ความคิดเห็นทั้งหมด : 9

อยากให้ทุกบลอค คณะแพทย์จัดการเรียนการสอนเอง


   ไม่อยากให้อาจารย์คณะวิทมาสอน อาจารย์คณะวิทบางคนสอนยากเกินไม่รู้ว่าจุดไหนสำคัญ ตรงไหนเอาไปใช้ ตรงใหนโยงกะคลินิคได้ และกดคะแนนพีบีแอลด้วย

Posted by : ครับพ้ม , Date : 2006-12-09 , Time : 20:24:18 , From IP : 172.29.4.35

ความคิดเห็นที่ : 1


   พี่ๆปี3 บอกหน่อยดิ มีบล๊อคไหนที่อาจารย์คณะแพทย์ทำ และสอนดีไหม หนุกไม่เบื่อเหมือนบล๊อคปี2 มีปะ จะได้รู้ว่าเป็นแบบนี้ไปจนจบปี3อีกไหม จิงด้วยเบื่อฟาที่มาจากคณะวิทย์มากเลย

Posted by : นศพ.ปี2/คนเบื่อบล๊อค , Date : 2006-12-09 , Time : 21:01:35 , From IP : 124.157.223.85

ความคิดเห็นที่ : 2


   ในความคิดเห็นของพี่นะ พี่คิดว่าการเรียน PBL เป็นสิ่งที่ดี และจะดีมากขึ้นถ้าเราเรียนแล้ว apply เป็น พี่จึงเห็นด้วยกับการที่มีการบริหารจัดการเรียนการสอนโดยอาจารย์แพทย์เอง อาจารย์ท่านจะทราบว่าจุดนี้ ตรงนี้ เราต้องเอาไปใช้กับการรักษาคนไข้นะ ตรงนี้ละเอียดเกิน พอรู้ประดับไว้ เวลาเราเรียนเรารู้ว่า อ้อ มันเป็นอย่างนี้นะ ตรงนี้มัน apply อย่างนี้นะ เราจะเรียนอย่างมีความสุข สนุกกับการอ่านเรียน การอ่าน ไม่ใช่ว่าเอาละเอียดเข้าไว้ ส่วนที่จะใช้ clinic กลับไม่ได้เรียน ไม่ได้ apply พี่ไม่ได้ไม่ชอบคณะวิทย์นะ แต่พี่คิดว่าคณะเขาเหมาะกับการเรียนการสอนของคณะเขามากกว่า เพราะเขาเป็น pure science แต่เราเป็นแบบ applied science มันคนละแนวทางในการประกอบวิชาชีพ อีกทั้งพี่ก็เห็นว่าคณะเราตั้งมา 34 ปีแล้ว อาจารย์แพทย์ทุกท่านก็เก่งๆ ทั้งนั้น พี่มั่นใจว่าคณะเราน่าจะพร้อมที่จะบริหาร block เองได้แล้ว การเรียนให้ตรงตามความต้องการของผู้เรียนเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัญหาต่างๆที่พวกเรา post กันทุกปีจะได้หมดลง ในเมื่อเรายังไม่มั่นใจในระบบของเรา แล้วคนนอกเขาจะมองเราอย่างไร

Posted by : นศพ คนนึง , Date : 2006-12-10 , Time : 00:37:22 , From IP : 172.29.4.219

ความคิดเห็นที่ : 3


   ผมอยากเสนอว่าเมื่ออาจารย์เข้ามาอ่านแล้ว รบกวนให้อาจารย์ช่วยฟังความคิดเห็นของพวกเราบ้างนะครับเพราะพวกเราเรียน พวกเรารู้ อ่อเเร้วผมมีเสนออีกอย่างครับพอดีตอนผมไปที่คณะแพทย์ของมช.อ่าคับ มีคำถามถูก-ผิดหลังจบPBLแต่ละครั้งเพื่อให้เราสำรวจตัวเองว่าเราได้อะไรบ้าง ลงในmed-edก็ได้ครับ

