กรณีคุณเมตตาที่กำลังเป็น Talk of the town :ไม่เข้ามาอ่านตกข่าวมะรู้ด้วยคุณเมตตามีอาการกระดูกทับเส้นมีอาการชาที่ขาทั้ง 2 ข้าง และขาอ่อนแรง จึงถูกส่งไปรักษาตัวในโรงพยาบาลสยามในบัตรประกันสังคม จนหมอฉีดรังสีเข้าไขสันหลังจึงได้ถามหมอว่าจะอันตรายไหม เพราะท้อง 3 เดือนแล้ว ต่อมา 7 วัน เมตตาก็ตกเลือด และถูกขูดมดลูก หมอสูติบอกว่าเด็กจะพิการเพราะ ถูกรังสีมากเกินไป ต่อมาหมอคนแรกก็เขียนส่งเมตตาให้ไปรักษาโรคจิต จึงถูกตัดสิทธิในการรักษาจากของกองทุนทดแทนและประกันสังคม เพราะเป็นโรคที่กฎหมายไม่คุ้มครอง อาการจึงทรุดลง ทั้ง ขาชาและขาอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ แถมมีอาการเลือดออกไม่หยุดจากมดลูกอักเสบหลังการทำแท้ง อีกโรคและพิการด้วยทำให้เมตตา ต้องถูกเรียกเข้าพบรัฐมนตรี ไพรทูล แก้วทอง จึงให้หมอพิสูจน์ .......... ติดตามต่อได้ที่พันติ๊บ หรือที่เว็บไซด์ของคุณเมตตาเองเลยที่... http://www.metta.freewebspace.com/metta-story-thai.htm Posted by : จ่าพิชิต ขจัดพาลชน , E-mail : (rekavolver@hotmail.com) , Date : 2003-10-08 , Time : 12:07:47 , From IP : 172.29.2.187 |
อันนี้ก๊อปมาจากพันติ๊บทั้งดุ้น คู่กรณีคุณเมตตา ไม่ใช่แพทย์ธรรมดา เป็น"อาจารย์หมอ"คะ ดิฉันได้อ่านข่าวของคุณเมตตา จากคอลัมม์จุดประกาย เมื่อหลายปีก่อน นานมาก พอเห็นคุณเมตตามาออกรายการถึงลูกถึงคนก็ดีใจที่เธอยังมีชีวิต แต่เสียใจที่เธอยังผจญกรรมอยู่ ดิฉันสนใจข่าวเธอ เพราะเห็นใจเธอ เธอเป็นแม่บ้านที่ไร้การศึกษา แต่กล้าไปฟ้องหมอ ในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ดิฉันเคยเห็นหมอแพ้ดคีครั้งเดียว คือกรณีซื้อ-ขายไต นอกนั้นหมอชนะทุกคดี ตามคำบอกเล่าของเธอในหนังสือพิมพ์เท่าที่ดิฉันจำได้คือ หมอคู่กรณีของเธอ เป็นถึงอาจารย์หมอ การที่เธอไปฟ้องร้องเขา ทำให้เกิดการเสียศักดิ์ศรี ถึงได้บันทึกว่าเธอเป็นโรคจิตดังกล่าว แม้ต่อมาเธอจะได้รับการยืนยันว่าไม่ได้เป็นโรคจิต ก็ไม่มีใครได้รับผลกระทบอะไรเลย ในช่วงที่เธอย้ายไป ร.พ.แห่งที่ 2 ที่อยู่ใจกลางเมือง เธอได้เดินสวนกับคนๆนี้ ในโรงพยาบาล และเขาได้บอกเธอว่า "จำไว้นะ ที่นี่จะไม่มีใครรักษาคุณ เพราะเขาเป็นลูกศิษย์ผมทั้งนั้น" ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ เพราะมีเพียง 2 คนที่รู้ หากไม่จริง คุณเมตตาก็ปั้นน้ำเป็นตัวได้เก่งมาก แต่หากจริง ผู้ที่พูดก็เข้าขั้นเลือดเย็นและอำมหิตผิดมนุษย์จริงๆ ตอนที่ได้รู้เรื่องเธอ เธอเพิ่งย้ายไปโรงพยาบาลแห่งที่ 2 และกำลังต่อสู้คดีในศาลชั้นต้นอยู่ มาวันนี้ถึงได้รู้ว่าเธอต้องย้ายไปอีกหลายโรงพยาบาล และก็แพ้คดีจนได้ สะเทือนใจที่สุดคงเป็นตอนที่เธอรักษาโรคจิตที่เชียงใหม่ เพราะไม่คิดว่าจะถูกหลอก และไม่รู้ว่าโรคจิต หมายถึง "บ้า" ทำกันได้ลงคอ "คน"โหดร้ายได้ขนาดนี้เลยนะคะ จากคุณ : ผู้ติดตามข่าว - [ 8 ต.