ความคิดเห็นทั้งหมด : 2

มาตรการช่วยชีวิต:เดินหน้า ‘ซีแอล’


   โดย จอน อึ๊งภากรณ์
รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์
เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี เอดส์ ประเทศไทย
ชมรมเพื่อนโรคไต
เครือข่ายผู้ป่วยมะเร็ง
มูลนิธิเข้าถึงเอดส์
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์



1.การประกาศบังคับใช้สิทธิโดยรัฐ หรือ ซีแอล มีความชอบธรรม เป็นมาตรการที่ถูกบรรจุไว้อย่างชัดเจน ภายใต้คำประกาศโดฮาว่าด้วยความตกลงทรัพย์สินทางปัญญา และมาตรา 51 ของพระราชบัญญัติสิทธิบัตร ดังนั้น การประกาศบังคับใช้สิทธิของไทย เป็นการทำตามกฎหมายทั้งในและต่างประเทศทุกประการ

รัฐบาลทั่วโลกรวมทั้งประเทศร่ำรวย ใช้การประกาศบังคับใช้สิทธิปกป้องประโยชน์สาธารณะ ประกันการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม สนับสนุนนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งใช้ควบคุมการผูกขาดราคา

ประเทศไทยมีสิทธิที่จะปกป้องพลเมืองของตัวเองจากโรคภัยไข้เจ็บ คำขู่ที่จริงหรือลวงของผู้แสวงผลประโยชน์ ไม่ควรมีบทบาทชี้นำการตัดสินใจของประเทศไทย ในการปกป้องพลเมืองของตัวเองจากความตายและโรคร้าย ผ่านการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ

2. การประกาศบังคับใช้สิทธิช่วยชีวิตผู้คน ถ้าไม่มีการประกาศบังคับใช้สิทธิ ประเทศไทยจะไม่สามารถให้บริการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ในการรักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าไม่มีการประกาศบังคับใช้สิทธิ คนยากคนจนจะตาย ไม่ใช่เพราะไม่มีวิธีการรักษา แต่เพราะว่าพวกเขาไม่มีเงินมากพอ

งบประมาณที่ประหยัดได้จากการประกาศบังคับใช้สิทธิ สามารถขยายระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การลดการผูกขาด ยังช่วยทำให้เกิดการแข่งขันด้านยา ซึ่งทำให้สามารถประหยัดงบประมาณรายจ่ายด้านยาได้อีกจำนวนมาก

การประกาศบังคับใช้สิทธิในยาสำคัญคือ ยาต้านไวรัส ยาโรคหัวใจ และยามะเร็ง ไม่เพียงทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพสามารถขยายการรักษาไปยังโรคดังกล่าว แต่ยังสามารถสนับสนุนงบประมาณเพื่อขยายการรักษาไปยังโรคอื่นๆ เช่น โรคไตวาย

3. ประเทศไทยสามารถใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ โดยที่ไม่มีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ ที่ผ่านมานักธุรกิจไทยจำนวนมาก ได้รับประโยชน์จากจีเอสพีของสหรัฐอเมริกา แต่อีกไม่นานจีเอสพีจะสิ้นสุดลง ไม่ใช่เพราะการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ แต่เป็นเพราะระดับอำนาจการซื้อของไทยที่สูงขึ้น ทำให้ในที่สุดจะหมดสิทธิการได้รับจีเอสพี

3. บริษัทที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรยามะเร็ง เป็นบริษัทของยุโรป ดังนั้น ยิ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ ในปีที่ประเทศไทยประกาศบังคับใช้สิทธิ 3 ตัวแรก การส่งออกไปสหรัฐก็เพิ่มขึ้น รวมทั้งสินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษจีเอสพี

4. การประกาศบังคับใช้สิทธิจะไม่ปิดโอกาสคนไทยในการเข้าถึงยาใหม่ๆ เมื่อบริษัทแอ๊บบอทปฏิเสธที่จะขึ้นทะเบียนยาอลูเวียร์ในประเทศไทย ยาชื่อสามัญ โลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ (ชนิดเม็ด) จากอินเดีย ก็มาขึ้นทะเบียนแทนที่ ด้วยคุณภาพที่เท่ากันในราคาที่ถูกกว่ามาก อีกทั้งการที่บริษัทปฏิเสธที่จะขึ้นทะเบียนในยาตัวสำคัญ ก็สามารถเป็นเหตุให้รัฐสามารถบังคับใช้สิทธิได้

