ความคิดเห็นทั้งหมด : 21

เรื่องอะไรที่ควรถูกถอน (เซ็นเซอร์) จากกระดานข่าว?


   หัวข้อนี้อาจจะค่อนข้าง sensitive (และมีสิทธิ์ถูก banned!!!) แต่ผมเองมีความเห็นส่วนตัวคือ สิทธิส่วนบุคคลเป็นของมีค่า และสิทธิในการแสดงความเห็นเป็นหนึ่งในสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ ผมมีความเชื่อด้วยว่าปัญหาต่างๆที่คั่งค้างตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศนั้นเกิดขึ้นเพราะวัฒนธรรมการไม่พูดจาหากัน การไม่พูดจาหากันนั้น อะไรที่เป็นความเข้าใจไม่ตรงกันก็ไม่มีหวังที่จะเกิดการปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายครั้งที่เราพบว่าทั้งสองฝ่ายเข้าใจในความคิดความเห็นของอีกฝ่ายนึงผิดไปไกล Conflict ยังคงอยู่โดยมูลเหตุที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริงที่ไม่เคยถูกแก้ไข

เคยมีการกล่าวว่า การเมืองและศาสนาเป็นหัวข้อห้ามพูดในวงสนทนาถ้าหากไม่ต้องการให้คนทะเลาะกัน แต่การไม่พดถึงการเมืองหรือศาสนานั่นเองที่ทำให้เกิดช่องว่าง ปล่อยให้พวก extremist ออกมา voice จนคนนอกเข้าใจผิดๆคิดว่าเป็นการตีความที่ถูกต้องของคนกลุ่มใหญ่ เป็นช่องว่างที่ทำให้เจ้ากูปลิ้นปล้อนอาศัยกาสาวพัตร์หลอกผู้หญิงหรือมอมเมาประชาชนโดยไม่มีคนอยากจะไปยุ่งเกี่ยว เป็นช่องว่างให้ก่อเกิด cult เล็กลัทธิน้อยมากมายนำโดย fanatics ผู้สามารถพูดให้เกิด mass hysteria

การแสดงออกซึ่งคำไม่สมควรบางครั้งบางคราบนกระดานข่าวบางทีก็อาจจะไม่ต้องถูก banned จริงๆแล้ว public response อาจจะเป็นการสั่งสอนอบรมได้ดีกว่าที่ล้มเหลวมาจากเดิมก็เป็นได้ ถ้าหากเราต้องการให้นักศึกษาหัดแสดงออก เราก็คงจะต้องมีเวทีที่เสรีพอสมควรเปิดโอกาสให้แสดง หากไม่เหมาะสมประการใดก็ feedback ลงมาอย่างเปิดเผย อาจจะยกเว้นในกรณีที่เสี่ยงต่อเยาวชนเด็กๆที่เราเกรงว่าจะเกิด wrong ideas สำหรับกระทู้บางกระทู้จึงจำเป็นต้องลบทิ้ง (ตัดไฟแต่ต้นลม) แตมาตรการ ban ควรจะ preserve to minimum หลักการจะได้ศักดิ์สิทธิ์



Posted by : Phoenix , Date : 2003-03-07 , Time : 23:56:43 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 1


   ตอบยากจังครับ อย่างที่คุณ Pheonix ว่ามาแหล่ะครับ ผมก็คิดว่าการแสดงความคิดเห็นไม่ควรถูกปิดกั้น แต่ก้ไม่ควรละเมิดผู้อื่นด้วย
ผมคิดว่ากระทู้ที่ควรโดนถอนออกน่าจะเป้นพวกกระทู้"ล่อเป้าจงใจประนามกัน"ครับ ไม่สร้างสรรค์ เน้นทำลายอย่างเดียว


Posted by : Aqua , Date : 2003-03-08 , Time : 17:39:33 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 2


   คนที่ส่ง "กระทู้ล่อเป้า" นั้นมีสองจำพวก คือพวกที่รู้ กับพวกที่ไม่รู้ตัว

อย่างที่คุณ Aqua ว่า ในพวกแรกคือพวกที่รู้ตัวนั้น อาจเป็นพวก pathologicalที่ต้องการความสนใจ อาการอาจจะรุนแรงถึงขนาดส่งกระทู้ก้าวร้าวสุดๆเพื่อให้แน่ใจว่าคนธรรมดาทนไม่ได้และต้องตอบต่อต้าน จริงๆแล้วกระทู้ที่น่าสนใจและดึงดูดการตอบนั้นก็มีเยอะแต่ต้องอาศัยพื้นฐานสติปัญญา และความรู้รอบตัวบวกความชำนาญในการนำเสนอ คนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวเผอิญไม่ค่อยมีปัญหาด้านต้องการเรียกร้องความสนใจซักเท่าไหร่ วิธีที่ recommend ในการสนองกับพวก pathological stone attractor คือ ไม่ต้องไปสนใจ และปล่อยให้เหี่ยวแห้งไปเอง พวกที่จงใจ "ล่อเป้า" นี้ ความสุขจะอยู่ตรง "เป้า" ที่ล่อนั้นดึงดูดการตอบไม่ว่าจะเปนในแง่ขยะแขยงหรือเหยียดหยามก็ตาม