ค. 46 10:26:44 A:203.155.133.66 X:10.10.12.112 ] -------------------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 1 เดีย-รัจ-ฉาน!!! เราไม่เคยได้ยินข่านนี้มาก่อน แต่ได้ดูถึงลูกถึงคน ถ้าคุณเมตตาพูดจริงแสดงว่า การศึกษา ฐานะทางสังคมมันไม่ได้ช่วยให้คนมี:-)ดีขึ้นเลย และสะเทือนใจมากตอนที่คุณเมตตาพูดประมาณว่า ตอนนี้ได้เงิน ชดใช้มาก็เปล่าประโยชน์แล้ว เพราะเขาพิการตลอดชีวิตแล้ว รักษาไม่ได้แล้ว เหมือนเขาหมดหวังในชีวิตแล้วน่ะ หมอคนนั้นจะได้ดูมั้ยนะ จากคุณ : แว่นฟ้าบังตาดำ - [ 8 ต.ค. 46 10:45:15 ] ความคิดเห็นที่ 2 ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำกับแกถึงขนาดนั้น..ไม่มีมนุษยธรรมเลย.. ไม่รักษาต่อก็โหดร้ายแล้วนะ นี่ยังทำจดหมายบอกเธอเป็นโรคจิตอีก เอาเงินก้อนสุดท้ายที่มีตีรถไปเชียงใหม่..เสียทั้งเงิน เสียเวลา เสียน้ำตา และเสียรู้ไอ้คนที่ไม่น่าเรียกว่าคนเลยจริงๆ..เฮ้อ... จากคุณ : ke@ - [ 8 ต.ค. 46 10:47:06 ] ความคิดเห็นที่ 3 ฆ่าคนแบบเลือดเย็นที่สุด น่ากลัวจริงๆ สงสารคุณเมตตา ขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองคนถูกด้วยเถอะ จากคุณ : ... - [ 8 ต.ค. 46 11:02:55 A:219.19.88.148 X: ] ความคิดเห็นที่ 4 ฟังความอยู่ข้างเดียว ไม่รอให้เขาเอาหมอมาออกอีกตอนล่ะครับ จากคุณ : ม่อน - [ 8 ต.ค. 46 11:05:17 ] ความคิดเห็นที่ 5 สรุปว่า ต่อไปนี้ ถ้าใครฟ้องร้องใครแล้วเกิดแพ้คดี ก็ให้มาออกรายการโทรทัศน์ทุกรายน่าจะดี อ่านมาหลายกระทู้ อืมมม มีพวกเสพข้อมูลอย่างเดียว ไม่ต้องวิเคราห์มันละ น่าจะอยู่ประเภทเดียวกับพวกกัมพูชา จากคุณ : โอ้โฮเฮะ - [ 8 ต.ค. 46 11:15:42 A:203.113.71.135 X: ] ความคิดเห็นที่ 6 การปะทะคารมกันระหว่างเธอกับหมอ ดิฉันเขียนไว้แล้วว่า ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ที่เอามาเล่าเพราะจำได้ว่าเธอเคยพูดไว้อย่างนี้ เห็นด้วยที่ควรวิเคราะห์ แต่เรื่องจริงก็คือ มีการระบุว่าเธอเป็นโรคจิตจริงๆ และก็มีหมออีกท่านหนึ่งระบุกลับ ว่าเธอไม่ได้เป็นโรคจิตจริงๆเหมือนกัน จากคุณ : ผู้ติดตามข่าว - [ 8 ต.