ถ้าจะปิดต้องปิดจริงจัง
อยู่ได้แน่นอนครับ ระบบนิเวศน์แบบปิดนั้นด้วยวิทยาการและความรู้เท่าที่มี เราสามารถ sustain ได้ แต่ต้อง "ร่วมมือกันทั้งประเทศ" ซึ่งคำนี้อาจจะต้องมาลูบคลำกันให้ละเอียดว่าเป็นอุดมคติหรือ practically possible
ถ้าช่องเศรษฐกิจยังมีรั่วออกไปและเรายัง consume import อยู่ หรือนัยหนึ่งไม่ได้ปิดจริง การครึ่งปิดครึ่งเปิดจะทำให้เกิดผลร้ายมากกว่าดี (รึเปล่า?) จะลองสร้างระบบสังคมใหม่ตอนนี้ อาจจะต้องอาศัยระบบกึ่งเผด็จการ เพราะโอกาสที่เราจะให้คนที่ผลักดันเสรษฐกิจประเทศในปัจจุบันเกิดสำนึกเปลี่ยนใจและหันมาปิดประเทศ for the sake of survival นั้น ผมยังนึกหาวิธีที่สำเร็จไม่ออก (ปราชญ์ซุนวู "จงเริ่มสงครามหลังจากที่ได้ศึกษาและมองเห็นทางชนะอย่างแจ่มแจ้งแล้วเท่านั้น") ไม่งั้นแล้วเรากำลังแข่งกันประพันธ์สร้างเมืองสาระขันธ์ euthopia กันอยู่โดยไม่รู้ตัว ยอมรับว่าสนุกไม่น้อยแต่ reality bites จะตื่นมาพร้อมรอยพกช้ำดำเขียว
เรื่องของเรื่องคือโมเมนตัมของเศรษฐศาสตร์นั้นไม่อำนวยให้ประเทศหนึ่งประเทศใดรวยไปเรื่อยๆและ sustain ความได้เปรียบ การที่ประชาชนของ "ปลาใหญ่" รวยขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ความต้องการค่าจ้างมากขึ้น ที่สุด "ตลาดแรงงาน" และ "ตลาดมันสมอง" จะสูญเสียอำนาจความมีเปรียบ เพราะโดยกฏธรรมชาติประเทศปลาเล็กจะสามารถ supply ความต้องการตลาดทั้งสองส่วนได้ในราคาและคุณภาพที่คุ้มทุน ไม่เป็นเรื่อง co-incidence ที่มีการ laid-off white collar ราคาแพง แล้วมาจ้าง import white collar จากจีน อินเดีย หรือแม้กระทั่งมาตั้งสาขาปฏิบัติงานในพื้นที่นี้วะเลย เพราะ capital, hardware, etc ถูกกว่า ลดต้นทุนดีกว่า
เรื่องของเรื่องคือในฐานะปลาเล็ก เราต้องพัฒนาเอา "กระแส" ที่ว่านี้เป็นจุดแข็ง จุดต่อรองให้ได้ อย่าปล่อยให้ถูกซื้อออกไปหมด ด้วยสภาพแวดล้อมเราสามารถเป็นแหล่งผลิดตบาดแรงงานและตลาดสมองได้อย่างมีความคุ้มทุนกว่า ดูจากค่าใช้จ่ายต่อหัวในการศึกษาขั้นต่ำในขณะนี้เปรียบเทียบกับปลาใหญ่ ขณะเดียวกันเราก็ไม่ต้องไปขยายความต่างของจุดนี้ไปมากกว่านี้ แต่ตรงกันข้ามควรจะ Push และ ใส่ capital ลงไปเพิ่มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ทรัพยากรบุคลนั้นลงทุนสูงจริงแต่ขายได้แพงกว่า คุ้มกว่าเยอะมากมายหลายเท่ากว่าที่เราจะเน้นจำนวนโดยเร่งผลิต เร่งส่ง low quality product ที่ผ่านการ train แค่ short course ที่น่าเป็นห่วงคือ เมื่อชำเลืองดูรอบๆข้างดูเหมือนเพื่อนบ้านเราจะดำเนินการไปเรียบร้อยแล้วในทิศทางนี้ การที่ Singapore, Malaysia, India, และ จีน ทำอย่างที่ว่าไม่ได้บอกว่าน่าจะเลียนแบบ แต่เราไม่ได้มีชื่อเสียงทางมองการณืไกล หรือเป้นนักวางแผน นักเศรษฐศาสตร์มากนัก ไม่น่าละอายที่จะครูพักลักจำมาดัดแปลง ใส่พริก ใส่เครื่องแกง ให้ออกรสไทยๆแล้วส่งแข่งในตลาดบ้าง
พริกขี้หนูเม็ดเล็กก็จริง แต่แหกตูดช้างได้แน่นอน!!
Posted by : Phoenix , Date : 2003-10-11 , Time : 01:38:17 , From IP : 172.29.3.214
|