การประกาศบังคับใช้สิทธิไม่ได้หยุดยั้งนวัตกรรม การประกาศบังคับใช้สิทธิ สร้างโอกาสการเข้าถึงยาสำหรับคนที่ไม่มีปัญญาเข้าถึงยาเหล่านั้นมาก่อน บริษัทยายังสามารถหากำไรจากตลาดหลักในประเทศที่ร่ำรวย และคนรวยในประเทศยากจนได้ต่อไป โดยสามารถใช้เงินที่ได้จากตลาดเหล่านั้น ในการวิจัยและพัฒนา

แน่นอนว่า การประกาศบังคับใช้สิทธิไม่ได้ฆ่าอุตสาหกรรมยา จนถึงขณะนี้ประเทศประกาศบังคับใช้สิทธิในยาช่วยชีวิตที่มีราคาแพงแค่ 7 ตัวเท่านั้น ในระหว่างปี 2512-2536 แคนาดาประกาศบังคับใช้สิทธิกับยา 613 ตัว ทำให้เป็นประเทศที่มียาราคาถูกมากที่สุดในหมู่ประเทศพัฒนาแล้ว และมีอุตสาหกรรมยาที่เข้มแข็งยิ่งเสียกว่าในสหรัฐ

5. การคัดค้านการประกาศบังคับใช้สิทธิของไทย โดยอุตสาหกรรมยาและพวกที่สมประโยชน์กัน ตั้งอยู่บนคำโกหก การชี้นำที่ผิดๆ หรือการเพิกเฉยต่อความเป็นจริงและข้อสมมติฐานบนอคติ ความลวงเหล่านี้รวมถึงการอ้างว่า สิทธิบัตรเป็นระบบที่ปกป้องการเข้าถึงยาของคนยากจน เพราะนักวิจัยยาจะได้มีแรงจูงใจในการวิจัยยาจากการผูกขาด แต่จากประวัติศาสตร์แล้วแสดงให้เห็นว่า ข้อความที่อ้างเหล่านี้เป็นความลวงทั้งสิ้น





Posted by : cosmo , Date : 2008-03-08 , Time : 11:14:37 , From IP : medtthlcu-tai.jcu.ed

ความคิดเห็นที่ : 1


   "กิเลน ประลองเชิง"
คอลัมน์ชักธงรบ น.ส.พ.ไทยรัฐ 16 ก.พ. 51

การประกาศบังคับสิทธิเหนือสิทธิบัตรยา โดยความหมาย ก็คือ การประกาศเอกราชของไทย ในการที่จะเลือกซื้อยาในราคาที่ยุติธรรม กับสภาพฐานะและชีวิต

พูดง่ายๆ จะไม่ยอมให้บริษัทยาฝรั่งขูดรีดเลือดเนื้อ ด้วยยาราคามหาโหดต่อไปอีก

ตอนที่รัฐมนตรีสาธารณสุขรัฐบาลที่แล้ว เริ่มประกาศซีแอล ผมถึงกับยกมือ “สาธุ..”

เกิดมาทั้งชีวิต ไม่เคยคิดฝันว่า จะมีรัฐมนตรีที่ทำงานด้วยการยึดทุกข์สุขของประชาชนเป็นเป้าหมาย โดยไม่แยแสสนใจประโยชน์ของพ่อค้าแบบนี้มาก่อน

ข้อมูลจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เมื่อเริ่มท่าทีแข็งข้อ ขอเจรจากับบริษัทฝรั่ง ตัวอย่างเดียว ยารักษามะเร็งปอด ขนาด 80 มก. ต่อเข็ม ก่อนต่อรอง 2.5 หมื่นบาท ต่อรองแล้วลดทันทีเหลือแค่ 3,750 บาท แต่ถ้าเป็นราคายาจากอินเดีย ลดไปอีกครึ่งหนึ่งเหลือ 1,875 บาท

