ความคิดเห็นทั้งหมด : 9

ธรรมทำไม


   

......ก่อนอื่น เนื่องจากบทความนี้เป็นบทความที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องทางศาสนา (ศาสนาอิสลาม) ดังนั้น กระผมในฐานะที่เป็นคนโพส และนับถือศาสนาอิสลาม ต้องขออภัยด้วยนะครับ หากว่ากระทู้นี้มีบางท่านไม่พอใจ ว่าทำไมต้องเอามาโพสในนี้ด้วย แต่เนื่องด้วยในระหว่างการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย และในคณะแพทยศาสตร์ นั้นกระผมได้รับคำถามในเรื่องศาสนาอิสลามมากมาย จากเพื่อน ๆ ในคณะฯ และทุกท่านที่มีความสนใจอยากรู้ (หรือก็แค่อยากรู้ เพื่อวัตถุประสงค์อันใดก็ตามแต่ครับ) ในบางโอกาสกระผมก็พอจะได้ตอบไปบ้าง (ตามความรู้และความเข้าใจของกระผม) และกระผมอยากขออนุญาติเวปมาสเตอร์ในการใช้เวปบอร์ดคณะฯ เพื่อนำบทความนี้มาช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการตอบคำถามเหล่านั้นเพิ่มเติมนะครับ และหากท่านใดอยากคุยเพิ่มเติมก็สามารถติดต่อผมได้ตามเมลที่กระผมให้มานะครับ......ขอบคุณครับ



ธรรมทำไม

“เคยรู้สึกมั๊ยครับ ว่าผู้คนตามป้ายรถเมล์ ตามร้านค้า ตามสถานที่สาธารณะ ยืนจดๆ จ้องๆ คุณ เหมือนอยาก พูดอะไรซักอย่าง คุณชักจะไม่แน่ใจว่าเขาต้องการอะไรจากคุณกันแน่ คุณเริ่มสำรวจตัวเองว่าซิบรูดดีหรือยัง มีข้าวติดที่หน้าผากหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าทุกอย่างปรกติดี...

แล้วเขาก็เดินเข้ามาครับ! แล้วคนแปลกหน้าคนนั้นก็ถามคุณเกี่ยวกับอิสลาม ในสถานการณ์คับขันแบบนั้น คุณอาจประหม่า ตื่นเต้น จนคุณอธิบายเรื่องง่ายๆ ที่คุณเองก็รู้อยู่แล้วไม่ออก ถ้าคุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีด้วยครับ เหตุที่เขาเดินเข้ามาถามคุณ ก็เนื่องจากร่างกายคุณมีอิสลามประดับอยู่ เราอยากมีส่วนร่วมนิดๆ หน่อยๆ กับการตอบคำถามเหล่านั้นของคุณ ก็เลยอยากชวนกันมาทบทวนคำถามที่มุสลิม มักถูกถามเป็นประจำครับ คำถามง่ายๆ เตรียมไว้เพื่อแบ่งปันอิสลามให้กับคนอื่น”




ทำไมจึงต้องทำและทำไมจึงไม่ทำ

โดยภาพรวมแล้ว มีเหตุผล 2 ประการที่ห้ามมุสลิมไม่ให้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด คือ

1. เมื่อมุสลิมรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องศาสนา ที่พระเจ้าทรงห้าม เช่น ไม่กินหมู ไม่กินเหล้าฯลฯ

2. เมื่อมุสลิมรู้ว่าไม่ใช่เรื่องศาสนา แต่เห็นโทษของมัน เช่น ไม่เอานิ้วแหย่พัดลม การไม่กระโดดลงจากรถ ขณะที่รถวิ่งอยู่

ถ้ามีคนถามว่า ทำไมมุสลิมถึงไม่ทำอย่างโน้น ไม่ทำอย่างนี้? โดยหลักการแล้วมุสลิมก็จะตอบว่า “เพราะพระเจ้า ของฉันห้ามไว้” ซึ่งเหตุผลเพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะยับยั้งมุสลิมไว้จากสิ่งที่ถูกห้าม สำหรับคนต่าง ศาสนิกแล้วอาจมองว่า เหตุผลแค่นี้ไม่น่าจะเพียงพอที่จะเชื่อที่จะปฏิบัติตามได้ หรืออาจมองว่ามุสลิมเป็นประชาชาติ ที่ไม่นิยมใช้เหตุผล

….เกือบถูกครับ!

….ที่ถูกที่สุดก็คือ อิสลามให้ใช้เหตุผลช่วงแรก และใช้ความศรัทธาช่วงหลัง

.....เมื่อมุสลิมใช้สติปัญญาใคร่ครวญ จนตระหนักในการมีอยู่ของพระเจ้า หลังจากนั้นมุสลิมก็จะจำนนต่อคำสั่งของ พระผู้เป็นเจ้า เพราะมุสลิมศรัทธาว่าคำสั่งของพระเจ้าย่อมมีเหตุผลที่เป็นคุณแก่มนุษย์

อิสลามสอนมนุษย์ให้ใช้เหตุผลอย่างมากมายสำหรับเรื่อง “การแสวงหาพระเจ้า”

ให้ใคร่ครวญอย่างหนักว่าพระเจ้ามีหรือไม่มี

ให้ใคร่ครวญอย่างหนักว่า แล้วพระเจ้าที่แท้จริงคือใคร

ให้ใคร่ครวญอย่างหนักว่าศาสนฑูตของพระเจ้าที่แท้จริงคือใคร

ให้ใคร่ครวญอย่างหนักว่าคัมภีร์เล่มไหนกันแน่ ที่มาจากพระเจ้า

และถ้าผลของการใคร่ครวญดังกล่าวของใครก็ตามที่ออกมาว่า

พระเจ้ามีอยู่จริง,

และพระเจ้าองค์นั้นคืออัลลอฮฺ,

และศาสนทูตของพระองค์คือมุฮัมมัด,

และกุรอานคือคัมภีร์ที่มาจากพระเจ้า,

เขาคนนั้นก็คือ “มุสลิม”

และเมื่อมุสลิมได้ยินว่าพระเจ้าของเขาห้ามสิ่งหนึ่งสิ่งใด เขาก็จะปฏิบัติตามทันทีโดยไม่ถามหาเหตุผลอีก

สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ อิสลามบอกให้มนุษย์ใช้สติปัญญาอย่างหนักก่อนรับอิสลาม และถ้าใครเชื่อในอิสลาม ก็ถึงจุดที่เขาจะปล่อยวางในเรื่องเหตุผล และไว้ใจในคำสั่งใช้ คำสั่งห้ามของพระเจ้า เราเรียกสิ่งนี้ว่า “ความศรัทธา”




1. ทำไมอิสลามห้ามกินหมู?

ทำไมมุสลิมจึงไม่กินหมู? นี่คือคำถามยอดฮิตที่ต่างศาสนิกมักจะถามมุสลิมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และเชื่อว่าจะถามกันยันถึงอนาคต แต่เป็นเรื่องน่าแปลกที่ไม่มีใครถามว่า “ทำไมคนคริสเตียนจึงกินหมู ?” ทั้งๆที่ คัมภีร์ไบเบิลสั่งไว้ก่อนหน้าอัลกุรอานเสียด้วยซ้ำ

คำสั่งห้ามกินเนื้อหมูเป็นคำบัญชาของพระเจ้าครับ ดังนั้นใครศรัทธาในพระเจ้า คนนั้นก็ปฏิบัติตามคำสั่งของ พระองค์ เพราะผู้ศรัทธาในพระเจ้ารู้ว่าคำสั่งห้ามและคำสั่งใช้ของพระเจ้านั้น ล้วนมีวัตถุประสงค์ที่ดีต่อผู้ปฏิบัติตามทั้งสิ้น ดังนั้นผู้ศรัทธาจึงไม่มีคำถามในเรื่องนี้และไม่ต้องการเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น

แต่เมื่อวิทยาการเจริญก้าวหน้า มนุษย์ก็เริ่มมีความอยากรู้อยากเห็นที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น คำถาม”หมูๆ” นี้จึงเกิดขึ้นมา

เมื่อผู้คนอยากจะรู้ ก็เลยมีการทดลองพิสูจน์ว่าเนื้อหมูมันต่างไปจากเนื้อสัตว์อื่นตรงไหน การทดลอง ทางกายภาพเกิดขึ้นครั้งแรกในตอนที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวหน้าโดยการตัดเอาเนื้อหมู เนื้อแพะและเนื้อวัวที่เชือดพร้อมกัน และน้ำหนักเท่ากันมาทิ้งไว้กลางแจ้งเพื่อดูปฏิกริยา ผลปรากฏว่าเนื้อหมูเน่าก่อน

เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า มีการใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูเนื้อสัตว์ ก็พบว่าเนื้อสัตว์ทุกชนิดมีพยาธิตัวเล็กๆ ที่ตามนุษย์มองไม่เห็นอยู่มากน้อยต่างกันไป แต่ในเนื้อหมูพยาธิบางชนิดมีเกราะที่เกิดจากไขมันในเนื้อหมูห่อหุ้มมันอยู ่ซึ่งความร้อนต่ำไม่สามารถทำลายมันได้ พยาธิที่รอดตายจากความร้อนเหล่านี้เอง ที่เข้าไปฝังอยู่ในร่างกายมนุษย์ หลังจากที่กินเนื้อหมูเข้าไป และรอเวลาฟักตัวออกมาทำอันตรายร่างกายมนุษย์ เช่น ประสาทตาและประสาทสมอง เป็นต้น

นอกจากพยาธิมหาภัยที่มีตัวตนแล้ว เนื้อหมูยังมีภยันตรายที่มองไม่เห็นเป็นตัวเป็นตนอีก นั่นคือ ไขมันที่ทำให้เกิดโรคอ้วน โรคเส้นเลือดอุดตัน เป็นต้น

อย่างไรก็ตามเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าวมาก็อาจไม่เพียงพอสำหรับคนที่นับถือ “วิทยาศาสตร์”เป็นศาสนา เพราะคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าจะหาคำถามมาโต้แย้งต่างๆนานาว่า

“เดี๋ยวนี้หมูได้รับการพัฒนาให้เนื้อมีเนื้อมากกว่าไขมันแล้ว”

“การเลี้ยงก็สะอาดไม่สกปรกเหมือนก่อน”

“ผมกินเนื้อหมูมาตั้งแต่เด็กจนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นเป็นอะไร” และอื่นๆอีกสารพัด

หมูพัฒนาแล้ว แต่คนยังไม่พัฒนา ดังนั้นทุกศาสนาจึงต้องพัฒนามนุษย์ด้วย การออกคำสั่งห้ามกินอาหาร บางอย่าง เพื่อเป็นการเตือนใจให้มนุษย์อยู่ในขอบเขตของศาสนาไงครับ

สัตว์ต่างๆ ยังมีขอบเขตในการกินเช่นกัน ถ้ามนุษย์ละเมิดขอบเขตการกินที่พระเจ้ากำหนดไว้ มนุษย์ก็สามารถ ละเมิดขอบเขตอื่นๆ ได้ และถ้าเป็นเช่นนั้น มนุษย์ก็จะกินทุกอย่างไปจนกระทั่งกินบ้านกินเมือง กินยิ่งกว่าหมูอีกครับ




2. ทำไมมุสลิมมีภรรยาได้ 4 คน?

หากผมถูกถามจากเพื่อนต่างศาสนิกว่า “ทำไมมุสลิมจึงมีภรรยาได้ 4 คน” ผมก็ยังไม่ตอบคำถามนั้นครับ แต่ผมจะถามเพื่อนของผมกลับไปว่า “นายลองบอกให้ฉันฟังหน่อยว่า ปัจจุบันหลังเลิกงานผู้ชายส่วนใหญ่จะไปไหนกัน?”