Posted by : อยากเสนอ , Date : 2006-12-10 , Time : 14:15:14 , From IP : 203.113.76.7

ความคิดเห็นที่ : 4


   เป็นปัญหาที่มีมาแต่โบราณครับ สมัยพี่เรียนก็มี เคย comment เต็มหน้ากระดาษ A4 โชคดีที่หลังจาก comment กลุ่มพี่ก็ไม่โดนเรื่องแบบนี้อีก
...
อยากให้น้องๆ ช่วยกันเขียนเรื่องร้องเรียนไปหา อาจารย์รองคณบดีฝ่ายแพทยศาสตร์ศึกษา เลยครับ ว่าเหตุการณ์ ปัญหาที่เกิดขึ้นมันเป็นอย่างไร แต่สิ่งสำคัญ พี่ไม่อยากให้น้องๆใช้อารมณ์ในการตัดสิน เหมารวมทุกๆอย่าง อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์หลายท่านก็สอนดี เป็น facillitator ที่มีคุณภาพ แล้วเราจะได้หาวิธีแก้ไขกันอย่างที่ทำไห้ win-win ทั้งสองฝ่าย เราจะได้เข้าใจเหตุผลที่อาจารย์จัดให้อาจารย์จากคณะวิทยาศาสตร์มาเป็น facillitator หรือ เข้าใจว่า เขามีวิธีประเมินผลเรื่อง process ของ PBL ได้อย่างไร จะให้ดี ก็รวมกันทั้ง preclinic ก็ได้ครับ เอาประธานชั้นปีนี่แหละ จัดการเลยครับ เราจะได้มีการเรียนการสอน PBL อย่างมีความสุขกันเสียทีครับ


Posted by : Botsumu , Date : 2006-12-11 , Time : 10:54:28 , From IP : proxy3.chula.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 5


   ผู้ตั้งกระทู้น่าจะหัดมองและให้เกียรติผู้อื่นบ้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลผู้นั้นเป็นอาจารย์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นคณะไหนก็ตาม
การเรียนไม่มีคำว่ามากเกินไปอยู่ที่ใครจะนำไปใช้ได้มากแค่ไหน แต่หากคุณปิดกั้นตนเองตั้งแต่ต้นคุณจะไม่รู้อะไรอีกมาก หากมีคำเสนอแนะควรจะนำเสนอต่อรองคณบดีฝ่ายแพทยศาสตร์โดยตรงจะดีกว่า


Posted by : มณีแดง , Date : 2006-12-12 , Time : 23:46:47 , From IP : 172.29.7.61

ความคิดเห็นที่ : 6


   คุณมณีแดงครับ คุณไม่มาเรียนไม่รู้หรอก ว่าแพทย์ไม่ได้เก่งกาจที่จะสามรถรับอะไรไปเสียทุกเรื่องในเวลาเพียงน้อยนิด บางเรื่องมันเยอะมากเกินไปกว่าที่ระดับชั้นนี้ควรจะรู้ จุดหมายเราเรียนไปเพื่อทำงานนะครับ รักษาคนนะครับไม่ใช่เรียนไปเพื่อเป็นผู้เชียวชาญทางด้านสาขาpure since สอนอะไรไปมากมายแต่ไม่เน้นในจุดที่นำไปใช้จริง เรียนไปเยอะมากเกินทำให้หลงประเด็น ประเด็นที่ควรรู้แต่กลับไม่รู้ กลายเป็นว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ผมไม่ได้ว่าอาจารย์คณะวิทย์ทุกคนนะครับ เป็นบางคนครับ บางคนนะเป็นฟาแล้วเน้นcontent มากกว่าprocessอีกครับคอยจะขัดขบวนการกลุ่มอยู่เรื่อยๆ แถมกดคะแนนมากว่าที่ควรจะเป็นด้วย เทียบกับคะแนนบางบอคได้คะแนนเกือบเต็มถ้าได้อาจารย์แพทย์เป็นฟาร์ ถ้าได้คณะวิทย์คะแนนตกมีน

