ความคิดเห็นทั้งหมด : 5

ถึงลูกถึงคน ถึง ร่าง พรบ. ยา


   รายการ ถึงลูกถึงคน “ปัญหา พ.ร.บ.ยาฉบับใหม่”

ผู้ร่วมรายการ
1. ภญ.รศ.ธิดา นิงสานนท์ นายกสภาเภสัชกรรม
2. ภก.คฑา บัณฑิตานุกูล ประธานมูลนิธิกลุ่มเภสัชกรชุมชน
3. นพ.เพิ่มบุญ จิรยศบุญยศักดิ์ ประธานเครือข่ายแพทย์เพื่อประชาชน
4. นพ.โชติศักดิ์ เจนพาณิชย์ เลขานุการ ชมรมวิชาชีพแพทย์

- สรยุทธ : ถ้ามองจากเหตุผลของแพทย์ และมองจากปัญหาที่ขัดแย้งกันอยู่ ว่าจะยึดอำนาจการขายยาไปอยู่ที่เภสัชกรฝ่ายเดียวเลยเหรอ


- ภค.รศ.ธิดา : คงไม่ใช่อย่างนั้น จริงๆ ต้องกำหนดพื้นที่ที่ร้านขายยาที่มีความพร้อม จะต้องกำหนดในพระราชกฤษฎีกา และต้องกำหนดรายการยาที่จะต้องมีใบสั่งแพทย์ โดยจะเริ่มจากยาที่มีความเสี่ยงและมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ เช่น ยาลดความอ้วน ยานอนหลับบางชนิด แต่ขณะนี้การบังคับใช้ของกฎหมายไม่เป็นไปตามนั้น แต่จริงๆ มีการกำหนดอยู่แล้วใน พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ไม่ได้เป็นของใหม่อะไร
- สรยุทธ : แต่ว่ายาที่เป็นยาพื้นฐาน เช่น พาราเซตามอล
- ภค.รศ.ธิดา : อันนี้เป็นยาสามัญประจำบ้านอยู่แล้ว ซื้อขายได้ทั่วไปอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของชำ ในเรือ ถ้าอยู่ในแพ็คกิ้งที่กำหนดตามกฎหมาย แต่ในความรู้สึกของดิฉันเองว่ายาชนิดไหนที่อยู่ในประเภทที่เภสัชกรจ่ายได้ จริงๆ แพทย์ก็ควรจะจ่ายได้
- สรยุทธ : ยาพื้นฐานให้แพทย์และเภสัชกรจ่ายได้ ได้ไม๊
น.พ.เพิ่มบุญ : พูดอย่างนี้เดี๋ยวผิดประเด็นนะครับ ต้องเข้าใจว่าเรากำลังพูดถึงร่าง พ.ร.บ.ยาใหม่ อย่าเพิ่งไปออกความเห็นของตัวเองดังกล่าว ใน พ.ร.บ.ยาใหม่ระบุว่าเภสัชกรจ่ายยาเองได้โดยวิชาชีพเภสัชกรรมเท่านั้นตามมาตรา 4 และบอกว่ารัฐมนตรีเป็นผู้กำหนด หรือที่ยังไม่กำหนดก็จ่ายเองได้ โดยเภสัชกรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้นในกระบวนของมาตรา 4 ในเรื่องเภสัชกรจ่ายยาเองได้ ถือว่าเป็นกระบวนการจ่ายยาแบบเบ็ดเสร็จที่ร้านขายยาเท่านั้น
- สรยุทธ : คุณหมอกำลังบอกว่ากฎหมายใหม่ให้เภสัชกรขายฝ่ายเดียว แพทย์ห้ามขาย
- ภค.คฑา : แต่ว่าผมอยากให้ดูมาตรา 14 (3) วรรคแรก เขียนว่าแพทย์จ่ายยาที่มีทะเบียนได้ทุกตัว เพราะฉะนั้นยา 2 หมื่นกว่ารายการที่มีในประเทศไทย แพทย์จ่ายได้ทั้งหมดตามกฎหมายร่าง พ.ร.บ.ยาใหม่นี้ ขอยืนยัน
- น.พ.โชติศักดิ์ : ร่าง พ.ร.บ.ยาที่เปิดตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย ก็พบว่าประเด็นที่มีปัญหามี 3 เรื่อง คือ 1.ร่าง พ.ร.บ.ยาฉบับนี้ไม่ได้คุ้มครองประชาชนตามเจตนารมย์ นั่นหมายความว่าการแบ่งแยกหน้าที่ระหว่างแพทย์และเภสัชกรไม่ถูกต้อง เพราะแพทย์ถูกจำกัดสิทธิ์การจ่ายยาตามมาตรา 14 (3) ขณะที่เภสัชกรสามารถที่จะตรวจ รักษา และจ่ายยาตามอาการของโรคได้ ประเด็นที่ 2.ร่าง พ.ร.บ.ยาฉบับนี้ไม่ได้ผ่านการประชาพิจารณ์ภาคประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบถามประชาชนจากกลุ่มเป้าหมาย และ 3.ยังถือว่าเป็นการริดลอนสิทธิในการประกอบวิชาชีพของแพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ ตลอดจนพยาบาล
- สรยุทธ : คุณหมอเปิดคลินิกใช่ไม๊
- น.พ.โชติศักดิ์ : : เปิดครับ
- สรยุทธ : เพราะฉะนั้นคุณหมอกลัวว่าต่อไปคลินิกต้องไปจ้างเภสัชกร ถ้าไม่มี เภสัชกร คุณหมอก็จ่ายยาเองไม่ได้ คุณหมอเคยกำไรจากการขายยา ก็เลยออกมาค้านใช่ไม๊ครับ
- น.พ.โชติศักดิ์ : ผมอยากให้ทุกท่านได้ศึกษาเนื้อความในกฎหมายฉบับนี้และตีความให้แตก และจะได้รู้ว่าเราค้านเพราะเรามีเหตุผล
- สรยุทธ : ยามี 3 กลุ่ม คือ กลุ่มยาสามัญประจำบ้าน ร้านขายของชำก็ขายได้ ไม่จำเป็นต้องร้านขายยา กลุ่มยาพื้นฐาน และกลุ่มยาอันตราย