คำตอบที่ได้คือ ไปเที่ยวคาราโอเกะบ้าง,ไปเที่ยวบาร์ไนท์คลับบ้าง,ไปเที่ยวผู้หญิงบ้าง,ไปหาเมียน้อยบ้าง ฯลฯ ผมก็จะกล่าวต่อไปว่า ความเป็นจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ผู้ชายส่วนใหญ่ไปหาความสุขกับเพศตรงข้ามที่ไม่ใช่ภรรยาของตน ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก หรือการไปหาความสุขกับเมียน้อยซึ่งก็มีอัตราสูงรองลงมา จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้ชายแสวงหาความสุขกับผู้หญิงโดยเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ หรือซื้อบริการทางเพศแทบทุกวัน นี่คือความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้หรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน ที่การละเมิดประเวณีถือเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แม้กระทั่งการร่วมเพศบนรถเมล์ก็มีให้เห็นกันแล้ว

ในอดีตผู้หญิงมีสถานะเยี่ยงสินค้า เป็นเครื่องสร้างความบันเทิงให้บุรุษเพศ ไม่มีสิทธิในตัวเอง ไม่มีสิทธิใน ครอบครัว ไม่มีสิทธิของการเป็นภรรยา สภาพเช่นนี้มีมาแต่โบราณ ไม่ใช่เฉพาะในสังคมอาหรับก่อนยุคอิสลามเท่านั้น แม้แต่อารยธรรมกรีกโบราณ อาณาจักรโรมันหรืออารยธรรมเจ้าขุนมูลนายแบบไทยๆ เรื่องสิทธิสตรี ไม่เคยมีใครพูดถึง

แต่อิสลามคือชัยชนะ อิสลามคือความสูงส่ง

อิสลามคือศาสนาที่มาเพื่อขจัดความโสมมในแต่ละยุคแต่ละสมัย

อิสลามคือศาสนาที่ให้เกียรติแก่สตรีเพศอย่างหาที่เปรียบมิได้

เพราะอะไรที่กล่าวเช่นนั้น เพราะอิสลามให้ทางออกกับมนุษยชาติทั้งหมด ในเมื่อปฏิเสธไม่ได้ว่าความต้องการ ของผู้ชาย (ด้านอารมณ์ทางเพศ) มีอายุการใช้งานนานกว่าผู้หญิง (ตั้งแต่วันที่เริ่มมีอสุจิไปจนตาย)

เมื่อเป็นเช่นนี้อิสลามก็ให้ทางออกกับชายมุสลิม โดยอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งคน แต่ต้องไม่เกินสี่คน โดยวางเงื่อนไขว่าผู้ชายคนนั้นต้องมีความสามารถเลี้ยงดูภรรยาเหล่านั้นได้ ให้ความยุติธรรมในระหว่างภรรยานั้นได้ หากทำไม่ได้ก็ให้มีเพียงภรรยาคนเดียวเท่านั้น

หลักการข้างต้นยังส่งผลในแง่ศีลธรรมด้วยว่า ผู้ชายที่แต่งงานกับภรรยาคนที่ 2 (3 หรือ 4) เป็นการลดการสำส่อนทางเพศที่กำลังประสบอยู่เฉกเช่นในปัจจุบัน อาทิเช่น ปัจจุบันเวลาร่วมหลับนอนด้วยกัน ก็ไม่รับผิดชอบ ต่างคนต่างไป หากสตรีผู้นั้นตั้งครรภ์ก็คลอดลูก แล้วไปวางไว้บนสะพานลอย ฆ่ายัดถังขยะ ฯลฯ นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น อันเนื่องจากการสำส่องทางเพศ ที่ไม่มีกฏเกณฑ์หรือกติกาเฉกเช่นกฎเกณฑ์ของอิสลาม

หลักการข้างต้นยังเป็นการให้เกียรติสตรีอีกด้วย เพราะการแต่งงานคนที่ 2 (3 หรือ 4) นั้น ต้องจัดพิธีแต่งงาน ตามหลักการศาสนา โดยให้ผู้อื่นได้รู้ทั่วกันว่า สตรีคนนั้นเป็นภรรยาของเรา ซึ่งเราต้องเลี้ยงดูนาง ไม่มีคำว่าเมียหลวง เมียน้อย ทุกคนมีความเป็นภรรยาเท่ากัน ไม่มีการอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ต่างจากค่านิยมในปัจจุบันที่มีเมียน้อยเก็บเอาไว้ ไม่ให้ใครรู้และใครรู้ก็ไม่ได้ หากรู้ก็จะตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

หลักการข้างต้นไม่ได้เห็นสตรีเป็นเครื่องหมายทางเพศ เพราะบางคนไปเที่ยวผู้หญิง นอนด้วยกัน บางครั้งก็ 3 ชั่วโมง บางครั้งก็ตลอดคืนโดยตกลงค่าตัวให้แก่นาง ครั้นจ่ายค่าตัวแล้ว ต่างคนก็ต่างไป แต่อิสลามไม่ใช่ครับ อิสลามอนุญาตให้แต่งงานกับสตรีมากกว่าหนึ่งคน และจำเป็นที่ผู้ชายต้องเลี้ยงดูนาง ไม่ใช่จ่ายเป็นครั้งคราว เพราะสตรีไม่ใช่เครื่องหมายทางเพศ นางมีศักดิ์ศรี นางมีเกียรติ ต่างจากในยุคปัจจุบันที่ผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องหมาย ทางเพศเท่านั้น โปรดสัมผัสได้ตามข่าวหนังสือพิมพ์ที่มีสิ่งเหล่านี้ไม่เว้นแต่ละวัน ทางรัฐบาลเองก็ปวดหัว เพราะไม่รู้ว่าจะ แก้ไขอย่างไร? เนื่องจากเดี๋ยวนี้การขายบริการทางเพศนั้นเป็นเด็กที่อายุประมาณ 10 กว่าปีเท่านั้นเอง ผู้เป็นแม่กลับเป็น แม่เล้าหาแขกให้นอนกับลูกสาวของตนเอง ทำนองนี้เป็นต้น




3. ทำไมในศาสนาอิสลาม จึงให้ผู้ชายมีสิทธิเหนือกว่าผู้หญิง ไม่มีความเท่าเทียมกัน?

มีอยู่ 2 ประการที่มีคนนำมาอ้างว่าอิสลามนั้นให้ผู้ชายเหนือกว่าผู้หญิง คำกล่าวอ้างประการแรกก็คือ การอ้างถึงอัลกุรอานที่ว่า “บรรดาผู้ชายคือผู้ปกครองเลี้ยงดูบรรดาผู้หญิง” (อัน-นิซาฮ : 34) ซึ่งในที่นี้มิได้หมายถึงเหนือกว่า แต่หมายถึงว่าผู้ชายมีหน้าที่ความรับผิดชอบต้องดูแลผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นแม่ของเขา พี่สาวน้องสาว ภรรยาและลูกสาวของเขา ทั้งหมดต้องได้รับการดูแล เนื่องจากว่าอัลลอฮฺได้วางไว้ให้เป็นภาระหน้าที่ของผู้ชาย เขาต้องรับผิดชอบทั้งในเรื่องอาหารการกินของพวกเขา ที่พักอาศัย การดูแลสุขภาพ เสื้อผ้า และชีวิตความเป็นอยู่ทั่วๆไปเท่าที่เขาสามารถ และนี่คือความหมายที่อยู่เบื้องหลังในถ้อยคำที่ว่า “ผู้ชายเหนือกว่าผู้หญิง”

คำกล่าวอ้างประการที่สอง อ้างไปถึง ฮะดีษของท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่กล่าวว่า ถ้าท่านจะขอให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดกราบอีกคนหนึ่ง นอกเหนือจาก(การกราบ)อัลลอฮฺแล้ว ท่านก็จะขอให้ภรรยาทำเช่นนั้นต่อสามีของนาง ความหมายของฮะดีษนี้ง่ายที่จะถูกนำไปใช้ในการทำให้เกิดความเข้าใจผิด ความเป็นจริงแล้วผู้หญิงนั้นมีความรับผิดชอบอันหนึ่ง คือการที่ต้องเชื่อฟังผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นพ่อของเธอ พี่ชายน้องชาย สามี หรือแม้แต่ลูกผู้ชายที่โตแล้ว(ไม่ได้หมายความว่าต้องเชื่อฟังพร้อมๆทุกคน แต่เป็นไปตามลำดับของผู้ปกครองในกฎหมายอิสลาม) แต่ที่ต้องเน้นย้ำก็คือ การเชื่อฟังนี้เป็นการเชื่อฟังต่อศาสนาของอัลลอฮฺและเป็นวิธีการที่พวกเธอจะดำเนินตามคำสอนอิสลาม ท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เคยซักเสื้อผ้าของท่าน ทำอาหาร ทำความสะอาด และดูแลสิ่งต่างๆ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ท่านไม่เคยสั่งให้ครอบครัวของท่านทำโน่นทำนี่ราวกับเป็นทาส ท่านเคยทำอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่ามิเคยเลย การที่ว่าท่านปฏิบัติกับภรรยาเช่นทาส จึงเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับคำสอนอิสลามอย่างชัดเจน(เนื่องจากท่านนบีมิเคยปฏิบัติเช่นนั้น)

ในอิสลามผู้หญิงมีสิทธิครอบครองทรัพย์สินที่นอกเหนือจากของสามีของนาง และนางไม่ต้องให้เงินแม้แต่เซ็นต์เดียวที่เป็นรายได้ของนางแก่สามีของนาง แม้ว่าเขาจะตกงานและไม่มีอะไรเหลือเลยก็ตาม อะไรก็ตามที่นางได้จ่ายไปแก่สามีของนาง จะถูกบันทึกแก่นางเช่นเดียวกับการทำเศาะดะเกาะฮฺ ซึ่งที่จริงมันมิใช่ภาระหน้าที่หลักของเธอ(ที่จะต้องปฏิบัติเช่นนั้น) แต่ถ้านางซักเสื้อผ้าให้สามี เตรียมอาหารจานพิเศษ และปฏิบัติสิ่งที่พิเศษสำหรับเขาแล้ว สิ่งที่นางทำไปนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ควรค่าแก่การยกย่อง

หน้าที่ของเธอที่มีต่ออัลลอฮฺถือเป็นอันดับแรก และจากนั้นคือหน้าที่ต่อท่านนบี ซ็อลฯ ทั้งนี้หน้าที่ของเธอต่อสามีนั้นไม่ได้แตกต่างไปจากหน้าที่ของสามีที่มีต่อเธอเลย ซึ่งทั้งสองมีความเท่าเทียมกันในความรับผิดชอบ หน้าที่ และเจตนาที่มีต่ออัลลอฮฺ




4. ทำไมต้องคลุมศีรษะ?

“ซินดี้ โจชัวร์ เป็นผู้หญิงที่สวยมาก เธอเป็นดาวเด่นในมหาวิทยาลัยที่ทุกคนให้ความสนใจ ทุกครั้งที่ซินดี้ เดินไปทางไหน หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ก็จะมองเธอเป็นตาเดียว ซินดี้พอใจกับสิ่งที่เธอได้รับจากสังคม แต่ก็ยังมีเหตุการณ์ หนึ่งที่สะกิดใจเธอ คือทุกครั้งที่ผู้คนกำลังมองเธอด้วยความชื่นชม แต่นักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งกลับไม่แยแสในความงาม ของเธอ เธอทราบชื่อภายหลังว่าเขาชื่ออาลี ซินดี้รู้สึกว่าอาลีกำลังดูถูกเธอ อาลีจะก้มหน้าเวลาที่เธอผ่านเขา ในใจเธอ จึงเกิดทิฐิคิดจะเอาชนะผู้ชายคนนี้ให้ใด้

วันหนึ่งซินดี้ โจชัวร์แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เธอคิดว่าสวยที่สุด และหาโอกาสที่จะอยู่กับอาลีสองต่อสอง เมื่อโอกาสมาถึงซินดี้ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปหาเขา เข้าไปพูดจาปราศรัยกับเขา อาลีก็สนทนากับเธออย่างสุภาพ แต่สายตาของเขายังคงก้มต่ำเหมือนเดิม อาลีไม่ยอมมองหน้าเธอ จนซินดี้เริ่มทนไม่ได้กับพฤติกรรมของอาลี และต่อว่า เขาต่างๆ นานา เขานิ่งฟังอย่างสงบ เมื่อซินดี้พูดจนพอใจและเริ่มใจเย็นลง อาลีก็พูดขึ้นว่า

“ผมมีมุกอยู่เม็ดหนึ่ง มันสวยมาก ... ผมรักมันและหวงมันมาก มูลค่าของมันประเมินไม่ได้ ผมควรจะเก็บรักษา มันไว้ในหีบห่ออย่างดีสำหรับให้ตัวผมเองและคนที่ผมรักชื่นชม หรือควรตั้งไว้ข้างถนนเหมือนก้อนกรวดไร้ค่า” ซินดี้ยืนฟัง อาลีอย่างครุ่นคิด สักพักอาลีก็เดินจากไป แต่ถึงกระนั้นคำพูดของอาลียังวิ่งวนอยู่ในหัวของเธอ

หลังจากวันนั้นอาลีไม่เจอเธอเลยตลอด 1 สัปดาห์ วันนี้ขณะที่อาลีกำลังเดินผ่านที่ที่เคยยืนคุยกับซินดี้ โจชัวร์ เมื่อสัปดาห์ก่อน อาลีเห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวเรียบร้อยด้วยชุดยาวและผ้าคลุมหิญาบ(ผ้าคลุมศรีษะ) กำลังยืนรอใครอยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นผู้หญิงแต่งตัวแบบนี้ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขายืนรอจนเธอหันมาปรากฎว่า เธอก็คือ....คือใครก็ไม่รู้ คงเป็นนักศึกษาใหม่...”

ผมพยายามสื่อเรื่องหิญาบ ผ่านเรื่องราวของอาลีกับซินดี้ โจชัวร์ โดยมอบหมายให้อาลีเป็นตัวแทนวิสัยทัศน์ แบบอิสลาม ซินดี้ โจชัวร์เป็นปัจเจกชนทั่วไปที่อยู่นอกกรอบคิดอิสลาม

ผมพยายามสื่อว่าถึงโลกทั้งโลกจะยังไม่เห็นด้วยกับวิธีการให้เกียรติสตรีด้วยวิธีนี้ ก็อยากให้ทราบว่าอิสลามกำลังใช้วิธีนี้อยู่ เพื่อให้เกียรติและปกป้องผู้หญิงของเราจากสายตาผู้ชายอื่นที่ไม่ใช่สามีหรือคนในครอบครัว ส่วนวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ ความต่างระหว่างคุณภาพสังคมที่มีหิญาบกับสังคมที่ไม่มีหิญาบจะเป็นเครื่องชี้วัด




5. ทำไมไว้เครา?