เทียบกับราคาแรกเริ่ม ต่างกันถึง 13.3 เท่า ถ้าเป็นยารักษามะเร็งเต้านม ความต่างห่างกันถึง 15.3 เท่า นี่คือผลการกล้าชูธง ประกาศเอกราช ไม่ยอมเป็นทาสบริษัทยาฝรั่ง

และฐานะความเป็นทาสนี้ เริ่มต้นมาแต่สมัยรัฐบาลใด รัฐมนตรีคนไหน คงไม่ต้องมาฟื้นฝอยหาตะเข็บกัน เอาเป็นว่า เนิ่นนานเต็มที

มาถึงยุคเริ่มต้นของรัฐมนตรีสาธารณสุขคนใหม่ ท่านพยายาม โน้มน้าวให้คนในบ้านเมือง เห็นคล้อยตามท่านว่า การประกาศซีแอล... ได้ไม่เท่าเสีย

คนป่วยเป็นมะเร็ง หรือเป็นเอดส์ มีจำนวนนับหมื่น ค่ายาตามราคาเดิม จะซักเท่าไหร่

มาตรการกีดกันทางการค้า ที่จะประกาศให้ไทยเป็นประเทศที่จะถูกจับตาขั้นพิเศษ หรือจะเพิ่มเป็นขั้นสูงสุด...ก็ตามที...รัฐมนตรีท่านว่า จะทำให้เราสูญเสียเม็ดเงินทางการค้ามากมหาศาล

เป็นหมื่นเป็นแสนล้านว่างั้นเถิด

เพราะฉะนั้น...การจะฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ฟื้นคืน ท่านจึงคิดจะเลิกซีแอล...ยอมให้ฝรั่งขูดเลือดเนื้อคนไทยอีกต่อไป หรือไม่ก็แบ่งปันเงินที่ได้มากๆจากการค้า มาเจือจุนคนป่วย

ใครที่ฟังข้อมูลด้านนี้ด้านเดียว อาจเคลิ้มตาม แต่ถ้าฟังอีกบางด้าน เช่นด้านจีนและอินเดีย เขาก็ถูกสหรัฐฯ ประกาศให้เป็นประเทศถูกจับตา...ไม่มากไม่น้อยไปกว่าไทย

หันไปฟังข้อมูลรัฐบาลเก่า การประกาศซีแอลยา ที่ทำไปแล้ว 7 ตัว เป็นไปตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร มาตรา 51 ทุกขั้นตอน ถูกต้องตามกฎหมาย ยึดเหตุผลด้านมนุษยธรรม

ดำเนินการโดยเคารพต่อปฏิญญาโดฮา หรือข้อตกลงทริปส์

ข้อมูลที่รัฐมนตรีไทยควรจะต้องรู้ กระทั่งสหรัฐอเมริกา และแคนาดา เมื่อเห็นว่าคนของเขาถูกเอาเปรียบ เขาก็ประกาศซีแอล ก่อนหน้าประเทศไทยไปด้วยซ้ำ

ประโยคหนึ่ง จากบทความของ คุณประสาร มฤคพิทักษ์ เตือนรัฐมนตรีไชยา สะสมทรัพย์ ไว้ว่า

ท่านควรเข้าใจว่า สิทธิของมนุษย์ที่จะมีชีวิตอยู่ ย่อมเหนือกว่าประโยชน์ทางการค้า

ผมประทับใจประโยคนี้มาก อยากจะขอเติมให้ช่วยกันคิดต่ออีกว่า

ถ้าบ้านเมืองเรามีแต่รัฐมนตรีที่มีหัวใจพ่อค้า มีรัฐบาลที่ เพลินกับการเป็นทาสบริษัทยาฝรั่ง...เราจะหาวิธีไล่ส่งกันอย่างไร โดยไม่ให้ทหารขับรถถังออกมาปฏิวัติ.







