กำไรสุทธิปี 49 เป้า: 100 ล้าน ทำได้จริง 107 ล้าน เกินเป้าประมาณ 7 ล้าน
เงินปันผล เป้า: 6.5% ทำได้จริง 6.5%
เฉลี่ยคืน เป้า: 7.0% ทำได้จริง 7.0%
หลักในการกำหนดเป้าหมายคือเกณฑ์ต่ำสุดที่จะทำได้ โดยใช้ฐานมูลค่าหุ้น, เงินฝาก, สินทรัพย์ และภาระผูกพันต่างๆ ณ วันสิ้นปีบัญชี เทียบ/ประเมินกับสิ่งที่ควรจะเพิ่มตามภาวะปกติ(ซึ่งเพิ่มขึ้นทุกปี เช่น ค่าหุ้น) ส่วนที่เพิ่มสูงกว่าเป้า(หรือลดลงในกรณีเป็นรายจ่าย) ก็ถือว่าเป็นฝีมือของคณะกรรมการ
จากตัวเลขกำไรเกินเป้า 7 ล้านบาท หากนำไปจัดสรรให้หมดก็จะได้เฉพาะเงินเฉลี่ยคืน จาก 7% เป็น 8% แต่ไม่สามารถไปเพิ่ม % ของเงินปันผลได้ หรือหากนำมาเพิ่ม % ของเงินปันผลเพียงอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอ คณะกรรมการจึงพิจารณาไม่ปรับทั้งเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืน โดยยึดถือตามเป้าเดิมแทน
ปีนี้สหกรณ์มีโอกาสเพิ่มเงินปันผลและเฉลี่ยคืนสูงเป็นประวัติการณ์ โดยควรจะมีกำไร 7+20 ล้าน แต่มีเหตุจำเป็นต้องนำ 20 ล้านนั้นมาสำรองหนี้สงสัยจะสูญแทน
หนี้สงสัยจะสูญ 20 ล้านเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ปี 46 อาจารย์แพทย์ท่านหนึ่ง(ไม่ใช่อาจารย์แพทย์ของคณะแพทย์) กู้เงินเพื่อการลงทุนนำไปสร้างหอพักในวงเงิน 32 ล้าน การวิเคราะห์โครงการและความคุ้มของหลักทรัพย์ ณ ขณะนั้นเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของการวิเคราะห์ที่พึงกระทำ จนการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดรับผู้เช่า โดยมีรายได้จากการให้เช่าไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาท ต่อ เดือน แต่ผู้กู้กลับไม่ส่งชำระทั้งต้นและดอกเลย ถือเป็นผู้กู้เพียงรายเดียวของสหกรณ์ที่มีรายได้แต่กลับไม่นำไปส่งคืนเงินกู้ ในขณะที่เงินต้นและดอกเบี้ยปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นเป็น 40 กว่าล้านบาท
สหกรณ์ได้ยื่นฟ้องศาล และเจรจาขอให้ผู้กู้รายนี้ขายหอพันนี้ออกไปเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ หากขายได้ในช่วงนี้จะได้ราคาดีกว่าการขายเมื่อคดีถึงที่สุด ซึ่งผู้ขายจะยังได้รับเงินคืนไปบางส่วนด้วย ทราบว่ามีผู้มาติดต่อขอซื้อ โดยเมื่อ 28 ธ.ค.49 มีชาวมาเลเซีย มาติดต่อขอซื้อ แต่เนื่องจากเป็นช่วงสิ้นปี ไม่สามารถโอนเงินผ่านธนาคารได้ เมื่อสิ้นปีบัญชี คือ 31 ธ.ค. ยังไม่มีการชำระหนี้เงินกู้ ตามหลักบัญชีกำหนดให้สำรองเป็นหนี้สงสัยจะสูญครึ่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อคำนวณตามมูลค่าหลักทรัพย์และตามที่กฎหมายกำหนด รวมเป็นมูลค่าสำรองหนี้สงสัยจะสูญทั้งสิ้น 20 ล้านบาท