หากมีเพื่อนต่างศาสนิกถามผมว่าทำไมต้องไว้เครา? ผมจะยังไม่ตอบคำถามนั้น แต่ผมจะถามเพื่อนของผม คนนั้นว่า “ทำไมคนพุทธที่บวชเป็นพระจึงต้องโกนศีรษะและโกนคิ้ว ?”

สมมติหากคำตอบมีว่า “เนื่องจากเป็นกฎเกณฑ์ที่พุทธเจ้าได้กำหนดไว้เช่นนั้น” ผมก็จะตอบเขาว่า “การที่มุสลิมต้องไว้เครา(หากมุสลิมผู้นั้นมีเครา) เนื่องจากเป็นกฎเกณฑ์ที่ท่านนบีมุฮัมมัดได้กำหนดไว้เช่นนั้นเหมือนกัน”

สมมติคำตอบมีว่า “เนื่องจากพระรูปใดที่ไม่โกนศีรษะหรือไม่โกนคิ้ว เราสามารถพูดได้ว่าพระรูปนี้ไม่ยึดมั่น ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา” ผมก็จะตอบเพื่อนของผมว่า “การที่ชายมุสลิมไว้เครา เราก็สามารถบ่งชี้ ได้ระดับหนึ่ง ว่ามุสลิมผู้นั้นปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาอย่างเคร่งครัดเหมือนกัน”

หากสมมติคำตอบมีว่า “เนื่องจากเป็นกฎเกณฑ์ของสงฆ์ที่กำหนดไว้ เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างพระ กับฆราวาส” ผมก็จะตอบเพื่อนต่างศาสนิกนั้นว่า “ที่มุสลิมชายต้องไว้เครา ก็เพื่อให้ผู้คนทั้งหลาย แลเห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างผู้ชายมุสลิมกับผู้ชายที่ไม่ใช่มุสลิม เพราะการไว้เคราคือเอกลักษณ์หนึ่ง ที่สามารถบ่งชี้ได้ว่า เขาผู้นั้นเป็นมุสลิม”

แล้วทำไมมุสลิมถึงต้องมีสัญลักษณ์บ่งชี้ถึงศาสนาของตน?

ก็เพราะนอกจากคุณธรรมส่วนตัวกับจิตใต้สำนึกแล้ว สัญลักษณ์บ่งชี้ถึงศาสนาของตน ก็เป็นอีกตัวช่วยหนึ่ง ที่ทำให้บุคคลออกห่างจากความชั่ว ชาวพุทธที่ห่มผ้าเหลืองละอายที่จะทำผิดต่อหน้าสาธารณะชนฉันใด มุสลิมที่ไว้เครา ก็ไม่กล้าทำผิดต่อหน้าสาธารณชนฉันนั้น เนื่องจากความผิดดังกล่าว ไม่เพียงทำให้ตนเสียหายเท่านั้น แต่ยังทำให้ศาสนาของตนเสื่อมเสียด้วย




6. ทำไมต้องละหมาด?

“ถ้าคุณรักใครคนนึง แล้วคุณไปพบเขาวันละตั้ง 5 ครั้ง เขาจะไม่ตอบรักคุณเหรอ!”

ฉันใดฉันนั้น ...นัยของการละหมาด คือการที่มนุษย์ติดต่อเชื่อมโยงกับพระเจ้าของเขา ในอิสลามกำหนดให้ มุสลิมละหมาดวันละ 5 เวลา การปฏิบัติละหมาดเสมือนการแสดงความรักต่อพระเจ้า ยิ่งมุสลิมรักพระเจ้าของเขามากแค่ไหน เขาก็ย่อมต้องการให้พระองค์ทรงโปรดปรานมากขึ้นเท่านั้น และมุสลิมจะทำทุกอย่างที่พระองค์พอใจ และออกห่าง ทุกอย่างที่พระองค์ทรงห้าม

การละหมาดก็เหมือนกับการที่มุสลิมเข้าไปย้ำพันธสัญญากับพระเจ้า ในรอบวันมุสลิมจะต้องรำลึกถึงพระเจ้า เข้าไปพบกับพระเจ้าอย่างน้อย 5 ครั้ง มุสลิมที่ตระหนักถึงเรื่องนี้ ก็จะมุ่งทำแต่ความดี ไม่กล้าทำความชั่วตลอดทั้งวัน

การละหมาดวันละ 5 ครั้ง จึงเป็นเป็นเครื่องยับยั้งคนเรา ไม่ให้กระทำความผิดที่เป็นการฝ่าฝืนต่อพระเจ้า เพราะถ้าจะกระทำสิ่งใดที่ไม่ดี เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เวลาที่เขาต้องเข้าเฝ้าแล้ว ซึ่งก็จะเป็นช่วงเวลาที่เขาจะ ได้ทบทวนตัวเอง ตั้งสมาธิ ทำความสะอาดร่างกาย(อาบน้ำละหมาด) และยังเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายเริ่มล้าจากการทำงาน ได้มารีเฟรช เพื่อกลับไปทำงานต่อในช่วงต่อไปของวัน สังเกตได้ว่าเวลาต่างๆ ของการละหมาดจะเป็นช่วงเปลี่ยนของเวลาในรอบวัน




7. ทำไมต้องถือศีลอด?

การถือศีลอดเป็นการอบรมมนุษย์ให้มีการเตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่เต็ม ไปด้วยความยุ่งยาก และสิ่งแวดล้อมของชีวิตชั่วระยะเวลาหนึ่งของทุกๆปี และเพื่ออบรมมนุษย์ให้เรียนรู้ถึงการควบคุมความใคร่และความต้องการของแต่ละคน ให้มีความเคยชินต่อการอดทนและมีความยำเกรงต่อพระเจ้าอยู่เสมอ

อิสลามได้มีคำสั่งสอนให้มนุษย์มีความสนใจในตัวเอง ซึ่งประกอบด้วยร่างกายและวิญญาณหรือจิตใจ โดยมิให้สนใจ แต่เพียงด้านหนึ่งและไม่เอาใจใส่อีกด้านหนึ่ง ดังนั้นอิสลามจึงได้บัญญัติให้มีการฝึกอบรมและการปฏิบัติ

และเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งแล้วว่าการฝึกอบรมและการปฏิบัติที่จะนำมาซึ่งผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่นั้นก็คือ “การถือศีลอด”

พระเจ้ามิได้พึงประสงค์ให้การถือศีลอด เป็นเพียงการละเว้นจากการกินการดื่มเท่านั้น การถือศีลอดในสภาพ ดังกล่าวเป็นเพียงรูปธรรมเท่านั้น แต่พระองค์ทรงประสงค์มากยิ่งกว่านั้นคือ การยำเกรงต่อพระองค์ในทุกเวลาและทุก สถานภาพซึ่งเป็นนามธรรม และนี่คือจุดยอดของการถือศีลอด

กล่าวคือการละเว้นจากทุกๆสิ่งที่บัญญัติศาสนาได้ระบุไว้ แล้วยังหมายรวมถึงการละเว้นจากการพูดที่ไร้สาระ และการประพฤติปฏิบัติที่จะทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน หรือได้รับความเสียหายอีกด้วย ดังกล่าวนี้จึงจะนับได้ว่า การถือศีลอดมีความหมายและความสมบูรณ์อย่างแท้จริง

ท่านศาสดาได้กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดไม่ละเว้นการกล่าวและการกระทำที่เป็นเท็จ สำหรับอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงประสงค์ จากการละเว้นอาหารและเครื่องดื่มของเขา”




8. ทำไมต้องก่อการร้าย?

คำว่าก่อการร้ายในสมัยนี้ เป็นคำจำกัดความที่ฝ่ายหนึ่งยัดเยียดให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อหวังผลด้านการโฆษณา ชวนเชื่อในสงคราม ระหว่าง 2 แนวคิด ฝ่ายหนึ่งมองว่าการต่อสู้เพื่อไล่ศัตรูออกจากบ้านตัวเอง เป็นการก่อการร้าย ขณะเดียวกันอีกฝ่ายหนึ่งมองว่าการรุกรานต่างหาก ถึงจะเรียกว่าการก่อการร้าย

โดยปกติความขัดแย้งก่อตัวขึ้น เพราะคนสองกลุ่มถือไม้บรรทัดคนละอันกัน และเกิดสงครามขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่ง เริ่มเอาไม้บรรทัดของตนไปวัดอีกฝ่ายหนึ่ง

ประชาชาติอิสลามถูกตัดสินด้วยมาตรฐานของวัฒนธรรมตะวันตกมานานแล้ว แล้วทางออกของอิสลามคือ การประกาศสงครามกับฝ่ายที่เข้ามาก้าวก่ายในศาสนบัญญัติเลยหรือ?

ไม่ใช่ครับ... เมื่อถึงขั้นนี้กุรอานกล่าวว่า

“...ศาสนาของท่านก็คือศาสนาของท่าน และศาสนาของฉันก็คือศาสนาของฉัน” อัลกุรอาน บทอัลกาฟิรูน โองการที่ 6

อิสลามสอนให้ต่างคนต่างอยู่ครับ แต่เหตุการณ์ไม่ได้จบแค่นั้น หลังจากระบอบอิสลามถูกตัดสินด้วย มาตรฐานของประเทศตะวันตกแล้ว กลับเป็นอารยธรรมตะวันตกต่างหากที่ยังไม่พอใจ ใช้กำลังทหารเข้ามาเปลี่ยนแปลง การปกครองในอัฟกานิสถาน,ในโซมาเลีย,ในอิรัก,มีนโยบายที่ไม่เป็นธรรมต่อชาวปาเลสไตน์ ฯลฯ

ความอธรรมเกิดขึ้นในทุกสมรภูมิที่สงคราม มีการฆ่าผู้บริสุทธิ์ มีการทำลายข้าวของ มีการปล้น มีการข่มขืน (ท่านอย่าแปลกใจที่ท่านอาจไม่ทราบข่าวเหล่านี้ ถ้าท่านรับข่าวจากสำนักข่าวตะวันตกเท่านั้น) แล้วเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว อิสลามสอนให้ทำอย่างไร?

ต่อสู้ครับ...อิสลามแปลว่าสันติ อิสลามไม่อนุญาตให้ไปรังแกผู้อื่น แต่ก็ไม่ได้อนุญาตให้ถูกผู้อื่นรังแกเช่นเดียวกัน อย่าแปลกใจที่อิสลาม ศาสนาที่มีคำแปลว่า “สันติ” มีบทบัญญัติเรื่องการทำสงคราม ในโลกนี้มีอยู่ไม่กี่อาชีพที่ สังคมอนุญาตให้ใช้ปืน ตำรวจเป็นหนึ่งในอาชีพนั้น แล้วทำไมผู้คนยังกล่าวถึง อาชีพนี้ว่าเป็นอาชีพของ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎ์” จึงเป็นที่เข้าใจโดยทั่วกันว่า การใช้กำลังก็เป็นทางออกหนึ่งของการรักษาสันติภาพ

เพียงแต่อิสลามนั้นครอบคลุมทุกอย่างในชีวิตมนุษย์ อิสลามอธิบายตั้งแต่ขั้นตอนการปฏิสนธิในครรภ์ วิธีการเลี้ยงลูก มีบทบัญญัติเรื่องวิธีการแต่งงาน มีบทบัญญัติเรื่องการแบ่งมรดก แม้แต่เรื่องความสะอาดในห้องน้ำ อิสลามก็สอนว่าต้องทำอย่างไร แล้วทำไมเรื่องสำคัญๆทางรัฐศาสตร์ อย่างเรื่องสงคราม อิสลามจะไม่มีบัญญัติเอาไว้

เมื่อสถานการณ์โลกมุสลิมเป็นไปอย่างทุกวันนี้ จึงมีมุสลิมจำนวนหนึ่งออกมาทำหน้าที่ญิฮาด(ต่อสู้) ตามที่มี บัญญัติไว้ในอิสลาม แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ไม่ใช่ว่าทุกกลุ่มที่ออกมาต่อสู้ในขณะนี้ จะทำถูกต้องตามเงื่อนไขของ การญิฮาดตามบัญญัติอิสลามทั้งหมด

ประชาชาติอิสลามตอนนี้เปรียบเหมือนกับคนที่ไฟกำลังไหม้บ้านของเขา ในบ้านหลังนั้นอาจจะมีแม่ มีน้องสาว น้องชายติดอยู่ข้างใน สมาชิกในบ้านต่างร้อนใจ ออกมาช่วยกันตักน้ำสาดไปในเปลวไฟ ซึ่งอาจจะไม่ใช่วิธีที่ถูกนัก แต่อย่างหนึ่งที่เขาทำไม่ได้ ก็คือนั่งไขว่ห้างจิบกาแฟดูไฟไหม้บ้านตัวเองไปต่อหน้าต่อตา ถ้าสังคมมุสลิมมีสติขึ้น ต่อสู้อย่างถูกวิธีถูกหลักการอิสลาม และที่สำคัญถ้าเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ปัญหาก็จะถูกแก้ลงด้วยดี

การญิฮาด หมายถึงการต่อสู้ในหนทางของพระองค์อัลลอฮฺ, ศาสนาอนุญาตให้ทำญิฮาดได้ก็ต่อเมื่อ หนึ่ง มีผู้อื่นมาเข่นฆ่า ขับไล่เราออกจากบ้านเรือนของเรา แผ่นดินของเรา เช่น ในปาเลสไตน์ อิรัค เป็นต้น ข้อสอง การที่ผู้อื่นมา ทำสงครามกับเราในนามของศาสนา

ประเด็นที่ว่าเหตุการณ์ทางภาคใต้คือ การญิฮาดหรือไม่นั้น ตอบยากนะครับ ตัวอย่างเช่น มุสลิมคนหนึ่งเห็นคน ต่างศาสนิกเดินมา และมุสลิมผู้นั้นก็ยิงคนต่างศาสนิกผู้นั้น แล้วบอกว่าเป็นญิฮาด อันนี้ไม่ได้ครับ เพราะคนต่างศาสนิก ที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกับเราโดยเขาก็มิได้ต่อสู้กับเราในนามศาสนา หรือมิได้มาเข่นฆ่า,ไล่เราออกจากบ้านเรือน หรือดินแดนของเรา เช่นนั้นเราจะเรียกว่าการกระทำข้างต้นว่าเป็นการญิฮาดได้อย่างไรครับ




9. อิสลามถูกเรียกว่าเป็นศาสนาแห่งสันติภาพได้อย่างไรกัน ในเมื่อมันเผยแผ่ด้วยคมดาบ?

