ความคิดเห็นทั้งหมด : 32

ความรู้ กับ เกรด ควรเรียนเพื่อนอะไรครับ


   just confuse

เพราะเท่าที่พิจารณามามันความรู้และเกรดมันไม่ได้ขัดแย้งกันแต่มันทำมุม 37 องศา

คือพอดีผมเรียนไม่เก่งมากหัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่

แต่สงสัยในวิธีเรียนของเพื่อนหลายคนต่างกัน

บางคนตื่นแต่เช้า 5.45 น.มาทำแผลงกๆๆๆ หรือไม่ก็ลอก lab เกลี้ยง (พยาบาลเป็นพยานได้เพราะมาทันเพลงของ sunshine radio ช่วงน้องๆขอเพลง)) อาจารย์ถามอะไรก็ตอบได้ แถมมีคำถามกับอาจารย์ได้อีก(ประมาณว่า debate กันได้ แปดโมงแลกเชอร์อย่างแข็งขันไม่หลับเลย สิบโมง cath บ่ายโมง or ถึงบ่ายสี่ ไปราว ทานข้าว อ่าน text ล้วนๆ ด้วยว่ามันเป็นศาสตร์บริสุทธิ เพราะต้องการอ่านจากที่มาของ sheet อยากรู้ลึกกว่าที่เขา "ว่ากันว่า" แล้วก็นอน

อีกคนมาทำแผล 7.45 หรือไม่ก็มาพอให้ทันอาจารย์มา แต่ไป stand in front line เข้า lecture สิบโมงอยู่ห้องสมุดอ่าน sheet บ่ายโมงกลับหอนอน หรือไม่ก็นอนที่ counter หน้า or ย่อย หรือแย่หน่อยกลับหอไปเลย ตอนเย็นมาราว พร้อมความหอมสดชื่น ของแป้งเย็นเภสัชกลิ่นมาดาม เย็นๆคำๆไปอ่าน sheet ต่อ ประมาณ hightlight แปดสี + ผ้าแพรพันรอบ อาจารย์อาจนิยามในใจว่าอับดุลเพราะตอบตรง point หมด อีกทั้งทำตัวเป็นโกดังโพย รับซื้อแลกเปลี่ยนโพยทุกสำนัก........ประมาณนั้น

อีกคนมาทันพยาบาลวางกระเป๋าก่อนส่งเวรทำแผลของตัวเองเสร็จ แถมแผลเพื่อนนิดหน่อย (แผลของไอคนที่สอง )
ก็ทำไปเรื่อยๆ อาจารย์มาราวก็ฟังแต่ไม่จด เพราะเพิ่งอ่านไปเมื่อคืน หรือสามสัปดาห์ที่แล้ว อันที่เพิ่งได้ยินก็จำ key word แล้วจดหลังจบ round แต่ไม่ได้ยิกๆๆๆๆๆให้อาจารย์หรือพี่ได้สังเกตว่าโอ้ น้อง เกิดมาเพื่อเป็นผู้เรียนรู้จริงๆมีใครบันทึกภาพไว้หรือไม่คนใฝ่รู้ต้องจดต่อหน้า อาจารย์ถามอะไรก็ตอบแบบกั๊กๆ เพราะอยากให้เหมือนเพลงยาว ช่วยๆกันร้องหลายคน แลคเชอร์เห็นชีทก็หลับ จำหัวข้อไปอ่านต่อในหนังสือที่คิดว่าใช่สำนักนี้แหละแนวข้าพเจ้าเลย บ่ายไปหลับที่เคาเตอพยาบาลเผื่อมีอะไรให้ดู(หมายถึง cpr หรือ cut down) บ่ายแก่ๆไปหากาแฟดม เย็นๆมาราวก่อนดูคนไข้เสร็จ เตร็จเตร่ไปเตียงเพื่อนนิดหน่อย แต่ก็ตอบอะไรไม่ค่อยได้เพราะ เพื่อนดันตอบคำถามของเราซะนี่(เราก็รู้แต่ไม่อยากสู้กะโจร ขโมย scence เสียศักดิ์ศรี ถ้าต้องสู้กะคนพวกนี้) คำๆไปหาแฟนกินหนม อ่าน text สองสามบท นอน

อาจารย์ช่วยวิเคราะห์หน่อยครับว่า ตกลง "ประชาชนคนไทย"ชอบ นศพ.แบบไหน เอามาผสมกันก็ได้ เพราะผมก็ผสมกัน แต่ก็กระจ้อยร่อยทางเกรดเหลือเกิน

แล้วถ้าผมเสนอให้พยาบาลเป็นคนให้คะแนนด้าน
-ความสนใจในวิชาชีพ ประเภทบ่นเหลือเกินว่าชีวิตนี้น่าจะเกิดมาเป็นนางแบบมากกว่าหมอ ประมาณนั้น
-ความใส่ใจเพื่อนร่วมงาน เช่น พวกส่งไม้กดลิ้นด้าน ที่ contact กะคนไข้ให้พยาบาลหรือไม่ก็ โวยวายว่า lab เนี่ย เจาะกี่โมงหา !!! นี่มันตั้ง....
-ความตรงเวลา แทนที่จะเป็นอาจารย์แพทย์หรือ staff ฝ่ายเดียว หรือถ้าให้แบบผสมกันคือหลายฝ่ายช่วยกันคิดว่า นศพ.คนนี้มันดูคนไข้จริง หรือ fake หรือมันทิ้งแผลตลอดเลยไม่เคยทำเลย ward service มันก้ออยู่ห้องสมุด อะไรแบบนี้อะครับ