พวกที่สองนี้คือพวกที่ผมเห็นว่าน่าสนใจ และสามารถปรับปรุงพัฒนาได้ เป็นพวกที่มีความเห็น และต้องการแสดงความเห็นออกมา เพียงแต่ออกมาในรูปที่คนส่วนใหญ่ฟังแล้วนิ่วหน้าเท่านั้นเอง ประโยชน์อยู่ที่ว่าเขาเหล่านี้กล้าแสดงออกความเห็นที่ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ซึ่งผมว่าอันนี้ healthy ต่อส่วนรวม การที่เราตามใจคนส่วนใหญาตะพึดตะพือนั้น ก่อให้เกิดความไม่พอใจและเก็บกดของคนส่วนน้อย และก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาวได้ แนวความคิดใหม่ (liberal) ที่ concern ความรู้สึกนึกคิดของคนกลุ่มน้อยนี้ ได้แปรออกเปนกฏหมายแล้วในหลายๆประเทศทางตะวันตก America มี hatred crime ที่ห้ามใช้คำพูดหรือการกระทำที่ก่อให้เกิดความ offensive เนื่องจาก race, ethnic, nationality, sexual orientation ในยุโรปก็มีกฏหมายทำนองเดียวกันออกใช้และมีบทลงโทษชัดเจน

ประชาธิปไตยไม่ใช้ perfect system ถ้าระบบนั้นไม่ได้อำนวยการมีความสุขตามสถานะแก่คนทุกกลุ่มรวมทั้งคนกลุ่มน้อยด้วย หรือที่เราเรียกว่า democratic rape นั่นคือการใช้อำนาจเสียงส่วนใหญ่กดขี่คนกลุ่มน้อยจนไม่มีทางออก



Posted by : Phoenix , Date : 2003-03-08 , Time : 19:17:02 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 3


   กระทู้ HOT ที่โดนลบไปจัดเป็นกระทู้อะไรครับคุณ Phoenix
เรียกว่ากระทู้ล่อเป้าหรือเปล่า หรือเรียกกระทู้ประนาม


Posted by : Aqua , Date : 2003-03-08 , Time : 20:30:24 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 4


   ผมคิดว่าคนที่แสดงออกรุนแรงทุก posters ที่ว่านั้นเป็นความรู้สึกจริงๆของเค้า ผมจึงไม่ classify ว่าเป็น pathological "ล่อเป้า" (ขอเรียกสั้นๆตาม internet terminology ว่าพวก Troll นะครับ) แต่ผมไม่ได้เห็นด้วยกับ "วิธี" การนำเสนอ

ผมคิดว่าเป็น ligitimate ที่จะมีคนไม่พอใจการทุจริต รู้สึกความอยุติธรรม และต้องการให้หยุดการกระทำดังกล่าว ฉะนั้นโดยหลักการนั้น OK and acceptable ทีนี้จะทำอย่างไรจึงจะมีผล positive หรือเป็นไปในทางที่สมควรเราสามารถพูดกันได้ เสนอกันได้ และตักเตือนกันได้ เราไม่ควรมองเรื่องทุกเรื่องเป็นขาวกับดำอย่างใดอย่งหนึ่งแต่อย่างเดียว แต่เราสามารถแยกธาตุและวิเคราะห็วิจารณ์แต่ละส่วนออกจากกันได้ censoring หรือ banning นั้นใช้เป็น general methods ในประเทศที่อยู่ในระบบ Police State เท่านั้น (ได้แก่ Dictatorship อย่าง RUSSIA ในอดีต หรือ Iraq ในปัจจุบัน) Freedom of Speech นั้นสำคัญมาก และเราจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาวัฒนธรรมทางด้านนี้ให้มีขึ้น ฉะนั้น the sooner we begin, the better จะเห็นว่าเรามีกฏเกณฑ์ในการไม่พูด ไม่ discuss ในเรื่องมากมายหลายเรื่องเหลือเกิน ต่อมไม่ยอมรับดูจะทำงาน overload โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ

กระทู้ที่ว่าคงจะไม่ได้มีเนื้อหาประณามเพียงอย่างเดียว และสามารถทำให้เป็นเรื่องเป็นราวถ้าหาก ที่เข้ามาอ่านมีการตอบ มีการเสนอความเห็นว่าที่ถูกที่ควร หรือที่เขายอมรับเป็นอย่างไร ถ้าปล่อยให้ทุกๆกระทู้มีแต่ voice ของคนที่มีความโกรธเกลียดเป็นผู้นำ posting ก็จะได้กระทู้โทนประณามอย่างเดียว หรือ Hatred Topic อย่างเดียว เราทุกคนมีส่วนรับผิดชอบในสภาพของกระดานข่าวที่เป็นอยู่ บทบาทของ silent force มีไม่น้อยกว่าพวกที่ส่งข้อความบ่อยๆ เพราะการเงียบสามารถแปลว่าเป็นที่ยอมรับ ถ้าหากไม่มีคนออกมาวิจารณ์กระทู้สากกระเบือก็จะเข้าใจกันว่าเรายอมรับสากกระเบือ การ Ban หรือ Censor นั้นไม่ work หรอกครับ เป็นการแก้ไขเฉพาะหน้า ไม่มีผลต่อภายหน้า หรือ อดีต แม้แต่นิดเดียว



Posted by : Phoenix , Date : 2003-03-08 , Time : 20:53:35 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 5


   อาจาน นกไฟครับ ผมอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจครับ พยายามอ่าน2รอบแบบช้าๆแล้ว เอ หรือพี่ว่าวจะช่วยผมได้

Posted by : กะหลั่วเป็ด , Date : 2003-03-09 , Time : 17:18:43 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 6


   เอ้อ....ตรงส่วนไหนครับ? ทางที่ดีคุณกะหลั่วเป็ดลองบอกมาว่าเข้าใจว่าอะไรจะง่ายกว่าสำหรับผมที่จะขยายความหรือแก้ไขนะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-03-09 , Time : 19:07:58 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 7