- ภค.คฑา : กลุ่มยาพื้นฐานและกลุ่มยาอันตรายตอนนี้อยู่ในกลุ่มที่ 2 ที่เรียกว่ายาเภสัชกร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก ส่วนกลุ่มที่ 3 มี 10-15 รายการ เป็นยาที่จ่ายโดยใบสั่งแพทย์เท่านั้น
- น.พ.เพิ่มบุญ : ยาในกลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ แต่จริงๆ ไม่ได้กำหนดใน พ.ร.บ.ยา แต่ระบุว่ามีแต่วิชาชีพเภสัชกรรมเท่านั้นในมาตรา 4 …
- ภค.คฑา : ในมาตรา 4 จริง แต่ถ้าไปอ่านมาตรา 14 (3) จะเห็นว่าแพทย์จ่ายยาที่มีทะเบียนได้ทุกตัว
- น.พ.เพิ่มบุญ : เพราะฉะนั้นเราต้องดูว่าเป็นมาตราที่กำหนดชัดเจนไว้เลยว่า ยาเภสัชกรเท่านั้นที่จ่ายได้
- สรยุทธ : แพทย์จ่ายยาได้ทุกตัวหรือเปล่าครับ
- ภค.รศ.ธิดา : ใช่ค่ะ ถ้าตามมาตรา 14 (3) แต่ความที่ไม่เคลียร์กันตรงนี้
- สรยุทธ : และถ้าแพทย์จ่ายยาได้ทุกตัว แล้วจะมากำหนดทำไมครับ
- ภค.คฑา : เขาจะกำหนดให้มีระบบใบสั่งยาในเฉพาะพื้นที่ที่พร้อม และถามว่ามีกี่รายการ
- สรยุทธ : กฎหมายใหม่ที่เกิดขึ้นหลักการนี้ เพื่อให้มีการใช้ใบสั่งยาถูกไม๊ครับ
- ภค.คฑา : ถูกต้องครับ
- สรยุทธ : เพราะฉะนั้นแพทย์ก็ห้ามขายยา
- ภค.คฑา : เฉพาะรายการ 10 กว่ารายการนี้ แต่ที่เหลือตายหมดทุกอย่าง
- น.พ.เพิ่มบุญ : และที่เหลือก็ถูกกำหนดโดยยาเภสัชกรจ่ายเท่านั้นในมาตรา 4 เขียนไว้ชัดเจนนะครับ
- สรยุทธ : แต่ว่ายาอื่นๆ นอกเหนือจาก 10 กว่ารายการนี้ หรือในอนาคต ให้รัฐมนตรีกำหนดเพิ่มให้เป็นกลุ่มที่มียามีความเสี่ยง … เอ้า คุณหมอฟังดูแล้วไม่เป็นปัญหาเลย
- น.พ.เพิ่มบุญ : เป็นปัญหาแน่นอน ในมาตรา 4 เขียนไว้ว่ายาเภสัชกรจ่ายเท่านั้น และมันจะมีคำไหนให้แพทย์จ่ายด้วยล่ะครับ หลักการใช้ยาที่ถูกต้อง ต้องรู้โรคจริงไม๊ แต่ถ้าไม่รู้โรคแล้วไปจ่ายยา ผมถามว่าที่ผ่านมาบ้านเรามีปัญหาเสรีการขายยาผิดจนรู้สึกว่ามันถูก ที่จริงมันผิด แต่ถ้าเราบอกว่าเรากำหนดให้มียาที่เภสัชกรจ่ายเองได้ โดยไม่ได้ตรวจวินิจฉัยโรคจากแพทย์ ก็แสดงว่าเรากำลังจะเปลี่ยนจากที่เคยขายโดยเภสัชกร จากผิดให้มันถูกกฎหมาย
- สรยุทธ : แต่เภสัชยืนยันว่าไม่ได้คิดอย่างนั้น
- ภค.คฑา : ข้อ 4 (3) วรรคแรก ชัดเจนอยู่แล้ว
- สรยุทธ : การผลิตยา ขายยา นำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักรของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ และสภากาชาดไทย เพื่อใช้ในหน้าที่ป้องกันบำบัดโรค ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
- ภค.คฑา : ยกเว้นโรงพยาบาลต่างๆ ไม่ต้องขายยา ไม่ต้องนำสั่ง
- สรยุทธ : และห้ามมิให้ผู้ใดประกอบกิจการ ผลิตยา ขายยา หรือนำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาต การขออนุญาตและออกใบอนุญาตให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง และมาตรา 13 ไม่ใช้บังคับแก่การผลิตยา ขายยา นำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักรของกระทรวง ทบวง กรม และวงเล็บ 3 ระบุว่าการขายยาที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว หรือการขายยาที่สั่งบรรจุตามวงเล็บ 2 ที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทย ประเภทเวชกรรมไทย หรือผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ขายสำหรับคนไข้ของตน
- ภค.คฑา : เห็นไม๊ครับ เอาแค่นี้แหละ ได้ทุกตัวเลย
- น.พ.โชติศักดิ์ : ก่อนอื่นผมขอแก้ต่างนิดนึงว่า การประกอบวิชาชีพของแพทย์ แพทย์ไม่ได้ขายยานะครับ มีแต่จ่ายยาตามคำจำกัดความของคำว่าวิชาชีพเวชกรรม ถ้ามาดูในกฎหมายแค่วรรคแรกจบก็คงไม่มีปัญหา แต่มีประเด็นมาผูกปมที่ว่า ทั้งนี้เว้นแต่ในพื้นที่ที่มีความพร้อม ตรงนี้อาจจะคลุมเคลือ แต่พอย้อนกลับไปดูมาตรา 4 เมื่อกี้เป็นมาตรา 13 และ 14 (3) นะครับ ซึ่งมาตรา 4 ระบุพูดถึงคำจำกัดความต่างๆ ซึ่งประเด็นที่มีปัญหามากก็คือว่ามาตรา 4 จะมีคำนึงที่บอกว่ายาที่ต้องจ่ายโดยเภสัชกร หมายถึงว่ายาที่ต้องจ่ายโดยผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม และให้หมายความรวมถึงยาที่รัฐมนตรียังไม่ได้ประกาศกำหนดให้เป็นยาที่จ่ายตามใบสั่งยา และยาสามัญประจำบ้าน เราตีความตรงไปตรงมาก็หมายความว่ายาที่ต้องจ่ายโดยเภสัชกร ยังไม่รู้ว่าเป็นยารายการอะไร ดังนั้น ทางท่านนายกสภาเภสัชกรรม กับคุณคฑา บอกว่ามียาประมาณ 10 รายการ เป็นการพูดโดยไม่มีข้อเท็จจริง ที่ยังไม่ได้กำหนด ในความเป็นจริงอาจจะเป็นยาร้อยรายการ พันรายการ รัฐมนตรีจะประกาศตัวไหนก็ได้ และต้องกลับไปดูมาตรา 7 คณะกรรมการยา ซึ่งเป็นผู้เสนอพื้นที่ที่มีความพร้อม และรายการยาที่มีความพร้อม คณะกรรมการยามีส่วนที่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ยาฉบับนี้ เป็นจำนวนมาก ปัญหาที่ถกเถียงกันมากคือ มาตรา 14 (3) จะอิงเข้าไปในมาตรา 4 โดยผ่านทางคณะกรรมการยา มาตรา 7
ภค.คฑา : สมมติว่าวันนี้เราไม่มีมาตรา 14 (3) ขอถามว่าถ้าอยากให้บ้านเรามีระบบใบสั่งยา คุณหมอจะแนะนำยังไง ลองเล่ามา
- น.พ.เพิ่มบุญ : ผมมีความคิดว่าเราสามารถออกกฎกระทรวงได้ อย่างเช่น ให้แพทย์เขียนใบสั่งยาให้คนไข้ทุกคน เขียนชื่อให้ละเอียดของยา จำนวน วิธีการใช้ เสร็จแล้วก็สามารถกำกับที่ท้ายใบสั่งยาว่าให้ผู้ป่วยสามารถนำใบสั่งยาไปซื้อเองได้ และต้องมีหน้าที่ตรวจสอบยานี้ว่าตรงกับแพทย์ที่ให้ไว้หรือไม่ มีการเก็บไว้เป็นหลักฐาน ดีกว่าที่จะให้มีมาตรา 4 ซึ่งเภสัชกรจ่ายเองได้ ซึ่งไม่มีหลักฐานอะไรเลย
- ภค.คฑา : เพื่อนร่วมวิชาชีพหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าวิวัฒนาการวิชาชีพเภสัชไปไกลขนาดไหน เดี๋ยวนี้มีข้อสรุปชัดเจนว่าถ้าเภสัชกรรู้แต่เรื่องตัวยา รู้โครงสร้างเคมี ไม่สามารถจ่ายยาให้เหมาะสมแก่คนไข้ได้ ขณะนี้เราเรียนหลักการเรื่องการจ่ายยาที่ดี 3 ข้อคือ 1.รู้เรื่องโรค 2.รู้เรื่องยาที่ดี 3.รู้เรื่องพฤติกรรมของประชาชน และขณะนี้หลักสูตรเภสัชฯ มี 6 ปี เพราะกลุ่มยาที่เป็นโรคพื้นฐานที่เภสัชกรต้องซักประวัติหรือตั้งคำถาม เพื่อคัดเลือกยาที่เหมาะสมให้
- สรยุทธ : ผมถามตรงๆ ตอนนี้เภสัชฯ เริ่มวินิจฉัยโรคได้แล้วเหรอ
- ภค.คฑา : ในโรคพื้นฐาน เราทำได้
สรยุทธ : ทีแพทย์ ทางผู้บริโภคจะเอาหลักฐานไว้ตรวจสอบย้อนกลับ แต่กลับเภสัชกรวินิจฉัยเอง แล้วเกิดให้ยาไปผิด และผู้บริโภคจะมาเล่นงานเภสัชกรได้ยังไง หลักฐานอะไรก็ไม่มี
- ภค.รศ.ธิดา : มีที่ซองยา
- น.พ.เพิ่มบุญ : ผมเพิ่งเคยเห็นนะหลักฐานมีที่ซองยา
- ภค.รศ.ธิดา : ไม่ใช่ค่ะ คุณหมอใจเย็นๆ สิคะ คือที่ซองยามีชื่อยาอยู่
- สรยุทธ : ผมไม่ได้เข้าร้านขายยามานานแล้ว สมัยก่อนผมจำได้ว่าเขาไม่เขียนชื่อยา
- ภค.คฑา : ตอนนี้ก็เขียนอยู่น้อย ไม่ใช่ทุกร้าน ฉะนั้นสภาเภสัชกรรมถึงมีโครงการ CPA เทียบกับ HA ของโรงพยาบาล สภาฯ กำลังดำเนินการทำเรื่องรับรองมาตรฐานร้านยา ถ้ามีร้านยาที่ได้รับรองมาตรฐานจากสภาฯ มีจำนวนเหมาะสมกับพื้นที่หรือกับสัดส่วนแพทย์ จึงใช้ระบบนี้ ซึ่งในวันที่ 27 ก.ย.นี้ จะประกาศกลุ่มแรก 20 กว่าร้านขายยา
- ภค.รศ.ธิดา : พอร่าง พ.ร.บ.ยาฉบับใหม่กำหนดให้เภสัชกรเป็นผู้ดำเนินการของทุกร้านยา จะไม่มีเรื่องแขวนป้ายว่าเป็นเภสัชกรปริญญา แต่ถ้าในอนาคตเมื่อร่าง พ.ร.บ.ยานี้บังคับใช้ ก็จะมีเภสัชกรเป็นผู้ดำเนินการตลอดเวลาที่เปิดร้าน และต้องไปหาผู้ปฏิบัติการมาอยู่ ถ้าหากตัวเภสัชกรผู้นั้นไม่อยู่ แต่ถ้าหาผู้ปฏิบัติการไม่ได้ ก็จะมีโทษ ซึ่งแรงกว่า พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 มาก
- สรยุทธ : ถ้าเป็นยาพื้นฐาน แพทย์ก็จ่ายได้
