ต้นแหล่งข่าวจากผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 7 ธันวาคม 2550 http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000145325 ข้อเท็จจริงที่สรุปได้จากข่าว ศาลจังหวัดทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช มีคำพิพากษาให้จำคุก พญ.สุทธิพร ไกรมาก แพทย์ประจำโรงพยาบาลร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช เนื่องจากผ่าตัดไส้ติ่ง นางสมควร แก้วคงจันทร์ ด้วยการฉีดยาชาเข้าไขสันหลัง โดยประมาท ทำให้ นางสมควร เสียชีวิต โดยศาลลงโทษให้จำคุกเป็นเวลา 3 ปี โดยการตัดสินนี้เป็นของศาลชั้นต้น และมีการยื่นอุทรต่อไป ข้อคิดเห็นและข้อมูลโดย นพ.อำนาจ กุสลานันท์ เลขาธิการแพทย์สภา ที่สรุปได้ 1.การผ่าตัดใดๆ ก็ตาม ที่ต้องมีการดมยาสลบ หรือยาระงับความรู้สึกโดยการฉีดเข้าทางช่องไขสันหลัง ควรต้องทำในโรงพยาบาล ที่มีวิสัญญีแพทย์เท่านั้น เพราะแพทย์จะมีความเสี่ยงอย่างมาก หากผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และอันตรายถึงชีวิตได้ 2.ขวัญกำลังใจของแพทย์ และอาจทำให้แพทย์ตื่นตระหนก จนไม่กล้าเสี่ยงที่จะตัดสินใจในการรักษาผู้ป่วย 3.แพทย์ต้องส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัด หรือโรงพยาบาลที่มีความพร้อมมากกว่า ซึ่งจะยิ่งทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงเสียชีวิตสูงขึ้น 4.โรงพยาบาลชุมชนมีประมาณ 700 แห่งทั่วประเทศ ข้อคิดเห็นและข้อมูลโดย ศ.นพ.ธารา ตริตะการ ภาควิชาวิสัญญีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล อดีตประธานราชวิทยาลัยวิสัญญีแพทย์แห่งประเทศไทย ที่สรุปได้ 1.การเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหลังการดมยา หรือฉีดยาระงับประสาททางไขสันหลังสามารถเกิดขึ้นได้ 2.หากเป็นการดมยา มักจะเกิดกับผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องปอด และโรคหัวใจ โดยผู้ป่วย 10,000 ราย จะมีอัตราการเสียชีวิต 5-6 ราย 3.แต่หากเป็นการฉีดยาเข้าทางไขสันหลังมักจะเกิดกับผู้ป่วยที่มีร่างกายแข็งแรง หรือนักกีฬา โดยผู้ป่วย 10,000 ราย มีอัตราการเสียชีวิต 2-6 ราย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางการแพทย์ยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร 4.ประเทศไทย มีวิสัญญีแพทย์ ประมาณ 700 กว่าคน ในจำนวนนี้เป็นแพทย์ในสังกัดโรงพยาบาลของรัฐ ประมาณ 200 กว่าคน 5.หากมีการส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาในโรงพยาบาลที่มีความพร้อม หรือมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปอีก จะยิ่งทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงในการเสี่ยงชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า เพราะได้รับการรักษาล่าช้าไม่ทันท่วงที ข้อคิดเห็นและข้อมูลโดย นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่สรุปได้ ขณะนี้วิสัญญีแพทย์ในโรงพยาบาลจังหวัดที่เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ไม่ถึง 50% ของโรงพยาบาลจังหวัดทั่วประเทศ !! จบข่าว !! ข้อคิดเห็นส่วนตัวเอง 1.