ผมไม่ใช่คนที่ 1,2,3 แค่ประมวลจากที่เคยมีเพื่อนแบบนี้มาอ่ะครับ แล้วพบว่าคนเหล่านี้ ได้ผลลัพธ์ต่างกัน อย่างควรจะเป็นเช่นนั้ นหรือ หรือว่ามีบางคนเล่น trick เก็บเกรด

ด้วยความเคารพครับถ้าหากอาจารย์เห็นว่ามีคนแบบไหน ควรส่งเสริมแบบไหนควรปรับปรุงเพื่อ คนไทย โปรดพิจารณาด้วยครับ

เพราะเมล็ดพันธุ์บางชนิดเริ่มขาดนำแล้ว ครับ

ขอบคุณครับ


Posted by : cabin_crew , Date : 2007-03-09 , Time : 03:15:32 , From IP : 172.29.4.134

ความคิดเห็นที่ : 1


   เกรดสอบนี่แล้วแต่คนนะครับ แต่เกรดroundเนี่ยไม่ไหวว่ะ ไม่รู้ว่าวัดกันด้วยอะไรให้ C C+ กับคนที่ไปเช้าๆทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ แต่พวกไปหลัง 8 โมง กับพวกประจบประแจง แย่งเคส โขมยซีน เห็น A กันเป็นแถว
น่าจะให้ GTH ทำหนัง 365 วันตามติดชีวิต นศพ.หรือให้รายการกบนอกกะลามาถ่ายรายการสักเดือนสองเดือน อาจได้เห็นมุมมองใหม่ๆนะครับ
(คนอ่านกระทู้นี้ส่วนใหญ่อาจไม่พอใจเพราะอาจกระทบเกรดAของคุณๆ)


Posted by : พิมพ์ที่บินหลา3เนตฟรี , Date : 2007-03-09 , Time : 03:39:12 , From IP : 172.29.4.209

ความคิดเห็นที่ : 2




   ฝันดีครับ

Posted by : cabin_crew , Date : 2007-03-09 , Time : 03:45:56 , From IP : 172.29.4.134

ความคิดเห็นที่ : 3


   อ่านแล้ว ขออนุญาติเป็นหมอดูคาดเดาว่า คงมีคนมาตอบกระทู้นี้ว่า ทำสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น จงสู้ต่อไปฮิโรชิ เราชื่นชมคุณ สุดท้ายฮิโรชิก็พิการกลับมาบ้านเกิด พร้อมเงินชดเชยพอซื้อกระดาษทิชชู และเหรียญกล้าหาญไว้เล่าให้ลูกหลานที่ไม่เคยภูมิใจในตัวเขาฟัง โอ้ฮิโรชิ

Posted by : mumoo , Date : 2007-03-09 , Time : 04:26:43 , From IP : 172.29.4.209

ความคิดเห็นที่ : 4


   แม่นจริงค่ะหมอ....ราวหยั่งรู้อนาคต ปลูกข้าวก็ได้ข้าว....จะเป็นถั่วหาได้ไม่ ....

สิ่งที่น่าสนใจจะร่วมอภิปรายต่อไปคือ
"เงิน, เหรียญกล้าหาญและเรื่องราวที่เล่าให้ลูกหลานฟัง"

เงิน: อาจถูกแปรสภาพเป็น....อะไรก็ตาม แม้กระทั่งกระดาษทิชชู คุณค่าของเงินไม่น่าจะขึ้นกับ "จำนวน" ที่ฮิโรชิมี แต่น่าจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่มันถูกแปรสภาพเป็น....ในบริบทหนึ่งๆ

เหรียญกล้าหาญ: ที่ฮิโรชิพิการเป็นเพราะต้องการครอบครองเหรียญกล้าหาญ? หรือ เหรียญกล้าหาญเป็นสิ่งที่ได้มาเนื่องจากการกระทำบางอย่างที่ทำให้เขาพิการ?

เรื่องราวที่เขาเล่าให้ลูกหลานฟัง: เขาจะเล่าถึงชีวิตที่ผ่านมาให้ลูกหลานฟังว่าอย่างไร อะไรเป็นเหตุจูงใจให้เขายังคงอยากบอกเล่า ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นสู่คนรุ่นถัดไป แม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่เคยภาคภูมิใจในตัวเขาเลย



Posted by : Lucifer , Date : 2007-03-09 , Time : 05:24:25 , From IP : 172.29.4.201

ความคิดเห็นที่ : 5


   เกรด ราวนด์ นี่ ถ้าให้ พยาบาล หรือ คนไข้ ให้คะแนน ด้วย มันก็อาจจะ เป็นปัญหาอีกได้ เพราะ คนที่ เล่นละครเก่ง ผมคิดว่า เขาจะเล่นละครกับคนอื่นๆได้ นอกจาก อาจารย์เช่นกัน