Posted by : ผมเอง , Date : 2006-12-13 , Time : 10:44:30 , From IP : 172.29.4.185

ความคิดเห็นที่ : 7


   คงขึ้นกับคุณที่รับไปคิดแล้ว เนื่องจากสิ่งที่กล่าวมาขอเรียนให้ทราบว่าได้จากการเรียนที่ผ่านมาแล้ว

Posted by : มณีแดง , Date : 2006-12-13 , Time : 18:06:42 , From IP : 172.29.7.198

ความคิดเห็นที่ : 8


   ปัญหาอย่างหนึ่งก็คือ เราจะทราบได้อย่างไรว่าเรากำลัง "รู้มากเกินไป"

ปัจจัยแรกที่จะตัดสินว่าเราได้เรียนรู้มากเกินไปก็น่าจะเป็นเรารู้ว่า "เราควรจะรู้อะไรบ้าง" จึงจะแยกแยะได้ว่าอะไรจำเป็น หรืออะไรไม่จำเป็น ใน cognitive sciences นั้น ความรู้ส่วนหนึ่งมาจากความจำ และสัจพจน์ต่างๆ ต่อจากนั้นก็คือการเชื่อใยงกันด้วยเหตุผลเพื่อต่อยอด ที่ระดับหนึ่งๆการใช้เหตุผลต่อยอดจะตัน และต้องหาสัจพจน์มาต่อพื้นฐานไปอีก เพื่อจะต่อยอดไปได้สู่ขั้นต่อๆไป

basic sciences จึงเป็น "ฐาน" ที่จะทำให้เรา "สานต่อ" จินตนาการต่อไปอีกนิดก็คือ ยิ่งฐานกว้าง ยิ่งฐานแน่น ที่ที่เราจะต่อยอดก็จะยิ่งดี ยิ่งง่าย ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น ทำนองกลับกันก็คือยิ่งฐานแคบ ฐานน้อย ฐานไม่มั่นคง ที่จะมีโอกาส "ตัน" ในอนาคตก็จะยิ่งสูง

เราจะได้วิเคราะห์ต่อไปได้ว่า human sciences ที่ว่าเป็นเรื่องของ "ชีวิต" และ "คุณภาพชีวิต" นั้น เราควรจะเตรียมตัวเราอย่างไร ที่จริงความรู้แค่ทาง "bio" อย่างเดียว ถึงตรงนี้เราก็จะทราบว่ามันไม่พอที่จะทำให้เราเข้าใจเรื่องของ "คุณภาพชีวิต" เราคงจะต้องเชื่อมโยงกับ social sciences รวมทั้งสุนทรียศาสตร์อื่นๆด้วย

แพทยศาสตร์จึงเป็นวิชาที่หนัก เรียนถึงหกปี ก็แค่จบเบื้องต้น ยังต้องแสวงหาร่ำเรียนต่อจากประสบการณ์จริงหลังจากจบ ภายใต้การดูแลช่วยเหลือจากแพทย์รุ่นพี่ รุ่นอา รุ่นพ่อ ต่อๆไปอีก หลายปีก็ยังห่างจากคำว่า saturated อีกเยอะ หลายปีต่อมาที่เราเคยคิดว่าเรา "หลงประเด็น" ไปนั้น อาจจะเสียดายเวลาที่ผ่านไปทีหลังว่าประเด็นต่างๆเหล่านั้น อาจจะเป็น "ฐาน" ที่ทำให้เราดัดแปลงไปช่วยชีวิตคนก็เป็นได้ ที่น่าสนใจก็คือ คนเราไม่สามารถจะ consciously รู้ตัวว่าหลงประเด็นจนกว่าเราจะรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องนั้นๆ เราจะทราบว่าเราหลงทางก็ต่อเมื่อหลงมาไกลพอสมควร แต่จะไม่ทราบว่าหลงในทันทีทันใดยิ่งถ้าเป็นหนทางใหม่เอี่ยมไม่เคยผ่านมาก่อน