ค. 46 11:37:23 A:203.155.133.66 X:10.10.12.112 ] ความคิดเห็นที่ 7 ความเห็นส่วนตัวนะครับ ที่หมอบางส่วนเป็นแบบนี้คิดแบบนี้ เพราะส่วนหนึ่งคงคิดว่าในชีวิตการเป็นหมอเค้าช่วยคนมาเป็นร้อยเป็นพันจะทำบาปสักทีมันคงไม่หนักหนาอะไรคงลบล้างได้หรือไม่ก็ บาปทีนึงคงไม่กระเทือนความดีที่เค้าช่วยคนอื่นอีกมากมาย ถ้าหมอคิดแบบนี้ละก็ผมขอบอกเลยอย่ามาเป็นหมอเลย หมอเลวได้ผิดได้พลาดได้เพราะหมอก็คือคนทั่วไป แต่หมอที่ไม่ยอมรับความผิดพลาดที่ตัวเองก่อ หมอที่ทิ้งคนไข้โดยไม่รักษา หมอที่ทำลายอนาคตคนไข้โดยการเพิกเฉยต่อหน้าที่ คนพวกนี้ไม่ใช่หมอหรอกมันเป็นแค่นักธุรกิจที่ไม่ได้ใส่สูทแค่นั้น ซึ่งส่วนหนึ่งพวกนี้เป็นหมอเพราะพ่อแม่สั่งมาเป็นหมอเพราะอยากรวยหรือเป็นหมอเพื่อลบปมด้อยตัวเองให้มีตัวตนเป็นที่นับถือในสังคม และอีกมากมายที่เป็นหมอเพราะก้มหน้าก้มตาเรียนอย่างเดียวเพื่อความเก่งกาจโดยไม่ได้มีจิตสำนึกที่อยากจะเป็นผู้ให้เลยสักนิด มันผิดตั้งแต่การคัดเลือกนักเรียนแพทย์แล้วครับเมืองไทยน่ะ ขอบอกด้วยความเป็นส่วนตัวเลยว่า หมอที่เป็นหมอโดยจิตสำนึกนั้นมีอยู่แค่50%ส่วนอีก50%เป็นคนที่มาเป็นหมอทั้งๆที่ไม่รู้ว่าหมอมีหน้าที่อะไรบ้างรู้แค่ว่า เรียนแล้วดูเก่งคนนับถือจบออกมามีแต่คนไหว้พ่อแม่ได้หน้าตัวเองได้เงินเปิดคลินิคร่ำรวย จากคุณ : มีทั้งดีมีทั้งเลว - [ 8 ต.ค. 46 11:57:10 A:210.86.204.237 X: ] ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าเคยออกทีวีแล้ว ไม่ควรมาออกอีก สรยุทธิ์ ทีมงาน เสียท่า โดนหลอก จากคุณ : ห - [ 8 ต.ค. 46 12:20:41 A:203.107.152.174 X: ] ความคิดเห็นที่ 9 รู้สึกว่า คดีความที่ประชาชนตาดำกับหมอเนี่ย ไม่มีทางที่คนธรรมดาจะชนะได้เลย ยิ่งไปร้องที่แพทย์สภาก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะว่าเรื่องจะเงียบไปเฉยๆ น่าจะมีองค์กรอื่นที่ให้ความเป็นธรรมและเป็นการได้มากกว่านี้ ไม่ใช่หมอผิด แต่ไปร้องให้หมอด้วยกันช่วย เค้าคงช่วยหรอก เราว่าอีกอย่าง เวลาที่คนไข้เข้าไปในห้องหมอ ก็ควรเอาญาติเราเข้าไปนั่งฟังด้วย เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมาก็ยังมีพยาน ส่วนนางพยาบาลที่อยู่ในห้องเค้าก็คงต้องเข้าข้างหมออยู่ดี ว่าแต่หมอที่สรุปว่า คุณเมตตาเป็นโรคจิตเนี่ย มันแย่ จนเกินคำบรรยายาเลยนะ แถมยังบอกให้ไปรักษาตั้งไกลถึงเชียงใหม่ ขอให้หมอคนนั้นเจริญเถอะ โกรธแทนจริงๆ จากคุณ : 0 (Okinawa) - [ 8 ต.