กล่าวนำเบื่องต้น ผมเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนหนองม่วงไข่ ในโรงพยาบาลมีแพทย์ 3 ท่านมีวิสัญญีพยาบาล 1 ท่าน โรงพยาบาลจังหวัดแพร่ มีศัลยแพทย์ 3 ท่าน มีวิสัญญีแพทย์ประมาณ 1-2 คน(ไม่ได้เข้าจัวหวัดนานเลยไม่แน่ใจ) ในจังหวัดแพร่มีโรงพยาบาลชุมชนอยู่ 7 โรงพยาบาล 60*1 30*6 ขณะนี้มีเพียงโรงพยาบาลลอง 60 เตียงที่ยังคงผ่าตัดไส้ติ่งอยู่โดยที่ไม่ไช่ศัลยแพทย์และไม่มีวิสัญญีแพทย์ด้วย 2.โดยส่วนตัวคิดว่าข่าวนี้อาจจะทำให้โรงพยาบาลชุมชนทุกแห่งไม่ผ่าตัดไส้ติ่ง คลอด ไส้เลื่อน และไม่แน่ว่าอาจจะไม่ผ่าตัดทำหมันหลังคลอดด้วย โดยจะต้องส่งเข้าโรงพยาบาลจังหวัดทั้งหมด 3.ส่วนทางด้านโรงพยาบาลจังหวัดปกติก็ให้ศัลยแพทย์ผ่าตัดไส้ติ่งอยู่แล้ว ก็คงต้องเหนื่อยกันหน่อย 4.ทางด้านวิสัญญีแพทย์ก็ต้องวางยาสลบแล้วเฝ้าจนเสร็จ ก็ต้องเหนื่อมากขึ้นเพราะว่า ถึงแม้มีวิสัญญีพยาบาลก็ไม่อาจวางใจได้ทุกๆราย 5.วิสัญญีแพทย์ก็เป็นคนนะครับก็ต้องมีกิจธุระ มีเจ็บป่วยไม่ว่าทางกายทางใจ ถ้าเกิดว่ามีเหตุต้องลากันหมด(เช่นคนหนึ่งเป็นไข้ อีกคนถ่ายเหลว) แล้วการผ่าตัดก็ต้องหยุดทั้งหมดเลย 6.ยังก่อน โรคที่ต้องทำการผ่าตัดไม่ได้มีแค่ไส้ติ่งนะครับ มีอีกมากมายคงทราบกันอยู่ 7.อยากรู้จังว่าวิสัญญีแพทย์ถ้าเจออย่างนี้จะอยู่ได้อีกซักกี่นาน 8.แล้วถ้าวิสัญญแพทย์ลาออกกันหมดแล้วห้องผ่าตัดต้องปิดเลยไช่มั้ย 9.เพราะไม่มีใครอยากเข้าไปนอนในคุกหรอก 10.สำหรับผู้ป่วยก็ได้ดีครับ ได้รับการส่งต่อออกนอกจังหวัดแน่นอน อาจไกลถึงเชียงไหม่ หรือกรุงเทพ เพราะจังหวัดข้างเคียงคงจะประสบปัญหาเดียวกัน 11.สำหรับโรงพยาบาลทั้วประเทศของรัฐบาลที่มีวิสัญญีแพทย์ ประมาณ 200 กว่าคน เกิดลาออกกันหมดไปอยู่เอกชน โรงพยาบาลรัฐก็ต้องปิดห้องผ่าตัดทั้งหมด 12.รัฐก็คงเดือดร้องเร่งผลิตมีวิสัญญีแพทย์เพิ่ม แต่เชื่อเถิดว่าก็คงอยู่ได้ไม่นานก็เกิดภาวะสมองไหลไปเรื่อยๆ สูญเสียงบไปเรื่อยๆ 13.หรือไม่ก็ต้องส่งผู้ป่วยเข้าเอกชน ซึ่งถ้าเกิดการผูกขาดก็จะโกงราคาผ่าตัดกัน แล้วรัฐจะจ่ายไหวหรือ 14.เงินที่รัฐนำมาจ่ายนั้นก็มาจากประชาชนนั่นแหละ อานาคตอาจมีการขูดภาษีโหดมากขึ้น อาจถึงขั้นขูดภาษีความเป็นคนไทย(แค่เกิดมาก็ต้องจ่ายภาษีแล้ว)เลยก็ได้ 15.การผ่าตัดบางอย่างก็รอไม่ได้นานเช่นการผ่าตัดคลอด อุบัติเหตุรุนแรง ถ้าส่งผู้ป่วยจากแพร่ไปเชียงไหม่ บางทีผู้ป่วยหรือญาติอาจขอให้โรงพยาบาลส่งเข้าวัดเลยจะดีกว่่า 16.สรุปแล้วไม่ว่าเบื่องต้น เบื่องกลาง เบื่องปลาย คนเสียประโยชน์คือประชาชนนั่นแหละ 17.