และ คนที่ไม่ใช่หมอ บางทีก็อาจจะไม่รู้ว่า งานของหมอ คือ อะไร เช่น ชอบหมอที่พูดดี เอาใจเก่ง คนไข้ ขอยาอะไร เอาไปเลย เช่น แจก วิตามิน ซี ยังกับ แจกลูกอม ฯลฯ คะแนน มันยิ่งท่วมทุ่ง ผักบุ้งลอยฟ่อง นะ


Posted by : guru , Date : 2007-03-09 , Time : 09:03:34 , From IP : 61.19.24.122

ความคิดเห็นที่ : 6


   เดี๋ยวนี้เกรดน่าจะสำคัญ หรือว่าไม่จริง? แต่ถ้ามีความรู้เกรดน่าจะแปรตามกันนะ

Posted by : 1234 , Date : 2007-03-09 , Time : 10:36:10 , From IP : 172.29.4.156

ความคิดเห็นที่ : 7




   ผมแค่อยากเสนอให้มีความเห็นของพยาบาลเข้ามาด้วยเพราะ.............เราคงฝึกให้หมอทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้อย่างดี มันมีนัยระหว่าง นศพ.สองคนที่ไป ward คนนึงพยาบาลเรียกมาสอน ช่วยหานู่นหานี่บางทีก็ช่วยบอกว่า"น้องหมอคนไข้น้องหมอเมื่อคืนอาเจียรสามหน" อีกคนโยนกระเป๋าโครม นั่งหน้าจอ แย่งคอมพยาบาลใช้ ไม่เคยขอบคุณเลยเวลาพยาบาลหรือผู้ช่วยหาของให้

ขอบคุณทุกความคิดเห็นครับ


Posted by : cabin_crew , Date : 2007-03-09 , Time : 11:35:25 , From IP : 172.29.4.134

ความคิดเห็นที่ : 8


   ผมจะขึ้นปี4ก็อยากรู้เหมือนกันครับว่าควรจะทำตัวอย่างไรเพื่อจะให้มีความรู้มากๆและก็เกรดที่ไม่แย่ด้วย(แต่สำคัญคือมีความรู้จริงๆไม่ใช่งูๆปลาๆ)
เเต่ที่สำคัญคือผมจะเข้ามาบอกว่า ผมชอบสำนวณที่พี่cabin_crew เขียนมากเลยครับผมคิดว่าพี่น่าจะไปเขียนหนังสือpocket bookขายนะครับน่าจะขายได้ดี(นี่ไม่ได้ประชดนะครับ)เพราะผมอ่านเเล้วชอบเเละรู้สึกเป็นธรรมชาติดี


Posted by : อนาคตข้างหน้า , Date : 2007-03-09 , Time : 14:14:50 , From IP : 172.29.2.228

ความคิดเห็นที่ : 9


   ผมคงซวยแน่ ถ้าต้องไปเป็น Extern โรงพยาบาลเดียวกับนศพ.คนที่2(คนที่ทำแผล7.45น.)

Posted by : DogTor , Date : 2007-03-09 , Time : 15:36:36 , From IP : 172.29.4.96

ความคิดเห็นที่ : 10


   มองอีกมุมไบ dogtor คงไม่ซวยหรอกครับ เพราะจะได้ฝึกวิธีการเช็ดก้นเด็ก ที่ทำเรี่ยราดไว้ skill คงแน่นแน่ๆนะน้องนะ

Posted by : RotGod , Date : 2007-03-09 , Time : 16:39:09 , From IP : 172.29.4.247

ความคิดเห็นที่ : 11


   คนที่ 2 กับคนที่ 3 เนี่ย มาพร้อมๆกันอ๊ะเปล่า...

ปล.แล้ว เคบิน เป็นแบบไหนล่ะ ที่ว่าไม่ได้เป็นเหมือนทั้ง 1 2 3 แล้วเป็นแบบไหนเหรอครับ...

อ่อ แล้วการอ่าน text เนี่ย เป็นศาสตร์บริสุทธิ์ยังไงเหรอครับ ช่วยขยายความหน่อย งงๆน่ะ ดูคล้ายๆ anti การอ่านหนังสือภาษาไทยยังไงไม่รู้ น่ะ


Posted by : สงสัย , Date : 2007-03-09 , Time : 21:02:00 , From IP : 172.29.4.101

ความคิดเห็นที่ : 12


   พยาบาลวางกระเป๋า ประมาณหกโมง 45

ผมเป็นแบบไหนมันคงไม่เกี่ยวกับกระทู้ครับ เพราะกระทู้นี้ไม่ได้เป็นเรื่องเฉพาะตัวผม

text ศาสตร์บริสุทธิยังไงอันนี้ เอ่อ..........เฮ่อ ....... เหนื่อยใจ ไว้จะลองถามเค้าให้นะครับ


Posted by : cabin_crew , Date : 2007-03-09 , Time : 21:09:32 , From IP : 172.29.4.134

ความคิดเห็นที่ : 13


   คงได้เกรดน้อยแล้วบ่นสินะครับ มีคนตอบกระทู้บอกว่าเกรดเพิ่งออกด้วย
เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ อย่าว่ากัน เพราะถ้าผมมั่นคงในตัวเองหรือมั่นคงในความรู้ ไม่ยึดเกรดเป็นสรณะ ผมคงไม่ตั้งกระทู้ถามใครอย่างนี้หรอกครับ เพราะในใจผมมีคำตอบผมเองอยู่แล้ว