ค. 46 12:21:16 ] ความคิดเห็นที่ 10 แต่ผมเชื่อศาลนะ เพราะก่อนจะตัดสินอะไรศาลต้องฟังความทั้งสองฝ่าย การที่เราดูทีวี แล้วตัดสินเอาเองจากฝ่ายเดียว ไม่น่าจะแฟร์เท่าไหร่ ต้องไม่ลืมว่า สาเหตุที่เกิดคือเธอไปยกของหนัก ๆ แล้วกระดูกสันหลังเคลื่อน แล้วนายจ้างยังใช้เล่ห์เพทุบายไม่ต้องจ่ายเงินค่ารักษา แต่ไป ๆ มา ๆ สิ่งที่เธอต้องเผชิญ มันวุ่นวายไปหมดทั้งระบบของประกันสังคมเองสามีที่คอยวุ่นวาย แต่ทำไม มันลงที่หมอรักษาได้ ผมก็งงเหมือนกันแฮะ อาจจะเป็นเพราะหมอพูดไม่ถูกหู หรือรักาเธอไม่หาย ทั้งที่คนที่น่าจะถูกฟ้องคือนายจ้างมากกว่า จากคุณ : งงงง - [ 8 ต.ค. 46 12:25:06 A:203.151.122.174 X: ] -------------------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------------------- คลิกเพื่ออ่านกติกามารยาท คลิกเพื่ออ่านHelp & FAQ ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่ ความคิดเห็น : ชื่อ / e-mail : สีกรมท่าสีด่างทับทิมสีใบตองสีเขียวใต้ทะเลสีเขียวขี้ม้า จัดชิดซ้ายจัดกลางหน้าจัดชิดขวา ไฟล์ประกอบ : ( gif, jpg, png, mid, wav, mp3, wma, swf ) Posted by : จ่าพิชิต ขจัดพาลชน , E-mail : (rekavolver@hotmail.com) , Date : 2003-10-08 , Time : 12:10:54 , From IP : 172.29.2.187 |
ข้อมูลจากรายการถึงลูกถึงคน >>>>>>>>>รายการ ถึงลูกถึงคน "เมตตา ไตรรัตน์" ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรม<<<<<<<<<<<<<< เมือคืนใครได้ดูมั้งค่ะ ใครไม่ได้ดู ญ ขอ หยิบ บท สัมภาษณ์ของเขามาให้ฟัง ผู้ร่วมรายการ 1. คุณเมตตา ไตรรัตน์ หญิงพิการสู้ชีวิต 2. คุณอังศุมาลิน ไตรรัตน์ บุตรสาว สรยุทธ : รถเข็นของคุณเมตตาเก่าจังเลย ใช้มากี่ปีแล้ว เมตตา : คันนี้คันที่ 5 ในรอบ 9 ปี ตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อต้นปี 2537 ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ แต่มาเดินไม่ได้ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมในปีเดียวกัน สรยุทธ : แล้วเกิดขึ้นได้ยังไงที่ต้องเป็นในสภาพทุกวันนี้ เมตตา : ตอนที่เป็นแม่บ้านทำความสะอาดในสมัยนั้นทำอยู่ที่ห้างสรรพสินค้า ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืนก็จะปิดบันไดเลื่อนและลิฟท์ พวกแม่บ้านต้องแบกอุปกรณ์ทำความสะอาดไปทางบันไดหนีไฟ สรยุทธ : และอุปกรณ์พวกนี้หนักไม๊ เมตตา : หนักค่ะ ประมาณ 30-50 ก.ก. แต่ของดิฉัน 50 กว่า ก.ก. ตอนนั้นอุปกรณ์ทำความสะอาดติดตรงซอกบันไดหนีไฟ ตอนก้มลงไปเพื่อยกขึ้น ก็เกิดอาการหลังปวดหลังทันที อาจเป็นเพราะเราทำมาหลายกะแล้วก็ได้ และที่ขาก็ชาเหมือนมีมดเยอะๆ มากัด ตอนนั้นดิฉันก็กองอยู่กับพื้นเลย และได้เข้ารักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งตามบัตรประกันสังคม ตอนนั้นยังพอเดินได้ แต่ไม่ไกลมาก คือขายังสั่น เปลี้ยเพลีย สรยุทธ : จริงไม๊ที่นายจ้างให้บอกว่าตกบันได เมตตา : ใช่ค่ะ เพราะถ้าบอกหมอตามความจริง ดิฉันจะต้องออกเงินค่ารักษาเอง แต่ถ้าบอกว่าตกบันได สามารถใช้บัตรประกันสังคมได้ ไม่ต้องเสียเงินเลย แต่ดิฉันก็ไม่เชื่อ เพราะก่อนหน้านี้เพื่อนเคยถูกไฟดูดตายที่ทำงาน ซึ่งโกหกว่าไฟฟ้าที่บ้านเช่าดูด ได้เงินทำศพหมื่นกว่าบาทเอง ดังนั้น ก็เลยบอกหมอตามความเป็นจริง แต่ไม่คิดว่าภายหลังเรื่องยุ่งยากไปหมดเลย เพราะทางโรงพยาบาลบอกว่าถ้าเกินจากวงเงินกองทุนทดแทนของประกันสังคม 3 หมื่นบาท นายจ้างก็ต้องออกเงินค่ารักษาให้เราเอง ซึ่งทางโรงพยาบาลก็บอกว่าค่ารักษาต้องเกิน 3 หมื่นบาทแน่นอน ตอนหลังก็โทรไปบอกโรงพยาบาลว่านายจ้างไม่ให้ ซึ่งตัวดิฉันเริ่มมีอาการมากขึ้น ตอนหลังทางโรงพยาบาลได้ประสานกับกระทรวงแรงงาน ก็เลยได้ใบมา และมาให้โรงพยาบาลเลย ซึ่งทางโรงพยาบาลบอกว่าจะมีการฉีดสี ตอนนั้นดิฉันตั้งท้องได้ 3 เดือน ก็เกรงว่าจะมีผลกระทบต่อลูกในครรภ์ แต่หมอก็บอกว่าไม่เป็นอันตราย เพราะฉีดใส่หลัง ดิฉันก็เชื่อ เขาก็ส่งไปฉีดเลย หลังจากนั้นอีก 7 วัน ก็มีเลือดออกจากช่องคลอด ดิฉันก็บอกหมอว่าเป็นอาการนี้ คิดว่าน่าจะเป็นอาการที่ฉีดสีนี้เข้าไปหรือไม่ หมอ ซึ่งรักษาโรคกระดูก ก็ส่งดิฉันไปตรวจปัสสาวะ ก็เลยให้นัดมาพบหมอสูตินรีอีก 1 สัปดาห์ ตอนนั้นเลือดก็ยังออกตลอด และขาก็ไม่มีแรง ต้องใช้ไม้พยุงเดิน เพราะตั้งแต่ฉีดสารนี้เข้าไปนั่งไม่ได้เลย เป็นตะคริวแข็งตลอดเลย ต้องนอนอย่างเดียว นั่งไม่ได้เลย พอมาถึงวันนัด ทางหมอสูติฯ ไม่ได้ตรวจภายในอะไรเลย แต่กลับให้กลับบ้านอีก 1 สัปดาห์ เพื่อให้พบหมอสูติฯ อีกคนหนึ่ง พอถึงกำหนดอีกคือวันที่ 31 มีนาคม หมอสูติฯ ท่านนี้ก็ตรวจภายใน และก็บอกว่าให้ดิฉันทำแท้งที่คลินิก ซึ่งเป็นศูนย์วางแผนครอบครัว ย่านสุขุมวิท เพราะเด็กในท้องถูกรังสีเกินขนาด ถ้าเอาไว้จะมีอันตรายทั้งแม่และลูก ดิฉันก็เลยโวยวาย เพราะก่อนที่จะฉีดรังสี หมอก็บอกว่าไม่เป็นอันตราย พอตอนนี้เป็นขึ้นมา กลับจะไล่ไปที่อื่น ทางหมอก็คุยกับหมอที่รักษาดิฉันคนแรก และเรียกดิฉันเข้าไปตรวจภายในอีกครั้ง หมอตัดสินใจว่าจะทำให้โดยการขูดมดลูก เพื่อเอาเด็กออก ก็เลยต้องจำใจเซ็นชื่อเพื่อให้ขูดมดลูก พอขูดมดลูกคืนนั้น พอตอนเช้า หมอก็บอกให้กลับบ้าน ถ้ามีอาการให้กลับมาใหม่ แต่ตอนนั้นเลือดยังออกอยู่และระบมด้วย งบ 3 หมื่นบาทค่ารักษาพยาบาลของกองทุนฯ ก็หมดลงแล้ว รวมทั้งค่าขูดมดลูกด้วย พอกลับถึงบ้าน อีกหลายวันอาการก็ยังเป็นอย่างนี้อีกคือยังมีเลือดไหลตรงช่องคลอด ขาก็ไม่มีแรง ก็เลยไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แต่พอไปถึง จนท.