ขอทำความเข้าใจคำว่าหนี้สงสัยจะสูญ เป็นภาษาทางบัญชี ไม่ใช่หนี้สูญจริง ตั้งสำรองไว้เพื่อไม่ต้องหักจากกำไรสุทธิของปีถัดไป เมื่อมีผู้ซื้อก็ต้องนำเงินมาชำระหนี้และไถ่ถอนหลักทรัพย์ออกจากสหกณ์รวมต้นและดอก คาดว่าเงินกู้พร้อมดอกของผู้กู้รายนี้จะได้รับกลับคืนในปี 50 ซึ่งจะทำให้ปี 50 มีกำไรเกินเป้าของปี 50 เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามหากยังไม่สามารถนำเงินมาชำระได้จริง นอกจากเป็นไปตามกระบวนการทางศาลแล้วก็ขึ้นอยู่กับกลยุทย์การจัดการของประธานและคณะกรรมการชุดใหม่ที่ได้รับเลือกเข้ามารับช่วงต่อไป
นอกจากคำอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมสหกรณ์ไม่สามารถปรับเพิ่มเงินปันผล-เงินเฉลี่ยคืนตามที่คาดหวัง(7% กับ 8%)แล้ว สิ่งที่กรรมการ(ชุดปัจจุบัน) ได้ทำหรือหาวิธีป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ข้างต้นซ้ำขึ้นมาอีก มีคำถามว่ากรรมการได้มีมาตรการอย่างไรออกมาบ้าง ขอตอบชี้แจงดังนี้
-ระงับโครงการกู้เพื่อการลงทุนของสมาชิกเป็นการชั่วคราวตั้งแต่ ต.ค.49
- เคร่งครัดในการติดตามหนี้ และกำหนดให้ผู้กู้ที่อยู่ระหว่างการกู้ในขณะนี้ต้องรายงานความคืบของเนื้องานก่อนที่จะรับเงินในงวดต่อไป
แนวทางการป้องปรามไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต (ยังเป็นข้อเสนอส่วนตัว)
- กำหนดเพดานสูงสุดที่สมาชิกจะกู้ได้(รวมหนี้ทุกประเภท)
- ทบทวนกระประเมินหลักทรัพย์ว่าจะประเมินตามราคาตลาด หรือราคาประเมินของทางราชการ
- การกระจายความเสี่ยงให้กับบริษัทประกันภัย โดยผู้กู้เป็นผู้รับภาระเงินเอาประกัน
- กรณีการกู้สามัญ ตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ค้ำโดยหัก 10% จากจำนวนเงินกู้ของผู้กู้ เมื่อเกิดเหตุสามารถนำเงินนี้มาช่วยผ่อนภาระของผู้ค้ำได้ แต่หากผู้กู้ผ่อนชำระตามปกติจนครบ ก็สามารถนำเงินส่วนนี้คืนไปได้(โดยไม่คิดดอกเบี้ยกับสหกรณ์)
ที่ชี้แจงมานี้เพื่อเป็นการให้ข้อเท็จจริงแก่สมาชิก ไม่มีเจตนากล่าวร้ายให้ผู้ผิดนัดชำระหนี้รายใหญ่นี้แต่อย่างใด ในส่วนของผู้อ่าน หากยังไม่เข้าใจสามารถโทร.ถามหรือขอทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สหกรณ์สำนักงานใหญ่ (ผู้จัดการใหญ่ หรือฝ่ายสินเชื่อ) สำหรับผู้แทนซึ่งจะต้องเข้าประชุมใหญ่อยู่แล้ว จะได้รับคำชี้แจงเป็นเอกสารอีกครั้งหนึ่งซึ่งจะออกโดยสหกรณ์ออมทรัพย์ (มีประเด็นให้คิดว่า การออกหนังสือชี้แจงกรณีนี้เป็นการทั่วไปจะเกิดผลกระทบต่อองค์กรอย่างไรบ้าง สมาชิกที่เข้าใจด้วยเหตุด้วยผลคงไม่เป็นปัญหา แตเกรงกันว่าสมาชิกบางรายอาจจับประเด็นบางส่วนนำไปขยายโดยเจตนาไม่ดี อาจกระทบต่อองค์กรได้ ในขณะเดียวกันหากไม่ชี้แจง คงปล่อยให้สมาชิกรับรู้ข้อมูลกันเองแบบไม่ครบถ้วนก็จะทำให้เข้าใจว่ากรรมการบริหารไม่โปร่งใส โดยที่เคยทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบกิจการมาก่อนจึงขอใช้วิจารณญาณชี้แจงตามข้อมูลข้างต้น