ก็ไม่ได้จะว่าคุณคนตั้งกระทู้หรอกนะครับ ก็เห็นด้วยบางส่วนนะ เห็นใจๆ

ปล.อยากจะปิดทองหลังแต่จับพระหันหลังเพื่อให้คนเห็นว่าตนติดทองหลังพระมันไม่ดีหรอกครับ บาปเปล่าๆ


Posted by : DDD , Date : 2007-03-10 , Time : 00:47:38 , From IP : 172.29.4.69

ความคิดเห็นที่ : 14




   แล้วต้องทำไงครับ สังคมจึงจะดีขึ้น
ตรงไหนที่บอกว่าผมปิดทองหลังหรือหน้า อันนี้ไม่รู้..................
ผมไมเคยบอกซักอีนว่าผมเป็นคนจำพวกไหน

อย่าลืมนะครับ บอร์ดนี้มันใช้ชื่อแฝง ผมเสนอแค่ความคิดโดยรวม

และอย่างที่ระบุครับเราไม่เน้นระบุคนเพราะเรากำลังถกเรื่องความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมของพฤติกรรมแต่ละแบบ

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ


Posted by : cabin_crew , Date : 2007-03-10 , Time : 03:06:49 , From IP : 172.29.4.134

ความคิดเห็นที่ : 15




   อีกอย่างเรื่องเกรดของผม ผมไม่ค่อยยินดีนักให้ใครมายุ่งเพราะเรื่องส่วนตัว ถ้ายังไงกรุณารับทราบด้วยนะครับ ว่าผมไม่ยินดีต้อนรับการเข้ามายุ่งกับเรื่องส่วนตัว

เราพูดเรื่องของอนาคต นศพ.ไทย เเละพฤติกรรมแต่ละแบบครับกรุณารักษา topic ตาม มารยาทด้วยครับ


Posted by : cabin_crew , Date : 2007-03-10 , Time : 03:10:57 , From IP : 172.29.4.134

ความคิดเห็นที่ : 16


   เราก็เป็นคนนึงเหมือนกันที่คิดว่าตั้งใจเรียน ตั้งใจราวน์ดูคนไข้เป็นอย่างดี มาก็ไม่ช้ามากแต่ก็ไม่เร็วถึงขนาดคนแรก มีแอบงีบบ้างแต่ไม่ได้มากไปกว่าเพื่อนคนอื่นๆเลย แต่ผลสุดท้าย เรากลับได้ ราวน์ซี ทั้งๆที่ เกรดที่ทำข้อสอบเราก็ทำได้ดี ตอนนี้ทำใจได้แล้ว ว่ามันอาจมีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง ถึงเกรดไม่สวยแต่อย่างน้อยเราก็ทำดีที่สุดแล้ว ถึงเกรดจะสำคัญก็จริงแต่สำหรับเรามันไม่ได้สำคัญที่สุด ความรู้ที่จะติดตัวเราไปมากกว่า ที่สำคัญที่สุด แม้ว่าวิธีการหาความรู้ดังกล่าว หรือการตั้งใจดูแลคนไข้จะไม่มีใครเห็นค่าเลยก็ตาม

Posted by : ไม่เคยโพสเลย , Date : 2007-03-10 , Time : 13:38:29 , From IP : 172.29.4.179

ความคิดเห็นที่ : 17


   สองสามปีที่ผ่านมา ผมได้ถามนักเรียนแพทย์ว่า "มาเรียนแพทย์นี่ รู้สึกว่าได้อะไรตอนไหน?"

คำตอบคงจะมีหลากหลาย คิดยังไง เชื่อยังไงก็คงจะมีคำตอบของแต่ละความคิด แต่ละความเชื่อ รวมทั้งพฤติกรรมที่สอดคล้องกับความคิด ความเชื่อของแต่ละคน

เราเคยจัดราวน์ palliative care ให้พี่ extern ของน้อง มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราก็ไปที่ bedside ผมนึกอย่างไรก้ไม่ทราบ ถามไปกับคนไข้ว่าจำหมอคนนี้ได้ไหม ชี้ไปที่พี่ extern คุณป้ายิ้มแป้น บอกว่า "จำได้ค่ะ จำได้ดี คุณหมอมาทำแผลให้ป้าทุกเช้า"

เหรอครับ แล้วเป็นยังไงบ้าง รู้สึกอย่างไร?