Posted by : cosmo , Date : 2008-03-08 , Time : 11:16:12 , From IP : medtthlcu-tai.jcu.ed

ความคิดเห็นที่ : 2


   จดหมายจากใจเลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท ถึงประชาชนไทยทุกคน
:บทเรียนจากปฎิบัติการประชาธิปไตยภาคประชาชน

จดหมายฉบับนี้ไม่ได้เขียนด้วยความเกลียดคุณไชยา แต่เขียนด้วยความรักและปรารถนาดีต่อประชาชนไทยทุกคน เพื่อตอบคำถามดังนี้
ทำไมคุณไชยาไม่เข้าใจพวกเรา
ผมคิดว่าคุณไชยาไม่เข้าใจเราครับ พวกเราทำงานกับผู้ป่วย ทำให้หล่อหลอมเป็นวัฒนธรรมแห่งอุดมการณ์ ,ความเมตตา, ความเข้าใจ ความเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนร่วมงาน ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา ผมสงสารและเห็นใจคุณไชยาครับ คุณไชยามาทำงานในกระทรวงสาธารณสุข ในขณะที่มีความคิด วัฒนธรรม ความเชื่อที่หล่อเลี้ยงคุณไชยามาแต่อดีต อาจจะเป็นการใช้วัฒนธรรมของอำนาจ และเงิน คือคำตอบของการแก้ปัญหา แต่ยิ่งคุณไชยาแก้ปัญหาด้วยอำนาจ ใครไม่เห็นด้วยกับนโยบายก็สั่งย้าย ความขมึงเกลียวก็จะแน่นขึ้นและแก้ปัญหาไม่ได้ คุณไชยาอาจจะคิดว่ายังใช้อำนาจไม่พอ ก็จะยิ่งใช้อำนาจเข้าไปอีก โยกย้ายคนที่ออกมาแย้ง ปัญหาก็จะยิ่งบานปลายไปเรื่อยๆ จนดูเหมือนเราจะทำงานด้วยวิธีการ วิธีคิดที่ไม่มีวันมาบรรจบกันได้
หมอเป็นอาชีพที่ใช้วิชาการ และงานวิจัยมาตลอดชีวิต ไม่สามารถยอมรับได้กับการตัดสินใจที่ไม่อิงเหตุผลความคิดทางวิชาการ ถ้าคุณไชยาตัดสินใจนโยบายอะไรมาแล้ว และไม่ยอมฟังใครไม่ว่าเขาจะมีเหตุผลอะไร คุณไชยาคงบริหารได้แต่คนที่ตั้งใจจะประจบคุณไชยา