ประชาชนส่วนใหญ่แน่นอนมักคิดเห็นแก่ตัว คิดถึงประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่ค่อยคิดถึงผลกระทบระยะยาว 18.ความจริงเรื่องนี้แพทย์สภาก็คงช่วยเหลือได้แต่ก็คงไม่มาก ควรเป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะเลือกทางเดินเอง ว่าจะให้เรื่องต่างๆนั้นลงเอยอย่างไร เพราะคนเดือดร้อนที่แท้จริงคือประชาชน 19.หมอส่้วนใหญ่ก็ไม่ค่อยลงรอยกันอยู่แล้ว อย่างมากก็ลาออกไปอยู่เอกชน คนที่มีความตั้งมั่นที่จะทำเพื่อประชาชนจะเหลืออยู่ซักกี่คน แล้วจะทนได้ซักกี่นาน ถึงใจจะทนได้ แล้วกายจะรับไหวหรือ โรงพยาบาลที่เคยมีอยู่ 5 คนเหลือหมอ แค่คนเดียว งานที่เคยทำ 5 คนกลับต้องมาทำคนเดียว จะเกิดความผิดพลาดขึ้นอีกกี่เท่า ถึงจะมีคนเห็นใจ แต่จะเห็นใจหมอกันทุกคนหรือ คงต้องมีการฟ้องกันบ้างแหละ 20.ผมคิดว่าเรื่องนี้ ในส่วนของคดีก็ให้แพทย์สภาช่วยเหลือไป แต่ในส่วนภาพรวมต้องให้ประชาชนตัดสินใจเอง ไม่ไช่หน้าที่หมอแน่นอน 21.สำหรับใครได้ประโยชน์ก็คงคิดกันเองล่ะกัน ขออธิบายเพิ่มเติม วิสัญญีแพทย์เป็นสาขาขาดแคลน ในปัจจุบันนี้จึงอนุญาติให้แพทย์ที่จบแล้วกระทำการแทนได้ โดยแพทย์ทุกคนต้องเรียนการวางยาสลบและการบล็อกหลังอยู่แล้ว ฉะนั้นดูเหมือนคำตัดสินของศาลเหมือนเป็นคำพิภาคษาว่า แพทย็ที่เรียนจบ 6 ปีห้ามกระทำการบล็อกหลังเด็จขาดเพราะไม่ไช่ผู้เชี่ยวชาญ แล้วสำหรับศัลยแพทย์ก็ได้รับการฝึกเพิ่มเติมเช่นกัน คำตัดสินของศาลนี้ก็ต้องสร้างความระแวงแคลงใจให้มากขึ้น เพราะยังไงก็ไม่ไช่ผู้เชียวชาญด้านการวางยาอยู่ดี สำหรับการแพ้ยา ก็คล้ายกับการแพ้อาหาร แพ้แมลง บางคนคงเคยได้ยินว่ามดกัดแพ้ถึงตายก็มี และคงไม่มีหมอคนไหนกล้ารับรองว่า ทุกครั้งที่บล็อกหลังนั้นจะปลอดภัย 100.0000000 เปอร์เซ็น โดยเฉพาะในผู้ที่กำลังป่วยอยู่แล้ว เกิดการแพ้อาจจะแก้ไขได้ยากกว่าคนปกติ ข่า่วนี้จึงสร้างความระแวงระวังและความหวาดกลัวให้กับแพทย์โดยรวม เพราะไม่มีใครอยากจะผ่าตัดผู้ป่วยถ้าไม่จำเป็น และถ้าหมอเขาเห็นแก่เงินเขาก็คงออกไปอยู่เอกชนกันหมดแล้ว เขาไม่อยู่ในโรงพยาบาลรัฐบาลหรอก แพทย์ในโรงพยาบาลรัฐนั้นก็ยังคงมีใจอยู่เพื่อประชาชนเพื่อชาติ ทุกคนหวังดีทั้งนั้น แต่ถ้าเกิดการฟ้องกันบ่อย คงมีหมอใจแข็งมากจริงๆ เหลืออยู่ไม่กี่คนหรอก ขอบคุณทุกท่านที่อุตส่าห์อ่าน ใครมีความคิดเด็จๆ หรือคิดต่างออกไปก็เชิญเลยครับ (ผมไม่ได้ออกความเห็นเกี่ยวกับคดีนะครับ เพราะไม่ทราบรายละเอียด กรุณาอย่ากล่าวหาผมว่าเอาใจช่วยหมอ หรือกล่าวปกป้องหมอนะครับ) จาก http://gotoknow.org/blog/jua-crime/152417?page=1 เขียนโดยผมเอง ธีรเวทย์ สิริสุวรรณกิจ Posted by : jua , E-mail : (theerawate@yahoo.com) , Date : 2007-12-16 , Time : 15:51:49 , From IP : 117.47.46.247 |