   จริงๆแล้วคือไม่ค่อยเข้าใจทั้งหมดเลยอ่ะครับ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าอาจานนกไฟใช้ศัพท์ที่เข้าใจได้ยาก หรือว่าผมเองเข้าใจอะไรยาก ( ที่หัวหน้าภาควิชาบางภาคเรียกว่า slow learner อ่ะครับ )

Posted by : กะหลั่วเป็ด , Date : 2003-03-09 , Time : 21:43:46 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 8


   ผมว่าเรื่องนี้พูดยากนะครับ ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรและไม่ควร censor เพราะบางครั้งการจั่วหัวกระทู้ด้วยเรื่องที่เน้นความรุนแรง แต่ถ้าผู้ที่เข้าร่วม post ในกระทู้สามารถดึงเนื้อเรื่องให้ออกไปในแนวสร้างสรรค์ นำเสนอมุมมองที่ contrast กับหัวเรื่องและดึงเนื้อหาออกไป ได้หลากหลาย ยิ่งไม่ได้ใช้อารมณ์เป็นสื่อในการนำเสนอด้วยแล้วก็จะยิ่งน่าอ่านมากขึ้น

แต่ที่นี้เท่าที่พบ จะมีน้อยมากที่กระทู้ประเภทนี้ ผู้ที่ post จะไม่ใส่อารมณ์ผสมลงไปด้วย เพราะยิ่งดุเดือดเท่าไหร่ก็จะยิ่งช่วยเร้า Id ในตัวคนได้มากเท่านั้น การตอบจึงใช้ Ego มากกว่า Superego ช่วยเรียก rating ได้ไม่น้อย เรื่องนี้ไม่แปลกเพราะไม่งั้น นิยายประโลมโลกคงไม่สามารถขายได้ ละครทีวีจึงต้องมีตัวร้ายมาสร้างความมันส์ให้ผู้ชมอยู่เสมอ ที่น่าคิดคือผู้อ่านหรือผู้ชมจะเก็บสาระไปได้แค่ไหนก็เท่านั้น เรื่องนี้วัดยากสะด้วย เพราะคงไม่มีผู้ผลิตรายการหรือผู้ตีพิมพ์ที่เน้นเรื่องสาระ มากกว่าความบันเทิง ค่าเช่าเวลาหรือค่ากระดาษที่พิมพ์

สำหรับความเห็นเกี่ยวกับการนิ่งเงียบ ในกรณีที่มีประเด็นใด ๆ เกิดขึ้น มีผลเพียงสองอย่างคือ เสมอตัว และติดลบ เสมอตัวในแง่ที่หากเราไม่ใส่ใจแล้วเรื่องนั้น ๆ ไม่เกี่ยวข้องหรือส่งผลกระทบกับเราก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าเรื่องดังกล่าวต้องดึงให้ลงไปเกี่ยวด้วยแล้วไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม มากบ้างน้อยบ้าง การที่ไม่ยื่นมือเข้าไปมีส่วนร่มก็กลับจะทำให้มองว่าได้ยอมรับให้สิ่งเหล่านี้เกิดขี้น

กรณีที่พบกระทู้แนวประนามหรือล่อเป้า สร้างความรุนแรง เราคงไม่สามารถยกให้เป็นหน้าที่ของผู้ดูแลได้เพียงผู้เดียว บรรดาผู้ใช้ webboard ทุกท่านหากพบความคิดเห็นที่ใช้คำไม่เหมาะสม หรือกระทู้ที่ส่อเค้าจริง เราสามารถช่วยกันแสดงความรับผิดชอบแบบง่าย ๆ ด้วยการส่ง mail ไปแจ้งให้ผู้ดูแล webboard ทราบ


Posted by : Mercury , Date : 2003-03-09 , Time : 22:46:06 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 9


   OK เอาใหม่อีกที ผมอ่านดูแล้วก็งงๆเหมือนกัน สงสัย Broca Area ไม่ค่อยดี language motor centre ไม่ function เท่าที่ควร

มีองค์ประกอบหลายอย่างสำหรับกระทู้หยาบคาย ล่อเป้า หรือ Troll (คำจำกัดความเคย posted ไปในกระทู้เก่าแล้วนะครับ หา reference ดู) ผมพึ่งอ่านหนังสืออาจารย์คึกฤทธิ์เล่มนึง ก็พบว่านี่อาจจะฝังเป็นวัฒนธรรมซะด้วยซ้ำ entertainment ของคนไทยนั้นแปลกครับ โดยเฉพาะวรรณกรรม ของเรามีความเป็นเอกลักษณ์สำหรับร้อยกรองตรงบทอัศจรรย์ที่จะต้องมีการบรรยายละเอียดละออเป็นการประชันเชิงกวีนั่นเทียว ไม่มีของชาติไหนเหมือน และเนื้อหาที่คนชอบอ่านหรือชอบฟังในละคร ทั้งหนังลุง เสภา ละครนอกใน ก็ต้องเป็นเรื่องทะเลาะกัน ชู้สาว ผัวๆเมียๆหลวงน้อยว่ากันไป ยิ่งมีด่าประชดเปรียบเปรยได้คมคายยิ่งดี (เสภา)

