ลืม link health promotion presentation Posted by : phoenix , Date : 2008-06-10 , Time : 14:11:38 , From IP : 203.170.234.12 |
ขอบคุณมากนะคะที่อาจารย์ นำเรื่องดี ๆ มาให้อ่าน Posted by : ปลาป่น , Date : 2008-06-12 , Time : 10:48:02 , From IP : 172.29.18.194 |
จิตตปัญญาเวชศึกษา ศาสตราวุธกายสิทธิ์ ต้องตี ต้องเคี่ยวกรำ ต้องตรากตรำ บทหนึ่งของพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เปรียบเทียบว่าดาบเหล็กเนื้อดีนั้น เป็นเพราะผ่านการตีเนื้อเหล็ก ซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นพันๆหมื่นๆครั้ง จึงจะได้เนื้อเหล็กที่ทั้งหยุ่นเหนียว ทั้งแข็งแกร่งฉันใด ปัญญาวุธก็เฉกเช่นเดียวกัน จะต้องนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์จริงๆ ผ่านการภาวนา ผ่านอุปสรรคนานาประการ ผ่านประสบการณ์ที่จะเสริมความคงทน พิสูจน์ธาตุอันแท้จริงของตัวบทสมมติฐาน ทฤษฎี ว่าจริงแท้เพียงไร จึงกลายเป็นปัญญาวุธที่ถูกต้องแล้ว เป็นมงคลแล้วฉันนั้น ดังนั้นงานที่หนักนั้น ให้พิจารณาว่าเป็นเนื้อแท้ของศาสตร์ ของปัญญา ที่จะเกิดขึ้นมาได้จากประสบการณ์นั้นๆ ได คาตานา หรือดาบที่นักรบซามูไรใช้นั้น มีชื่อเรื่องความคมกริบสุดแสน แต่ก็เหนียวหยุ่น แข็งแกร่งอย่างยิ่ง เพราะผ่านการตีเหล็กที่กอปรด้วยเศษเหล็กธาตุดี ชิ้นเล็กชิ้นน้อย เผา ตี เผา ตี จนชั้นเหล็กหลายต่อหลายสิบชั้น หลอมรวมเป็นเนื้อเดียว และธาตุแท้ของแต่ละชั้น แต่ละชิ้น ยังคงสำแดงอยู่ในทุกเนื้อ ทุกอณู ประสบการณ์ ที่ผ่านไปของเราก็เช่นกัน ถ้าเรานำมาขบคิด ใคร่ครวญ ไตร่ตรองภาวนา ก็จะเสมือนนำเอาชิ้นประสบการณ์มาตี มาเผา มาหลอมรวม เกิดความต่อเนื่องเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน เราก็จะสามารถมองเห็นตัวตนของเราเอง ว่าทำไมเราจึงคิดแบบนี้ ทำไมเราจึงทำแบบนี้ ทำไมเราจึงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทำไมเราจึงโกรธ ไม่พอใจ ทำไมเราจึงภาคภูมิใจ ให้คุณค่า ให้ความหมาย ในเรื่องราวต่างๆ องค์ความรู้ฉาบฉวยทฤษฎีเมื่อนั้นจึงจะหล่อหลอมเข้าสู่เนื้อตัวเราอย่าง แท้จริง ในการเรียนวิชาแพทย์นั้น นอกเหนือจากเนื้อหามากมายที่แพทย์พึงเรียนรู้เป็นฐานแล้ว วิชาความรู้ใหม่ๆยังถูกคิดค้นขึ้นตลอดเวลา วิธีการตรวจ วินิจฉัย และรักษาที่ดีที่สุด มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลา บางหัวข้อ บางรายวิชา มีการทบทวนวรรณกรรมทุกหกเดือน ทุกสามเดือน เพื่อให้สามารถก้าวทันกับองค์ความรู้ใหม่ที่ว่านี้ ไม่เพียงแต่เท่านั้น วิชาแพทย์ยังต้องหมายถึงการนำไปใช้กับคนจริง ซึ่งเป็นความหมาย เป็นต้นตอ ของวิชาชีพนี้มาแต่แรกเริ่ม เป็นความจริงที่การเรียนแพทย์นั้น ต้องทุ่มเทและทำงานหนัก