การบริจาคโลหิต โลหิต เป็นของเหลวสีแดงที่ไหลเวียนอยู่ภายในหลอดโลหิต โดยมีหัวใจทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ
ของร่างกาย อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดโลหิต คือ ไขกระดูก และเมื่อนำโลหิตมาปั่นแยกจะสามารถแบ่งแยกโลหิตได้
2 ส่วน คือ เม็ดโลหิตและน้ำเหลือง เม็ดโลหิต ประกอบด้วย เม็ดโลหิตแดง
เม็ดโลหิตขาวและเกล็ดโลหิต ส่วนน้ำเหลืองคือส่วนที่เป็นของเหลวที่ทำให้เม็ดโลหิตลอยตัว
มีลักษณะเป็นน้ำสีเหลือง
ปัจจุบันยังไม่สามารถหาสารประกอบใด ที่มาใช้ทดแทนโลหิตได้ดี ฉะนั้นเมื่อยามที่ร่างกายเสียโลหิตจากอุบัติเหตุ
ผ่าตัด หรือโรคที่จำเป็นต้องรักษาด้วยโลหิต
จึงจำเป็นต้องรับบริจาคโลหิตจากบุคคลหนึ่งเพื่อนำไปให้อีกบุคคลหนึ่ง
เพื่อช่วยเหลือชีวิตให้ทันท่วงที ความจำเป็นต้องใช้โลหิต โลหิต
77% ที่ได้รับบริจาคถูกนำไปใช้เพื่อทดแทนโลหิตที่สูญเสียไปในภาวะต่างๆ อาทิ
อุบัติเหตุ การผ่าตัด การคลอดบุตร ฯลฯ อีก 23 % เป็นการนำโลหิตไปใช้เฉพาะโรคเลือด
อาทิ โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย เกล็ดโลหิตต่ำ ฮีโมฟีเลีย เป็นต้น
การบริจาคโลหิต คือการสละโลหิตส่วนเกินที่ร่างกายยังไม่จำเป็นต้องใช้
เพื่อให้กับผู้ป่วย ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริจาค
เพราะร่างกายแต่ละคนจะมีปริมาณโลหิตประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ร่างกายนำไปใช้เพียง 15-16 แก้วเท่านั้น
ส่วนที่เหลือนั้นสามารถบริจาคให้ผู้อื่นได้ การบริจาคโลหิตสามารถบริจาคได้ทุก 3
เดือน โดยไขกระดูกจะเป็นอวัยวะสำคัญในการสร้างเม็ดโลหิตขึ้นมาทดแทน
ทำให้มีปริมาณโลหิตในร่างกายเท่าเดิม แม้หากไม่ได้บริจาคร่างกายจะขับเม็ดโลหิตที่สลายตัว
เพราะหมดอายุออกมาทางปัสสาวะ อุจจาระ กระบวนการบริจาคโลหิตตั้งแต่เริ่มลงทะเบียน
จนกระทั่งบริจาคโลหิตเสร็จสิ้น ใช้เวลาประมาณ 20 นาที โดยเจ้าหน้าที่จะเลือกเจาะโลหิตที่เส้นโลหิตดำบริเวณแขน
แล้วเก็บโลหิตบรรจุในถุงพลาสติก (BLOOD BAG) ตั้งแต่ 350-450
มิลลิลิตร (ซี.ซี.) ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้บริจาคแต่ละคน คุณสมบัติผู้บริจาคโลหิต 1. มีน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป สุขภาพร่างกายสมบูรณ์
พร้อมที่จะบริจาคโลหิต 2.อายุระหว่าง 17 -60 ปี ถ้าเป็นผู้บริจาคครั้งแรกต้องอายุไม่เกิน
55 ปี 3.
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในเวลาปกติของตนเอง
ในคืนก่อนวันที่มาบริจาคโลหิตอย่างน้อย 6 ชั่วโมง 4.
ไม่มีอาการท้องเสีย ท้องร่วง หรือกำลังเป็นไข้หวัด ไอ เจ็บคอ ใน 7
วันที่ผ่านมา 5.
สตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ คลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน
6 เดือน หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร 6.
น้ำหนักต้องไม่ลดผิดปกติในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา
โดยไม่ทราบสาเหตุ 7.
หากรับประทานยาเพื่อรักษาโรค จะพิจารณาเป็นกรณีไป เช่น แอสไพริน,
ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาแก้ปวดอื่นๆ ต้องหยุดยามาแล้ว 3 วัน ยาแก้อักเสบ ต้องหยุดยามาแล้ว 7 วัน 8.
ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, หัวใจ, ปอด, หอบหืด, วัณโรค, ไอเรื้อรัง, ลมชัก,
ภูมิแพ้, ตับ, ไต, มะเร็ง, ไทรอยด์, มะเร็ง, โลหิตออกง่าย-หยุดยาก ผิวหนังเรื้อรัง
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือโรคประจำตัวอื่นๆ 10.