แต่การส่งกระทู้ที่ภาษาหยาบช้าสามานย์นั้นจะเป็นเพื่อ entertain Id อย่างที่คุณ mercury ว่าไว้เสมอไปหรือไม่นั้นเราคงจะทราบยาก โดยหลักการเราคงต้องเก็บ differential diagnosis ว่าคนส่งกระทู้อาจจะมีอะไรคับอกคับใจจนกระทั่งต้องพูดภาษาเดิมที่บ้าน เอ๊ย ภาษาก่นโคตรออกมาต่อที่สาธารณะก็เป็นได้ ก็น่าเห็นใจและต้องช่วยกันรักษา การรักษานี้ผมยังเชื่อว่า censure นั้นดีกว่า censor มีอะไรมาวิพากย์กันเปิดเผยดีกว่าการ ban ไปเฉยๆ หากเราไม่พอใจภาษา ไม่พอใจประณามก็ว่ากันตรงๆ ไม่ต้องปกปิดหรือแสร้งว่าเราไม่มีคนอย่างนี่ ที่ใช้ภาษาแบบนี้ในคณะ อันดับแรกเราต้องยอมรับความจริงว่าเรายังมีนักเรียนที่ communication skill ต้องการการปรับปรุงอีกมาก ถึงแม้ว่าจะค่อนข้าง late แล้วก็ตาม แต่สถาบันแห่งนี้ก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายแล้วล่ะครับที่จะให้การอบรมสั่งสอน หากเราหน้าบาง ลบกระทู้ภาษากะเลวะราดออก at will นึกหรือว่าเขาเหล่านั้นอาการจะดีขึ้น หรือสำนึกซักกระผีก?

คนที่ส่งกระทู้ประณามนั้นมีความคับข้องใจอยู่ ผนวกกับความจำกัดของคำที่ทราบหรือวิธีการเสนอความเห็นมิทราบได้ ก็เลยออกมาอย่างที่เห็น พวกเราที่อ่านแล้วคับข้องใจในเนื้อหาหรือวิธีก็ควรจะทำอย่างเดียวกันคือนำเสนอความคับใจของเราออกมาว่าทำไมเราเห็นว่าไม่ดี หรืออย่างไรอาจจะดีกว่า ไม่ต้องไปกังวลกับคำเหี้ยห่าอะไรที่อาจจะตามมาหรอกครับ คำพวกนี้เป็น term ที่ไร้สาระในการประณามมาก เราควรจะสั่งสอนให้เขาสามารถทำได้ดีกว่านั้น ที่ศิวิลัยกว่านั้น



Posted by : Phoenix , Date : 2003-03-10 , Time : 02:40:50 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 10


   อ้าห์ คราวนี้ผมอ่านเข้าใจอย่างถ่องแท้ และเห็นด้วยเลยครับ อาจาน นกไฟ

Posted by : กะหลั่วเป็ด , Date : 2003-03-10 , Time : 13:25:31 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 11


   ผมเกรงว่ามันจะเข้าอิหรอบคำพูดคนสมัยก่อนที่ว่า นิสัยที่กลายเป็นสันดานนะมันเปลี่ยนยาก และยากยิ่งกว่าถ้าสันดานกลายเป็นสันดอนจนขุดกันไม่ขึ้นน่ะครับ

คือเราไม่สามารถอนุมานได้ว่า การที่มีคน post ความเห็นที่มีสาระเข้าไปแทรกในกระทู้ที่กำลังดุเด็ดเผ็ดมันส์ไปด้วยอารมณ์อยู่ ผู้รับสาร์นจะสามารถคัดสรรและเข้าใจในสาระ ที่ผู้เขียนต้องการสื่อถึงได้น่ะครับ เพราะอย่างที่ว่านะครับ บางคนหวังดีแต่ใช้คำที่ขวานผ่าซากไปหน่อย อาจกลายเป็นกระทบกระทั้งกันต่อไปอีก ผมเจอบ่อยครับใน พันธ์ทิพย์ กระทู้ที่ฟุ่งไปด้วยอารมณ์ อ่านแล้วมึนไปเลยครับ คนที่อ่านผ่าน ๆ มักถูกเร้าให้อารมณ์คล้อยตามหรือไม่ก็ต่อต้านไปเลย มากกว่าเนื้อหาดี ๆ ที่แทรกลงไป เพราะฉะนั้นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมด้วยการคัดออกไปเลยอาจจะ !!! ดีกว่า โดยเฉพะเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าเสียมากกว่าได้ ส่วนวิธีการอื่น ๆ ก็สามารถเสริม ๆ กันได้ตามแต่ความแหมาะสมของแต่ละสถานการณ์ไปนะครับ


Posted by : Mercury , Date : 2003-03-10 , Time : 14:08:25 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 12


   ผมเคย posted เอาไว้ครั้งนึงว่าคุณสมบัติร่วมประการหนึ่งของแพทย์และครูคือ OPTIMISTIC

แพทย์ต้องคิดว่าผู้ป่วยจะรอดจึงเป็นรากฐานแรงบันดาลใจของการ"สู้เต็มที่" ไม่ได้เอาสถิติหรือตัวเลขอะไรมากำหนดชะตาของ individual มิฉะนั้นจะเป็นการ play GOD ไป อย่างที่รู้ๆกันอยู่ เมื่อลงมาถึงรายคนแล้ว อะไรๆมันอาจจะไม่เป็นไปตาม "ส่วนใหญ่" ฉะนั้นหากการตัดสินใจนั้นเกี่ยวของกับความเป็นความตายเราจะต้องไตร่ตรองให้ดี