"โอ๊ย คุณหมอเขามือเบ๊า เบา พอป้าสะดุ้งนิด เจ็บหน่อย หมอก็หยุดทำ ถามป้าว่าเจ็บหรือครับ เดี๋ยวจะทำค่อยๆ น่ารักมากเลยค่ะ"

extern ของเราก็ยิ้มแป้นไปเลย ท่าทางจะตัวลอยไปทั้งวัน น่าเสียดายที่กำลังจะลงอยู่แล้ว อยู่มาสองอาทิตย์พึ่งทราบว่าคนไข้ปลายปลื้มตนเองขนาดไหน

น้องครับ ผมไม่ทราบคำตอบเรื่องเรียนเพื่ออะไรนั่นหรอก เพราะน่าจะเป็นคำตอบของน้องแต่ละคนเอง แต่ถ้า เมื่อไหร่ที่คนไข้ได้ แล้วน้องรู้สึกว่าได้ด้วย บางทีการทำงานปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วยอาจจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปจากเดิม ทั้งนี้ รวมทั้งหลังจากที่น้องจบไปเป็นแพทย์ใหญ่ตาม รพช. หรือ ผอ. ที่ไหนก็ตาม

เวลาที่น้องทำดีกับใครนั้น เราคงจะไม่ได้ทำให้ third party เห็น แต่อย่างน้อย เรารู้กันอยู่สองคน คือเราคนทำ และคนไข้ผู้ถูกระทำ อาจจะมีญาติพี่น้องลูกเมียสามีของคนไข้ ที่ซาบซึ้งในน้ำใจ ความเมตตาของน้องเอง สิ่งเหล่านี้ ถ้าเราหม่นสังเกต บางทีเราก็จะเก็บเกี่ยวได้ไปเรื่อยๆ ทุกๆวัน อาจารย์คงจะไม่เห็น พี่ใช้ทุนก้คงมองไม่เห็น คนเห็น คนทราบ คือเรา คนไข้ และญาติ

เพียงพอไหม? คงแล้วแต่ความคาดหวังของเราอีกแหละ

มีคำๆหนึ่งที่น่าสนใจ คือ Here and Now ตอนที่น้องขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่บนหอผู้ป่วยนั้น เรากำลังจะมี intimate relationship กับคนไข้ และญาติ และนี่คือ learning objective ที่สำคัญที่สุดของการเรียนชั้นคลินิก ไม่ใช่การอ่านหนังสือซะด้วยซ้ำไป เพราะสิ่งเหล่านั้นทำที่หอ ทำที่ห้องสมุดก้ได้ ถ้าน้องจะได้ clinical skill ก็คงจะเป้นอะไรที่อยู่ในหอผู้ป่วยนี่แหละ ขณะทำแผล ทำ EKG ตดไหม ใส่ NG-tube อะไรต่อมิอะไร นอกเหนือจาก contents และ skill ของหัตถการนั้นๆ น้องกำลังสร้าง relationship กับคนไข้ คนไข้เขาอยากจะทราบว่าน้องเป็นใคร ใครนะมาช่วยทำแผลให้ ใครนะที่กำลังใช้เวลาส่วนตัวมาช่วยเหลือเขา เอ.. น้องหมอนี่จะรู้อะไรที่เราอยากจะรู้ไหมนี่ เราไม่กล้าถามหมอใหญ่ ถ้าจะถามหมอเล็ก แกจะตอบเราได้ไหม

บางทีขณะที่น้องปฏิบัติการบนหอผู้ป่วย สิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น เพื่อนๆเรียนยังไง แต่งชุดอะไร มากี่โมง ทำแผลไปกี่ราย อาจจะไม่สำคัญเท่าสิ่งที่เรากำลังจะได้ โดยรู้ตัวว่ากำลังได้อยู่

อันนี้ก็คงจะแล้วแต่ความคาดหวัง ว่าพวกเราอยากจะได้อะไรตอนขึ้น ward บางทีสิ่งที่เรากำลังจะได้นั้น จะแฝงคติดตัวเราไปจนวันตาย สิ่งเหล่านี้ถ้ามีควสามสำคัญขนาดนั้น เรื่องบางเรื่องที่สำคัญน้อยกว่า เราจะ approach อย่างไรดี? ก็คงแล้วแต่แต่ละคนอีก ใช่หรือไม่?

แน่นอน การเรียนแพทย์นั้น เป้นการเรียนที่หนัก แต่บางทีเราอาจจะผ่านอะไรๆที่ "หนัก" ถ้าเรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่คุ้มค่าแก่การทำ เป็นสิ่งที่ทำให้ "ชีวิตของเรานั้นมีความหมาย" เรามองย้อนกลับมา เล่าให้ลูกหลานฟัง ว่าตอนที่พ่อเรียนทำแผลนั้น ผมคิดยังไงกับคนไข้ พ่อคิดยังไงกับเพื่อน คิดยังไงกับอาจารย์ ถ้าเราเล่าได้เป็นเรื่องเป็นราว เล่าอย่างภาคภูมิใจ เล่าได้อย่างเปิดเผย เล่าได้อย่างที่คิดว่าถ้าลูกเราจะดำเนินรอยตาม จะเป็นสิริมงคลต่อตัวลูกเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเท่ากับเราเอง ที่มีบทบาททำให้ประวัติชีวิตส่วนหนึ่งของเรา มีอะไรที่มีค่า มีความหมาย เพียงพอ ที่จะตกทอดไปให้คนรุ่นต่อๆไป

เรื่องราวที่เราเก็บไว้เล่าในอนาคตนั้น ก็คงต้องเกิดจากการกระทำ ตอนนี้

เนื่องจากเราเป็น adult learner ผมคิดว่า เรื่องนี้สำคัญ ผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญเพียงพอที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งจะคิด ไตร่ตรองและใคร่ครวญให้ดี สมกับสติปัญญาที่เรามี สร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ ต่อตนเอง ต่อคนรอบข้าง ต่อคนไข้ ต่อประชาชน