ข้อกล่าวหาอย่างหนึ่งจากคนมิใช่มุสลิมก็คือ อิสลามจะไม่มีผู้นับถือจำนวนหลายล้านคนทั่วทุกมุมโลกเช่นนี้ หากไม่ได้ใช้การเผยแผ่ด้วยกำลังบีบบังคับ (คือเพราะใช้กำลังบังคับถึงมีคนนับถืออิสลามจำนวนมหาศาล) ประเด็นต่างๆที่จะกล่าวต่อจากนี้ จะทำให้กระจ่างชัดว่า หาใช่การการเผยแผ่ด้วยคมดาบไม่ แต่มันเป็นพลังของความจริง พลังแห่งเหตุผล พลังแห่งตรรกะ ที่มีอยู่ในธรรมชาติของมัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการขยายตัวของอิสลามอย่างรวดเร็ว

ก. อิสลาม หมายถึง สันติภาพ

อิสลามมาจากรากศัพท์ของคำว่า สลาม ซึ่งหมายถึง สันติภาพ นอกจากนี้ยังหมายถึง การยอมจำนนต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)อีกด้วย ดังนั้นอิสลามจึงเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ ที่ได้มาจากการยอมจำนนต่อผู้ทรงสร้างที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คืออัลลอฮฺ

ข. บางครั้งการใช้กำลังถูกใช้เพื่อคงไว้ซึ่งสันติภาพ

คนที่อยู่บนโลกนี้ ไม่ได้เป็นผู้ที่สนับสนุนสันติภาพและความปรองดองเสมอไป มีคนจำนวนมากที่ได้ทำลายมันเพื่อผลประโยชน์ของตน ดังนั้นในบางครั้งการใช้กำลังจึงต้องทำ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสันติภาพ มันจึงเป็นเหตุผลอย่างชัดเจนว่า เราจำต้องมีตำรวจเพื่อใช้กำลังต่อต้านอาชญากรรม เพื่อคงไว้ซึ่งสันติภาพในบ้านเมือง อิสลามสนับสนุนส่งเสริมให้มีความสันติภาพ ในขณะเดียวกันอิสลามก็อนุญาตให้ผู้ศรัทธาสามารถต่อสู้ในสถานการณ์ที่มีการถูกกดขี่ ซึ่งการต่อสู้เพื่อต่อต้านการถูกกดขี่นั้น อาจจะต้องใช้กำลัง โดยที่การใช้กำลังในอิสลามสามารถใช้เพียงเพื่อคงไว้ซึ่งสันติภาพและความยุติธรรมเท่านั้น

ค. มุสลิมปกครองสเปนเป็นเวลา 800 ปี

มุสลิมได้ปกครองสเปนเป็นเวลาประมาณ 800 ปี มุสลิมในสเปนนั้นไม่เคยใช้กำลังความรุนแรงเพื่อให้ผู้คนเปลี่ยนการนับถือศาสนา ต่อมา(หลังสงครามครูเสด)คริสเตียนได้เข้ามาในสเปนและเข่นฆ่าชาวมุสลิม ซึ่งเวลานั้นไม่มีมุสลิมแม้แต่คนเดียวในสเปนจะสามารถเป็นผู้อาซานหรือประกาศเรียกมุสลิมเข้าสู่เวลาละหมาดได้อย่างเปิดเผย

ง. ชาวอาหรับ 14 ล้านคนเป็นคริสเตียน

มุสลิมเป็นผู้นำปกครองคาบสมุทรอารเบียเป็นเวลา 1400 ปี โดยที่อังกฤษได้ยึดครองเพียงไม่กี่ปี และฝรั่งเศสก็ยึดครองเป็นเวลาไม่กี่ปี เราจะเห็นได้ว่าจากที่มุสลิมยึดครองคาบสมุทรอารเบียถึง 1400 ปี แต่ในวันนี้ยังมีชาวอาหรับ 14 ล้านคนที่เป็นคริสเตียน ซึ่งเป็นคริสเตียนตั้งแต่บรรพบุรุษของพวกเขา ถ้ามุสลิมใช้กำลังในการเผยแผ่จริง คงจะไม่มีชาวอาหรับซักคนเดียวที่ยังเป็นคริสเตียนอยู่

จ. ผู้ที่มิใช่มุสลิม 80 เปอร์เซ็นต์ในอินเดีย

มุสลิมได้ปกครองอินเดียประมาณหนึ่งพันปี พวกเขาสามารถจะใช้อำนาจที่มี บังคับให้ทุกคนที่มิใช่มุสลิมเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม แต่วันนี้มีประชากรมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ในอินเดียมิใช่มุสลิม ผู้ที่มิใช่มุสลิมทั้งหมดนี้ถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นในปัจจุบันว่าอิสลามนั้นไม่ได้เผยแผ่ศาสนาด้วยคมดาบ

ฉ. อินโดนีเซียและมาเลเซีย

อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีมุสลิมมากที่สุดในโลก ผู้คนส่วนใหญ่ในมาเลเซียก็เป็นมุสลิม อยากจะถามซักหนึ่งคำถามว่า “ไหนเล่าเหล่ากองทัพมุสลิมที่เดินทางเข้าไปในอินโดนีเซียและมาเลเซีย?”

ช. ชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกา

เช่นเดียวกัน อิสลามได้เผยแผ่อย่างรวดเร็วยังชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกา ถ้าอิสลามเผยแผ่ด้วยคมดาบจริง อยากจะถามอีกซักหนึ่งคำถามว่า “ไหนเล่าเหล่ากองทัพมุสลิมที่เดินทางเข้าสู่ชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกา?”

ซ. ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนา

อัลกุรอานได้กล่าวไว้ดังนี้ “ไม่มีการบังคับใดๆในการนับถือศาสนา ความจริงได้เป็นที่กระจ่างแจ้งแล้วจากความเท็จ” (อัลกุรอาน 2:256) และในซูเราะฮฺ อันนะหฺลฺ ซูเราะฮฺที่ 16 อายะฮฺที่ 125 ว่า “จงเรียกร้องสู่แนวทางของพระเจ้าของสูเจ้าด้วยวิทยปัญญาและการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า และแท้จริงพระองค์ทรงรู้ดียิ่ง” (อัลกุรอาน 16:125)

ฌ. การเพิ่มขึ้นของผู้นับถือศาสนาในโลก จากปี ค.ศ. 1934 ถึง ค.ศ. 1984

ในบทความเกี่ยวกับสถิติของ วารสาร “รีดเดอร์ ไดเจสท์ อัลมานิค” ในปี 1986 ให้ข้อมูลทางสถิติเกี่ยวเปอร์เซ็นการเพิ่มการนับถือศาสนาหลักในโลกในช่วงครึ่งทศวรรษจากปี 1934 ถึง 1984 บทความนี้ได้ปรากฏอยู่ในแมกกาซีน “The Plain Truth” โดยศาสนาที่มีผู้นับถือเพิ่มจำนวนมากที่สุด คือศาสนาอิสลาม ซึ่งเพิ่มสูงถึง 235 เปอร์เซ็นต์ และศาสนาคริสต์มีผู้นับถือเพิ่มจำนวนเพียง 47 เปอร์เซ็นเท่านั้น อยากจะถามว่า ไหนเล่าสงครามที่เกิดขึ้นในศตวรรษนี้ที่เปลี่ยนแปลงผู้คนนับล้านให้นับถืออิสลาม?

ญ. อิสลามเป็นศาสนาที่เจริญเร็วที่สุดในอเมริกาและยุโรป

วันนี้ศาสนาที่เจริญเร็วที่สุดในอเมริกา คือ อิสลาม ศาสนาที่เจริญเร็วที่สุดในยุโรป คือ อิสลาม ไหนเล่าคมดาบที่ใช้กำลังบังคับผู้คนในประเทศตะวันตกให้ยอมรับอิสลามเป็นจำนวนมาก?



10. ทำไมต้องไปเมกกะ?

เพราะเป็นบทบัญญัติ 1 ใน 5 ข้อของอิสลาม มุสลิมทุกคนต้องเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครเมกกะอย่างน้อย 1 ครั้ง ถ้าสามารถเดินทางไปและกลับได้ โดยไม่เดือดร้อน กุศโลบายที่ซ่อนอยู่ในการประกอบพิธีฮัจญ์มีอยู่มากมาย

เช่น ในพิธีฮัจญ์ทุกคนเสมอภาค ถ้าคุณเป็นมุสลิมไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ รัฐมนตรีหรือชาวบ้านร้านช่อง จะอยู่ ในชุดแบบเดียวกัน เดินร่วมกัน ทำแบบเดียวกัน ในที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน

สำหรับคนที่ไม่มีความสามารถทั้งในเรื่องการเงิน เรื่องสุขภาพหรือเรื่องอื่นๆ การประกอบพิธีฮัจญ์ก็ไม่ได้เป็น เรื่องบังคับสำหรับเขาอีกต่อไป




11.ในเมื่ออิสลามต่อต้านการบูชารูปปั้น ทำไมมุสลิมจึงบูชาและก้มกราบให้กับกะอฺบะฮฺ(หินดำ)ในละหมาดของเขา

กะอฺบะฮฺ คือกิบลัต นั่นคือเป็นทิศสำหรับมุสลิมหันไปหาขณะที่พวกเขาละหมาด จำเป็นที่จะต้องชี้แจงในที่นี้ว่า แม้มุสลิมจะหันหน้าไปทางกะอฺบะฮฺขณะละหมาด แต่พวกเขามิได้บูชากะอฺบะฮฺ มุสลิมจะไม่บูชาและก้มกราบให้กับใครยกเว้นอัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) แต่เหตุที่มุสลิมละมาดโดยหันหน้าไปทางกะอฺบะฮฺเพราะ
ก.เป็นสถานที่ที่ได้รับการเลือกจากอัลลอฮฺ

กะบะฮฺเป็นบ้านหลังแรกของการทำการเคารพภักดีอัลลอฮฺบนโลกนี้ อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ได้สั่งให้อดัมและเฮาวาอ์ทำการสร้างกะบะฮฺ โดยส่งมลาอิกะฮฺญิบรีลลงมาเพื่อบอกวิธีการและช่วยพวกเขาสร้าง

กะบะฮฺได้ทำให้บรรดามุสลิมได้รำลึกถึงอดัมและเฮาวาอ์ รวมทั้งศาสนฑูตท่านต่อมาคือ นบีอิบรอฮีมและบุตรชายของท่านคือนบีอิสมาอีล ผู้ซึ่งได้ทำการบูรณะกะบะฮฺขึ้นมาอีกครั้ง