ครูจะต้องคิดว่านักเรียนนั้นสามารถดีขึ้น จึงจะเป็นรากฐานแห่งปรัชญาวิชาชีพ คำสั่ง "No resuscitation" โดยครูนั้นโหดเหี้ยมยิ่งกว่าของหมอ เพราะกรณีหมอ ผู้ป่วยจะตายวันตายพรุ่ง แต่กรณีของนักเรียนนักศึกษาพวกเขาอีกนานกว่าจะตาย แต่ถูกครูตัดหางปล่อยวัดไปซะแล้ว สอนเด็กดีว่าง่ายนั้นใครๆก็สอนได้ เขาก็ประสบความสำเร็จเป็นคนดีเอง ที่ต้องอาศัยวิญญานครู หรือ ครูที่ตั้งใจจริงไม่ทิ้งเด็กง่ายๆนั้น ผลลัพธืที่ได้ผมว่าคุ้มมาก ลองคิดดูถ้าเรา "ช่วย" นักเรียนในเรื่องจรรยามารยาทได้ซักหนึ่งคน เราจะช่วยรุ่นต่อๆไปถึงลูกหลานเหลนโหลนเท่าไร ญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดอีกเท่าไร

ไม่มีใครทราบหรอกครับว่าคน post ไม่ดี ไร้สาระ หรือหยาบคายนั้นอยู่ในขั้น นิสัย สันดาน หรือ สันดอน แต่ถ้าหากจะอนุมานจากข้อมูลที่จำกัด ผมคงจะไม่ execute เป็น first-line decision แต่คงจะพยายามคิดว่าเป็น case แก้ได้ resuscitable เสียก่อน



Posted by : Phoenix , Date : 2003-03-10 , Time : 16:45:17 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 13


   ในแง่ของวิชาชีพการมีความคิดแบบ optimistic นั้นผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับเพราะนั้นคือชีวิต ส่วนในกระดานข่าวคือโลกจำลอง เป็นเวทีไฮปาร์คที่ถูกสร้างขึ้นให้สามารถตอบโต้หรืออภิปรายความคิดเห็นใด ๆ ได้อย่างเสรีโดยที่เราไม่สามารถเล็งผลได้ว่า จะสามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้จริงแค่ไหน รวมถึงเราไม่อาจทราบได้ว่า ผู้ตั้งกระทู้จะมีลักษณะเป็นคนกลุ่มใดในบัวสี่เหล่า ทำให้เราได้แต่ตอบกลับไปกลับมาโดยไม่สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์หรือใช้จิตวิทยาในการจูงใจกับอีกฝั่งได้มากนัก บางครั้งคำวิจารณ์สั้น ๆ แต่ตรง ๆ ก็ทำให้ขยายความเป็นความเห็นต่อต้านได้หลาย ๆ ความเห็น แต่ในโลกจริงถ้าเราได้เห็นหน้าตาอันยิ้มแย้มแต่พูดแบบซื่อ ๆ ตรง ๆ ของเขาเราอาจจะไม่พูดอะไรกันต่อก็เป็นได้

โลกใน cyberspace อาจทำให้คน ๆ หนึ่งถูกมองว่าเป็นคนดีที่น่าเคารพแต่ในโลกความเป็นจริงอาจไม่ใช่ หรือคนดีคนหนึ่งในดวามเป็นจริงอาจกลายเป็นพวกชอบตั้งกระทู้ล่อเป้าในโลก cyber เพราะในสังคมจริงทำไม่ได้

กระทู้หนึ่ง ๆ จะดีจะร้ายอย่างไร จะมีประโยชน์จริงหรือไม่ ผมว่าอยู่ที่ความหลากหลายของผู้แสดงความคิดเห็น ที่มีเหตุผลและมีสติในการแสดงความคิดเห็น โดยไม่คล้อยตามอารมณ์ที่ผู้ตั้งกระทู้ชักนำไป ผมเองนั้นปราถนาให้ที่นี้เป็นสภากาแฟที่ คนหลาย ๆ กลุ่มสามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดกันได้และกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น แต่เท่าที่วัดปริมาณ พบว่าเรายังมีความหลากหลายในการนำเสนอตรงนี้น้อยมาก ทำให้ความคิดเห็นมักจะดำเนินไปเพียงทางใดทางหนึ่งถ้าเปรียบกับห้องสมุด เราก็มีหนังสือให้ผู้อ่านได้อ่านน้อยเล่ม สุดท้ายผู้อ่านจึงมีมุมมองไม่แตกต่างไปจากเดิมมากนักนะครับ

สรุปสั้น ๆ คือ ถ้าเราไม่สามารถนำเสนอทัศนะที่แตกต่างได้หลายหลาย ผมก็ไม่เห็นด้วยที่จะปล่อยกระทู้ใด กระทู้นึงที่มีแต่ความฟุ่งไปด้วยอารมณ์ อยู่บนบอร์ดนานเกินไป (ไม่ปฏิเสธที่จะให้มีได้) โดยเฉพาะพฤติกรรมการตอบกระทู้ ที่อ่านเฉพาะหัวข้อกระทู้แต่ไม่อ่านความเห็นอื่น ๆ แล้วตอบเลย ก็ยิ่งไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยในการแสดงความคิดเห็น



Posted by : Mercury , Date : 2003-03-11 , Time : 14:58:40 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 14


   ผมเห็นด้วยว่าเรามีข้อมูลไม่ชัดเจนว่าเรากำลังพูดอยู่กับใคร แต่ผมยัง optimistic อยู่ว่าส่วนใหญ่เป็นนักเรียนแพทย์หรือบุคลากรในโรงพยาบาล