แล้วเราคิดว่าอย่างไรต่อ?









































Posted by : Phoenix , Date : 2007-03-10 , Time : 14:49:51 , From IP : 172.29.9.70

ความคิดเห็นที่ : 18


   รู้สึกว่าวันนี้อากาศ "อบอุ่น" ดีแฮะ

ปกติ.....ร้อนดับวิญญาณ


Posted by : Lucifer , Date : 2007-03-10 , Time : 17:00:00 , From IP : 172.29.4.120

ความคิดเห็นที่ : 19


   สิ่งที่อภิปรายกันมาผมคิดว่ามันแยกเป็นสองประเด็นครับ

1. คนที่เป็นแบบ realism ปรับชีวิตตามสิ่งที่มันเป็นอยู่ในธรรมชาติ ประมาณว่า
เข้าเมืองตาหลิว ต้องหลิ่วตาตาม ถ้าเกิดมาเลวก็เลวให้สุดขั้ว ถ้าเกิดมาดีก็ดีให้
สุดขีด ประมาณให้ทำใจยอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ผมชอบคำพูดของพี่Extern
ท่านนึงครับ เค้าบอกว่า ในโลกใบนี้ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่มีความยุติธรรมเกิดขึ้น
แล้ว อย่ามัวแต่เรียกร้องความยุติธรรมเลย เราต้องแสวงหาเอง

2. คนที่เป็นแนวสังคมนิยม คือ เราน่าจะปรับสิ่งที่เป็นไปได้ให้ดีกว่านี้ ให้ทุกคน
ได้ในสิ่งที่ควรได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม โดยมีความ
เชื่อว่าทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้

ประเด้นนี้ผมว่าก็คงมีการคุยกันมาแล้วนับสิบๆครั้งแน่นอนในแต่ละรุ่นทั้งในส่วน
ของกลุ่มย่อยของนศพ.เองและกับอาจารย์ ผมว่าปัญหานี้น่าจะแก้ได้นะครับ
ถ้าเราใส่ใจปัญหาอย่างจริงจัง ประเมินจากคนไข้ พยาบาล พี่แพทย์ใช้ทุนและ
อาจารย์ หาจุดที่สมมูลที่สุด แต่อาจจะเหนื่อยหน่อยนะครับ เพราะอย่าลืมว่า
นศพ.เราเยอะ พยาบาล หรือพี่อาจจะจำได้ไม่หมดแน่ แต่คนไข้ที่เราดูแลน่าจะ
จำเราได้ชัวร์ๆถึงแม้จะจำชื่อไม่ได้ แต่ก็จำหน้าได้แน่นอน

แต่อ.ฟีนิกส์ก็กล่าวไว้อย่างตรงใจผมเช่นกันนะครับ
ว่าเราแปลคุณค่าสิ่งเหล่านี้ไว้แค่ไหน เราหาจุดหมายหรือความหมายในชีวิต
ได้รึยัง อย่างน้อยผมว่า ถ้าเราแก้ปัญหานี้ได้ คนที่เอาเกรดหรือความยุติธรรม
เป็นจุดหมายก็ย่อมพึงพอใจแน่นอนครับและน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่มีในตอนนี้


Posted by : The Saint , Date : 2007-03-11 , Time : 00:49:05 , From IP : 172.29.4.158

ความคิดเห็นที่ : 20




   ผมเป็นคนประเภท สุขนิยมครับ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมสบายใจ เหมือนไก่มีสุข คือการทำให้คนอื่นมีความสุข เรื่องอื่นก็เพียงสีสันช่วงหนึ่งในชีวิต ผ้าขาวก็ต้องยอมเปื้อนบ้างถ้าอยากเป้นผ้าลานสวยตอนสุดท้าย อ่านที่อาจารย์ ฟีนิกส์เขียนแล้วยิ้ม(ข้างในใจ)เลยครับ ใครว่าช่วงนี้อากาศร้อน แต่ผมว่าอากาศกำลังดีนะ

Posted by : mumoo , Date : 2007-03-11 , Time : 02:18:28 , From IP : 172.29.4.111

ความคิดเห็นที่ : 21


   พี่คิดว่ามันสำคํญทั้ง 2 อย่างครับเพราะ***เกรดสำคัญเอาตอนเรียนต่อมากๆครับ**** พี่คิดว่าน่าจะเรียนให้ค่อนข้าง ok ไว้ก่อนเพราะสมัยนี้ถ้าไม่เรียนอาจจะไม่ได้แล้วเพราะความรู้ 6 yrเป็น GP ไม่พอครับทั้งการรักษาคนไข้และอนาคตไม่ว่าการทำงานหรือเรียนต่อ
ส่วนความขยันทำงานมันดีอยู่แล้วมันช่วยเรื่อง practiceและperformanceครับทำหัถการก็คล่อง ไปประกอบอาช๊พจริงไม่ได้มีปัญหา
ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดเรื่อง pneumonia ได้เ็็ป้นฉากๆแต่พอเจอผู้ป่วยจริง dx ไม่ได้ครับ


Posted by : พี่แพทย์ที่เรียนเฉพาะทางแล้ว , Date : 2007-03-11 , Time : 16:43:25 , From IP : 61-91-248-68.static.