หากปวดฟัน ถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูนหรือรักษารากฟัน ต้องเว้นระยะอย่างน้อย
3 วัน หรือผ่าฟันคุด เว้นระยะอย่างน้อย 7 วัน 11.
หากเคยได้รับการผ่าตัดใหญ่ต้องเว้น 6 เดือน,
ผ่าตัดเล็ก ต้องเว้น 1 เดือน 12.ท่านหรือคู่ครองของท่านต้องไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือเบี่ยงเบนทางเพศ 13.
ต้องไม่มีประวัติเสพยาเสพติด หรือหากเพิ่งพ้นโทษต้องเว้น 3 ปี และมีสุขภาพดี 14.
หากเจาะหู, สัก, ลบรอยสัก
ต้องเว้น 1 ปี 15.
หากมีประวัติเจ็บป่วยและได้รับโลหิตหรือส่วนประกอบของโลหิต ต้องเว้น
1 ปี 16.
หากมีประวัติเป็นมาเลเรีย ถ้าเคยเป็นต้องหายมาแล้วเกิน 3 ปี หากเคยเข้าไปในพื้นที่ ที่มีเชื้อมาเลเรียชุกชุม
ต้องทิ้งระยะอย่างน้อยเกิน 1 ปี จึงบริจาคโลหิตได้ 17.
ต้องไม่ได้รับเซรุ่มในระยะ 1 ปี ที่ผ่านมาหรือวัคซีน
จะพิจารณาเป็นกรณีไป 18.
ก่อนบริจาคโลหิตต้องรับประทานอาหารให้เรียบร้อย หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
เช่น ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ของทอด ของหวาน แกงกะทิต่างๆ การเตรียมตัวก่อน-หลังบริจาคโลหิต การเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต
-นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมง
ในเวลานอนปกติของตนเอง ในคืนก่อนวันที่จะมาบริจาคโลหิต -สุขภาพสมบูรณ์ทุกประการ ไม่เป็นไข้หวัด
หรืออยู่ระหว่างรับประทานยาแก้อักเสบใดๆ -รับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง
เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ อาหารที่ประกอบด้วยกะทิ แกงต่างๆ ของทอด ของหวาน ฯลฯ
เนื่องจากจะทำให้สีของพลาสมาผิดปกติเป็นสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้ได้
-ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และเครื่องดื่มเหลวเพิ่ม เช่น น้ำผลไม้ นม น้ำหวาน เพื่อเพิ่มปริมาณ
โลหิตในร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน เช่น มึนงง อ่อนเพลีย
หรือวิงเวียนศีรษะภายหลังบริจาคโลหิต -งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ก่อนมาบริจาคโลหิตอย่างน้อย
24 ชั่วโมง
-งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1
ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี ขณะบริจาคโลหิต
-สวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่คับเกินไป สามารถดึงขึ้นเหนือข้อศอกได้อย่างน้อย 3 นิ้ว -เลือกแขนข้างที่เส้นโลหิตดำใหญ่ชัดเจน ที่สามารถให้โลหิตไหลลงถุงได้ดี
ผิวหนังบริเวณที่จะให้เจาะ ไม่มีผื่นคัน หรือรอยเขียวช้ำ ถ้าแพ้ยาทาฆ่าเชื้อ เช่น
แอลกอฮอล์ ให้แจ้ง เจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้า
-ทำตัวตามสบาย อย่ากลัว
หรือวิตกกังวล
-ไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอมขณะบริจาคโลหิต
-ขณะบริจาคควรบีบลูกยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้โลหิตไหลได้สะดวก
หากมีอาการ ผิดปกติ เช่น ใจสั่น วิงเวียน มีอาการคล้ายจะเป็นลม อาการชา
อาการเจ็บที่ผิดปกติ ต้องรีบแจ้งให้พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นทราบทันที -หลังบริจาคโลหิตเสร็จเรียบร้อยนอนพักบนเตียงสักครู่ ห้ามลุกจากเตียงทันที อาจทำให้เวียนศีษะเป็นลมได้
ให้นอนพักสักครู่จนกระทั่งรู้สึกสบายดี จึงลุกไปดื่มน้ำ
และรับประทานอาหารว่างที่จัดไว้รับรอง หลังบริจาคโลหิต
-ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีบริการให้ ดื่มน้ำมากกว่าปกติ เป็นเวลา 1 วัน -หลีกเลี่ยงการทำซาวน่า หรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากๆ งดใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ รวมถึงการหิ้วของหนักๆ
เป็นเวลา 12 ชั่วโมง ภายหลังการบริจาคโลหิต