อันนี้จะแตกต่างจาก cyberworld ที่ทุกคนทุกมุมโลกมาอ่านและมา post ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่ website เหล่านั้น equip ด้วยระบบ censure and censor อย่างสูง (หรือไม่มีเลย เป็น free style) ถ้าหากจะมีสักวิชาชีพหนึ่งที่ควรจะต้องปรับเปลี่ยนแก้ไข เท่าที่สามารถทำได้ ผมเห็นว่านักเรียนแพทย์อยู่ใน priority ต้นๆ หากเราพิจารณาว่านักเรียนแพทย์เป็นบัวเหล่าที่สี่แล้วยังปล่อยไปง่ายๆ ไมาพยายามพูดให้รู้เรื่องก็จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย และอาจจะต้องเสียใจในภายหลัง

อย่างที่ผมบอก การ ban หรือ censor นั้น ไม่ได้มีประโยชน์อะไร นอกเหนือไปจากกลบมูลของเหม็นให้พ้นตาไป และหวังในใจว่าผู้ที่อยู่ในชุมชนปัจจุบันจะไม่ต้องมาเห็นหรือสูดดมปฏิกูลเหล่านี่อีก ซึ่งเป็นความฝันที่ห่างไกลจากความเป็นจริงครับ การปลดเอากระทู้ออกสำหรับพวก pathological troll นั้น บางคนถือเป็นความสำเร็จส่วงนตัวซะด้วยซ้ำ ผมเคยเห็นปฏิกูลพวกนี้คุยกันใน MB ว่ามันถูก ban จาก board โน้น ถูกภาคฑัณฑ์จาก board นี้ เปล่า...ไม่ใช่ปรับทุกข์นะครับ แต่เป็นการคุยโอ้อวดกัน

ผมไม่ทราบ demographic ของผู้ใช้กระดานแห่งนี้ แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องของเราทั้งนั้น จะเป็นการละเลยหากเราจะสมมุติว่าใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มนี้เป็นบัวใต้น้ำ เพราะพวกเขายังไงๆก็จะจบแพทย์ออกไปอยู่ดี เอามาพูดมาจากันให้กระจ่างซะว่าชุมชนรับอะไรได้อะไรไม่ได้ก่อนที่จะสายเกินไป นักเรียนแพทย์ถึงแม้มารยาทบางคนต้องปรับปรุงแต่ไม่ใช้คนโง่ดักดานที่เรียนไม่ได้ ที่ว่ามานี้ไม่ใช่ผมไม่เคยส่งกระทู้ให้คุณ garnet ลบนะครับ มีกระทู้บางอันที่มี link ไป website ที่ไม่เหมาะต่อวัยรุ่นผมก็รีบตัดไฟแต่ต้นลมเหมือนกัน



Posted by : Phoenix , Date : 2003-03-11 , Time : 15:24:24 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 15


   ผมคงไม่สรุปง่าย ๆ หรอกครับว่าใครเป็นบัวกลุ่มไหนนอกจากเจอตัวจริง แล้วทำความรู้จักกันสักหน่อย เราจึงจะสามารถแยกแยะออก :-)

อ่านมาเรื่อย ๆ ประเด็นตอนนี้ กำลังจะกลายเป็นว่า ผู้อ่านหรือผู้แสดงความคิดเห็นควรใช้วิจารณญาณที่ดีในการใช้กระดานอภิปรายนี้ ว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะ เพราะเท่าที่ตีความรูสึกว่าคุณ Phoenix เล็งเห็นว่าการ ban หรือ censor ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง (สะที่เดียว) แต่ปัญหาคงอยู่ที่คำว่า วิจารณญาณนะครับ ว่าเกณฑ์ในการชี้วัดมันอยู่ตรงไหน อะไรละครับที่เรืยกว่า เหมาะและไม่เหมาะ คือคำว่าเหมาะและไม่เหมาะสำหรับแต่ละคนมันมีความแตกต่างกันนะครับ รวมไปถึงความมีวิจารณญาณของแต่ละคนก็ต่างกันด้วยเพราะพื้นฐานทางด้านศีลธรรมจรรยา (moral) ของแต่ละคนต่างกัน จริงมั้ยครับ แต่ถ้าพูดเรื่องนี้คงยาวไม่จบสะที และอาจกลายเป็นคนล่ะเรื่อง

เอาเป็นว่าถ้ามีกระทู้ให้ตอบผมก็ยินดีจะแวะเวียนมา แสดงความคิดเห็นในอีกแง่มุมนึงซึ่งอาจจะดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่จะวิเคราะห์กันเอาเองนะครับ แต่ถ้าอยากจะให้เกิดกติกาว่าด้วยการ censor นั้น คงต้องคุยกันเยอะนะครับ เพราะตอนนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าคุณ Garnet มีเกณฑ์อะไรในการ Ban หรือ Censor นะครับ :-D (โยนกันเห็น ๆ )





Posted by : Mercury , Date : 2003-03-11 , Time : 16:22:25 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 16


   การไม่มี identity บนกระดานข่าวนั้นมีสองด้าน เช่นเดียวกับการพูดจาต่อหน้าเหมือนกัน เวลาเห็นหน้าเห็นตาเราก็พูดจากันไพเราะเพราะพริ้ง ไม่ทราบว่าคุณ Mercury เคยเห็นเวลา ลับหลัง หรือไม่? แม้แต่ในต่างประเทศบางทีประตูยังไม่ทันปิดสนิทเลยครับ ยังกะเป็นกฏว่าถ้าใครลุกหัวข้อสนทนาถัดไปก็ต้องเป็นเรื่องคนๆนั้นทันที