ความคิดเห็นที่ : 22


   ท่าน mumoo ตอบดีเว้ยเฮ้ย เหอๆๆ

Posted by : P|atino~ , Date : 2007-03-11 , Time : 19:50:51 , From IP : 172.29.4.62

ความคิดเห็นที่ : 23


   ผมเป็นแพทย์ทีเรียนเฉพาะทางแล้ว
ผมคิดว่า จะเรียนเพื่ออะไรก็ได้ ขอแค่คุณมีความสามารถรักษาผู้ป่วยได้ ไม่เกิด iatrogenic complication
ส่วนเรื่อง grade ถ้าคุณเรียนรู้เพื่อดูผป จริงๆ มันจะตามมาเอง
และถ้าหมั่นไส้คนประเภท present face ก็อ่านหนังสือเยอะๆจะได้มั่นใจกว่าไม่โง่กว่าคนนั้น
สมัยเป็นนศพ ก็มีคนประเภทนี้เยอะ แต่คนเราถ้าไม่มีดีอยู่บ้างก็ไม่มีใครยอมรับหรอกครับ ่


Posted by : มังกรหยก , Date : 2007-03-11 , Time : 20:54:59 , From IP : 172.29.3.221

ความคิดเห็นที่ : 24


   เห็นหลายๆคนแล้วสมแล้วที่เป็นแพทยศาสตร์เอกการละครจริงๆ

Posted by : Med Devils , Date : 2007-03-11 , Time : 23:11:36 , From IP : 172.29.4.170

ความคิดเห็นที่ : 25


   การตั้งวัตถุประสงค์บางแบบนั้น อาจจะมาทบทวนว่าเราได้ "เผลอโยนทิ้ง" อะไรไประหว่างทางบ้างหรือไม่

ในสามหลักการของ medical professionalism นั้น ที่เป็นแกนของจรราวรรณวิชาชีพ ได้แก่ Principle of Altrusim (หรือการเสียสละเพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นอันดับแรก) Principle of Autonomy และ Principle of social justice นั้น ไมได้อยู่ในการประเมินเกรด และ ไม่ได้แปลว่าไม่สำคัญ

กาประเมิน "กระบวนการ" นั้น มีข้อจำกัดเยอะ และตามหลักการประเมิน บางทีเราก็ "ยกปะโยชน์ให้" คือไม่หักคะแนนถ้าไม่มีหลักฐาน แต่ตราบใดที่สัดส่วนของอาจารย์ต่อนักเรียนไม่เพิ่มขึ้น "การยกประโยชน์ให้" จะเป็นผลทำให้ over-rating เกิดขึ้นในมิติที่ต้องอาศัย subjective evaluation รวมทั้งทั้งสามหลักการสำคัญที่สุดข้างต้นด้วย

บางทีการรักษาได้นั้น ถ้าเราไม่ได้หมายถึง biological aspect เพียงอย่างเดียว สามารถดูคนไข้แบบองค์รวมได้ นอกเหนือจากเรายังมีความรู้ดีแล้ว แม้แต่บางครั้งเวลาเกิด iatrgenic complication คนไข้ก็จะไม่ฟ้องร้องหมอคนที่มีความสพันธ์ดีเยี่ยมกับเขา

Competency ของแพทย์นั้น ไม่ได้อยู่ที่ medical contents และ medical skill เท่านั้น แต่ communication skill, social skill ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง แม้ว่าจะไม่ได้ตัดเกรดเรื่องนี้ก็เถอะ การสื่อสารที่ดี การมีจิตเจนาที่ดีต่อคนอื่น ต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อทุกๆคน เป็นต้นทุนที่ดี ทำให้จิตใจของเราสูงขึ้น สมกับเป็น "มนุษย์ มน+อุษย = ใจสูง"



Posted by : Phoenix , Date : 2007-03-11 , Time : 23:36:01 , From IP : 172.29.9.70

ความคิดเห็นที่ : 26




   "มนุษย์ มน+อุษย = ใจสูง"

ชอบคำนี้

ขอถามเพิ่มเติมครับ แล้วมันเป็นหน้าที่ที่เราต้องแสดงออกให้อาจารย์รู้ว่าเรารู้หรือไม่รู้ หรือว่าเราควรรอให้อาจารย์ถามครับ .............เพราะถ้าหากราวน์นี้แต่ไม่บอกไม่พูดไม่กล่าวแล้วอาจารย์จะรู้หรือเปล่า อาจจะไม่แน่ใจ


Posted by : cabin_crew , Date : 2007-03-12 , Time : 07:05:18 , From IP : 172.29.4.134

ความคิดเห็นที่ : 27


   หน้าที่ของนักศึกษานั้นมี 3 ส่วน คือ ต่อตนเอง ต่อครอบครัว และต่อสังคม และหน้าที่ที่มักจะใช้ในขณะอยู่ในที่ที่เรียนคือ "ศึกษา"

ส่วนจะทำอย่างไรนั้น สำหรับ adult learner เป็นการใช้วิจารณญาณของตนเอง คงไม่ใช่หน้าที่ แต่เป็น "ควร" จะทำอย่างไร จึงจะบรรลุถึงหน้าที่นั้นๆ แต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน

"ควร" จะทำอย่างไรก็คงขึ้นอยู่กับการใคร่ตรวญไตร่ตรองของเราว่าทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ได้อะไร เสียอะไร