ปล. กรณีผู้กู้น้ำท่วม หากมีนี้คงเหลืออยู่ตามหลักเกณฑ์การกู้เดิมให้นำเงินปันผลมาหัก 60% แต่จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในปีที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่สมาชิกผู้กู้มากเกินไป จึงปรับลดเหลือหัก 50%
Posted by : กรรมการ 1036 , Date : 2007-01-31 , Time : 21:20:13 , From IP : 172.29.3.134
=====================================
รายละเอียดการจัดสรรกำไรสุทธิ สอ.มอ. ประจำปี 2549
กำไรสุทธิ 117,044,077.85 บาท
1. เป็นเงินปันผลหุ้นทั้งหมด(6.5% ตามเป้าที่กำหนดไว้) 77,191,439.00 บาท
2. เป็นเงินเฉลี่ยคืนดอกเบี้ยกู้ (7%ตามเป้าที่กำหนดไว้) 7,697,460.00 บาท
3. เป็นทุนสำรอง (15%) 17,557,218.46 บาท
4. เป็นเงินบำเหน็จสมาชิกเกษียณ (8.38%) 9,810,000.00 บาท
รวม 4 รายการข้างต้นเป็นเงินทั้งสิ้น 112,256,117.46 บาท
คงเหลือเงินที่จะจัดสรรเป็นรายการอื่น ๆ อีก 4,787,960.39 บาท
กรณีปรับปันผลเป็น 7% ใช้เงินอีก 5,938,307.00 บาท
กรณีปรับเฉลี่ยคืนเป็น 8% ใช้เงินอีก 1,099,697.00 บาท
สรุปต้องใช้เงินเพิ่มอีก 7,038,004.00 บาท
จากตัวเลขจะเห็นว่าหากมีการเพิ่มปันผล และเฉลี่ยคืนข้างต้น จะทำให้
ตัวเลขติดลบ และไม่มีเงินเหลือไปจัดสรรในส่วนอื่น ๆ เช่น ทุนสาธารณประโยชน์, ทุนรักษาระดับอัตราเงินปันผล, ค่าบำรุงสันนิบาต และโบนัสกรรมการ
และเจ้าหน้าที่ เหตุผลที่ปันผลได้ 6.5 และเฉลี่ยคืน 7 เพราะลดการจัดสรร
เงินสำรองลงเป้นอัตราต่ำสุดคือ 15% โดยปกติแล้วอัตราสำรองจะอยู่ที่ 20%
หากตั้งสำรองไว้ที่ 20% ปันผลควรจะอยู่ที่ 6% และเฉลี่ยคืน 6.5%
ถ้าเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนเงินฝากในรอบปี 2549 ที่ผ่านมา เงินฝาก สอ.มอ.เฉลี่ยทั้งปี 4.20% ในขณะที่ 5 ธนาคารใหญ่ดอกเบี้ยฝาก เฉลี่ยทั้งปี 3.1-3.8%(หักภาษี 15%แล้ว) แต่ สอ.มอ. ปันผลให้ 6.5% สูงกว่าเงินฝาก สอ.มอ. 2.3% และสูงกว่าเงินฝากธนาคาร 3.4-2.7% ก็ถือว่าอัตราปันผล 6.5% เป็นอัตราที่สูงพอสมควรเมื่อเทียบกับภาวะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระหว่างปีดังกล่าว
Posted by : ข้อเท็จจริง , Date : 2007-02-01 , Time : 15:36:32 , From IP : 192.168.46.30
Posted by : FYI , Date : 2007-02-02 , Time : 10:08:37 , From IP : 172.29.3.231
|