ข. อิสลามเน้นย้ำอย่างยิ่งในเรื่องของเอกภาพ
ตัวอย่างเช่น เมื่อมุสลิมจะละหมาด ก็เป็นไปได้ว่าอาจมีบางคนต้องการหันไปทางทิศเหนือ แต่อีกบางคนต้องการหันไปทางทิศใต้ เพื่อให้มุสลิมเกิดเอกภาพในการเคารพบูชาต่อพระผู้เป็นที่แท้จริงเพียงองค์เดียว แม้ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตามพวกเขาจึงถูกสั่งใช้ให้หันไปยังทิศทางเดียวเท่านั้น นั่นคือกะอฺบะฮฺ หากมีมุสลิมบางส่วนอาศัยอยู่ทางตะวันตกของกะอฺบะฮฺ พวกเขาก็จะหันไปทางตะวันออก หากพวกเขาอาศัยอยู่ทางตะวันออกของกะอฺบะฮฺ พวกเขาก็จะหันไปทางทิศตะวันตก
ค. กะอฺบะฮฺเป็นจุดศูนย์กลางของแผนที่โลก
มุสลิมเป็นชนกลุ่มแรกที่วาดแผนที่โลก พวกเขาวาดแผนที่โดยที่ทิศใต้อยู่ด้านบนและทิศเหนืออยู่ด้านล่าง กะอฺบะฮฺอยู่ตรงกลาง ต่อมานักทำแผนที่ชาวตะวันตกวาดแผนที่ตรงกันข้ามโดยให้ทิศเหนืออยู่ด้านบนและทิศใต้อยู่ด้านล่าง แต่อย่างไรก็ตามกะอฺบะฮฺ ก็ยังคงอยู่ที่ตรงกลางของแผนที่โลก
ง. การเฏาะวาฟ(เวียน)รอบกะอฺบะฮฺเป็นสัญญาชี้ให้เห็นถึงความเอกะของอัลลอฮฺ
เมื่อมุสลิมไปยังมัสญิดอัลฮะรอมที่มักกะฮฺ พวกเขาจะเฏาะวาฟหรือเดินเวียนรอบกะอฺบะฮฺ การกระทำนี้เป็นสัญลักษณ์ ที่บ่งบอกถึงความศรัทธาและการเคารพภักดีต่อพระเจ้าผู้ทรงเอกะ เนื่องจากทุกวงกลมย่อมมีจุดศูนย์กลางเดียว ดังนั้นเฉพาะอัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) เท่านั้นที่สมควรแก่การเคารพบูชา

จ. ทำตามท่านนบี

ดังที่ท่านอุมัรเราะฎิยัลลอฮุอันฮู กล่าวว่า
“ฉันรู้ว่าเจ้าเป็นเพียงหินที่ไม่อาจให้คุณหรือให้โทษใดๆ ถ้าไม่เป็นเพราะฉันเห็นท่านนบีฯลูบเจ้า(และจูบเจ้า) ฉันก็จะไม่ลูบ(และจูบ)เจ้าเป็นอันขาด”

ฉ.คนสามารถยืนบนกะอฺบะฮฺ เพื่ออะซาน(เรียกคนมาละหมาด)

ในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด ผู้คนสามารถยืนบนกะอฺบะฮฺเพื่ออะซานหรือเรียกคนมาละหมาด ลองถามคนที่คนที่กล่าวหาว่ามุสลิมบูชากะอฺบะฮฺดูซิว่า ผู้บูชารูปเคารพคนใดกันที่สามารถยืนบนรูปเคารพที่เขาบูชาได้




12. ทำไมต้องขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย(การทำสุหนัต)?

การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย เป็นการป้องกันโรคภัย เช่น โรคฮิสทีเรีย กามโรค เป็นต้น นอกจากนี้ คนที่ขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ จะมีอัตราการเป็นมะเร็งทางอวัยวะเพศต่ำมาก มีการวิจัยพบว่า เด็กที่ไม่ตัดหนัง หุ้มปลายอวัยวะเพศ มีโอกาสเป็นไตอักเสบ 10 เท่าของเด็กที่ตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศตั้งแต่เป็นทารก

นอกจากนี้การติดเชื้อแบคทีเรียจากสิ่งสกปรกที่หมักหมมอยู่ภายใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ ก็อาจนำไปสู่ การติดเชื้อของไตได้เช่นกัน การติดเชื้อนี้สามารถเกิดขึ้นกับผู้ชายอายุเท่าใดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นตอนอายุ 2-5 ปี ซึ่งเป็นวัยที่หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายยังแยกไม่หมด ดังนั้นจึงไม่สามารถทำความสะอาดได้เต็มที่

คนที่ขลิบยังมีอัตราการติดโรคทางเพศน้อยกว่า เพราะในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ เชื้อไวรัสสามารถเข้าไปใน บาดแผลที่มีอยู่ได้ และหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศอาจปล่อยให้เชื้อโรคอยู่รอดได้นานกว่าที่อยู่ข้างนอก และมีเวลามาก กว่าที่จะเข้าไปในร่างกาย และบางเซลล์ในหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ สามารถดักไวรัสเอชไอวีและทำให้เกิดการติดเชื้อได้

นอกจากนั้นแล้วในคำสอนของศาสนาอื่นๆ เช่น คริสต์ ยิว ก็มีเรื่องการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ เช่นกันไม่ใช่เฉพาะมุสลิมเท่านั้นที่ทำกัน




13. ทำไมมุสลิมถึงได้ดูหมิ่นดูแคลนผู้ที่มิใช่มุสลิมด้วยการเรียกว่า “กาเฟรฺ”

คำว่า“กาเฟรฺ”มีรากศัพท์มาจากคำว่า “กุฟรฺ” ซึ่งหมายถึงปิดบังหรือปฏิเสธ ในการใช้ศัพท์เฉพาะในอิสลาม “กาเฟร” หมายถึงคนผู้หนึ่งซึ่งปิดบังหรือปฏิเสธสัจธรรมอิสลาม และในภาษาอังกฤษเรียกผู้ปฏิเสธอิสลามนี้ว่า “ผู้ที่มิใช่มุสลิม”(non-Muslim)

หากผู้ที่มิใช่มุสลิมคนใดคิดว่าคำว่า “กาเฟรฺ” หรือ “ผู้ที่มิใช่มุสลิม” เป็นเหมือนคำว่ากล่าวที่ดูหมิ่นดูแคลน พวกเขาควรเลือกที่จะยอมรับอิสลาม และมุสลิมอย่างเราจะได้เลิกกล่าวถึงหรือเรียกเขาว่า “กาเฟรฺ” ที่หมายถึง “ผู้ที่มิใช่มุสลิม”




14. หากว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ดีที่สุดแล้วเหตุใดจึงมีมุสลิมจำนวนมากซึ่งไม่ซื่อสัตย์ เชื่อถือไม่ได้ และมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับกิจการที่คดโกง ติดสินบน ซื้อขายยาเสพติด และอื่นๆอีกมากมาย

เหตุที่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมีเหตุผลดังต่อไปนี้คือ

ก. สื่อป้ายสีอิสลาม

สื่อซึ่งถูกควบคุมโดยตะวันตกผู้ซึ่งหวาดกลัวอิสลามได้ออกอากาศและจัดพิมพ์ข้อมูลต่างๆ เพื่อต่อต้านอิสลามออกมาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาให้ข้อมูลที่บิดเบือน อ้างถึงคำพูดที่ไม่เป็นจริง หรือให้ภาพอิสลามที่ไม่สมส่วนในแบบใดแบบหนึ่งเสมอ

ข. มีแกะดำอยู่ในทุกๆ สังคม

เราทราบดีว่ามีมุสลิมบางคนที่ไม่ซื่อสัตย์ เชื่อถือไม่ได้ และคดโกง แต่สื่อได้ให้ภาพนี้ประหนึ่งว่ามีเฉพาะมุสลิมเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเหล่านี้ ซึ่งเราก็ยอมรับว่า แน่นอนย่อมมีแกะดำปะปนอยู่ในทุกๆสังคมเสมอ

ค. มุสลิมเป็นประชาชาติที่ดีที่สุด

แม้ว่าจะมีแกะดำปะปนอยู่ในสังคมมุสลิมแต่กระนั้นมุสลิมก็ยังเป็นกลุ่มชนที่ดีที่สุด เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดที่ไม่ดื่มเหล้า และโดยรวมแล้วเราเป็นกลุ่มชนที่มีการบริจาคมากที่สุด ไม่มีกลุ่มชนใดในโลกนี้ที่สามารถจะยกมาเทียบกับมุสลิมได้

ง. อย่าตัดสินรถจากคนขับ

ถ้าคุณต้องการจะวัดประสิทธิภาพของ “Mercedes” รุ่นล่าสุด โดยที่ผู้ซึ่งนั่งอยู่หลังพวงมาลัย เป็นผู้ซึ่งไม่รู้วิธีการในการขับรถ ใครคือ คนที่คุณจะตำหนิ ระหว่างรถหรือคนขับรถ แน่นอนย่อมเป็นคนขับ ในการจะวิเคราะห์ถึงข้อดีของรถสักคันหนึ่งนั้น เราไม่ควรมองที่คนขับ แต่ต้องดูที่ประสิทธิภาพและลักษณะเด่นในด้านต่างๆของรถคันนั้น โดยดูว่าความเร็วของรถเป็นอย่างไร ใช้น้ำมันโดยเฉลี่ยเท่าไหร่ มีระบบรักษาความปลอดภัยแบบใด เป็นต้น แม้ว่าฉันจะเห็นด้วยกับความคิดที่ว่ามีมุสลิมบางคนที่เป็นคนไม่ดี แต่ฉันก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าอิสลามไม่ดีด้วยกับเหตุผลเพียงแค่นี้ หากว่าคุณต้องการที่จะพิจารณาว่าอิสลามดีอย่างไรก็จงตัดสินโดยดูจากแหล่งกำเนิดที่แท้จริง นั่นคือ อัลกุรอานอันประเสริฐและอัลฮะดีษ

จ. ตัดสินอิสลามจากผู้ตามที่ดีที่สุด – ได้แก่ท่านนบีมูฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

ในทางปฏิบัติแล้วคุณสามารถจะตรวจสอบได้ว่ารถแต่ละคันมีประสิทธิภาพดีอย่างไรก็ด้วยการให้คนที่มีความเชี่ยวชาญในการขับรถมาเป็นคนขับ ในทำนองเดียวกับที่คุณสามารถตรวจสอบได้ว่าอิสลามประเสริฐเพียงใดได้จากบุคคลผู้ซึ่งดีที่สุดในการปฏิบัติตามทางนำนี้ บุคคลผู้นั้นคือ ท่านนบีมูฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งนอกจากมุสลิมด้วยกันเองแล้ว ยังมีนักประวัติศาสตร์อีกหลายท่านได้ประกาศยอมรับถึงความเป็นบุคคลที่ดีที่สุดของท่าน ดังเช่นที่ Michael H.Hart ผู้เขียนหนังสือ เรื่อง “The Hundred Most Influential Men in History” ได้กล่าวไว้ในเล่มนี้ ว่าผู้ที่ได้รับตำแหน่งสูงสุด คือท่านนบีผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งอิสลาม นอกจากนี้แล้วยังมีอีกหลายๆ ตัวอย่างที่ผู้ซึ่งมิใช่มุสลิมได้กล่าวคำสรรเสริญถึงความยิ่งใหญ่ของท่านนบีมูฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อย่างเช่น Thomas Carlyle และ La-Martine เป็นต้น




15. เมื่อทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี แล้วเราสามารถเป็นคนดีโดยไม่ต้องมีศาสนาได้หรือไม่ หรือไม่ก็สามารถที่จะนับถือหลายศาสนาได้หรือไม่ หากว่าไม่ทำไมที่เรานับถือจึงต้องเป็นอิสลาม ที่มีอัลลอฮฺเป็นพระเจ้าด้วย?

ไม่ได้โดยเด็ดขาด เราต้องยอมรับว่า ไม่มีมนุษย์คนใดบนโลก ใบนี้ที่ไม่มีศาสนา บางคนบอกว่า เขาไม่มีศาสนา แต่ครั้นเขาอยู่ในภาวะคับขัน เขากลับวิงวอนขอพระเจ้าหรืออะไรก็ตามที่เขา คิดว่าวิงวอนแล้ว ทำให้เขารอดพ้นจากภาวะคับขันได้

ฉะนั้นจึงเป็น ไปไม่ได้ที่มนุษย์จะอ้างว่าตนไม่มีศาสนา แม้กระทั่งชาวเขา ชาวถ้ำ พวกอยู่ในป่าอเมซอน พวกเขาก็มีศาสนาของพวกเขา แต่พิธีกรรม หรือการนับถือก็จะแตกต่างกันไป ตามความเชื่อ ที่ถูกหล่อหลอมมา

และเราก็จะเป็นพวกสหศาสนา คือในตัวเรามีทุกศาสนา ไม่เจาะจงว่านับถือศาสนาใดไม่ได้ โดยเฉพาะการที่นับถืออิสลาม แล้วก็นับถือพุทธนับถือคริสต์ด้วย เช่นนี้ถือว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีแก่นสารในชีวิต และเป็นบุคคลที่มีจิตใจไม่มั่นคง

ทำไมผมถึงพูดเช่นนั้น ก็เพราะการนับถือศาสนา คือการทำให้ผู้นับถือศาสนานั้นๆ มั่นคงในศาสนาของตน แต่ในขณะที่นับถืออิสลาม แล้วเราก็นับถือศาสนาอื่นๆ ด้วยนั้น เท่ากับว่าเราไม่มั่นใจในศาสนาอิสลามสักเท่าใด ต้องมีศาสนาอื่นเขามาร่วมนับถือด้วย มิเช่นนั้นแล้วการนับถือ ศาสนาของเราจะบกพร่องไม่สมบูรณ์

อีกประการหนึ่งการที่เรานับถืออิสลามร่วมกับศาสนาอื่น บุคคลผู้นั้นจะทำอย่างไรกับวิถีชีวิตของเขา เช่น อิสลามห้ามกินเนื้อสุกร แต่ศาสนาอื่นนั้นบอกว่ากินเนื้อสุกรได้ ตกลงเราจะกินเนื้อสุกรหรือไม่กินเนื้อสุกรดี! อิสลามห้ามกราบไหว้บุคคลวัตถุอื่นๆ นอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้น เราบอกว่านับถืออิสลาม เราก็ต้องละหมาด และเราก็บอกว่า นับถือศาสนาอื่นด้วย โดยเราต้องไปกราบไหว้พระเจ้าองค์อื่นอีก เช่นนี้เราจะเป็นคนประเภทไหนก็ลองคิดดู