ในส่วนของคำถามนั้น ผมคิดว่าคงมี "ประโยชน์" ทั้งสองด้านครับ ที่แน่ๆก็คือ ถ้าอาจารย์ "รู้" ทั้งสองด้านของเราอย่างถูกต้อง อาจารย์ก็จะ "เข้าใจ" เราดีขึ้นความเข้าใจถูกต้องเป็นพื้นฐานของการคิดชอบ ปฏิบัติชอบ

ถ้าอาจารย์ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิด ความคิดที่ว่าคิดชอบ ก็อาจจะไม่ตรงเป้า หรือกลายเป็นไม่ดี ปฏิบัติก็เหมือนกัน ยกตัวอย่าง ถ้าเราไม่ได้แสดงออกว่าเรารู้เองบางเรื่องเป็นอย่างดี อาจารย์เข้าใจว่าเราไม่รู้ ก็อาจจะจัด course สอนเพิ่มเติม เสียเวลาไปอีกหลายชั่วโมง ประโยชน์ที่ได้อาจจะไม่มากนัก "การเสียเวลา" เป็นอะไรที่น่าเสียดาย โดยเฉพาะในยุคสมัยที่เวลาดูจะเป็น commodity ที่หายาก หรือทำนองกัลบกัน ถ้าเราไม่รู้ แต่อาจารย์เข้าใจว่าเรารู้แล้ว เราก็พลาดโอกาสที่จะเรียนไป

ปกติแบบหลังผมคิดว่าเสียหายกว่าแบบแรก เป็นเพราะผมคิดว่า เรียนซ้ำของรู้แล้วนั้นไม่ได้สูญเปล่าเสมอไป แต่พลาดอกาสเรียนนี่เสียหายเยอะกว่าครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2007-03-12 , Time : 08:34:25 , From IP : 172.29.9.70

ความคิดเห็นที่ : 28


   ผมเข้าใจประเด็นของท่าน จขกท นะครับ

บางคนบอกเกรดก็แค่ตัวเลข ถ้าเราทำดีก็ได้ดี รู้สึกสบายใจที่ได้ช่วยเหลือ
เพื่อนมนุษย์และอิ่มบุญไปกับการกระทำนั้นๆ

แต่เกรดก็สำคัญนะครับ นอกจากจะเป็นกำลังใจให้ เหมือนดั่ง น้ำมันที่คอย
หล่อเลี้ยงให้ไฟยังคงติดอยู่ได้แล้ว เกรดยังสำคัญต่อการเรียนต่อด้วย

หลายๆปีมักจะมีคนถามว่า คนที่สัมภาษณ์ผ่านในการเรียนต่อยังภาควิชานั้น
เหมาะสมแล้วหรือยัง นั้นอาจเป็นประเด็นที่แสดงให้เห็นก็ได้นะครับว่า
การรับนักศึกษาเรียนต่อในปัจจุบัน "อาจ"ยังมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง


Posted by : Comets , Date : 2007-03-13 , Time : 17:27:14 , From IP : 210-86-142-200.stati

ความคิดเห็นที่ : 29


   ผมคิดว่าประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ทำไมเกรดจึงเป็นคนละเรื่องกับการทำบุญ? อะไรจะเกิดขึ้น ถ้ามันเป็นกิจกรรมเดียวกัน?

ทฤษฎีที่ว่านี้ ไม่ใช่ไม่มีคนเคยตั้งนะครับ "ทรัพย์ศฤงคารลาภยศ จะตกเป็นของท่านเองขอเพียงรักษาไว้ซึ่งธรรม์แห่งวิชาชีพ"

cause = รักษาไว้ซึ่งธรรม์แห่งวิชาชีพ
effect = ความสำเร็จ ลาภ ยศ

เราสามารถจะ win win ได้ โดยไม่ต้อง sacrifice อะไรออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอะไรที่กำลังจะ sacrifice นั้นสำคัญมากๆ

อะไรที่ทำให้เราคิดว่า "ธรรม์แห่งวิชาชีพ" ไม่สามารถเป็นน้ำมันหล่อเลี้ยงไฟแห่งความสำเร็จได้?



Posted by : Phoenix , Date : 2007-03-13 , Time : 18:23:08 , From IP : 172.29.9.70

ความคิดเห็นที่ : 30




   1:51

Posted by : Lucifer , Date : 2007-03-14 , Time : 02:09:03 , From IP : 172.29.4.52

ความคิดเห็นที่ : 31




   "Never regard study as a duty, but as the enviable opportunity to learn."


--- Albert Einstein


Posted by : Lucifer , Date : 2007-03-14 , Time : 02:15:55 , From IP : 172.29.4.52

ความคิดเห็นที่ : 32


   ขอเพิ่มเติมนะครับแม้ว่าผมจะไม่ได้อยากเรียนต่อเลยแต่คิดว่าการคัดเลือก พชท.น่าจะมีการสอบแบบ osce ร่วมด้วยเกิน 70 % มากกว่าการพิจารณาแค่เกรดครับ

Posted by : cabin_crew , Date : 2007-03-16 , Time : 18:36:31 , From IP : 172.29.4.108

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.014 seconds. <<<<<