ความเห็นหลายๆประการที่เราได้อ่านบนกระดานแห่งนี้ ผมว่าเราแทบจะไม่มีสิทธิ์ imagine ซะด้วยซ้ำว่าจะมีคนคิดเยี่ยงนั้นอยู่ แต่ก็มีจริงๆ และได้แสดงออกมาเพราะผู้พูดหมดความรู้สึกถูกควบคุมโดย social norm คำว่า social norm นี้ก็ไม่ได้แปลว่าดีหรือถูกต้องหรอกนะครับ ไม่งั้นนักศึกษาคณะนึงของเราคงจะไม่โห่ฮาป่าไล่เวลาตำรวจและอาจารย์เราไปพูดเรื่องการใส่หมวกกันน็อค และพวกเราในที่นี้คงจะไม่คิดหรอกนะครับว่าการถอดหมวกกันน็อคเพื่อ "ตะเบ๊ะ" ยามหน้าประตู แล้วถอดออกเกือบจะทันทีนั้นเป็นตัวอย่างของ social norm ที่พึงปฏิบัติ

การกล่าวเหยียดหยามครูบาอาจารย์จนถึงขั้นใช้คำผรุสวาทกลายเป็นเรื่องที่มีมาอยู่เรื่อยๆ ทีนี้เราก็ได้รู้กันว่าประเพณีไทยที่ครูเปรียนเสมือนพ่อแม่คนที่สองนั้นคงจะไม่จริงซะแล้ว หรือแย่ไปกว่านั้นพวกนี้อาจจะพูดอย่างเดียวกันกับบุพการีที่บ้านเวลาไม่พอใจก็เป็นได้ ข้อมูลพวกนี้มีประโยชน์ครับ และช่วยเปิดตาเราให้สว่าง จะได้รู้ทิศทางของโลกเราว่าไม่ได้มุ่งหน้าไปหายุคพระศรีอาริยเมตตรัยแต่อย่างใด

คงจะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกคนที่จะช่วยกันปรับแต่งสังคมไปในทางที่เราคิดว่าอยากจะให้ลูกหลานเราโตขึ้นใน การ ban หรือ censor นั้นมีที่ใช้อยู่ แต่โดยจำกัดและระมัดระวัง ด้านมืดนั้นเราต้องการให้อยู่ในที่แจ้งครับ จะระมัดระวังได้ง่ายกว่าดันมันลงใต้ดิน



Posted by : Phoenix , Date : 2003-03-11 , Time : 19:32:07 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 17


   อุตส่าห์พิมพ์ตั้งนาน เครื่องแฮงค์ จบกัน
ขอสั้นๆก็แล้วกัน
เห็นด้วยกับคุณ phoenix ครับว่า การลบกระทู้หรือการแบน ม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด การแบน ip หรือการลบกระทู้ น่าจะใช้ในกรณีที่ลบหลู่ ดูหมิ่น สถาบันชาติ ศาสนา กษัตริย์ หรือเป็นกระทู้ตั้งใจป่วนเพื่อสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น
นอกเหนือไปจากนั้น ควรแก้ไขโดยการให้ "ผู้ใหญ่" และ "ผู้คน" ในwebboard สั่งสอนโดยฝีพิมพ์มากกว่า
ที่เห็นว่าน่าจะมี คือ การเซ็นเซอร์คำหยาบ (ซึ่งปกติก็ไม่มีคำหยาบนี่นา แต่เอาเหอะ เผื่อไว้)

จบ - ฉบับสั้น


Posted by : ArLim , Date : 2003-03-11 , Time : 21:50:31 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 18


   สรุปอีกครั้งเป็นข้อ ๆ ดังนี้ นะครับ

1. ถ้าเราไม่สามารถนำเสนอทัศนะที่แตกต่างได้หลากหลาย ในกระทู้หนึ่ง ๆ ก็ เปรียบกับห้องสมุด ที่มีหนังสือให้ผู้อ่านได้อ่านน้อยเล่ม ผู้อ่านจึงมีทางเลือกน้อย ไม่ก่อให้เกิดมุมมองที่แตกต่าง ทำให้การใช้กระบวนการวิเคราะห์น้อยลง เพราะไม่มีแนวอื่น ๆ ให้พิจารณา

2. กระทู้ที่มีแต่ความฟุ่งไปด้วยอารมณ์ ยุแหย่ ก่อให้เกิดความรุนแรง สร้างความวุ่นวาย แตกความสามัคคี ถ้ามั่นใจว่าฝีพิมพ์ของผู้ใหญ่และผู้คน ในที่นี้สามารถสั่งสอนได้ ก็น่าจะลองดูนะครับว่าจะปราบพยศ ได้มากน้อยแค่ไหน ผมก็อยากเห็นความรู้สึกของการมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบของทุกคนอยู่เหมือนกัน

3. ผมเชื่อว่าทุกสิ่งล้วนมีสองด้าน (หยินและหยาง) แต่ล่ะวิธีที่นำมาใช้ จึงสามารถให้ผลลัพธ์ต่างกันไป ณ เวลาหนึ่ง ๆ เราจึงไม่สามารถสรุปได้ว่าแบบไหนดีกว่า เพราะบางครั้งวิธีหนึ่งอาจจะดีกว่าก็ได้เมื่อมองในเวลาที่ต่างกัน เรื่องบางเรื่อง ban หรือ sensor ไปเลยก็ดี แต่บางเรื่องก็อาจจะใช้ social norm ของผู้คนในกระดานอภิปรายช่วยปรับเปลี่ยนไปก็อาจจะดีกว่า