อะไรคือการแต่งตั้งโยกย้ายด้วยความชอบธรรม

มีคำถามเสมอว่า รัฐมนตรีมีอำนาจในการโยกย้ายข้าราชการระดับ 10 ขึ้นไป ทำไมต้องแย้งกันด้วย รัฐมนตรีมีอำนาจจริงครับ แต่จะใช้อำนาจนั้นอย่างชอบธรรมหรือไม่ ในองค์กรของพวกเรา พวกเรารู้กันดีว่าใครทำงานดี มีความรู้ความสามารถ ผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ต่อผู้ป่วยและสังคม คุณไชยาเข้ามาใหม่ ย่อมมีคนเข้ามาประจบประแจงเป็นธรรมดา แต่คุณไชยายังไม่รู้ข้อมูล คุณไชยาก็แต่งตั้งโยกย้าย แล้วให้สัมภาษณ์ว่าไม่รู้จักหมอศิริวัฒน์ ไม่เคยไปอย. แต่คุณไชยาก็ย้ายหมอศิริวัฒน์ ถ้าคุณไชยาทำอย่างนี้ต่อไปข้าราชการที่ไหนจะอยากทำความดี ก็ทำงานไหลตามน้ำพร้อมรัฐมนตรีไปเรื่อยๆก็เจริญก้าวหน้าในราชการ แล้วประเทศชาติของเราจะอยู่ตรงไหน
อำนาจอันชอบธรรมไม่ใช่การแต่งตั้งพวกของใคร แต่พิจารณาจากความรู้ความสามารถ ความดี ถ้าเป็นพวกเดียวกัน แต่ทำงานประจบสอพลอ คอรัปชั่นก็ไม่ควรตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูง แต่ถึงจะเกลียดแค่ไหนแต่ถ้าเป็นคนดีมีความสามารถยังไงก็ต้องตั้งให้มีตำแหน่ งสูง นั่นคือการใช้อำนาจโดยชอบธรรม เพราะในฐานะรัฐมนตรี ท่านกำลังทำงานดูแลราชกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อาจารย์ประเวศ วะสีเคยกล่าวว่า สังคมในอดีตแก้ปัญหาโดยการใช้ อำนาจทางทหาร หรือการใช้กำลัง ต่อมาเป็นอำนาจเงิน และต่อมาเป็นอำนาจความรู้ แต่ทั้งสามอำนาจนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาของสังคมในยุคสื่อสารไร้พรมแดนได้ ต้องใช้อำนาจแห่งคุณธรรม อำนาจความดี จึงจะทำให้คนศรัทธาแล้วเข้ามาร่วมแก้ปัญหา
คุณไชยาจะปกครองหมอต้องใช้อำนาจความดี ดูแลคนดี ให้คนดีได้บริหารงานต่างๆในกระทรวงสาธารณสุข ถ้าคุณไชยาอยากรู้ว่าใครคือคนดี ก็คือคนที่ไม่ได้พยายามเข้าไปหาคุณไชยาตั้งแต่แรก แต่พยายามทำงานรับผิดชอบในหน้าที่ให้ดีที่สุด
หมอศิริวัฒน์เป็นคนดีทำไมต้องถูกย้ายลดชั้น
กระทรวงสาธารณสุขเรามีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการต่อสู้กับทุจริตต่างๆ ตั้งแต่ทุจริตยา 1,400 ล้านบาท ที่กระทำโดยนักการเมืองที่เข้ามาจากการเลือกตั้ง และยังมีอีกหลายยุคสมัย ที่เป็นประวัติศาสตร์ที่บอกได้ว่าคนที่กล้าต่อสู้กับนักการเมืองที่คอรัปชั่ น คนนั้นไม่ใช่คนดีหรอกหรือ
ผมอยากเล่าสะท้อนเหตุการณ์อดีตสมัยคุณหมอมรกต กรเกษม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขในรัฐบาลก่อน ยังเป็นเลขาธิการอย.เมื่อปี 2537 ให้ฟัง นักการเมืองในสมัยนั้นย้ายคุณหมอมรกต จากเลขาฯอย.ไปเป็นผู้ตรวจราชการ สาเหตุเพราะว่าถูกรัฐมนตรีเรียกไปที่ห้อง และพูดว่า คุณหมอจะทำอะไรก็รีบทำเสีย ผมใช้เงินวันละ 3 แสน พูดเป็นนัยๆไปตีความเอาเองว่า ผมต้องใช้เงินวันละ 3 แสนให้ส่งเงินมาให้ พฤติกรรมรัฐมนตรีคนนี้คล้ายๆนักบุญ เวลาไปตรวจราชการที่ต่างจังหวัด ก็มักจะให้เลขาฯเอาเงินใส่ซองให้หน่วยงานนั้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าที่มาเป็นอย่างนี้เอง ตอนนั้นคุณหมอศิริวัฒน์ออกมาให้ข่าวใส่ปลอกแขนดำประท้วง โดยไม่กลัวว่าจะถูกย้าย คนที่กล้าต่อสู้กับรัฐมนตรีที่ทุจริตคอรัปชั่นโดยไม่กลัวถูกย้าย เป็นคนดีหรือเปล่า มาถึงวันนี้ประวัติศาสตร์มันย้อนกลับมา คุณหมอศิริวัฒน์ ซึ่งเป็นคนดี ถูกย้ายโดยไม่มีเหตุผลชัดแจ้ง จะให้พวกเราแพทย์ชนบทนิ่งเฉยดูคนดีถูกโยกย้ายได้อย่างไร
คุณไชยาสั่งย้ายข้าราชการที่เคยต่อสู้กับรัฐมนตรีที่ทุจริตคอรัปชั่น จะทำให้เรามั่นใจว่าคุณไชยาจะเข้ามาดูแลกระทรวงสาธารณสุขให้ปราศจากทุจริตคอ รัปชั่นได้อย่างไร