ก็ไม่ให้พบหมอ เพราะงบค่ารักษาพยาบาลได้หมดลงแล้ว ก็เลยไม่รู้จะทำยังไง เลยโทรไปหากองทุนประกันสังคม ทาง จนท.รับเรื่องก็บอกว่าให้ขอใบสรุปการรักษา เพื่อจะมาประเมินความสูญเสีย เพื่อจะได้นำตัวไปรักษาต่อ ทีนี้หมอก็เขียนให้ แต่หลังจากนั้นอีกชั่วโมงนึงกลับไม่ใช่อย่างนั้น ซึ่งดิฉันก็ซื่อ ไม่ได้แกะซองอ่าน มารู้ทีหลังจาก จนท.กองทุนทดแทนอ่านให้ฟังว่าดิฉันหมดสิทธิ์รักษาจากกองทุนฯ แล้ว เพราะได้ใช้งบหมดแล้ว 3 หมื่นบาท ส่วนสิทธิ์ของประกันสังคมก็หมดลงแล้วเช่นกัน เพราะหมอได้ระบุว่าให้ส่งดิฉันไปรักษาโรคจิต สรยุทธ : หมอเคยบอกไม๊ว่าเราเคยเป็นโรคจิต เมตตา : เพิ่งจะมาบอกตอนที่เขียนครั้งสุดท้าย แต่ดิฉันไม่ได้เรียนหนังสือเลยไม่เข้าใจว่าโรคจิตจะเป็นโรคที่ทำให้ถูกตัดสิทธิ์ทางกองทุนฯ นึกว่าเป็นชื่อโรคชนิดหนึ่งที่เราเป็น ทาง จนท.กองทุนฯ แนะนำให้ไปหานายจ้าง ซึ่งแจ้งเลิกจ้างดิฉันแล้ว พอไปหานายจ้าง ก็บอกว่าอีกหน่อยก็จะพิการแล้ว จะจ้างทำไม สรุปแล้วทางนายจ้างก็ไม่ได้จ่ายเงินอะไรเลย ก็เลยไปกระทรวงแรงงาน ซึ่งทางกระทรวงฯ ก็เรียกนายจ้างมาเพื่อจ่ายค่าเลิกจ้างให้ดิฉันเป็นเวลา 3 เดือน ก็ได้เงินมาหมื่นกว่าบาท ก็เลยเหมารถเพื่อไป รพ.สวนดอก ที่ จ.เชียงใหม่ ตามคำแนะของหมอให้รักษาโรคจิตของเรา พอไปถึงก็ถามหมอว่าจะมารักษาโรคจิต แต่หมอไม่เชื่อ ดิฉันก็เลยแสดงจดหมายให้เขาดู ซึ่งหมอก็ซักประวัติและเหตุการณ์ที่ผ่านมา หมอก็บอกว่าดิฉันถูกหลอกแล้ว เพราะหมอปฏิเสธการรักษาให้ ซึ่งหมอที่ รพ.สวนดอก ก็บอกว่าจริงๆ แล้วดิฉันเป็นอาการกระดูกทับเส้นประสาท ไม่ใช่เป็นโรคจิต สรยุทธ : ตอนนั้นรู้สึกยังไงว่าถูกหมอหลอก เมตตา : ก็ร้องไห้และโกรธหมอด้วย คือเสียทั้งเงินและลูกก็ตาย งานก็ถูกไล่ออกด้วย (ร่ำไห้) สรยุทธ : คุณเมตตาก็เลยไปร้องเรียนกับกระทรวงแรงงาน ซึ่งสมัยนั้น รมว.แรงงาน คือคุณไพทูรย์ แก้วทอง ก็เชิยคุณเมตตามา ก็เลยเชิญผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงแพทย์ มาวินิจฉัยใหม่ และสรุปว่าคุณเมตตาไม่ได้เป็นโรคจิต ไม่ได้บ้า หลังจากนั้นสิทธิการประกันสังคมก็เลยกลับคืนมา ตอนนั้นรู้สึกดีขึ้นแล้ว เมตตา : ค่ะ แต่ก็เสียใจเพราะรักษาไม่ทันและไม่หายแล้ว เพราะขาดการรักษาไม่ต่อเนื่องมานานข้ามปีเลย สรยุทธ : ถูกส่งไปโรงพยาบาลกี่แห่ง เมตตา : 3 ที่ ตอนนั้นยังมีเงินกองทุนทดแทน 2 หมื่น 8 พันบาท สรยุทธ : รมว.