ต้นแหล่งข่าวจากผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 7 ธันวาคม 2550 http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000145325 ข้อเท็จจริงที่สรุปได้จากข่าว ศาลจังหวัดทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช มีคำพิพากษาให้จำคุก พญ.สุทธิพร ไกรมาก แพทย์ประจำโรงพยาบาลร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช เนื่องจากผ่าตัดไส้ติ่ง นางสมควร แก้วคงจันทร์ ด้วยการฉีดยาชาเข้าไขสันหลัง โดยประมาท ทำให้ นางสมควร เสียชีวิต โดยศาลลงโทษให้จำคุกเป็นเวลา 3 ปี โดยการตัดสินนี้เป็นของศาลชั้นต้น และมีการยื่นอุทรต่อไป ข้อคิดเห็นและข้อมูลโดย นพ.อำนาจ กุสลานันท์ เลขาธิการแพทย์สภา ที่สรุปได้ 1.การผ่าตัดใดๆ ก็ตาม ที่ต้องมีการดมยาสลบ หรือยาระงับความรู้สึกโดยการฉีดเข้าทางช่องไขสันหลัง ควรต้องทำในโรงพยาบาล ที่มีวิสัญญีแพทย์เท่านั้น เพราะแพทย์จะมีความเสี่ยงอย่างมาก หากผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และอันตรายถึงชีวิตได้ 2.ขวัญกำลังใจของแพทย์ และอาจทำให้แพทย์ตื่นตระหนก จนไม่กล้าเสี่ยงที่จะตัดสินใจในการรักษาผู้ป่วย 3.แพทย์ต้องส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัด หรือโรงพยาบาลที่มีความพร้อมมากกว่า ซึ่งจะยิ่งทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงเสียชีวิตสูงขึ้น 4.โรงพยาบาลชุมชนมีประมาณ 700 แห่งทั่วประเทศ ข้อคิดเห็นและข้อมูลโดย ศ.นพ.ธารา ตริตะการ ภาควิชาวิสัญญีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล อดีตประธานราชวิทยาลัยวิสัญญีแพทย์แห่งประเทศไทย ที่สรุปได้ 1.การเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหลังการดมยา หรือฉีดยาระงับประสาททางไขสันหลังสามารถเกิดขึ้นได้ 2.หากเป็นการดมยา มักจะเกิดกับผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องปอด และโรคหัวใจ โดยผู้ป่วย 10,000 ราย จะมีอัตราการเสียชีวิต 5-6 ราย 3.แต่หากเป็นการฉีดยาเข้าทางไขสันหลังมักจะเกิดกับผู้ป่วยที่มีร่างกายแข็งแรง หรือนักกีฬา โดยผู้ป่วย 10,000 ราย มีอัตราการเสียชีวิต 2-6 ราย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางการแพทย์ยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร 4.ประเทศไทย มีวิสัญญีแพทย์ ประมาณ 700 กว่าคน ในจำนวนนี้เป็นแพทย์ในสังกัดโรงพยาบาลของรัฐ ประมาณ 200 กว่าคน 5.หากมีการส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาในโรงพยาบาลที่มีความพร้อม หรือมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปอีก จะยิ่งทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงในการเสี่ยงชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า เพราะได้รับการรักษาล่าช้าไม่ทันท่วงที ข้อคิดเห็นและข้อมูลโดย นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่สรุปได้ ขณะนี้วิสัญญีแพทย์ในโรงพยาบาลจังหวัดที่เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ไม่ถึง 50% ของโรงพยาบาลจังหวัดทั่วประเทศ !! จบข่าว !! ข้อคิดเห็นส่วนตัวเอง 1.