แพทย์ชนบทเกลียดคุณไชยาหรือไม่

ผมขอบอกว่าผมไม่ได้โกรธหรือเกลียดอะไรคุณไชยา เพราะเราไม่เคยรู้จักกัน ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมคุณพ่อเสม พริ้งพวงแก้ว อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตอนนี้ท่านอายุ 96 ปี ท่านสอนว่า “ลูกอย่าทำอะไรด้วยความโกรธ ความเกลียด เพราะจะบดบังปัญญา ขอให้ทำด้วยความรักชาติ ปัญญา และความดี” ตามความเป็นจริงผมไม่ได้เกลียดคุณไชยา แต่พวกเราชมรมแพทย์ชนบททำสิ่งต่างๆซึ่งคุณไชยาอาจจะเห็นว่าขัดแย้ง และเป็นศัตรู แต่ที่พวกเราทำทั้งหมดก็เพราะพวกผมนึกถึงคำพูดของพ่อเสมที่ว่า “ขอให้ลูกกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง อะไรถูก ก็ว่าถูก อะไรผิดก็ว่าผิด ช่วยกันดูแลกระทรวงสาธารณสุข พ่อดูพวกเราอยู่” ผมไม่ใช่คนก้าวร้าว ไม่ชอบความขัดแย้ง แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของพ่อเสม ผมต้องกล้าแย้งในสิ่งที่ถูกต้อง ผมต้องดูแลกระทรวงสาธารณสุขที่พ่อเสมรักและดูแลมาตลอดชีวิต เวลาผมต้องแย้งกับท่านรัฐมนตรี คำพูดของพ่อเสมจะวนเวียนมาเพื่อรวบรวมความกล้าว่าเรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องแ ล้ว

พวกเราชมรมแพทย์ชนบททำเพื่ออะไร

ขอยืนยันว่าทุกอย่างที่พวกผมทำ ไม่ใช่เพื่อตำแหน่งที่สูงขึ้น สมัยที่คุณพินิจ จารุสมบัติเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและผมเป็นประธานชมรมแพทย์ชนบท คุณพินิจเคยถามผมถึง 3 ครั้งว่า เห็นว่าผมทำงานดี อยากสนับสนุนให้เป็นซีเก้า ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน จังหวัดไหนก็ได้ แต่ผมตอบปฎิเสธ เพราะผมไม่คิดว่าจะก้าวหน้าในชีวิตราชการแบบนั้น เพราะไม่มีศักดิ์ศรี เราเป็นแพทย์ เป็นวิชาชีพ เรามีจรรยาบรรณในวิชาชีพครับ ถ้าคุณไชยาไม่เชื่อถามคุณพินิจได้ครับ

พวกเราทำตามสิ่งที่เรียกว่า “อุดมการณ์” ซึ่งผมคิดว่าคุณไชยาอาจจะไม่เข้าใจ เพราะคุณไชยาให้สัมภาษณ์ว่าไม่เข้าใจว่าทำไมหมอศิริวัฒน์ถึงยอมหยุดรับเงินเ ดือน 150,000 บาทในองค์กรอิสระ แล้วย้ายมารับเงินเดือน 50,000 บาทที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยคุณไชยาตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะมีผลประโยชน์อะไรในอย.ที่ทำให้คุณหมอศิริวัฒน์ยอมรับเงินเดือนลดลง นี่เป็นคำตอบของคำว่า “อุดมการณ์”ครับ ตอนผมจบจากคณะแพทยศาสตร์รามาธิบดีใหม่ๆ ผมอยากมีรถบีเอ็มดับบลิวขับ แต่ต้องขอบคุณรัฐบาลไทยที่ส่งผมไปใช้ทุนในชนบท 3 ปี ผมได้พบคนทุกข์คนยากในสังคมมากมายที่พวกเราคนรวยและคนชั้นกลางไม่ได้ดูแลพวก เขา ผมได้เรียนรู้ว่า “เวลาเราได้พบคนที่ลำบากกว่าเรา ความอยากมีอยากได้ก็จะหายไป ” หลังจากนั้นผมไม่อยากขับรถบีเอ็มอีกแล้วครับ ทุกวันนี้ผมขับรถปิคอัพเก่าๆคันหนึ่ง
อุดมการณ์แห่งแพทย์ชนบทได้หล่อหลอมพวกเรา ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคนอย่างหมอวรวิทย์ ที่โรงพยาบาลอุ้มผางจังหวัดตาก ที่อยู่ที่นั่นมาได้เกือบ 20 ปี ทั้งที่รายได้น้อยกว่าเอกชนมากกว่า 5 เท่า