- น.พ.โชติศักดิ์ : ส่วนที่ดีในร่าง พ.ร.บ.ยา ก็มีอยู่ โดยเฉพาะการควบคุมมาตรฐานร้านขายยา ซึ่งผมเห็นว่าเภสัชกรให้คะแนนกันเองหรือเปล่า ส่วนการจ่ายยาที่คลินิก ผมขอยืนยันว่าเราไม่ได้ขายยา แต่เราจ่ายยา ถ้าสมมติว่าวันหนึ่งข้างหน้ามี พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ โดยเครื่องมือแพทย์ห้ามเก็บไว้ที่คลินิกแพทย์ ต้องเก็บไว้ที่ร้านขายเครื่องมือแพทย์ เวลามีคนไข้มารักษา ก็ต้องวิ่งไปเอาเครื่องแพทย์มา ทำไมไม่ให้ทางเลือกประชาชนที่ต้องการรับยาไปเลย หรือบางคนจะขอรับแต่ใบสั่งยา ทำไมไม่ให้ทางเลือกอย่างนั้น ทำไมต้องไปจำกัดสิทธิ์
- สรยุทธ : ทำไมต้องมีเภสัชกรเข้ามาในขั้นตอน
- น.พ.โชติศักดิ์ : ในมาตรา 4 ควรตัดข้อความที่ว่ายาที่ต้องจ่ายโดยเภสัชกรออก เหลือยา 2 อย่าง คือยาที่ต้องจ่ายตามใบสั่งแพทย์ กับยาสามัญประจำบ้าน เหมือนโรงพยาบาลครับ การตรวจสอบของโรงพยาบาลก็คือว่า แม้แต่ยาเม็ดเดียว ก็ไม่สามารถไปรับยาที่ห้องจ่ายยา แต่ต้องผ่านทางแพทย์เขียนใบสั่งยา เพื่อให้เภสัชกรที่ห้องจ่ายยา หรือเจ้าหน้าที่ห้องยา ภายใต้การดูแลของเภสัชกร จ่ายยาตามนั้น
- สรยุทธ : มีทางบ้านเขียนเข้ามาว่า ถ้าชาวบ้านป่วย จะไปหาใครก่อน
- ภค.คฑา : ต้องดูว่าป่วยขนาดไหน ถ้าคนป่วยมาหาผม ในฐานะเภสัชกร ถ้าผมมีจรรยาบรรณพอเป็นผู้คัดกรองส่งไปหาแพทย์ ผมก็ทำอย่างนั้นอยู่เป็นประจำ
- สรยุทธ : คือเภสัชกรจะเป็นผู้วินิจฉัยโรคเบื้องต้น
- ภค.คฑา : ครับ
- สรยุทธ : แต่ในทางแพทย์ ผมอ่านในแถลงการณ์บอกว่า เภสัชกรเรียนมาเรื่องยา แต่ไม่ได้เรียนมาทางวินิจฉัยโรค ถ้าวินิจฉัยผิดพลาด เกิดชาวบ้านเป็นอะไรไป เภสัชกรจะรับผิดชอบยังไง
- น.พ.เพิ่มบุญ ดูกรณีของ บิ๊ก D2B แค่ปวดหัว ยังไปหาหมอที่โรงพยาบาลเลย ถ้าไปหาเภสัชกรที่ไม่มีความสามารถคัดกรอง หรือไม่มีจรรยาบรรณ ผมว่า บิ๊กคงไปไม่ถึงโรงพยาบาล
- สรยุทธ : ถ้าผมปวดหัว ผมควรจะไปหาใครครับ
- น.พ.เพิ่มบุญ ต้องถามคนไข้ว่าต้องการแค่บรรเทา หรือต้องการหาย แน่นอนว่าทุกคนต้องบอกว่าอยากจะหาย แต่มีข้อสังเกตอย่างหนึ่ง ถ้าร้านหมอ ซองยาส่วนใหญ่เขียนชื่อร้านหมอเลย แต่ถ้าเป็นเภสัชกรที่ร้านขายยาจะไม่มี เป็นซองยาเปล่าๆ ไม่มีชื่อร้าน
- ภค.รศ.ธิดา ร้านขายยาขณะนี้มี 12,000 กว่าร้าน แต่ 6,000 ร้าน เป็น ขย.1
- ภค.คฑา : ขย.1 คือร้านที่ต้องมีเภสัชกร แต่แขวนป้ายมีเภสัชกรอยู่แค่ 3,000 ร้าน ขณะนี้จึงยังผสมปนเปกัน
- น.พ.โชติศักดิ์ : พ.ร.บ.ฉบับนี้ร่างโดยทางฝ่าย อ.ย. ซึ่งเป็นเภสัชกรรมเสียส่วนใหญ่ และแม้ว่าเลขาธิการของ อ.ย. เป็นแพทย์ก็จริง แต่ท่านต้องทำหน้าที่ ไม่ใช่ว่ามาปกป้องแพทย์
- สรยุทธ : ระบบที่คุณเชื่อว่ากฎหมายฉบับนี้ก็คือ ผมไปหาคุณหมอ คุณหมอจ่ายยาให้ผมไม่ได้ คุณหมอให้ผมได้แต่ใบสั่งยา แล้วผมจะถือใบสั่งยานั้นไปหาเภสัชกร แล้วเภสัชกรจะวิเคราะห์ใบสั่งยา แต่ถ้าผมเป็นโรคทั่วๆ ไป ปวดศีรษะ ตัวร้อน เป็นไข้ คุณหมอก็จ่ายยามาเลย แต่ถ้าเป็นโรคพิเศษ คุณหมอจ่ายยาเองไม่ได้ เพราะมีบัญชียากำหนดไว้ คุณหมอต้องเอาใบสั่งยามาให้ผม แล้วผมเอาไปให้เภสัชฯ ทางเภสัชฯ จะวิเคราะห์อาการอย่างผม จำเป็นต้องใช้ยาตัวนี้ไม๊
- ภค.คฑา : อันนี้ต้องเป็นพื้นที่ที่พร้อมด้วยนะ ไม่ใช่ทั่วประเทศ
- น.พ.โชติศักดิ์ : กฎหมายนี้เปิดช่องไว้มาก ยาที่จ่ายโดยเภสัชฯ เป็นยาอะไรก็ไม่รู้ รวมทั้งยาที่รัฐมนตรีจะประกาศกำหนด มันกว้างมาก
สรยุทธ : นี่เป็นการกำหนดลอยๆ ไม๊ครับ
- ภค.คฑา : ไม่ใช่ ผมคิดว่าควรให้สภาวิชาชีพเข้ามาคุ้มครองคนในวิชาชีพ ถ้าคนในวิชาชีพไม่ได้มาตรฐาน สภาวิชาชีพจะต้องเป็นผู้ตอบคำถาม ฉะนั้นการที่สภาวิชาชีพลงมาทำเรื่องร้านยามาตรฐาน เรื่องการจ่ายยาเหมาะสม เป็นเรื่องที่สภาวิชาชีพต้องทำ ไม่ใช่ให้ พ.ร.บ.ยามาบังคับ
- สรยุทธ : โพลล์คุณเห็นด้วยกับใคร ? เห็นด้วยกับแพทย์ 47.71% เห็นด้วยกับเภสัชกร 52.29%.