แรงงานตอนนั้นที่ไปตรวจสอบบอกว่ายังเหลือ 2 หมื่น 8 พันบาท แต่ที่โรงพยาบาลแห่งแรกบอกว่าเงิน 3 หมื่นหมดแล้ว จริงๆ ใช้แค่ไปพันกว่าบาทเท่านั้น เมตตา : ก็โอนเงินที่เหลือไปรักษาโรงพยาบาลอื่น ๆ แต่หมอไม่ยอมรักษา เพราะดิฉันได้ฟ้องร้องหมอ เพราะหมอกลัวว่าถ้ารักษาแล้ว อาจจะต้องไปขึ้นศาลไปเป็นพยานให้ดิฉัน เพื่อฟ้องหมอโรงพยาบาลแห่งแรกที่ไปรักษา ก็ไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นเรื่อยๆ จนหมดเงิน 2 หมื่น 8 พันบาท แต่ได้ฉายรังสีซ้ำใหม่อีก สรยุทธ : เงินเก็บไม่มีเหรอ เมตตา : ไม่มีตั้งแต่ตอนเดินไม่ได้แล้ว และสามีก็ไปมีเมียใหม่ เพราะเราเดินไม่ได้ เขาก็ไปเลย และตอนนี้ก็ไม่หวังอะไรแล้ว เพราะปัจจุบันนี้ตัวดิฉันมีโรครุมเข้ามาเยอะด้วย ใช้ชีวิตครึ่งตัวมา 9 ปีแล้ว ก็ลำบากเยอะ ต้องหาเงินเลี้ยงลูกอีก สรยุทธ : หลังจากสรุปตอนนั้นเราได้เงินจากประกันสังคมกรณีทุพลลภาพเดือนละประมาณ 2 พัน 400 บาท เมตตา : แต่จะต้องจ่ายประกันสังคมเพื่อจะรักษาโรคแทรกซ้อนอีกเดือนละ 384 บาท ดังนั้นจะเหลือแค่ 2,016 บาทที่เป็นรายได้จริงๆ นอกนั้นก็ไม่มีรายได้ทางอื่นเข้ามาแล้ว นอกจากไปกู้เงิน เพื่อมาค้าขาย แต่ก็เกิดปัญหา เพราะอดีตสามีมากรรโชกเงิน ครั้งแรกก็เชื่อเพราะเขาบอกว่ามาขอคืนดี ก็เลยมาอยู่ด้วย พอเผลอ เขาก็ขโมยเงิน สรยุทธ : คนขาดีๆ มาขโมยเงินเราเหรอ เมตตา : คงไม่พอเลี้ยงเมียใหม่ของเขา สรยุทธ : แล้วเขาตีด้วยเหรอ เมตตา : พอเราจับได้ว่าเขาขโมยเงิน เราก็ด่าแรง เขาโมโห ก็เลยตีเรา เราแจ้งตำรวจ ซึ่งก็ได้แค่บันทึกประจำวัน แต่บาดแผลที่เราถูกตีมาก็รักษาเป็นเดือนเลย พอป่วย ก็ไม่ได้หาเงิน ก็จนลงไปอีก เลยตัดสินใจหอบลูกย้ายบ้านเช่าไปเรื่อยๆ เพื่อหนีอดีตสามี สรยุทธ : เป็นยังไงอังศุมาลิน ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นไหน อังศุมาลิน : ปวส.1 ช่วยแม่ติดห่อแพ็คปูนปาสเตอร์ที่ลงสีเสร็จแล้ว ไปส่งตามที่ต่างๆ สรยุทธ : หน้าซองเขียนไว้ว่า WWW.META.FREEWEBSPACE.COM หมายเลข 07-0552800 อังศุมาลิน : ที่เปิดเว็บนี้เพราะบางทีลูกค้าก็มาไม่ได้ ให้เปิดเว็บดูได้เลย ถ้าสนใจก็จะได้โทรสั่งซื้อสินค้า สรยุทธ : อันนี้เราทำให้แม่ ขายได้เยอะไม๊ อังศุมาลิน : พอได้ ส่วนใหญ่ขายให้กับคนรู้จักและคนแถวบ้าน แล้วก็บอกต่อๆ กัน สรยุทธ : เคยออกรายการโทรทัศน์แล้ว มีคนโอนเงินไปให้แล้วทั้งหมด 1,500 บาท อังศุมาลิน : จริงๆ ต้องการขายสินค้า อยากให้คนช่วยสั่งซื้อ ถ้าอยู่ไกล ก็จะส่งพัสดุไปรษณีย์ไปให้ เมตตา : ลูกสาวตอนนี้ได้รับความช่วยเหลือจาก ผอ.