ความคิดเห็นทั้งหมด : 3

วันหนึ่ง โรงซ่อมอวัยวะมนุษย์


   22 ปีแล้วสิหนอ ที่ฉันเดินไปเดินมาในโรงซ่อมมนุษย์ ฉันอยากจะเรียกอย่างนั้นไม่ว่าหลังนี้ หรือหลังไหน ไม่เคยต่างกัน โรงเรือนใหญ่ๆ ที่ไม่มีใครอยากผ่าน แม้เพียงแวะไปเยี่ยมเยือนชั่วครู่ ยังต้องตัดใจยากเย็น

โรงเรือนสีขาว ม่านสีฟ้า
กลิ่นยา น้ำยาฆ่าเชื้อฉุนจมูก
ม้านั่งแถวยาว และผู้คนใบหน้าอมทุกข์
เรียกขานชื่อดัง… ก้องกังวาน
เตียงเหล็กและโต๊ะข้างเตียงเก่าๆ เรียงราย
หรือเพียงชื่อของฉันเท่านั้น ที่คนหน้าแปลกๆ ต่างผ่านมาเรียกซ้ำๆ แล้วผ่านไป
ในโรงเรือนสีขาวหลังนี้

เวลาที่เปลี่ยนผ่านแต่ละวัน เราเรียกช่วงเวลาเช้าถึงเย็นว่า เวรเช้า ตอนเย็นถึงกลางดึกเรียกว่า เวรบ่าย และกลางดึกจนถึงเช้าเรียกว่า เวรดึก เราหมายถึงผู้ที่ทำหน้าที่ซ่อมบำรุงทั้งหลาย ทั้งหมอเวร พยาบาลเวร และน้องเวร (Helper)

ในบางดึกอากาศหนาว ผู้ซ่อมจะกลายเป็นผู้ถูกซ่อมไปได้เหมือนกัน เมื่อต้องโต้รุ่งไปหลายๆ ดึก

เมื่อถึงขั้นตอนการซ่อมแซม อุปกรณ์ในการซ่อมแซมทั้งหลายควรจะพร้อมใช้งาน นั่นเป็นข้อมาตรฐานของโรงซ่อม ที่ตั้งไว้ว่าจำเป็นต้องมี แต่ขนาดคนทำงานเช่นฉัน ยังต้องผ่านมา 22 ปี อุปกรณ์ในร่างกายยังชำรุดทรุดโทรม ผ่านการซ่อมแซม ตัดทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับประสาอะไรกับอุปกรณ์อื่นๆ บางชิ้นมีอายุเกิน 100 ปีแทบจะจุดธูปเวลาใช้งาน เดาอารมณ์ไม่ถูกว่าจะใช้ได้หรือเปล่า

แล้วประโยคที่บอกว่า รู้เขารู้เรา รบพันครั้งชนะพันครั้ง นั่นเล่า ผ่านไปได้เลย
เพราะเมื่อผ่านมาถึงวันนี้ ฉันก็บอกตัวเองได้ว่า ไม่มีอะไรเลยที่แน่นอน
ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงและไม่มีอะไรน่าติดยึด
มีเพียงความดีงาม และปรารถนาดีเท่านั้น ที่จะหมุนโลกไปได้

พูดถึงผู้ซ่อม ถึงอย่างไรก็เป็นปุถุชนที่เต็มไปด้วยกิเลส บางคนพยายามละลด แต่บางคนยิ่งพอกพูน แต่ถึงกระนั้น ยังทุกข์ร้อน เมื่อเห็นคนอื่นทุกข์ ทรมานเมื่อเห็นคนอื่นทรมาน และมีใจอยากให้คนอื่นพ้นทุกข์ ด้วยเสี้ยวหนึ่งในหัวใจที่มีสิ่งนี้อยู่ ทำให้บรรยากาศโรงซ่อมยังคงงดงาม แม้ว่าจะต้องรับมือกับผู้ถูกซ่อมมากมายหลายประเภท เปิดตำราแทบไม่ทัน แต่บรรยากาศการเอื้อเฟื้อยังคงมีให้เห็น
ในบางวันที่หนักเหนื่อย เมื่อเราเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก

"มาหาคนไข้"

"ชื่อและนามสกุลล่ะคะ"

"ไม่รู้จัก"

"เป็นอะไรคะ"

"เป็นคนข้างบ้าน"

"ไม่ใช่ เป็นอะไรมาคะ"

"มาคลอดลูก"

"เขาอยู่ที่ไหน"

"อยู่ข้างบ้าน"

(จะหัวเราะ หรือร้องไห้ดีหนอ)



"บ้านเดิมของเขาอยู่ไหนคะ"

"อยู่อุทัยธานี"

"อ๋อ น่าจะเป็นห้อง 414 ลองเคาะประตูเปิดเข้าไปดูสิคะ ถ้าไม่ใช่ก็ขอโทษเขาก็แล้วกัน"

พอได้ยินเสียงเปิดปิดประตู ก็มีเสียงเฮ .. ดังลั่น

โล่งใจไปที ใช่จริงๆด้วย

เออหนอ อย่างนี้ก็มีด้วย …


--------------------------------------------------------------------------------
โดย :
เขียนเมื่อวันที่ : 17/1/2550
แสดงความคิดเห็น : 2

http://www.prachatai.com/05web/th/columnist/viewcontent.php?ColumnistID=109&ID=109&ContentID=2251&SystemModuleKey=Column&System_Session_Language=Thai



Posted by : อาฉี , E-mail : (.) ,
Date : 2007-01-18 , Time : 18:29:28 , From IP : 172.29.1.184


ความคิดเห็นที่ : 1


   อ่านแล้วรู้สึกดีครับ แต่บอกอารมณ์ไม่ถูก สงสารหมอ เห็นใจผู้ป่วย แต่ขำตอนสุดท้าย อิอิ ความซื่อคนชาวบ้านบางครั้งก็ทำให้หมอยิ้มได้ ถ้าหมออยากยิ้ม ไม่ใช่มารำคาญเค้า

*ปล. อยากให้หมอยิ้มให้คนไข้เยอะๆ อย่าง Patch Adams คุณหมอทุกท่านน่าจะดูเรื่องนี้นะครับ


Posted by : biotech , Date : 2007-01-19 , Time : 02:06:15 , From IP : 203.113.76.8

ความคิดเห็นที่ : 2


   หมอจะยิ้มให้คนไข้ได้ตอนที่หมอมีความเห็นใจคนไข้และคิดว่าสามารถจะช่วยเหลืออะไรเขาได้บ้าง แต่จะยิ้มไม่ออกเมื่อคิดว่ามันเป็นงาน และจะยิ่งยิ้มไม่ออกเมื่องานนั้นแก้ไขหรือซ่อมอวัยวะไม่ได้ดีอย่างที่คนไข้คาดหวังจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

Posted by : เลิกอยู่เวรแล้ว , Date : 2007-01-19 , Time : 16:31:19 , From IP : 172.29.3.14

ความคิดเห็นที่ : 3


   เขียนได้ดีนะครับ

Posted by : Cruz , Date : 2007-01-22 , Time : 17:15:25 , From IP : 222.123.145.27

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.004 seconds. <<<<<