กล่าวนำเบื่องต้น ผมเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนหนองม่วงไข่ ในโรงพยาบาลมีแพทย์ 3 ท่านมีวิสัญญีพยาบาล 1 ท่าน โรงพยาบาลจังหวัดแพร่ มีศัลยแพทย์ 3 ท่าน มีวิสัญญีแพทย์ประมาณ 1-2 คน(ไม่ได้เข้าจัวหวัดนานเลยไม่แน่ใจ) ในจังหวัดแพร่มีโรงพยาบาลชุมชนอยู่ 7 โรงพยาบาล 60*1 30*6 ขณะนี้มีเพียงโรงพยาบาลลอง 60 เตียงที่ยังคงผ่าตัดไส้ติ่งอยู่โดยที่ไม่ไช่ศัลยแพทย์และไม่มีวิสัญญีแพทย์ด้วย 2.โดยส่วนตัวคิดว่าข่าวนี้อาจจะทำให้โรงพยาบาลชุมชนทุกแห่งไม่ผ่าตัดไส้ติ่ง คลอด ไส้เลื่อน และไม่แน่ว่าอาจจะไม่ผ่าตัดทำหมันหลังคลอดด้วย โดยจะต้องส่งเข้าโรงพยาบาลจังหวัดทั้งหมด 3.ส่วนทางด้านโรงพยาบาลจังหวัดปกติก็ให้ศัลยแพทย์ผ่าตัดไส้ติ่งอยู่แล้ว ก็คงต้องเหนื่อยกันหน่อย 4.ทางด้านวิสัญญีแพทย์ก็ต้องวางยาสลบแล้วเฝ้าจนเสร็จ ก็ต้องเหนื่อมากขึ้นเพราะว่า ถึงแม้มีวิสัญญีพยาบาลก็ไม่อาจวางใจได้ทุกๆราย 5.วิสัญญีแพทย์ก็เป็นคนนะครับก็ต้องมีกิจธุระ มีเจ็บป่วยไม่ว่าทางกายทางใจ ถ้าเกิดว่ามีเหตุต้องลากันหมด(เช่นคนหนึ่งเป็นไข้ อีกคนถ่ายเหลว) แล้วการผ่าตัดก็ต้องหยุดทั้งหมดเลย 6.ยังก่อน โรคที่ต้องทำการผ่าตัดไม่ได้มีแค่ไส้ติ่งนะครับ มีอีกมากมายคงทราบกันอยู่ 7.อยากรู้จังว่าวิสัญญีแพทย์ถ้าเจออย่างนี้จะอยู่ได้อีกซักกี่นาน 8.แล้วถ้าวิสัญญแพทย์ลาออกกันหมดแล้วห้องผ่าตัดต้องปิดเลยไช่มั้ย 9.เพราะไม่มีใครอยากเข้าไปนอนในคุกหรอก 10.สำหรับผู้ป่วยก็ได้ดีครับ ได้รับการส่งต่อออกนอกจังหวัดแน่นอน อาจไกลถึงเชียงไหม่ หรือกรุงเทพ เพราะจังหวัดข้างเคียงคงจะประสบปัญหาเดียวกัน 11.สำหรับโรงพยาบาลทั้วประเทศของรัฐบาลที่มีวิสัญญีแพทย์ ประมาณ 200 กว่าคน เกิดลาออกกันหมดไปอยู่เอกชน โรงพยาบาลรัฐก็ต้องปิดห้องผ่าตัดทั้งหมด 12.รัฐก็คงเดือดร้องเร่งผลิตมีวิสัญญีแพทย์เพิ่ม แต่เชื่อเถิดว่าก็คงอยู่ได้ไม่นานก็เกิดภาวะสมองไหลไปเรื่อยๆ สูญเสียงบไปเรื่อยๆ 13.หรือไม่ก็ต้องส่งผู้ป่วยเข้าเอกชน ซึ่งถ้าเกิดการผูกขาดก็จะโกงราคาผ่าตัดกัน แล้วรัฐจะจ่ายไหวหรือ 14.เงินที่รัฐนำมาจ่ายนั้นก็มาจากประชาชนนั่นแหละ อานาคตอาจมีการขูดภาษีโหดมากขึ้น อาจถึงขั้นขูดภาษีความเป็นคนไทย(แค่เกิดมาก็ต้องจ่ายภาษีแล้ว)เลยก็ได้ 15.การผ่าตัดบางอย่างก็รอไม่ได้นานเช่นการผ่าตัดคลอด อุบัติเหตุรุนแรง ถ้าส่งผู้ป่วยจากแพร่ไปเชียงไหม่ บางทีผู้ป่วยหรือญาติอาจขอให้โรงพยาบาลส่งเข้าวัดเลยจะดีกว่่า 16.สรุปแล้วไม่ว่าเบื่องต้น เบื่องกลาง เบื่องปลาย คนเสียประโยชน์คือประชาชนนั่นแหละ 17.