และเหตุที่เรานับถืออัลลอฮฺว่าเป็นพระเจ้า เนื่องจากในบรรดาคัมภีร์ต่างๆ ที่มีคนอ่านอยู่ในปัจจุบัน หรือที่อ้างว่าเป็นคัมภีร์ทั้งหลาย ไม่มีเจ้าของคัมภีร์เล่มใดเลย ที่กล้าประกาศในคัมภีร์ว่า เขาเป็นผู้สร้างโลก เป็นเจ้าของนรกหรือสวรรค์ ยกเว้นอัลลอฮฺเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่กล้าประกาศอย่างชัดเจน ว่าพระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน สร้างนรกสร้างสวรรค์ พระองค์ทรงสอบสวนทำให้มนุษย์เข้าสวรรค์หรือนรก เป็นต้น

ฉะนั้นในประเด็นนี้หากใครมีความสงสัย กรุณาช่วยหาคัมภีร์เล่มไหน ก็ได้ที่ไม่ใช่อัลกุรฺอาน ที่พระเจ้าในคัมภีร์เหล่านั้นอ้างว่า สร้างฟ้าสร้างแผ่นดิน สร้างโลก ฯลฯ แล้วจะได้พิสูจน์ด้วยตนเอง ว่าทำไมพระเจ้าที่แท้จริงต้องเป็นอัลลอฮฺ




16. ทำไมต้องอิสลาม

มีประตูอยู่หลายประตู ผมจะลองยกตัวอย่างสัก 4 ประตู

ประตูหนึ่งบอกว่าข้างหลังมัน คือการเวียนว่ายตายเกิดแบบไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าจะก้าวไปสู่จุดหนึ่ง จุดที่เรียก ว่า นิพพาน ไม่ใช่จุดที่สูงสุด แต่เป็นจุดที่นิ่งที่สุด จุดที่สามารถปล่อยวางได้ทุกอย่าง คนเราเกิดมา เพื่อใช้กรรม ในชาติภพก่อน การทำความดีคือการหักล้างความผิดในชาติที่แล้ว และเสริมบารมีเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นในชาติภพต่อไป ประตูนี้มีคำว่า “พุทธ” อยู่ที่หน้า

ประตูหนึ่งบอกว่าข้างหลังมัน คือการเข้าไปสู่ปรมาตมัน คนที่ดี เมื่อตายไป วิญญาณก็จะได้เข้าไปอยู่ร่วมกับ พระเจ้า คือพระพรหมในปรมาตมัน ส่วนผู้ที่ยังไม่ดี ก็จะเกิดมาใหม่ เพื่อมาแก้ไข เมื่อดีพอ ก็จะไม่ต้องมาเกิดใหม่อีก ประตูนี้มีคำว่า “ฮินดู” อย่างข้างหน้า

ประตูหนึ่งบอกว่าข้างหลังมัน คือสรวงสวรรค์ หากผู้ใดมีจิตใจที่บริสุทธิ์ ก็จะเข้าสู่สถานะการเป็นบุตรของ พระเจ้า และได้เป็นสมาชิกแห่งอาณาจักรอันบริสุทธิ์ของพระองค์ นั่นก็หมายถึงการได้อยู่ร่วมกับพระเจ้าบนสรวงสวรรค์นั่นเอง ประตูนี้มีคำว่า “คริสต์” อยู่ข้างหน้า

และอีกประตูหนึ่งบอกว่าข้างหลังมันคือนรกหรือสวรรค์ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด มนุษย์เกิดมาเพื่อ เคารพภักดีต่อพระเจ้า การทำดีคือการทำให้พระองค์ทรงพอใจ การทำความชั่วคือการทำสิ่งที่พระองค์ทรงกริ้ว มนุษย์ต้องทำสิ่งที่พระองค์พอใจและออกห่างจากสิ่งที่พระองค์กริ้วเท่านั้น จึงจะได้เข้าสวรรค์ ซึ่งมนุษย์จะอยู่ในนั้น ตลอดกาล ข้างหน้าประตูนั้นมีคำว่า “อิสลาม” เขียนอยู่

และยังมีประตูอีกมากมายที่ผมไม่ได้กล่าวถึง ประตูที่ผมกล่าวถึงคือความตายครับ หรือก็คือสิ่งเร้นลับสิ่งเดียว ที่มนุษย์ยังไม่สามารถใช้สติปัญญาเข้าไปสำรวจได้ ในปัจจุบันข้อมูลของมนุษย์เกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย ล้วนมาจาก แหล่งที่มาเดียวกันนั่นก็คือ “ศาสนา”

ศาสนาต่างๆ ก็มีคำอธิบายชีวิตหลังความตายต่างกัน ศาสนาพุทธ อธิบายอย่างหนึ่ง อิสลามก็อีกอย่างหนึ่ง คริสต์ ,ซิกซ์, ฮินดู ก็ล้วนมีคำอธิบายที่แตกต่างกันออกไป เมื่อศาสนาเป็นตัวเลือก มนุษย์ก็มีหน้าที่เลือก ถ้าถามว่าเรา จะไม่เลือกได้ไหม?

ก็ต้องตอบว่าได้ครับ ...ถ้าคุณแน่ใจว่าคุณจะไม่ตาย!

ครับ...ในเมื่อเป็นเรื่องที่รู้กันว่า มนุษย์ทุกคนต้องผ่านเข้าไปในประตูนั้น ประตูซึ่งคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่เคยผ่าน เข้าไป มีแต่สิ่งที่เรียกว่า“ศาสนา”เท่านั้นที่มาบอกว่า หลังประตูเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ มนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ

ก็ได้แค่เลือก แล้วเชื่อ แล้วเดินตามสู่ทางสู่ประตู บอกลาชีวิตในโลกนี้ ก้าวข้ามประตูไปสู่ชีวิตหลังความตายที่ศาสนาบอก มนุษย์ล้วนมีสิทธิ์เลือกทุกคน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์เลือกเพียง 1 ครั้ง วินาทีที่ความตายประสบกับมนุษย์ เขาก็จะรู้ว่า สิ่งที่เขาเลือกนั้นถูกหรือผิด

ผมไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมบางคนถึงเลือกพุทธ บางคนเลือกคริสต์ บางคนเลือกฮินดู ผมบอกได้แค่ว่า ทำไมผมถึงเลือกอิสลาม

ประการแรกผมเชื่อว่ามีพระเจ้า ถึงแม้ผมจะไม่เห็นพระองค์ ... เหมือนกับที่ผมเชื่อว่าต้องมีคนพิมพ์หนังสือเล่มนี้ขึ้น ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่เห็นว่าใครเป็นคนพิมพ์

ประการต่อมาผมเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว เพราะจักรวาลอันกว้างใหญ่ ต้องการระบบบริหารที่เป็น เอกภาพ ผมไม่เคยเห็นรถที่มีพวงมาลัย 2 อัน ผมไม่เคยเป็นองค์กรหนึ่งองค์กรใดมีผู้นำสูงสุดหลายคน ผมก็เลยไม่เชื่อว่า ดาวนับล้านล้านดวงจะสามารถโคจรตามเวลาและองศาที่สามารถคำนวณได้ โดยระบบที่เกิดจากความบังเอิญ และอยู่ภายใต้การควบคุมที่ไร้เอกภาพ นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งเคยเปรียบเทียบว่าถ้าระบบต่างๆ ในจักรวาลสามารถเกิด จากความบังเอิญได้ พายุทอร์นาโดก็คงสามารถพัดเศษเหล็กจากกองขยะไปรวมกันเป็นโบอิ้ง 747 โดยบังเอิญได้เช่นกัน

ประการสุดท้ายผมเชื่อว่าพระเจ้าองค์นั้น คือพระเจ้าที่กุรอานกล่าวถึง เพราะผมอ่านกุรอานแล้วผมก็ไม่ สามารถทำใจให้เชื่อได้ว่าคัมภีร์เล่มนี้ถูกแต่งขึ้นโดยมนุษย์ ทั้งสำนวนโวหาร, ความละเอียดอ่อนและข้อมูลที่ระบุถึง ความลับต่างๆ ที่มนุษย์เพิ่งคันพบภายหลัง ล้วนเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจทั้งสิ้น ทำให้ผมรู้สึกแน่ใจว่ากุรอานต้องเป็นคัมภีร์ ที่มาจากพระเจ้า... น่าเสียดายที่ความรู้สึกแบบนั้นมันถ่ายทอดให้กันไม่ได้

ศาสนาต่างๆ เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้นครับ ประตูต่างๆ ที่ผมเปรียบเปรยว่า คือชีวิตหลังความตายตามทัศนะ ของศาสนาต่างๆ ก็เป็นแค่ทฤษฎีของศาสนาต่างๆ ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ทฤษฎีก็ยังคงเป็นทฤษฎี จนกว่าจะ พบข้อพิสูจน์ที่แน่นอน (คือเมื่อความตายเกิดขึ้นกับตัวเอง) สามารถพิสูจน์ได้ซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยมีผลลัพธ์คงที่

และตามหลักวิทยาศาสตร์อีกเช่นกัน ทฤษฎีที่ถูกต้องจะมีเพียงทฤษฎีเดียวเท่านั้น (เช่นทฤษฎีโลกกลม หรือโลกแบน)

สรุปก็คือเป็นไปไม่ได้ที่ชาวพุทธจะมีชีวิตหลังความตายแบบชาวพุทธ

ขณะเดียวกันกับที่มุสลิมก็มีชีวิตหลังความตายแบบมุสลิม

และพร้อมกันนั้นชาวคริสต์มีชีวิตหลังความตายในแบบของเขา

จึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคนที่จะตัดสินใจเลือกที่จะเชื่อทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง

และมนุษย์เราต้องให้เกียรติ์ในการตัดสินใจของกันและกัน

เพราะสุดท้ายมนุษย์ทุกคนก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเลือกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้




*ข้อพึงสังเกต

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เกิดเมื่อ 4402 ปีที่แล้ว

ศาสนาพุทธเกิดเมื่อ 2547 ปีที่แล้ว

ศาสนายิวเกิดขึ้นเมื่อ 4802 ปีที่แล้ว

ศาสนาคริสต์เกิดขึ้นเมื่อ 2004 ปีที่แล้ว

ถามว่า...

ถ้าศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาที่แท้จริง แล้วคนก่อนหน้า 4402 ปี ใครจะรับรองศาสนาของเขา

ถ้าศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่แท้จริง แล้วคนก่อนหน้า 2547 ปี ใครจะรับรองศาสนาของเขา

ถ้าศาสนายิว เป็นศาสนาที่แท้จริง แล้วคนก่อนหน้า 4802 ปี ใครจะรับรองศาสนาของเขา

ถ้าศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาที่แท้จริง แล้วคนก่อนหน้า2004 ปี ใครจะรับรองศาสนาของเขา

ความจริงคือ ศาสนาอิสลาม ไม่ใช่เพิ่งเกิดเมื่อ 1425 ปี แต่อิสลามมีมาตั้งแต่มนุษย์คนแรก ดังนั้นอิสลามจึง รับรองศาสนาให้กับมนุษยชาติตั้งแต่ครั้งสร้างโลก




เรียบเรียงข้อมูล: อนุสิทธิ์ หวังเกษม,อันวาร

อ้างอิง : www.mureed.com, www.fityah.com,นิตยสารดีนทูเดย์ฉบับที่ 5

ตรวจทาน : อัชอารีย์ เรืองปราชญ์, ชุมพล ลาวัง





Posted by : คนที่ธรรมแล้วคนหนึ่ง , E-mail : (sksm116@hotmail.com) ,
Date : 2007-03-04 , Time : 12:19:26 , From IP : 210-86-223-212.stati


ความคิดเห็นที่ : 1


   ขอศานติจงมีแด่คุณ

ขอสันติจงมีแก่เรา


Posted by : ธรรมะทำไม , Date : 2007-03-04 , Time : 22:49:30 , From IP : 172.29.7.37

ความคิดเห็นที่ : 2


   Hmmmmm.....