Posted by : คนบ้า พรบ. , Date : 2003-10-10 , Time : 15:24:41 , From IP : 203.157.14.245

ความคิดเห็นที่ : 1


   รายการ ถึงลูกถึงคน “พ.ร.บ. ยาใหม่ ภาค 2”
ผู้ร่วมรายการ
1. ศ.นพ. สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา
2. นพ. สมศักดิ์ เจริญชัยปิยะกุล กรรมการแพทยสภา
3. ภก. วิสุทธิ์ สุริยาภิวัฒน์ นายกสมาคมเภสัชกรรมชุมชน (ประเทศไทย)
4. นพ. ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหาร และยา (อย.) สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์

- สรยุทธ : แพทย์และเภสัชกรก็ถูกจำกัด เพราะอยู่ดีๆ ก็ขายยาไม่ได้ถ้าไม่มีใบสั่ง
- ภก.วิสุทธิ์ : ถูกต้องครับ เพราะ พ.ร.บ.ยาระบุชัดเจนว่ายามี 3 ประเภท จะต้องจ่ายตามใบสั่งยาเท่านั้น
- สรยุทธ : หมอก็ขายยาเองไม่ได้ หมอมีหน้าที่เฉพาะออกใบสั่ง แล้วคนไข้วิ่งมาหาเภสัชฯ ทางเภสัชฯ จึงจะขายยาให้ แต่ถ้าคนไข้มีใบสั่งยามา ทางเภสัชฯ ก็ขายยาไม่ได้ …แล้วกลุ่ม 2 ล่ะ
- ภก.วิสุทธิ์ : กลุ่ม 2 คือเภสัชกรขายยาเอง อาจจะเป็นยาทั่วๆ ไป
- สรยุทธ : แล้วแพทย์ขายได้ไม๊
- ภก.วิสุทธิ์ : น่าจะขายได้ เพราะยังมีความไม่แน่นอนในการตีความกฎหมาย ส่วนกลุ่ม 3 คือกลุ่มที่ทั้งแพทย์และเภสัชฯ ไม่เกี่ยวข้องเลย คือประชาชนสามารถซื้อยารักษาตัวเองได้ ได้แก่ ยาสามัญประจำบ้าน
- ศ.นพ. สมศักดิ์ : วัตถุประสงค์การออกพระราชบัญญัติต้องเอาประชาชนเป็นหลัก อย่าดูเพียงหมอหรือเภสัชกร ถ้าจุดประสงค์เหมือนกัน ปัญหาก็จะไม่มี อย่างไรก็ตาม ถ้าหากหมอจ่ายยาเองไม่ได้ คนไข้ต้องวิ่งไปที่ร้านขายยาเพื่อซื้อยา แล้ววิ่งกลับไปหาหมอใหม่ ก็จะทำให้ประชาชนลำบาก เกิดค่าใช้จ่ายขึ้น อย่างเช่น ค่าหมอ และอาจเสียค่าใบสั่งยา
- สรยุทธ : ค่าหมอก็ต้องเสียอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ และหมอก็เอากำไรจากยาใช่ไม๊ครับ
- ศ.นพ. สมศักดิ์ : ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น
- สรยุทธ : ต่อไปถ้าไม่ให้ขายยา หมอก็คิดค่ารักษา เพราะหมอไม่ได้กำไรจากยาแล้ว
- ศ.นพ. สมศักดิ์ : ใช่ เพราะถ้าหมอไม่ให้ยาแก่คนไข้ การปรึกษาหรือตรวจโรคต่างๆ ก็จะเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด ต่อไปนี้กินข้าวด้วยกันห้ามคุยหรือปรึกษากับหมอนะ เดี๋ยวใบเสร็จจะตามมาเลย ซึ่งบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาก็ทำแบบนี้ได้ แต่หมอก็ไม่อยากจ่ายยา เพราะต้องมาเก็บสตอกยา ถ้ามีคนไข้วันละ 3-4 ราย ก็ไม่คุ้ม ขณะที่หมอที่ญี่ปุ่นสามารถจ่ายยาเองได้หมดเลย
- นพ.สมศักดิ์ : ยาที่อยู่ในปัจจุบันนี้ เราแบ่งเป็นยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งใครก็สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาทั่วไป ส่วนยาที่เหลือส่วนใหญ่เป็นยาอันตราย ซึ่งไม่สามารถที่จะขายได้โดยทั่วไป แล้วแต่กฎหมายจะบังคับ ส่วนยาควบคุมพิเศษและยาที่มีฤทธิ์ต่อจิตและประสาท รวมทั้งยาเสพติดด้วย อันนี้เป็นยาต้องห้าม ซึ่งจะต้องมีการขออนุญาตซื้อยาเป็นพิเศษด้วย ซึ่งถ้า พ.ร.บ.ยาใหม่นี้ออกมา ผมคิดว่ายาสามัญประจำบ้านถูกตัดออกไปแน่นอน
- ภก.วิสุทธิ์ : ยาอันตรายคือยาที่จ่ายโดยเภสัชกร ส่วนยาพิเศษหรือยาวัตถุออกฤทธิ์ คือยาที่ต้องมีใบสั่งยามาถึงจะขายได้ ตามกฎหมายปัจจุบัน ต่อไปถ้าระบบเข้าที่ มีการพูดคุยระหว่างสภาวิชาชีพ ยาอันตรายจะต้องน้อยลง เพราะจะต้องสั่งด้วยใบสั่งยาของแพทย์มากขึ้นๆ
- สรยุทธ : ตรงนี้ต้องมีใบสั่งแพทย์หมดเลยตั้งแต่ยาอันตรายเป็นต้นมา แบบนี้เภสัชกรก็ถูกจำกัดสิ
- ภก.วิสุทธิ์ : ถ้าระบบเกิดขึ้นทั้งหมด ผู้ที่ได้ผลประโยชน์คือประชาชน เพราะการมีโรค 1 โรค ได้รับบริการจากวิชาชีพเวชกรรม และจากวิชาชีพเภสัชกรรม
- สรยุทธ : ทางเภสัชเคยบอกว่า แบบนี้ทางเภสัชฯ ก็ไม่ต้องวินิจฉัยโรคอะไรแล้ว รอรับใบสั่งจ่ายยาตามแพทย์อย่างเดียว และถ้าไม่มีใบสั่งแพทย์ ก็ขายยาไม่ได้ด้วย
- ศ.นพ. สมศักดิ์ : ยาปฏิชีวนะ ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องเชื้อดื้อยามหาศาลเลย เพราะซื้อยาโดยไม่มีใบสั่งยา ไปร้านขายยาก็ซื้อได้เลย แต่ในต่างประเทศทำอย่างนี้ไม่ได้ แม้แต่ในโรงพยาบาลเอง หมอเองบางทีก็ยังสั่งไม่ได้เลย เราจึงมีการควบคุม เพราะทางหมอเองกลัวดื้อยา หรือถ้าไปสิงคโปร์ ถ้าคนไข้ลืมเอายาเบาหวานไป ก็ไม่สามารถซื้อได้ ต้องไปหาหมอ หรือที่ญี่ปุ่น ปวดท้อง ปวดประจำเดือน จะไปซื้อยา ก็ซื้อไม่ได้ ต้องไปหาหมอ แต่ในเมืองไทยซื้อได้หมดเลย