เพื่อที่จะได้มาทั้ง cognitive knowledge หรือความรู้เชิงทฤษฎี และ psychomotor หรือความเชี่ยวชาญชำนาญในการทำหัตถการ การนำความรู้มาใช้ในบริบทจริง เพื่อที่จะเกิดเจตนคติที่ดีของงาน ต่ออาชีพ และเกิดความหมายที่แท้ของการที่ตนเองเข้ามาทำงานในวงการวิชาชีพนี้ นักรบที่สง่างามจึงไม่เพียงมีศาสตรวุธที่สมศักดิ์ศรีเท่านั้น แต่ยังสามารถกวัดแกว่งสำแดงกระบวนท่าใช้อาวุธได้อย่างชำนิชำนาญ สวยงาม และใช้ออกอย่างมีจิตวิญญาณความรู้สึก คือมีการฝึกสติ ฝึกสมาธิ ฝีกภาวนา ในการปวารณาตนมาใช้ศาสตราวุธศักดิ์สิทธิ์นี้ ซึ่งสามารถยังประโยชน์สูงสุด หรืออาจจะให้โทษมหันต์หากนำไปใช้อย่างผิดพลาดด้วย ประสบการณ์การทำงานนั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ไม่ได้แปลว่าเรา "ได้เรียนรู้" ตลอดเวลา การจะเรียนรู้ให้เกิดความลึกซึ้งนั้นจะต้องมีทั้ง attention และ intention คือมีทั้งความสนใจ ใคร่ครวญ สมาธิ และมีทั้งเจตนารมย์แรงกล้าและความมุ่งมั่นทำให้เกิด จึงจะเป็นการเรียนที่ทะลุปรุโปร่ง หล่อหลอม cognition, psychomotor และเกิดภาวนามยปัญญาในที่สุด ทั้งนี้การเรียนที่ใช้ "ฐานกาย" คือการลงมือกระทำนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเราจะใช้ความรู้สึกทุกส่วน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นสื่อรับรู้ภายนอก หากนำมาประสานกับความคิด จากสมองส่วนหน้า และความรู้สึกจากสมองส่วนกลางและ limbic system เราก็จะ hard wiring เชื่อมโยงศูนย์ต่างๆของสมองทั้งหมด พัฒนา "ฐานใจ" และ "ฐานแห่งจินตนาการความสร้างสรรค์" บรรลุศักยภาพที่แท้จริงของมนุษย์ งานหนักทางกายภาพนั้น จะเป็นหลักฐานถึง raw materials ที่เราจะนำมาใช้ในการภาวนา ใช้ในการหลอมเหลาบุคลิกภาพ กลายเป็นคนอย่างที่เราจะเป็นในอนาคต หากเราไม่ระมัดระวังให้ดี ปล่อยปละละเลยไปตามอารมณ์ ณ ขณะนั้นๆ ให้ความโกรธ ความเกลียด ความไม่เห็นด้วย มาครอบงำสติมากเกินไป แทนที่เราจะ appreciate ประสบการณ์ เรากลับเกลียดชังประสบการณ์ แทนที่เราจะอิ่มเอมกับการให้บริการ เรากลับรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าโดยไม่เห็นรางวัลเบื้องหน้า ไม่เกิดความภาคภูมิใจในงาน ไม่สามารถแม้กระทั่งยิ้มออกมาได้ขณะทำงาน งานกลายเป็น burden แทนที่จะเป็นธรรมะ หรือ การฝึกธรรมะ อย่างที่ท่านพุทธทาสได้แนะนำ เทศนาสั่งสอนไว้ นักเรียน แพทย์ที่รู้สึกว่าตนเองทำงานหนักนั้น ขอให้เข้าใจเถิดว่ามาถูกทางแล้ว สิ่งที่น้องๆกำลังทุ่มเทอยู่ ณ ขณะนี้ จะไม่สูญเสียเปล่าอย่างแน่นอน แต่จะเป็นต้นทุนชีวิตต่อไปอีกนานเท่านั้น คุณานุประโยชน์จากงานในตอนนี้จะผลิดอกออกผลงดงามยิ่งนัก ต่อตัวน้องเอง ต่อครอบครัว คนรอบข้าง และสังคมต่อๆไป Posted by : phoenix , Date : 2008-06-14 , Time : 16:06:00 , From IP : 172.29.9.38 |