แพทยศาสตร์นั้น ไม่ใช่วิชา technique เท่านั้น เป็นวิชาที่เกี่ยวปรัชญา และความรู้ที่ลึกซึ้งของ "ชีวิต" เราเคยมีนักศึกษาบางคน complaint ว่าไม่อยากจะเรียนสังคมศาสตร์อีกแล้ว อุตส่าห์ Ent ติดแพทย์ แต่หนึ่งในวิชาสังคมศาสตร์ก็คือ "จริยศาสตร์" ซึ่งสำคัญที่สุดวิชาหนึ่งของการเป็นแพทย์ มิฉะนั้นจะไม่มีวันเข้าใจปรัชญาแห่งวิชาชีพ คือการเสียสละเพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ได้เลย

"I not only want you to be a doctor, but I also want you to be a man" การที่เราต้องเตรียมตัวเราให้มีจริยธรรมในการคิด การแสดงออก ทั้งกาย วาจา ใจ จึงเป็นเรื่องสำคัญ ปฏสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นพื้นฐานที่สำคัญ เราก็คงจะต้องทราบเรื่องมารยาทที่ดีงาม มารยาททางสังคมระหว่างเพื่อนฝูง ระหว่างลูกศิษย์กับครู ระหว่างแพทย์พยาบาล ระหว่างลูกกับบิดามารดา ถ้าจะแสดงออกอะไรในที่สาธารณะ ลองพิจารณาดูว่า ที่ได้แสดงออกไป ทำไปนั้น เป็นที่ชื่นชมของบุพการีเราหรือไม่หากท่านมาเห็น มาได้ยิน จะเป็นที่ชื่นชมของบุรพาจารย์ผู้ที่เราเคารพหรือไม่หากท่านได้มาทราบ สะท้อนตนเองบ่อยๆ เราก็จะดูดซึม "จริย" กลายเป็น "วัตร" หรือ "ศีล" ที่เป็นของธรรมดา สม่ำเสมอได้

ก็ลองพิจารณาดูครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2006-12-13 , Time : 21:10:05 , From IP : 124.157.177.141

ความคิดเห็นที่ : 9


   สมัยก่อนที่จะมี PBL นศพของ มอ เรียน basic science เยอะกว่านี้มาก ตอนนี้พอคณะปรับหลักสูตร เราเรียนน้อยลงมากๆ เทียบไม่ได้เลยกับคณะแพทย์ที่อื่น ที่เขาเรียนกัน ความรู้ที่สอนอยู่ปัจจุบันก็เน้นที่เอาไปใช้ในชั้นคลินิกแล้ว ถ้าน้องยังคิดว่ามันมากเกินความจำเป็นพี่ก็ไม่รู้ว่าน้องจะเรียนให้เหลือน้อยแค่ไหน ถ้าเราไม่มีความรู้พื้นฐานที่ดีพอ เมื่อไปเรียนปี 4 จะเหลือแค่การท่องจำ ไม่สามารถเชื่อมโยง basic ได้ น้องจะท่องแบบนกแก้วนกขุนทอง พอเจอคนไข้จริง ก็ทำอะไรไม่ถูก ขอให้ใจเย็นๆ ค่อยๆ เรียนสิ่งที่เค้าให้เรียน ถ้าน้องจำได้ รับรองพอถึงชั้นคลินิกจะเชื่อมโยงได้เอง อาจารย์คณะวิทย์ส่วนใหญ่สอนดี ตรงกันข้ามอาจารย์คณะแพทย์บางท่านพูดศัพท์เทคนิคจนงงไปหมด ให้น้องลองคิดดูดีดีแล้วกัน

Posted by : ดี , E-mail : (teddy@hotmail.com) ,
Date : 2006-12-17 , Time : 21:29:34 , From IP : 202.129.51.34


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.006 seconds. <<<<<