- ภก.วิสุทธิ์ : ถ้าเภสัชฯ เห็นว่าใบสั่งแพทย์ที่ให้มาไม่เหมาะสมกับคนไข้ ก็จะไม่ขายให้ หรือให้กลับไปพบแพทย์อีกครั้ง ซึ่งจะปลอดภัยกว่า อันนี้คือความร่วมมือทางวิชาชีพ
- สรยุทธ : สวัสดีครับ ท่านเลขาฯ ศุภชัยครับ ตอนนี้ในความหมายที่ อย.กำลังรับผิดชอบ พรบ.ยาฉบับใหม่นี้อยู่ แพทย์บอกว่ามีปัญหา จะอธิบายกับแพทย์ยังไงครับ
- นพ.ศุภชัย : พรบ.ยาฉบับปัจจุบันใช้มา 30 กว่าปีแล้ว เพราะฉะนั้นมันอะไรที่ต้องแก้ไข แต่ พรบ.ฉบับใหม่ได้เริ่มร่างกันขึ้นเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา และผ่านการอนุมัติหลักการจาก ครม.ชุดก่อนๆ หลังจากนั้นก็ไปแก้ที่กฤษฎีกา แล้วส่งกลับมาที่กระทรวงสาธารณสุขเมื่อปีที่แล้ว เพื่อรับรองอีกที แต่ทางกระทรวงฯ ก็มาดูอีกรอบ ก็เห็นว่าก็คงจะมีปัญหาในเรื่องของภาษาในการร่าง จึงทำให้เกิดความสับสน และมีบางจุดที่อาจจะไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จุดที่เห็น 2 จุดก็คือ แพทย์จ่ายยาได้หรือไม่ แต่อีกจุดที่เราคิดว่าสำคัญคือยาของทางแพทย์แผนไทย ยาของแพทย์ทางเลือก ซึ่งกระบวนการควบคุมกำกับยังไม่ชัดเจนใน พรบ.ฉบับใหม่นี้ ซึ่งขณะนี้ร่าง พรบ.ดังกล่าวขณะนี้ยังอยู่ที่ สนง.คณะกรรมการอาหารและยา ยังไม่ไปมือถึงรัฐบาล คือยังไม่ได้เข้าสภาฯ ซึ่ง รมว.สาธารณสุข ก็บอกว่ายังมีเวลาพอที่จะทำให้ พรบ.ฉบับใหม่นี้ให้รอบคอบ เพื่อให้ใช้ได้สำหรับปัจจุบันและอนาคต
- สรยุทธ : และต้องไปกฤษฎีกาอีกทีไม๊ครับ
- นพ.ศุภชัย : ไม่ต้องครับ ซึ่งถ้าผ่าน ครม.ในรัฐบาลชุดนี้ ก็เข้าสภาฯ เพื่อพิจารณา ซึ่งวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสร้างทีมงานทางด้านสุขภาพที่จะช่วยกันดูแลประชาชนให้ดีที่สุด ไม่ได้ต้องการก่อให้เกิดความขัดแย้งหรือแตกแยก และเท่าที่ฟังมา ทุกคนก็เห็นด้วยว่าแพทย์จ่ายยาได้ แต่ในพื้นที่ที่มีร้านขายยา หรือเภสัชกรพอ แพทย์ก็ควรเขียนใบสั่งยา และให้ร้านขายยาเป็นคนจ่าย เพื่อที่จะมีการถ่วงดุลกัน ส่วนรายการยาที่แพทย์จ่ายยาได้แค่ไหน ยาที่เภสัชฯ จะต้องรับใบสั่งยาได้แค่ไหน ผมคิดว่าตรงนี้เป็นปัญหาจริงๆ ของการร่าง พรบ. เนื่องจากภาษาที่เขียนก็ตีความได้หลายทาง เพราะฉะนั้น นโยบายที่ทาง อย.ได้รับจากรัฐมนตรีคือขอให้คุยกันชัดเจน และก็ร่างกันใหม่ในมาตราที่เกี่ยวข้อง
- สรยุทธ : หลักการที่ว่าในพื้นที่พร้อม ยางบางส่วน ซึ่งจะออกเป็นกฎกระทรวงต่อไป จะมีกำหนดยากลุ่มหนึ่งที่ออกใบสั่ง แต่ห้ามขาย ให้เภสัชฯ เท่านั้นที่ขายได้โดยมีใบสั่ง หลักการนี้ยังจะมีในกฎหมายฉบับนี้ไม๊
- นพ.ศุภชัย : ก็มี ผมคิดว่าหลักการนี้รับกัน เพราะจะต้องมียาจำนวนหนึ่งแน่ๆ ที่การใช้ยาจะต้องมีการตรวจสอบ
- นพ.สมศักดิ์ : อยู่ในยาประเภทไหนครับ เป็นยาอันตราย ยาควบคุมพิเศษ หรือยาวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท
- นพ.ศุภชัย : ใน พรบ.ที่ร่างกันไว้ การเปลี่ยนแปลงกฎกระทรวงจะต้องขึ้นอยู่กับความเห็นของสภาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง และจะต้องทำเป็นกฤษฎีกา เพราะฉะนั้นมันมีการผูกมัดไว้พอสมควร
- นพ.สมศักดิ์ ผมอยากฝากร่าง พรบ.นี้ อยากให้ดูมาตรา 78 จะเห็นว่าบทระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท ถ้าอยู่ในเขตพื้นที่ที่ควบคุม และแพทย์ยังฝืนที่จะไปจ่ายยา ก็จะเข้าตามมาตรานี้ และถ้าดูมาตรา 86 ผู้รับอนุญาต ผู้ดำเนินการ หรือผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการ อันนี้หมายถึงเภสัชกร ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 32 คือจ่ายยาที่มีใบสั่งยา ยาที่บังคับว่าต้องมีใบสั่งยา และไปจ่ายโดยไม่มีใบสั่งยา ปรากฏว่าถูกระวางโทษแค่ปรับ 5 พันบาท ถึง 1 หมื่นบาทเท่านั้น ไม่ถูกจำคุก แต่หมอกลับถูกระวางโทษจำคุก
- นพ.ศุภชัย : ตรงนี้เป็นประเด็นใหม่ที่เคยหารือกัน ไม่ได้มีการหยิบยกประเด็นนี้ คิดว่าก็จะหาทางปรับปรุงกันต่อไป เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