Posted by : .... , E-mail : (...) ,
Date : 2007-03-05 , Time : 13:22:32 , From IP : 210-86-142-200.stati


ความคิดเห็นที่ : 3


   ความเชื่อทางศาสนานั้น อ่อนไหวและทำให้เกิดข้อโต้แย้งได้ง่าย
ผมอ่านแล้วก็มีความคิดเห็นแย้งกับบทความหลายเรื่อง แต่นั่นเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ของใครของมัน มุมมองของใครก้ของคนนั้น ไม่จำเป้นต้องเหมือนกัน
แต่ด้วยความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกันนั้น ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่เหมือนเราจะเป็นศัตรูมี่มุ่งทำลายศาสนา
ทำไมเขาเหล่านั้นต้องปิดกั้นความคิดของเขาเอง ไม่ยอมเปิดหู เปิดตายอมรับความต่างเหล่านั้น ด้วย
คนเหล่านั้น ไม่มีใครไปทำร้ายเขา ตัวเขาทำร้ายตนเองทั้งนั้น จมปลักอยู่กับตัวตนของตนเอง จขกท. น่าจะช่วยเขาเหล่านั้นให้หลุดจากพันธนาการที่ผูกมัดเขาเหล่านั้นด้วย มากกว่าจะให้คนอื่นๆ มาเข้าใจสิ่งที่ผูกมัดตัวตนของเขาไว้


Posted by : jr , Date : 2007-03-05 , Time : 23:07:55 , From IP : 172.29.1.100

ความคิดเห็นที่ : 4


   บางครั้ง บางส่วน มีทั้งเห็นด้วยและมีทั้งเข้าใจในกุศโลบาย

ทุกศาสนาหวังให้เป็นคนดีครับ หาก แต่ศาสนิกชนต้องพินิจพิเคราะห์ร่วมด้วย


Posted by : cabin_crew , Date : 2007-03-06 , Time : 01:55:16 , From IP : 172.29.4.134

ความคิดเห็นที่ : 5


   ถึงคุณ jr......สวัสดีครับ

จาก....
"ความเชื่อทางศาสนานั้น อ่อนไหวและทำให้เกิดข้อโต้แย้งได้ง่าย...."

ใช่ครับ ผมเลยคิดว่าพยายามที่จะสื่อสาร หรืออธิบายคำถาม(เวลาผมถูกถาม)กับเพื่อนต่างศาสนิกด้วยความเคารพในคำถามของเขาเหล่านั้น ด้วยความนิ่มนวลที่สุด (หากเป็นไปได้) โดยพยายามไม่ให้คำตอบของผมไปทำให้ผู้ถามเกิดความรู้สึกว่าผมลบหลู่ หรือดูหมิ่นความเชื่อเดิมของเขา เพราะเราต่างคนก็ต่างเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน ได้รับการสั่งสอนมาต่างกัน และที่สำคัญเราต่างมีประสบการณ์การมองโลกผ่านแว่น (ที่เรียกว่า "ศาสนา") ที่ต่างอันกัน ....ดังนั้น แน่นอนว่าทุกคนจะบอกว่าแว่นที่ตัวเองใส่นั้นเหมาะที่สุดและมองชัดเจนที่สุดแล้วสำหรับตนในตอนนี้ การจะให้คนที่มีสายตาสั้น-ยาว ต่างกับเรามาใช้แว่นอันเดียวกับอันที่เราชอบ อย่างทันทีทันใดนั้นผมทราบครับว่ามันเป็นเรื่องที่ยาก (และผมก็ไม่คิดจะทำอย่างนั้นด้วย)....แต่ผมแค่อยากเป็นตัวแทนของคนทำแว่นอันหนึ่ง ที่จะมาบอกว่าหากวันนี้คุณเริ่มมองเห็นไม่ค่อยชัด อาจเพราะด้วยสายตาคุณสั้นมากขึ้น หรือเพราะว่าแว่นเดิมคุณเลนส์ถลอกไปบ้าง ก็ลองมองอย่างใจเป็นกลาง ผ่านแว่นอันนี้ดูเผื่อว่าจะชัดขึ้นมาอีกนิดนึง หรือไม่แน่หลังจากคุณลองแล้วคุณอาจจะบอกว่าแว่นอันเดิมก็ดีอยู่แล้วสำหรับคุณก็เป็นได้ครับ....แต่คุณอาจบอกอย่างนี้ไม่ได้ หากบังเอิญว่าคุณอคติกับแว่นอีกอันนึงไว้ก่อนแล้ว....
และที่ผมตัดสินใจนำบทความนี้มาลงก็เพราะผมเห็นว่าผู้เขียนเขาเข้าใจในความอ่อนไหวในเรื่องความเชื่อทางศาสนาเป็นอย่างดี และก็พยายามที่จะเป็นตัวแทนมุสลิมหลาย ๆ คนมาช่วยอธิบายคำถาม (ที่มุสลิมได้รับบ่อยครั้งจากเพื่อนต่างศาสนิก) และให้ความเข้าใจ ด้วยความนุ่มนวล และเลี่ยงให้มากที่สุดที่จะไม่ไห้เกิดการผิดใจกัน หรือเกิดความขัดแย้งกันขึ้นระหว่างกันของเพื่อนร่วมสังคม ที่ต่างกันก็แค่แว่นที่ใส่ แต่ในใจเราเคารพในความคิดความเชื่อต่อกันเสมอ....ใช่ไหมครับ?


จาก....
"....ผมอ่านแล้วก็มีความคิดเห็นแย้งกับบทความหลายเรื่อง แต่นั่นเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ของใครของมัน มุมมองของใครก้ของคนนั้น ไม่จำเป้นต้องเหมือนกัน
แต่ด้วยความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกันนั้น ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่เหมือนเราจะเป็นศัตรูมี่มุ่งทำลายศาสนา......"

แน่นอนครับ ก่อนจะเอาบทความนี้มาลงผมเองก็คิดเช่นนั้น ว่าท่านอื่น ๆ ที่เป็นเพื่อนต่างศาสนิกของผมอาจจะมีความคิดเห็นแย้งในบางประเด็น และอาจไม่เห็นด้วยในบางเรื่อง ซึ่งเป็นธรรมดาครับที่เราจะรู้สึกอย่างนั้น....เพราะแม้จะมีภาพวาดที่สวยงามขนาดใหน แต่หากแต่ละคนใส่แว่นที่ต่างกันเสียแล้ว สิ่งที่สมองรับรู้ก็มีสิทธิ์ต่างกันได้ ....อย่างที่คุณ jr บอกไงครับ ว่ามุมมองของใครก็ของคนนั้น ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
และที่ผมนำบทความนี้มา ก็เพื่อช่วยอธิบายว่า ในมุมมองของชาวมุสลิมนั้น เขามองกันอย่างไร....ซึ่งที่จริงนั้นใน "อิสลาม" นั้นมีให้มองทุกมุมของชีวิตครับ แต่นี้เพียงแค่บางมุมที่เพื่อนต่างศาสนิกมักจะสนใจเป็นพิเศษ และมักจะถามกันอยู่บ่อย ๆ ว่าทำ(ธรรม)อย่างนั้น อย่างนี้ไปทำไม แล้วทำไมสิ่งนั้นถึงทำได้ ทำไมสิ่งนี้ทำไม่ได้ และทำไมบางอย่างศาสนาอิสลามจึงอนุญาติ ในขณะที่ทางมุมมองบางสังคมไม่เห็นด้วย.....ผมหวังว่าบทความนี้พอจะให้ความชัดเจนขึ้นได้ระดับหนึ่งแก่เพื่อนต่างศาสนิกบางท่านที่เคยสงสันนะครับ
แต่แน่นอนครับ ผมก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่คิดหรือเชื่อไม่เหมือนผม เขาจะเป็นศัตรูมี่มุ่งทำลายศาสนาที่ผมยึดมั่น และมั่นใจนี้.....ผมเชื่อว่าการเคารพความคิดของกันและกันนั้นยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่.....ใช่ไหมครับ?



จาก.....
".....ทำไมเขาเหล่านั้นต้องปิดกั้นความคิดของเขาเอง ไม่ยอมเปิดหู เปิดตายอมรับความต่างเหล่านั้น ด้วย คนเหล่านั้น ไม่มีใครไปทำร้ายเขา ตัวเขาทำร้ายตนเองทั้งนั้น จมปลักอยู่กับตัวตนของตนเอง จขกท. น่าจะช่วยเขาเหล่านั้นให้หลุดจากพันธนาการที่ผูกมัดเขาเหล่านั้นด้วย มากกว่าจะให้คนอื่นๆ มาเข้าใจสิ่งที่ผูกมัดตัวตนของเขาไว้"

อย่างที่ผมบอกนะครับว่า การเคารพในความคิดและความเชื่อของกันและกันนั้นยอมเป็นสิ่งสำคัญ.....อย่างที่ผู้เยนบทความ พูดถึงเรื่องการมีประตูอยู่หลายประตู (บทความข้อที่ 16) และหลังประตูก็มีบางอย่างที่ไม่มีใครรู้แน่นอนว่าถ้าเราเปิดไปแล้วจะเจออะไร และในตอนนี้ผมก็เลือกที่จะเปิดประตูที่มีคำว่า "อิสลาม" ติดอยู่
ผมไม่ได้ปฏิเสธครับว่าความต่างนั้นมีอยู่หลากหลาย และผมก็เชื่อว่าไม่มีใครมาทำร้ายผมด้วย......แต่ที่ผมมั่นใจคือผมไม่ได้ผูกมัดตัวตนที่เชื่อในศาสนานี้ แต่เพราะความจริงทุกอย่างที่ปรากฏและศาสนานี้บอกได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริงเหล่านั้นต่างหากครับ ที่มัดผมอยู่อย่างเหนียวแน่นจน ผมไม่อาจจะดิ้นหนีไปใหนได้เลย....


ขอบคุณนะครับ ที่ร่วมเสวนา ทำให้ผมมีมุมมองกว้างขึ้นเยอะเลยนะครับ
และยินดีที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะครับ.


Posted by : คนที่ธรรมแล้วคนหนึ่ง , E-mail : (sksm116@hotmail.com) ,
Date : 2007-03-06 , Time : 21:48:25 , From IP : 210-86-223-212.stati


ความคิดเห็นที่ : 6


   แล้วศาสนาควรกระตุ้นให้ศาสนิกชนรู้จักพินิจพิจจารณาก่อนเชื่อด้วยหรือไม่ครับ

Posted by : cabin_crew , Date : 2007-03-07 , Time : 20:07:40 , From IP : 172.29.4.134

ความคิดเห็นที่ : 7


   หลงอ่านมาตั้งนาน สรุปประเด็นว่า เหตุผลต่างๆที่เขียนมานั้น กำปั้นทุบดิน มีที่ใหนอนุญาตให้ผู้ชายมีเมียได้ 4 คนเพื่อลดความสำส่อน ผู้ชายเป็นใหญ่เพื่อปกป้องผู้หญิง ฟังไม่ขึ้น ขี้โม้ทั้งเพ

Posted by : ทำบ้า , Date : 2007-03-09 , Time : 03:35:16 , From IP : 172.29.1.80

Evidence Islam is Truth ซึ่งเขาจะกล่าวไว้ถึงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เท่าที่วิทยาการของมนุษย์ทราบในปัจจุบัน มาอธิบายถึงสิ่งที่คัมภีร์อัลกุรอ่าน ได้บอกเอาไว้ก่อนแล้วเมื่อ 1,400 กว่าปีก่อน (แต่วิทยาศาสตร์เพิ่งมาค้นพบและพิสูจน์ว่าเป็นจริงได้เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง) เบื้องต้นผมขอตอบคำถามของคุณ cabin_crew ("แล้วศาสนาควรกระตุ้นให้ศาสนิกชนรู้จักพินิจพิจารณาก่อนเชื่อด้วยหรือไม่ครับ") ไว้แค่นี้ก่อนนะครับ. ขอบคุณนะครับ ที่ร่วมเสวนา ทำให้ผมมีมุมมองกว้างขึ้นเยอะเลยนะครับ และยินดีที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะครับ. " />
ความคิดเห็นที่ : 8


   ถึงคุณ cabin_crew .....สวัสดีครับ

จาก....
"แล้วศาสนาควรกระตุ้นให้ศาสนิกชนรู้จักพินิจพิจารณาก่อนเชื่อด้วยหรือไม่ครับ"

แน่นอนครับ....อย่างที่กล่าวไปว่าอิสลามนั้นมีให้มองทุกมุมของชีวิต แต่ประเด็นเหล่านี้เป็นเพียงบางมุมที่เพื่อนต่างศาสนิกมักสนใจ และถามกันบ่อย ๆ (อาจเพราะเห็นว่ามันเป็นหลักการที่เขารู้สึกแปลก หรือเขารู้ขัดกับความรู้สึกของคนทั่วไป เลยอยากทราบเหตุผลของหลักการบางอย่างเหย่านั้น หรืออย่างไรผมไม่ทราบนะครับ) ผู้เขียนบทความเขาพยายามจะมาอธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
แต่หากจะพูดกันตามหลักวิชาการทางความเชื่อ ที่พยายามอธิบายสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล ให้ศาสนิกชนรู้จักพินิจพิจารณาโดยใช้หลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์นั้น หากคุณ cabin_crew สนใจอยากทราบประเด็นนี้ ผมอยากแนะนำให้ลองทำใจเป็นกลาง แล้วลองไปแวะเยี่ยมชมที่เว็ปไซต์นี้ดูครับ http://www.islamreligion.com โดยเฉพาะหัวข้อ Article Categories ==>
Evidence Islam is Truth ซึ่งเขาจะกล่าวไว้ถึงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เท่าที่วิทยาการของมนุษย์ทราบในปัจจุบัน มาอธิบายถึงสิ่งที่คัมภีร์อัลกุรอ่าน ได้บอกเอาไว้ก่อนแล้วเมื่อ 1,400 กว่าปีก่อน (แต่วิทยาศาสตร์เพิ่งมาค้นพบและพิสูจน์ว่าเป็นจริงได้เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง)
เบื้องต้นผมขอตอบคำถามของคุณ cabin_crew ("แล้วศาสนาควรกระตุ้นให้ศาสนิกชนรู้จักพินิจพิจารณาก่อนเชื่อด้วยหรือไม่ครับ") ไว้แค่นี้ก่อนนะครับ.


