทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าเปลี่ยนเป็นอะไร ถ้าหากจะเรียนแพทย์เพียงเพื่อให้มันจบๆออกไปนั้นแล้วจะเปลี่ยนอาชีพ

แน่ๆ ขอแนะนำให้เปลี่ยนซะเดี๋ยวนี้ เป็นประโยชน์ต่อตนเอง คนไข้ในอนาคต และอาชีพแพทย์ ทนเรียนไปตัวเองก็ไม่มีความสุข อาจารย์ก็ลำบากใจ คนไข้ก็ถูกดูแลอย่างซังกะตาย ไม่รู้ว่าจะทนไปทำไม สู้เริ่มต้นใหม่ อาจจะยังประโยชน์ใน

สังคมได้อย่างที่โดยตนเองก็มีความสุข



Posted by : Phoenix , Date : 2003-11-02 , Time : 14:59:11 , From IP : 172.29.3.201

ความคิดเห็นที่ : 17


   สงสัยว่านิยามของ "เกินกว่าที่จะถอนตัว" ของเราจะไม่เหมือนกัน

ของผมนั้น วลีนี้หมายความว่าไม่สามารถถอนตัวได้ จำเป็นต้องดำเนินต่อไปเรื่อยอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง เพราะการหลบหรือเปลี่ยนจะก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

ไม่ใช่หมายความว่าทางเลือกยังมี แถมยังอาจจะดีกว่า อย่างนี้ฟังดูไม่ใช่เกินกว่าที่จะถอนตัว คิดดูอาจจะมีอีกจำพวกแฝงอยู่คือ ตนเองไม่เคยรู้ว่าตัวเอง "ต้องการ" จะทำอะไร เพียงแต่รู้ว่าตนเอง "ไม่ชอบ" ทำอะไร เลยต้องใช้วิธีลองผิดลองถูก

ไปเรื่อยๆ แต่โอกาสที่จะเจอของดีที่ตนเองชอบนั้นอาจจะยาก ตราบใดที่ยังไม่ทราบความต้องการของตนเอง หรือรู้จักตนเองก่อน ปัญหาใหญ่ที่สุดเห็นจะเป็นแม้แต่ตนเองไม่ชอบทำอะไรไม่รู้เหมือนกัน การลองผิดลองถูกเป็นแบบ absolute,

double blind อาการไม่รู้อะไรเลยนี้คนปกติจะเป็นในช่วงเริ่มแรกขอชีวิต และดีขึ้นเรื่อยๆตามวัยวุฒิที่เหมาะสม

เรื่องรู้จักตนเอง ทราบความต้องการของตนเอง หรือมีจุดมุ่งหมายในการคงอยู่ของตน (meaning of self existence) นั้น เป็นคุณลักษณะประการหนึ่งของคนที่โตแล้ว (หมายถึง mature แล้ว) ถ้าหากอยากจะรู้ว่าเราจะเรียนอะไรดี ประกอบ

อาชีพอะไรดี สามารถเริ่มจากการเป็นผู้ใหญ่ คิดเป็นผู้ใหญ่ ดีกว่าการ "คิด" ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ไม่ดี แต่สายเกินกว่าที่จะเปลี่ยนทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าเปลี่ยนเป็นอะไร ถ้าหากจะเรียนแพทย์เพียงเพื่อให้มันจบๆออกไปนั้นแล้วจะเปลี่ยนอาชีพ

แน่ๆ ขอแนะนำให้เปลี่ยนซะเดี๋ยวนี้ เป็นประโยชน์ต่อตนเอง คนไข้ในอนาคต และอาชีพแพทย์ ทนเรียนไปตัวเองก็ไม่มีความสุข อาจารย์ก็ลำบากใจ คนไข้ก็ถูกดูแลอย่างซังกะตาย ไม่รู้ว่าจะทนไปทำไม สู้เริ่มต้นใหม่ อาจจะยังประโยชน์ใน

สังคมได้อย่างที่โดยตนเองก็มีความสุข



Posted by : Phoenix , Date : 2003-11-02 , Time : 15:15:59 , From IP : 172.29.3.248

ความคิดเห็นที่ : 18


   ก็อยากออกไปทำอย่างอื่นเลยนะ ไม่อยากเรียนแล้ว แต่บางครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่คิดอยากออกก็ออกไปเลย มันมีองค์ประกอบหลายอย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ที่สำคัญคือครอบครัว รู้สึกแย่มากๆตอนนี้ ไม่มีซักวันที่ตื่นนอนมาแล้วอยากไปเรียนเลย ไม่มีความสุขเลยซักวัน