เอ่อ... web admin ครับ ผมขยาย font ใหญ่ไปหน่อยครับ ช่วยลดให้หน่อยได้ไหมครับ ขออภัยสำหรับ visual pollution ด้วยครับ Posted by : phoenix , Date : 2008-06-14 , Time : 16:07:09 , From IP : 172.29.9.38 |
ขอบคุณมากครับ อ. Dhan ที่เป็นเพื่อนสนทนา (ที่ดีมากๆ) ในความเห็นของผม และจากเรื่องเล่า (hippocrates) ผมคิดว่าหมอ พยาบาล ก็เป็นวิชาชีพหนึ่งที่อาศัย "ความเป็นคน" เป็นตัวผลัก เป็นรากเหง้า มาแต่เริ่มแรกนั่นเอง จึงอาจจะเป็นข้อผิดพลาดมาแต่ต้น หากเราแยกกระบวนการหล่อเลี้ยงเพาะปลูกของสองประการนี้ออกจากกัน ผมยังอยากให้วิชาความรู้ทางการแพทย์ของหมอที่รักษาตัวผม และลูกหลาน ญาติพี่น้องของผมนั้นอยู่ในเกณฑ์ดีมากถึงดีที่สุด เหมือนๆหลายๆคนครับ ผมกำลังนำเสนอว่ากระบวนการหล่อเลี้ยงคนและหล่อเลี้ยงแพทย์นั้น น่าจะสามารถ "เกิดขึ้นพร้อมๆกัน" ได้ (ไหม?) และถ้าพิจารณาจากสมมติฐานที่มาของวิชาชีพนี้ (ถ้ายังไม่มีทฤษฎีอื่นมาเสนอ) ตัวเนื้องานในการเป็นแพทย์นั้น เป็น model ที่ดีที่สุดที่จะฝึกหัดใช้ความเป็นมนุษย์อย่างเต็มประสิทธิภาพไปด้วยอยู่แล้วนี่นา (ไหม?) เพราะถ้าเราไปติดกับ dilemma (ที่เราเองรึเปล่า เป็นผู้ create ขึ้นมา) ว่า "จะเป็นหมอ หรือจะเป็นคน เอาอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะทำกันคนละวิธี" กระบวนทัศน์นี้จะนำไปสู่ทางตันครับ เพราะ concept มาจากความคิดที่ว่าหมอกับคนเป็นอะไรคนละเรื่องมาแต่เริ่มแรก และตรงนี้นี่เอง ผมวินิจฉัยว่าเป็นพยาธิกำเนิดของ scenario ที่อาจารย์ Dhan พูดถึงคือ "เราใช้เวลา 6 ปีทำให้คนคนหนึ่งเป็นหมอ แต่อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตทำให้หมอกลับมาเป็นคน" สิ่งที่เราควรทำก็คือ ในทุกๆกิจกรรมของการดูแลรักษาคนไ้ข้ที่เกิดขึ้น ในทุกๆรายวิชาความรู้ที่นักเรียนกำลังเรียน ควรจะมีเวลา หรือบรรยากาศเอื้ออำนวยให้นักเรียนบ่มเพาะให้เกิด "ภาวนามยปัญญา" ค้นหาความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงทีแท้จริงของสิงเหล่านี้กับความเป็นมนุษย์นั้นเอง ถ้าชอบภาษาบาลี ก็คือ อิทัปปัจจยตา ถ้าชอบภาษาประกิตก็ interconnectedness ครับ ผมเขียนเรื่องนี้ใน การเรียนแพทย์ด้วยใจที่ใคร่ครวญ และ สังคมศาสตร์กับแพทยศาสตรศึกษา น่าจะเป็นเรื่องที่เรานำมาพิจารณากัน ก็สนุกดีนะครับอาจารย์ Posted by : PHOENIX , Date : 2008-06-15 , Time : 11:42:47 , From IP : 172.29.9.38 |
ฮิ ฮิ ท้าทายดี เอาใหม่ [b]...[/b] เป็นการทำตัวหนา Posted by : PHOENIX , Date : 2008-06-15 , Time : 11:50:22 , From IP : 172.29.9.38 |
ความเห็นจาก Social Network : Facebook |
|
>>>>> Page loaded: 0.01 seconds. <<<<< |