ประชาชนส่วนใหญ่แน่นอนมักคิดเห็นแก่ตัว คิดถึงประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่ค่อยคิดถึงผลกระทบระยะยาว 18.ความจริงเรื่องนี้แพทย์สภาก็คงช่วยเหลือได้แต่ก็คงไม่มาก ควรเป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะเลือกทางเดินเอง ว่าจะให้เรื่องต่างๆนั้นลงเอยอย่างไร เพราะคนเดือดร้อนที่แท้จริงคือประชาชน 19.หมอส่้วนใหญ่ก็ไม่ค่อยลงรอยกันอยู่แล้ว อย่างมากก็ลาออกไปอยู่เอกชน คนที่มีความตั้งมั่นที่จะทำเพื่อประชาชนจะเหลืออยู่ซักกี่คน แล้วจะทนได้ซักกี่นาน ถึงใจจะทนได้ แล้วกายจะรับไหวหรือ โรงพยาบาลที่เคยมีอยู่ 5 คนเหลือหมอ แค่คนเดียว งานที่เคยทำ 5 คนกลับต้องมาทำคนเดียว จะเกิดความผิดพลาดขึ้นอีกกี่เท่า ถึงจะมีคนเห็นใจ แต่จะเห็นใจหมอกันทุกคนหรือ คงต้องมีการฟ้องกันบ้างแหละ 20.ผมคิดว่าเรื่องนี้ ในส่วนของคดีก็ให้แพทย์สภาช่วยเหลือไป แต่ในส่วนภาพรวมต้องให้ประชาชนตัดสินใจเอง ไม่ไช่หน้าที่หมอแน่นอน 21.สำหรับใครได้ประโยชน์ก็คงคิดกันเองล่ะกัน ขออธิบายเพิ่มเติม วิสัญญีแพทย์เป็นสาขาขาดแคลน ในปัจจุบันนี้จึงอนุญาติให้แพทย์ที่จบแล้วกระทำการแทนได้ โดยแพทย์ทุกคนต้องเรียนการวางยาสลบและการบล็อกหลังอยู่แล้ว ฉะนั้นดูเหมือนคำตัดสินของศาลเหมือนเป็นคำพิภาคษาว่า แพทย็ที่เรียนจบ 6 ปีห้ามกระทำการบล็อกหลังเด็จขาดเพราะไม่ไช่ผู้เชี่ยวชาญ แล้วสำหรับศัลยแพทย์ก็ได้รับการฝึกเพิ่มเติมเช่นกัน คำตัดสินของศาลนี้ก็ต้องสร้างความระแวงแคลงใจให้มากขึ้น เพราะยังไงก็ไม่ไช่ผู้เชียวชาญด้านการวางยาอยู่ดี สำหรับการแพ้ยา ก็คล้ายกับการแพ้อาหาร แพ้แมลง บางคนคงเคยได้ยินว่ามดกัดแพ้ถึงตายก็มี และคงไม่มีหมอคนไหนกล้ารับรองว่า ทุกครั้งที่บล็อกหลังนั้นจะปลอดภัย 100.0000000 เปอร์เซ็น โดยเฉพาะในผู้ที่กำลังป่วยอยู่แล้ว เกิดการแพ้อาจจะแก้ไขได้ยากกว่าคนปกติ ข่า่วนี้จึงสร้างความระแวงระวังและความหวาดกลัวให้กับแพทย์โดยรวม เพราะไม่มีใครอยากจะผ่าตัดผู้ป่วยถ้าไม่จำเป็น และถ้าหมอเขาเห็นแก่เงินเขาก็คงออกไปอยู่เอกชนกันหมดแล้ว เขาไม่อยู่ในโรงพยาบาลรัฐบาลหรอก แพทย์ในโรงพยาบาลรัฐนั้นก็ยังคงมีใจอยู่เพื่อประชาชนเพื่อชาติ ทุกคนหวังดีทั้งนั้น แต่ถ้าเกิดการฟ้องกันบ่อย คงมีหมอใจแข็งมากจริงๆ เหลืออยู่ไม่กี่คนหรอก ขอบคุณทุกท่านที่อุตส่าห์อ่าน ใครมีความคิดเด็จๆ หรือคิดต่างออกไปก็เชิญเลยครับ (ผมไม่ได้ออกความเห็นเกี่ยวกับคดีนะครับ เพราะไม่ทราบรายละเอียด กรุณาอย่ากล่าวหาผมว่าเอาใจช่วยหมอ หรือกล่าวปกป้องหมอนะครับ) จาก http://gotoknow.org/blog/jua-crime/152417?page=1 เขียนโดยผมเอง ธีรเวทย์ สิริสุวรรณกิจ Posted by : jua , E-mail : (theerawate@yahoo.com) , Date : 2007-12-16 , Time : 15:52:02 , From IP : 117.47.46.247 |
ความเห็นจาก Social Network : Facebook |
|
>>>>> Page loaded: 0.009 seconds. <<<<< |