สรยุทธ : เป็นไปได้ไม๊ว่าที่จะมีร่างระเบียบนี้ออกมาให้สภาวิชาชีพทั้งหลายได้ดูกัน เพื่อไม่ให้เกิดความคลางแคลงใจว่าจะมียากี่ประเภท ยาจำนวนเท่าไหร่
- นพ.สมศักดิ์ : ต้องดีกว่านี้แน่นอน เพราะพ่อเป็นคนหางานเก่ง หาเงินเก่ง เพราะกำลังจะซื้อบ้านและรถยนต์ และคิดว่าน้องก็คงได้เรียนจบ และพี่สาวก็คงได้เรียนจบปริญญาตรี
- นพ.ศุภชัย : เราได้หารือกับทางสภาต่างๆ และได้มอบให้ทางสภาช่วยกันตกลงทำร่างขึ้นมา หลังจากนั้นจะมาดูว่าร่างนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนหรือไม่ ผมคิดว่าขณะนี้ทาง อย.ก็เปิดกว้าง และไม่รีบร้อนอะไรกับ พรบ.นี้ และผมก็ขอให้ลดอัตตาของแต่ละวิชาชีพลง เราไม่อยากให้ พรบ.ฉบับนี้ก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างเพื่อนร่วมวิชาชีพที่ทำงานเป็นทีม เพราะจะไม่มีวิชาชีพใดที่จะดูแลคนไข้โดยตลอด ผมเห็นความเห็นอาจไม่ตรงกันได้ แต่อย่าก้าวร้าว หรือทำให้เกิดปัญหาได้ ส่วนรายการยาขณะนี้ ผมเห็นว่าวิธีการที่ดีที่สุดคือ จัดทำบัญชีรายการยาขึ้นมาให้ชัดเจน จะได้ไม่ต้องพูดกันว่าโซนนี้ใหญ่ โซนนี้กว้าง ยาที่ห้ามแพทย์จ่ายในคลินิกคือยาอะไร ก็ต้องเขียนกันมาให้ชัดเจน บางทีอาจจะมียาอย่างอื่นนอกเหนือจากยาวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ตรงนั้นจะต้องคุยกันให้ชัดเจน
- ภก.วิสุทธิ์ : พรบ.ฉบับนี้ถ้าออกมาได้จริง และประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดเลย เพราะเป็นการเปลี่ยนระบบสาธารณสุขของไทยเกี่ยวกับเรื่องยาโดยเฉพาะ ส่วนหมอและเภสัชที่ยังมีปัญหาเรื่องการจ่ายยา เชื่อว่าวิชาชีพทั้งเภสัชกรรมและเวชกรรม และที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ได้รับกระทบแน่นอน เพราะมีการเปลี่ยนระบบ มีการเปลี่ยนแปลงวิชาชีพ แต่การเปลี่ยนแปลงก็จะเน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อรักษาคนไข้ต่อ 1 คน ให้ผ่านมือหมอด้วย ผ่านมือเภสัชฯ ด้วย
- ศ.นพ.สมศักดิ์ : ในหลักการที่บอกว่าประโยชน์สูงสุด เราก็ไม่แน่ใจ เพราะในต่างประเทศ ทางเกาหลีก็ยอมรับว่าทำผิด เพราะทำให้ประชาชนมีค่าใช้จ่ายแพงขึ้น เพราะต้องนำใบสั่งแพทย์ไปหาเภสัชฯ ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทั้งหมด ทุกวันนี้เภสัชฯ มีน้อยกว่าหมอ
- นพ.สมศักดิ์ : ปัจจุบันมีเภสัชฯ ไม่ถึง 2 หมื่นคน ขณะที่แพทย์มี 2-3 หมื่นคน
- ภก.วิสุทธิ์ : อนาคตก็จะเร่งผลิตเภสัชฯ ปีละพันสองร้อยคน
- ศ.นพ. สมศักดิ์ : ไม่ทันแน่ ไม่สามารถรองรับจำนวนหมอได้
- สรยุทธ : หลักการที่แพทย์ออกใบสั่ง แต่ห้ามขาย เภสัชฯ รับใบสั่งแพทย์มาขาย แต่ห้ามขายเอง มันควรจะมากน้อยขนาดไหนครับ
- นพ.ศุภชัย : พรบ.นี้ร่างมานานก่อนที่ผมจะเข้ามา เพราะฉะนั้นบทบาทของผมขณะนี้คือทำให้ พรบ.นี้ ทำให้ทุกวิชาชีพกลับมาสมานกันเหมือนเดิม และเป็นทีมเดียวกัน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เรามองว่าอะไรที่เป็นอุดมคติและอะไรที่ทำให้เป็นไปได้ เราคงเลือกสิ่งที่เป็นจริงในปัจจุบัน แล้วค่อยๆ ปรับไปหาอุดมคติ
- สรยุทธ : บางอย่างก็ต้องให้เภสัชกรตรวจสอบนะครับคุณหมอ
- ศ.นพ. สมศักดิ์ : แน่นอน แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง เราต้องดูว่าเมื่อเภสัชกรตรวจสอบแล้วจะมีผลประโยชน์เพิ่มขึ้นหรือไม่ หรือผลเสียมีมากกว่า ถ้าเสียเวลามากขึ้น เสียเงินมากขึ้น ประชาชนก็จะไม่ได้รับความสะดวก
- ภก.วิสุทธิ์ : ถ้าเข้าระบบแล้วมันจะไม่เป็นอย่างนี้
- สรยุทธ : ทำไมไม่คุยกันเสียให้จบครับ
- ศ.นพ. สมศักดิ์ : ผมเรียกคุยกันแล้วทั้งพยาบาล ทันตแพทย์ และวิชาชีพหมออื่นๆ มากันหมด แต่ทางเภสัชฯ จะขาดประชุมประจำเลย มันก็เลยทำอะไรไม่ได้ มันก็เลยหยุดอย่างนี้ เวลาผมคุยกับเลขาเภสัชฯ ก็ไม่มีปัญหา แต่พอประชุมกรรมการใหญ่ ทางเภสัชฯไม่ค่อยมา
- ภก.วิสุทธิ์ : จริงๆ ไม่ควรจะมาพูดในที่นี่ ผมว่าไม่น่าจะใช่นะครับ เพราะการประชุมที่ผ่านมาก็มีการตกลง มีการเซ็นชื่อ 4 สภาร่วมกัน ทุกอย่างก็มีความเห็นออกมาพร้อมกัน และทำไมอยู่ๆ หาว่าเภสัชฯ ไม่ค่อยมาประชุม
- ศ.นพ. สมศักดิ์ : แต่ครั้งสุดท้ายที่ทางเภสัชฯ มา ก็เกี่ยวกับเรื่องเงินเดือน