Posted by : นศพ. , Date : 2003-11-02 , Time : 20:09:37 , From IP : 172.29.2.133

ความคิดเห็นที่ : 19


   ถ้าสงสัยว่าอาจจะเป็น acute anxiety reaction เฉยๆ แนะนำให้ปรึกษาอาจารย์จิตเวชดู เช่น อาจารย์ลิลลี่ หรืออาจารย์อานนท์ อาการเบื่อโลกที่ว่าเป็นได้กับทุกสาขาอาชีพ ลาออกหรือเปลี่ยนวิชาอาจไม่ได้เป็นหนทางเสมอไป

ข้อดีคือสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากความรู้สึกรับผิดชอบในใจตนเองบอกว่างานเราไม่เสร็จ สิ่งที่เรารับผิดชอบยังไม่ทำหรือยังไม่ลุล่วง แต่การแก้ปัญหาน่าจะเป็นเผชิญปัญหามากกว่าคิดจะหลบหรือคิดว่ามันจะหายไปเองในที่สุด

นักเรียนแพทย์ชั้นนำจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวก perfectionist จะมีความรู้สึกอย่างนี้ได้ หากไม่สามารถทำใจได้ว่าความรู้แพทย์ไม่จำเป็นต้องเรียนหมดในเวลาแค่หกปีนี้ก็จะกลัดกลุ้มใจ ยิ่งเวลาเข้า conference เห็นแพทย์ประจำบ้านที่มีความรู้มากกว่ายังถูกอัดกลิ้งไปกลิ้งมา ก็อาจจะเกิดความท้อแท้ แต่ต้องทำใจและตรวจสอบดูให้รู้แน่ว่าอะไรคือกรอบที่ระดับนศพ.ต้องทำ ไม่ต้องพยายามจะรู้เท่าแพทย์เฉพาะทางตั้งแต่ตอนนี้ ลองคุยกับเพื่อนที่ทำได้ ไม่มีปัญหาว่าเขาทำอย่างไร ถ้าไม่รู้ว่าคุยกับใครก็คุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่คณะฯจัดให้ อย่าปล่อยให้เป็นปัญหาเรื้อรัง

แต่ถ้าผ่านการไตร่ตรองมาแล้ว และทราบว่าแพทย์ไม่เหมาะกับตัวเราแน่ๆ ก็ขอแนะนำอย่างจริงใจว่าก็เปลี่ยนไปซะ เราไม่ควรทำอะไรเพื่อ please ครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกี่ยวกับชีวิตที่เหลือของเราทั้งชีวิต และอาจจะกระทบต่อชีวิตผู้อื่นอีกจำนวนมาก



Posted by : Phoenix , Date : 2003-11-02 , Time : 21:10:00 , From IP : 172.29.3.220

ความคิดเห็นที่ : 20


   เห้นด้วย เมื่อไหร่จะจบซักที จะได้ไปทำอะไรที่อยากทำบ้าง เบื่อเหมือนกันอ่ะ
จะลาออกก็ไม่ได้ ( ไม่งั้นพ่อไล่ออกจากบ้าน)



Posted by : เซ็ง , Date : 2003-11-09 , Time : 15:53:20 , From IP : 172.29.2.94

ความคิดเห็นที่ : 21


   ที่เคยเห็นมาคือเด็กขู่พ่อแม่ว่าถ้ามายุ่งกับชีวิตเขามากนักจะหนีออกจากบ้าน หรือแยกบ้านออกไปซะเลยน่ะครับ แต่อย่างที่เคยเรียนให้ทราบ trend มันย้อนทางกันระหว่าง precocious กะ prolong-immaturity เด็กตะวันตกกะเด็กตะวันออก



Posted by : Phoenix , Date : 2003-11-10 , Time : 16:03:02 , From IP : 172.29.3.98

ความคิดเห็นที่ : 22


   คนเป็นหมอส่วนใหญ่เห็นแก่เงินมากกว่าสิ่งที่คิดเริ่มต้นก่อนที่จะเรียน

Posted by : ป๊อป , Date : 2005-11-23 , Time : 12:37:02 , From IP : 203.113.61.132

ความคิดเห็นที่ : 23


   ทำไมถึงทราบว่า "ส่วนใหญ่" นะครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-23 , Time : 15:32:30 , From IP : 172.29.3.111

ความคิดเห็นที่ : 24


   ไม่เป็นหมอก็ไปเป็นหมาซิ

Posted by : ควายเหมือนกัน , E-mail : (buf@hotmail.com) ,
Date : 2006-04-25 , Time : 13:20:40 , From IP : tot-102-70.pacific.n


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.01 seconds. <<<<<