ขอบคุณนะครับ ที่ร่วมเสวนา ทำให้ผมมีมุมมองกว้างขึ้นเยอะเลยนะครับ
และยินดีที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะครับ.




Posted by : คนที่ธรรมแล้วคนหนึ่ง , E-mail : (sksm116@hotmail.com) ,
Date : 2007-03-09 , Time : 13:05:07 , From IP : 210-86-223-212.stati


Article Categories ==> Evidence Islam is Truth ) แต่หากว่ามีความจำเป็นใด ๆ จริง ๆ ที่ผู้ชายคนนั้นจะต้องมีภรรยามากกว่า 1 คนแล้ว (แต่ทั้งนี้หมายถึงต้องผ่านทุกข้อของกฏเกณฑ์ที่วางไว้แล้ว) อิสลามก็เปิดทางให้เขามีได้ (เหมือนรูของกาน้ำ ที่ทำเอาไว้เผื่อเวลากาน้ำเดือดพุ่งแล้วมีทางระบาย ไม่ให้กาต้มน้ำระเบิด...แม้กาน้ำอาจสวยน้อยลงมานิดจากการมีรูอยู่ แต่มันคงคุ้มค่ากว่าการที่จะต้องเสียกาน้ำไปทั้งอันจากการระเบิดเวลาน้ำเดือดพุ่ง) แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะมีได้เท่าไหร่ตามที่ต้องการ แต่สุดท้ายต้องไม่เกิน 4 คน (เปรียบอีกก็เหมือนกาน้ำที่ หากมีรูเยอะไปก็อาจทำให้เสียราคา ไม่มีคนซื้อ)...แต่ทำไม ไม่เป็น 2 คน 3 คน หรือ 5 คนนั้นอันนี้ผมไม่ทราบ แต่ผมและมุสลิมเชื่อในสิ่งที่ผู้ที่เป็นผู้สร้างมนุษย์มาเองกำหนดมาครับว่าจะต้องมีสิ่งดีข้อใดข้อหนึ่งที่รอการค้นพบซ่อนอยู่ ขอบคุณนะครับ ที่ร่วมเสวนา ทำให้ผมมีมุมมองกว้างขึ้นเยอะเลยนะครับ และยินดีที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะครับ. " />
ความคิดเห็นที่ : 9


   ถึงคุณ ทำบ้า (ขออภัยนะครับที่ต้องเรียกชื่อนี้ แต่เรียกตามชื่อที่คุณลงไว้).....สวัสดีครับ

จาก....
"หลงอ่านมาตั้งนาน สรุปประเด็นว่า เหตุผลต่างๆที่เขียนมานั้น กำปั้นทุบดิน มีที่ใหนอนุญาตให้ผู้ชายมีเมียได้ 4 คนเพื่อลดความสำส่อน ผู้ชายเป็นใหญ่เพื่อปกป้องผู้หญิง ฟังไม่ขึ้น ขี้โม้ทั้งเพ"

คืออย่างนี้นะครับ ตั้งแต่ต้นผมก็กล่าวขออภัยไว้แล้วว่าบทความนี้เป็นบทความที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของศาสนาอิสลาม และผมก็ขออนุญาติเวปมาสเตอร์ว่าจะขอใช้เนื้อที่เวปบอร์ดตรงนี้ในการเป็นตัวแทนเพื่อนร่วมศาสนิก และตัวผมเองในการช่วยตอบคำถามเพิ่มเติมจากข้อสงสัยและคำถามที่พวกเราเคยได้รับ แต่ยังตอบได้ไม่ชัดเจนนัก และยังได้รับคำถามเหล่านี้อยู่เรื่อย ๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย (แม้แต่ในคณะแพทย์ฯเอง) เลยหวังว่าบทความที่ผมนำมาจะช่วยสร้างความเข้าใจให้หลาย ๆ ท่านเหล่านั้นได้เพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย
อย่างที่คุณ jr บอกไงครับ ว่ามุมมองของใครก็ของคนนั้น ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน โดยเฉพาะประเด็นที่คุณให้ความสำคัญเป็นพิเศษ (ไม่ทราบว่าทำไม) เรื่องการมีภรรยา 4 คน (แต่ในความเป็นจริงของสังคมอิสลามนั้นมีอยู่น้อยมาก ที่ปฏิบัติหลักการข้อนี้) และประเด็นที่ผู้ชายที่ถือว่าเป็นเพศที่เข้มแข็งแข็งแรง ควรที่จะเป็นฝ่ายที่ดูแลครอบครัวของเขา...
ผมอยากให้คุณลองกลับไปอ่านทำความเข้าใจประเด็นเหล่านี้อีกครั้งว่าเขากล่าวอย่างไร แต่ก่อนอื่นนั้นคุณต้องพยายามลดความคิดด้านลบให้น้อยลงมาก่อนอีกนิด แล้วจึงพิจารณาตามดูอีกครั้ง
และที่ผมนำบทความนี้มา ก็เพื่อช่วยอธิบายว่า ในมุมมองของชาวมุสลิมนั้น เขามองกันอย่างไร......ผมอยากบอกคุณว่าในอิสลามนั้นมองอย่างนี้จริง ๆ แม้ว่าคุณอาจจะบอกว่า ศาสนาอิสลามพยายามอ้างเหตุผลให้บางอย่างดูดีเกินไปหรือเปล่า แต่ที่ทำให้คุณมีความคิดอย่างนั้นอาจเป็นเพราะคุณไม่เคยเข้าใจ (หรือไม่อยากเข้าใจมาก่อน) หรือเปล่าครับว่าหลักการเหล่านั้นในศาสนานี้เขามีไว้ทำไม พอคุณได้เพิ่งมาฟังแล้วเลยคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่โกหก และจะเป็นไปได้ไงในยุคปัจจุบัน (เพราะมันดูดีเกินไป)
อย่างเรื่องปัญหาเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ใช่สามีหรือภรรยาตนเอง (เช่น การมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนหรือแฟนของเราที่ยังไม่ได้มีการสมรสกันอย่างถูกต้องธรรมเนียมประเพณี หรือรวมถึงการมีเพศสัมพันธ์กับโสเภณีที่มีอยู่อย่างกราดเกลื่อน เป็นต้น) นั้น คุณกล้าที่จะค้านได้อย่างเต็มปากหรือไม่ครับว่า "สิ่งเหล่านี้หาได้ยากยิ่งในสังคมปัจจุบัน".......แล้วคุณลองคิดดูเล่น ๆ ซิครับว่า ถ้าวันหนึ่งผู้หญิงที่เคยเสียความบริสุทธิ์ให้กับชายที่เธอรัก(แฟน) กลับต้องเลิกกัน เธอจะมีความเสียใจขนาดใหนกับสิ่งที่เธอเคยเสียไปให้ชายคนนั้น (บางคนเสียใจคิดมาก รู้สึกตัวเองไร้ค่า หมดศักดิ์ศรี หมดสิ้นทุกอย่าง น้อยใจ จนคิดฆ่าตัวตายให้เราเห็นอยู่บ่อย ๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์) นี่เรายังไม่ได้พูดถึงผู้หญิงที่ทำงานเป็นโสเภณีนะครับ ที่ผมเชื่อว่าไม่มีหญิงคนใดหรอกครับที่ภาคภูมิใจกับอาชีพนี้ของตน บางคนกลับต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ซะด้วยซ้ำ กลัวคนรอบข้างจะทราบว่าเธอทำอาชีพอะไร
แต่ประเด็นการหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ที่เกี่ยวกับการสำส่อนของผู้ชายนั้นอิสลามมีกุศโลบายไว้อย่างแนบเนียนครับว่าหากชายใดจะมีภรรยามากกว่า 1 คนนั้น "อิสลามอนุญาติให้มีได้" (แทนที่จะห้ามอย่างไม่มีเยื่อใย เหมือนไม่เข้าใจสัญชาตญาณความต้องการทางเพศของมนุษย์ที่มีอยู่อย่างธรรมชาติ จนทำให้หลาย ๆ คนแอบไปมีเล็กมีน้อยจนได้ พอสังคมรับรู้ก็ถูกประณามกันอย่างเสียหาย) แต่ !!!!.....เขาจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้. 1. 2. 3. 4.......(เช่น ที่สำคัญข้อหนึ่งคือภรรยาคนแรกยอมรับ....ซึ่งแน่นอนมีน้อยมากที่ยอม) ให้ได้ก่อน ซึ่งหากใครไม่สามารถทำตามนี้ได้อิสลามก็บอกว่าอย่ามีก่อนเสียดีกว่า (พูดง่าย ๆ ว่ารอไปก่อนเรื่อย ๆ ) และที่สำคัญขั้นตอนข้อหนึ่งคือการให้เกียรติ์และให้การดูแลภรรยาเหล่านั้นเท่าเทียมกันทุกคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นหนทางหนึ่งที่เป็นทางสายกลางระหว่าง "การหักด้ามพร้าด้วยเข่าแบบการห้ามอย่างเด็ดขาด" (แบบที่บางสังคมเป็นอยู่และสุดท้ายทำให้เกิดความกดดันเหมือนกาน้ำที่กำลังเดือด แล้วหาทางออกโดยการแอบมีบ้านเล็กบ้านน้อย หรือการไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงบริการทางเพศ) "กับการปล่อยปละละเลยให้มีการมั่วสุมกันอย่างเปิดเผย" (อย่างเช่นในบางสังคมทางตะวันตก ที่เรารับรู้กัน...และสุดท้ายปัญหาสังคม ปัญหาโรคติดต่อ และอีกหลาย ๆ ปัญหาก็ตามมา)...........
และพอเราหันมามองในความเป็นจริงในปัจจุบันของสังคมอิสลามแล้ว ผลที่ได้ก็เป็นไปตามกุศโลบายนี้ คือ (ผมกล้ายืนยันเลยว่า) มีน้อยมาก ๆ ที่ครอบครัวใหนสามีมีภรรยามากกว่า 1 คน และผู้ชายเหล่านั้นก็ไม่ได้คิดจะมีมากกว่า 1 ซะด้วยซ้ำเพราะกลัวไม่สามารถทำตามหลักการที่พระเจ้าวางไว้อย่างครบถ้วน ซึ่งที่จริงแล้วนี่คือตัวอย่างของข้อดีข้อหนึ่งที่คนมุสลิมมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างเคร่งครัด ซึ่งสามารถนำเอามาปรับประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว....ในขณะที่คนต่างศาสนิกพยายามโจมตีว่าเขาเหล่านั้นเชื่ออย่างงมงายบ้าง ไม่มีเหตุผลบ้าง (หากคุณจะขอข้ออ้างที่เป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์นั้น ผมแนะนำให้ลองแวะไปเยี่ยมดูที่ตัวอย่างเวปไซต์ที่ผมแนะนำคุณ cabin_crew ไว้นะครับ เช่นเข้าไปดูที่ http://www.islamreligion.com ==> Article Categories ==> Evidence Islam is Truth )
แต่หากว่ามีความจำเป็นใด ๆ จริง ๆ ที่ผู้ชายคนนั้นจะต้องมีภรรยามากกว่า 1 คนแล้ว (แต่ทั้งนี้หมายถึงต้องผ่านทุกข้อของกฏเกณฑ์ที่วางไว้แล้ว) อิสลามก็เปิดทางให้เขามีได้ (เหมือนรูของกาน้ำ ที่ทำเอาไว้เผื่อเวลากาน้ำเดือดพุ่งแล้วมีทางระบาย ไม่ให้กาต้มน้ำระเบิด...แม้กาน้ำอาจสวยน้อยลงมานิดจากการมีรูอยู่ แต่มันคงคุ้มค่ากว่าการที่จะต้องเสียกาน้ำไปทั้งอันจากการระเบิดเวลาน้ำเดือดพุ่ง) แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะมีได้เท่าไหร่ตามที่ต้องการ แต่สุดท้ายต้องไม่เกิน 4 คน (เปรียบอีกก็เหมือนกาน้ำที่ หากมีรูเยอะไปก็อาจทำให้เสียราคา ไม่มีคนซื้อ)...แต่ทำไม ไม่เป็น 2 คน 3 คน หรือ 5 คนนั้นอันนี้ผมไม่ทราบ แต่ผมและมุสลิมเชื่อในสิ่งที่ผู้ที่เป็นผู้สร้างมนุษย์มาเองกำหนดมาครับว่าจะต้องมีสิ่งดีข้อใดข้อหนึ่งที่รอการค้นพบซ่อนอยู่


ขอบคุณนะครับ ที่ร่วมเสวนา ทำให้ผมมีมุมมองกว้างขึ้นเยอะเลยนะครับ
และยินดีที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะครับ.



Posted by : คนที่ธรรมแล้วคนหนึ่ง , E-mail : (sksm116@hotmail.com) ,
Date : 2007-03-09 , Time : 17:39:13 , From IP : 210-86-223-212.stati


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.011 seconds. <<<<<