- ภก.วิสุทธิ์ : อันนี้ต้องบอกว่าไม่ทราบจริงๆ


Posted by : คนบ้า พรบ. , Date : 2003-10-10 , Time : 15:29:49 , From IP : 203.157.14.245

ความคิดเห็นที่ : 2


   ไม่ได้ดูทีวี
ขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านกันครับ


Posted by : ArLim , Date : 2003-10-11 , Time : 11:05:38 , From IP : maliwan.psu.ac.th

>สู้ไปทำประกันฯ(ไม่รู้มีใครซื้อบริษัทฯรึยัง) ไม่ดีกว่าหรือ พอไม่สบายก็เอาไปรักษา รพ เอกชน และเบิกได้ด้วย สรุป ใครได้ผลประโยชน์ --รพ รัฐ หรือ เอกชน --ร้านขายเล็กๆ หรือ ร้านขายยาใหญ่ๆที่มี เครือข่าย --ผู้ป่วย หรือ แพทย์ หรือ เภสัช หรือ เจ้าของธุรกิจที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด" />
ความคิดเห็นที่ : 3


   เราชอบ copy ของต่างชาติ
โดยไม่เคยคิดที่จะ พัฒนา "คน" ให้ "พร้อม" ก่อน
ที่จะนำ "ระบบ" มาใช้
ผมว่า
-หมอทุกคนอยู่ " รพ รัฐบาล" ไม่ได้ เพราะ 30บาท?
-หมอทุกคน ทำ "ร้าน"ไม่ได้ เพราะ พรบ ยานี้?
-หมอทุกคน หันไปอยู่ " รพ เอกชน" ที่ เป็นของ...กันหมด เพราะมี "ของ" คุ้มกะลาหัวดี?!!
-เภสัชฯทุกคน อยู่ "รพ รัฐบาล"ไม่ได้ เพราะ 30บาท?
-เภสัชฯ ทุกคน ไม่สามารถ เปิดร้านขายยาได้ เพราะเงินทุนไม่มากพอที่จะเปิดร้านให้ใหญ่ และมียาที่ครบ item พอที่ ผู้ป่วยจะมาซื้อได้ครบ ในครั้งเดียว
(เช่นเดียวกับ ร้านของชำกับ บริษัท storeข้ามชาติ)
-เภสัชฯ ที่เปิดร้าน ไม่สามารถ ขายยาได้(เป็นส่วนใหญ่) เพราะต้องรอใบสั่งแพทย์
-เภสัชฯต้องอยู่ "รพ เอกชน" ลูกเดียวถึงจะอยู่ได้!!!
-ถ้าจะเปิดร้านยา ต้องใหญ่ พอ ถึงจะอยู่ได้ ใครมีเงินมากขนาดนั้น ใครมีร้านเครือข่ายอยู่แล้ว ที่พร้อมจะขยายได้ทันที เมื่อ พรบ นี้ผ่าน

-ในแง่ผู้ป่วย ไปรักษา รพ รัฐบาล ได้รับการดูแล ดีแล้วหรือ จากยาที่มีจำกัด ตามรายการยา30บาท หรือมีบางคนต้องการทำให้ระบบนี้เสื่อม และรพ รัฐฯเสียความศรัทธา
-จะหนีไปรักษาที่คลินิค ก็ต้องมีขั้นตอนให้ยุ่งยาก จาก พรบยา
- ไป รพ เอกชน น่าจะดีที่สุด เพราะ
--ไป รพ รัฐฯ ยาก็ไม่ดี
--ไป คลินิค ก็ยุ่งยาก
--เงินฝาก ก็(มีคนต้องการให้)ลด ดอกเบี้ยเอาๆๆ >>สู้ไปทำประกันฯ(ไม่รู้มีใครซื้อบริษัทฯรึยัง) ไม่ดีกว่าหรือ พอไม่สบายก็เอาไปรักษา รพ เอกชน และเบิกได้ด้วย

สรุป ใครได้ผลประโยชน์
--รพ รัฐ หรือ เอกชน
--ร้านขายเล็กๆ หรือ ร้านขายยาใหญ่ๆที่มี เครือข่าย
--ผู้ป่วย หรือ แพทย์ หรือ เภสัช หรือ เจ้าของธุรกิจที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด


Posted by : drWS , Date : 2003-10-13 , Time : 12:38:01 , From IP : 172.29.3.162

ความคิดเห็นที่ : 4


   เยี่ยมมาก

Posted by : ลุงหนุ่ย , E-mail : (aaa.com) ,
Date : 2005-11-19 , Time : 12:36:26 , From IP : 203.188.3.247


ความคิดเห็นที่ : 5


   แพทย์เห็นแก่เงิน เข้าคลีนิกทีก็ทีละ 200 จ่ายยาแค่ 10 เม็ด ยาอ่ะเม็ดละกี่บาทกัน บวกเพิ่มกันมันส์อ่ะดิ แพทย์อย่าร้อนตัวเลย คุณต้องถามตัวเองว่าทำไมคนยังไปหาหมอ ก็เพราะคุณเป็นหมอสามารถวินิจฉัยโรคได้ละเอียด ทำหน้าที่วิเคราะห์โรคให้ดีเหอะ ส่วนเรื่องยาให้เภสัช เค้าเรียนมาตั้ง 5-6 ปี ช้านคิดว่าเค้าน่าจะได้จ่ายยา

Posted by : นู๋นู , Date : 2007-03-29 , Time : 01:42:45 , From IP : 125.26.123.61

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.004 seconds. <<<<<