เพื่อป้องกันการบวมช้ำ
-ไม่ควรรีบร้อนกลับ ควรนั่งพักจนแน่ใจว่าเป็นปกติ หากมีอาการเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกผิดปกติ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทราบทันที
-ถ้ามีโลหิตซึมออกมาจากรอยผ้าปิดแผล อย่าตกใจ ให้ใช้นิ้วมืออีกด้านหนึ่งกดลงบน
ผ้าก๊อซ กดให้แน่นและยกแขนสูงไว้ประมาณ
3-5 นาที หากยังไม่หยุดซึมให้กลับมายังสถานที่บริจาคโลหิตเพื่อพบแพทย์หรือพยาบาล
-ผู้บริจาคโลหิตที่ทำงานปีนป่ายที่สูง หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ควรหยุดพัก
1 วัน
-รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และรับประทานยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละ 1 เม็ด จนหมด
เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก การบริจาคเกล็ดโลหิต เกล็ดโลหิต (Platelets)
เป็นเซลล์เม็ดโลหิตชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กมาก
แต่มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างยิ่ง เพราะช่วยทำให้โลหิตแข็งเป็นลิ่ม
และอุดรอยฉีกขาดของเส้นโลหิตเวลาที่ถูกของมีคมบาด โดยปกติเกล็ดโลหิต
มีอายุในการทำงานประมาณ 5 วัน
ในร่างกายมนุษย์เราจะมีเกล็ดโลหิตประมาณ 1.4 - 5 แสนตัว/ลูกบาศก์มิลลิลิตร
ถ้ามีภาวะเกล็ดโลหิตต่ำมากจะทำให้เกิดโลหิตออกง่าย
นอกจากนี้ยังมีหลายโรคที่ทำให้เกล็ดโลหิตต่ำ เช่น โรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาว
โรคที่เกี่ยวกับไขกระดูกไม่ทำงาน โรคติดเชื้อบางชนิด เช่น โรคไข้เลือดออก เป็นต้น
เกล็ดโลหิตใช้รักษาโรคในผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดโลหิตต่ำ
และมีปัญหาเลือดออกไม่หยุด เช่น โรคไข้เลือดออก มะเร็งเม็ดโลหิตขาว
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น การบริจาคเกล็ดโลหิต (Single Donor Platelets)
ปัจจุบันมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากที่ต้องใช้เกล็ดโลหิตรักษา หน่วยคลังเลือดฯ
จะเปิดรับบริจาคเกล็ดโลหิต เฉพาะที่มีการร้องขอจากโรงพยาบาลหรือในภาวะขาดแคลนเกล็ดโลหิต
ไม่ได้เปิดรับบริจาคเหมือนโลหิตทั่วไป
ทั้งนี้เพราะเกล็ดโลหิตเมื่อเจาะออกมานอกร่างกายแล้ว จะมีอายุประมาณ 5 วัน
ตามลักษณะและกรรมวิธีในการเจาะเก็บและต้องเก็บรักษาไว้ในตู้ซึ่งควบคุมอุณหภูมิไว้ที่
22 องศาเซลเซียส พร้อมกับมีการเขย่าเบาๆ ตลอดเวลา
การรับบริจาคเกล็ดโลหิต
จะใช้เครื่องมือเฉพาะที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์
ผู้บริจาคเกล็ดโลหิตจะถูกเจาะโลหิตจากแขนข้างหนึ่งผ่านเข้าเครื่องแยกเม็ดโลหิตอัตโนมัติ
เพื่อแยกเกล็ดโลหิตออกจากเม็ดโลหิตแดง เมื่อได้เกล็ดโลหิตแล้ว ส่วนประกอบอื่นๆ
จะถูกคืนกลับเข้าสู่ร่างกาย ระยะเวลาในการบริจาคเกล็ดโลหิต ประมาณ 1.30 - 2
ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องมือและจำนวนเกล็ดโลหิตของผู้บริจาคเอง
ผู้บริจาคเกล็ดโลหิตจะไม่อ่อนเพลีย
สามารถปฏิบัติภารกิจการงานได้ตามปกติ หลังจากบริจาคเกล็ดโลหิตไปแล้ว 1 เดือน สามารถบริจาคโลหิตได้ตามปกติ ยกเว้นในกรณีจำเป็น อาจให้บริจาคได้เร็วขึ้น
แต่ไม่เกิน 24 ครั้ง/ปี และค่าเกล็ดโลหิตก่อนบริจาคไม่ต่ำกว่าเกณฑ์กำหนด คุณสมบัติผู้บริจาคเกล็ดโลหิต ·
อายุ
17-50 ปี ·
น้ำหนัก
60 กิโลกรัมขึ้นไป ·
ควรเป็นผู้ที่บริจาคโลหิตสม่ำเสมอ ·
หมู่โลหิตจะต้องตรงกับผู้ป่วยที่ต้องการเกล็ดโลหิต ·
เส้นโลหิตตรงข้อพับแขนชัดเจน ·
ไม่รับประทานยาแก้ปวดแอสไพริน
ในระยะเวลา 5 วันก่อนบริจาค ·
มีจำนวนเกล็ดโลหิต
2.5 แสนตัว/ลูกบาศก์มิลิลิตร
(ก่อนบริจาคจะขอเจาะโลหิตเพื่อตรวจนับจำนวนเกล็ดโลหิตก่อน) วันเวลาทำการรับบริจาคเกล็ดโลหิต *นัดหมายบริจาคเกล็ดโลหิตอย่างน้อย 1 วัน หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร 0
74-451575 |