ผมอยากให้คุณไชยาได้เหลือที่ว่างในสังคมทุนนิยม แห่งการแก่งแย่ง เงิน และอำนาจ ไว้สำหรับอุดมการณ์ของพวกเราที่จะเติบโตในปริมณฑลซึ่งคุณพ่อเสมได้ให้มรดกแก ่พวกเราไว้ ให้ผมได้ตอบกับคุณพ่อเสม พริ้งพวงแก้วว่า ผมได้ดูแลกระทรวงสาธารณสุขที่พ่อรักไว้เป็นอย่างดี

ประชาธิปไตยภาคประชาชนเริ่มขึ้นแล้ว

จากผลการทำงานที่ผ่านมา ผมคิดว่าคุณไชยามีวิธีคิด วิธีการ ความเชื่อ วัฒนธรรมและอุดมการณ์ที่แตกต่างจากพวกเรา จริงๆในสังคมเราทุกคนสามารถมีบทบาทหน้าที่ที่ตนเองถนัดแตกต่างกันได้ และทำประโยชน์ให้สังคมได้ แต่เราต้องรู้ว่างานอะไรที่เราถนัด ที่เราทำประโยชน์ให้สังคมมากที่สุด คุณไชยาถนัดงานด้านอื่น น่าจะเลือกไปทำงานที่คุณไชยาถนัด
แต่อย่างไรก็ดี ในเมื่อประชาธิปไตยที่คุณไชยาบอก คือกติกาแห่งการเลือกตั้ง การหย่อนบัตรลงในหีบ รวมทั้ง กติกาแห่งการใช้สิทธิของพลเมืองในการถอดถอน ผมก็ขอใช้ประชาธิปไตยกับคุณไชยาเช่นกัน โดยการขอร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายผู้ป่วยโรคเรื้อรัง มูลนิธิเข้าถึงยา เครือข่ายเพื่อนโรคไต และอื่นๆ ในการเข้าชื่อถอดถอนคุณไชยา ไม่ว่าคุณไชยาจะไม่ชอบ โกรธ หรือไม่พอใจอย่างไร ก็คงต้องยอมรับในกติกาแห่งประชาธิปไตยแบบที่ผมยอมรับให้คุณไชยาที่มาจากการเ ลือกตั้งเข้ามาบริหารงานในกระทรวงสาธารณสุขนาน 1 เดือนที่ผ่านมา
ผมจึงขอเชิญชวนประชาชนทุกท่านครับ ท่านจะไม่เห็นชอบกับผมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าท่านเห็นชอบท่านเชื่อว่าคุณไชยาไม่เหมาะสมกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกร ะทรวงสาธารณสุขตามเหตุผลต่างๆที่ผมว่าไว้ หรือตามหน้าหนังสือพิมพ์ ท่านย่อมมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะทดลองใช้ประชาธิปไตยภาคประชาชน สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มนี้ได้ที www.cl4life.net หรื www.consumerthai.org หรือขอรับแบบฟอร์มได้ที่โรงพยาบาลอำเภอทุกแห่งในอีก l สัปดาห์ และส่งแบบฟอร์มนี้พร้อม(รับรอง) สำเนาทะเบียนบ้าน และ สำเนาบัตรประชาชน ขีดคร่อมว่าใช้เฉพาะการถอดถอนรัฐมนตรี มาที่ ตู้ปณ ๑๑๙ ปณจ. คลองหลวง ๑๒๑๒๐
ถึงตอนนี้ไม่สำคัญแล้วครับว่าผมจะถอดถอนคุณไชยาได้หรือไม่ แต่สิ่งสำคัญคือผมจะขอเชิญชวนประชาชนไทยทุกคนมาร่วมดูแลประเทศไทยโดยใช้สิทธ ิพลเมืองของท่านเพื่อสังคมที่อยู่เย็นเป็นสุข แบบที่อาจารย์ประเวศ วะสีท่านมีจินตนาการว่า “มนุษย์ทุกคนพ้นทุกข์ร่วมกันได้” เราสามารถอยู่ด้วยความแตกต่างในผืนแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยไม่แตกแยกครับ
ยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ได้เกลียดคุณไชยา แต่ผมรักประเทศไทยและประชาชนไทยทุกคนครับ
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์
เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท


Posted by : cosmo , Date : 2008-03-10 , Time : 09:38:53 , From IP : 194.brs0104.brs.ipri

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.007 seconds. <<<<<