โรงเรียนพาณิชยการบางนา โดยยกเว้นค่าเล่าเรียนให้ลูกสาว สรยุทธ : คุณเมตตาจะสู้คดีต่อไปไม๊ เมตตา : ตอนนี้คดีอยู่ในชั้นศาลอุทธรณ์ ก็ไปเรื่อยๆ ดิฉันไม่ได้หวังจะได้เงินหรืออะไรอีกแล้ว เพราะได้เงินมาก็ไม่หายอยู่แล้ว เพราะตอนนี้เป็นโรคแทรกซ้อนจากความพิการมาเรื่อยๆ มีหลายโรค คิดว่าจะไปที่ประกันสังคม เผื่อว่าดิฉันเป็นอะไรไป จะได้ให้ลูกมาทำแทน ช่วงหลัง ๆ เกิดอาการช็อกบ่อย และพูดไม่ค่อยชัด สรยุทธ : บอกแม่ว่ายังไงบ้าง อังศุมาลิน : เคยบอกแม่ให้พักบ้าง แต่แม่ไม่เคยบอกว่าเป็นอะไร หรือเหนื่อยเลย เมตตา : มันหยุดไม่ได้ เพราะถ้ามีคนโทรสั่งซื้อของเข้ามา จะได้มีสินค้าให้พอขาย ตอนนี้ก็พยายามสวดมนต์เพื่อให้อยู่กับลูกได้นานๆ สรยุทธ : อยากจะบอกอะไรกับหมอไม๊ เมตตา : : ไม่อยากให้หมอทำแบบนี้กับคนอื่นอีก เพราะตอนที่หมอเขียนผลวินิจฉัยมันง่าย แต่พอเข้าสู่ชีวิตคน ทำให้คนลำบากมาก จากเดินได้ กลายเป็นเดินไม่ได้ และต้องพยายามไม่ให้เป็นภาระกับคนอื่นมากๆ แม้ว่าดิฉันลำบากมากจริงๆ ค่ะ. จากคุณ : takom - [ 8 ต.ค. 46 10:56:31 ] Posted by : จ่าพิชิต ขจัดพาลชน , E-mail : (rekavolver@hotmail.com) , Date : 2003-10-08 , Time : 12:15:37 , From IP : 172.29.2.187 |
ตกลงคนท้องห้ามฉีดสีใช่มั้ย แล้วMRI ได้รึเปล่า เพราะว่าจะรักษาHNP อย่างไร Posted by : หลุดโลก , Date : 2003-10-10 , Time : 01:01:58 , From IP : ip-r-bkkSP8-39.C.lox |
ทำไมสื่อมวลชนชอบยำวิชาชีพนี้จังอ่ะคับ Posted by : จ่าพิชิต ขจัดพาลชน , Date : 2003-10-10 , Time : 14:25:58 , From IP : 172.29.2.187 |
ต้องการขายไต 1 ข้างด่วนมากๆๆ เพศหญิงอายุ 31 ปี เลือดกรุ๊บB มีผลตรวจเลือดจากแล็บยืนยันการทำงานของไต BUN 16 Creatinine 0.9 สนใจเมล์มาคุยรายละเอียดได้หรือโทร 05-5931416 ขายจริงๆไม่ได้แกล้งหลอกตอนนี้กำลังเดือดร้อนมากๆเลย ใครที่พอจะแนะนำที่ไหนได้โปรดบอกด้วยคิดว่าทำบุญช่วยเหลือคนที่ไม่มีทางไป Posted by : ผู้รอคอย , E-mail : (dummy_pok@hotmail.com) , Date : 2006-10-12 , Time : 01:24:11 , From IP : 124.157.132.122 |
ต้องการขายไต 1 ข้างด่วนมากๆๆ เพศชายอายุ 23 ปี เลือดกรุ๊บB มีผลตรวจเลือดจากแล็บยืนยันการทำงานของไต สนใจเมล์มาคุยรายละเอียดได้หรือโทร 029729963ต่อ 222 ขายจริงๆไม่ได้แกล้งหลอกตอนนี้กำลังเดือดร้อนมากๆเลย ใครที่พอจะแนะนำที่ไหนได้โปรดบอกด้วยคิดว่าทำบุญช่วยเหลือคนที่ไม่มีทางไป ต้องการเงินค่าเทรอมมากครับ chiin_warn@hotmail.com Posted by : ton , E-mail : (chiin_warn@htomail.com) , Date : 2006-10-22 , Time : 13:00:06 , From IP : 61-90-165-54.static. |
ความเห็นจาก Social Network : Facebook |
|
>>>>> Page loaded: 0.008 seconds. <<<<< |