4. ย้ำอีกครั้งว่า ถ้ามีกระทู้ให้ตอบผมก็ยินดีจะแวะเวียนมาแสดงความคิดเห็น ในอีกแง่มุมนึงซึ่งอาจจะแตกต่างหรือเหมือนก็แล้วประเด็น ๆ ไป ส่วนจะเห็นด้วยหรือไม่ ดีไม่ดี อยากให้วิเคราะห์กันดูนะครับ บางครั้งมองอะไรแบบเดียวกัน ก็ไม่ช่วยให้เกิดการแตกแขนงของความคิดนะครับ ระบบ child center คงไม่สัมฤทธิ์ผล แต่ก็ไม่ปฎิเสธนะครับว่าบางเรื่องอาจมีแนวคิดแบบเดียวจะดีกว่า


Posted by : Mercury , Date : 2003-03-12 , Time : 00:28:35 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 19


   สรุปอีกครั้งเป็นข้อ ๆ ดังนี้ นะครับ

1. ถ้าเราไม่สามารถนำเสนอทัศนะที่แตกต่างได้หลากหลาย ในกระทู้หนึ่ง ๆ ก็ เปรียบกับห้องสมุด ที่มีหนังสือให้ผู้อ่านได้อ่านน้อยเล่ม ผู้อ่านจึงมีทางเลือกน้อย ไม่ก่อให้เกิดมุมมองที่แตกต่าง ทำให้การใช้กระบวนการวิเคราะห์น้อยลง เพราะไม่มีแนวอื่น ๆ ให้พิจารณา

2. กระทู้ที่มีแต่ความฟุ่งไปด้วยอารมณ์ ยุแหย่ ก่อให้เกิดความรุนแรง สร้างความวุ่นวาย แตกความสามัคคี ถ้ามั่นใจว่าฝีพิมพ์ของผู้ใหญ่และผู้คน ในที่นี้สามารถสั่งสอนได้ ก็น่าจะลองดูนะครับว่าจะปราบพยศ ได้มากน้อยแค่ไหน ผมก็อยากเห็นความรู้สึกของการมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบของทุกคนอยู่เหมือนกัน

3. ผมเชื่อว่าทุกสิ่งล้วนมีสองด้าน (หยินและหยาง) แต่ล่ะวิธีที่นำมาใช้ จึงสามารถให้ผลลัพธ์ต่างกันไป ณ เวลาหนึ่ง ๆ เราจึงไม่สามารถสรุปได้ว่าแบบไหนดีกว่า เพราะบางครั้งวิธีหนึ่งอาจจะดีกว่าก็ได้เมื่อมองในเวลาที่ต่างกัน เรื่องบางเรื่อง ban หรือ sensor ไปเลยก็ดี แต่บางเรื่องก็อาจจะใช้ social norm ของผู้คนในกระดานอภิปรายช่วยปรับเปลี่ยนไปก็อาจจะดีกว่า

4. ย้ำอีกครั้งว่า ถ้ามีกระทู้ให้ตอบผมก็ยินดีจะแวะเวียนมาแสดงความคิดเห็น ในอีกแง่มุมนึงซึ่งอาจจะแตกต่างหรือเหมือนก็แล้วประเด็น ๆ ไป ส่วนจะเห็นด้วยหรือไม่ ดีไม่ดี อยากให้วิเคราะห์กันดูนะครับ บางครั้งมองอะไรแบบเดียวกัน ก็ไม่ช่วยให้เกิดการแตกแขนงของความคิดนะครับ ระบบ child center คงไม่สัมฤทธิ์ผล แต่ก็ไม่ปฎิเสธนะครับว่าบางเรื่องอาจมีแนวคิดแบบเดียวจะดีกว่า


Posted by : Mercury , Date : 2003-03-12 , Time : 00:28:36 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 20


   อภิปรายกันยาวเลยนะครับ เรื่องนี้

เวลาผม cencer ก็ง่าย ๆ ครับ
1 คำหยาบ (ปกติก็ไม่เห็นมีครับ เพราะคำสุภาพ ๆ แต่ความหมายบางทีแรงกว่าคำหยาบอีกครับ)

2 เรื่องที่ลบหลู่ดูหมิ่น บุคคลที่สาม (กรณีระบุชื่อชัดเจน) ศาสนา สถาบัน

3 เรื่องที่มีคนโทร หรือ mail มาขอให้ลบ ครับ

เอาเท่านี้ก่อนนะครับ


Posted by : garnet , Date : 2003-03-12 , Time : 08:39:46 , From IP :

ความคิดเห็นที่ : 21


   ขอบคุณคุณ Garnet ครับ เท่าที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาอะไร serious หรอกนะครับ เพยงแต้องการ reflect ถึงเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ที่เรามีในการร่วมสร้างกระดานกระทู้แห่งนี้เท่านั้นเอง และทุกคนในที่นี้คงจะเห็นด้วยกับผมว่าคุณ garnet has been doing a great job

PS: เครื่องหมายที่ปุ่ม "ฟันหนู" ภาคภาษาอังกฤษ (ปุ่มเดียวกับ ง งู) จะทำให้กระทู้นั้นไม่ผ่าน หรือส่งไม่ได้นะครับ รู้สึกคุณ Garent เคยบอกว่ามันเป็นสัญญลักษณ์พิเศษในประแกรมหรอยังไงเนี่ย ผมใช้เวลาย่อภาษษอังกฤษพวก cannot, is not, หรือ I am, You are, He is อะไรพวกนี้น่ะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-03-13 , Time : 00:00:23 , From IP :

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.012 seconds. <<<<<